หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548

ไวน์ (Wine)

หากจะกล่าวกันว่าที่ไหนมีองุ่นที่นั่นมีไวน์ย่อมจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าจะให้บอกว่าของใครดีกว่ากันนั้นคงจะไม่มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนได้ เพราะคนเราต่างจิต ต่างใจกัน ทำให้ชอบในหลาย ๆ สิ่งที่ไม่เหมือนกัน

ในเมื่อไวน์คือต้นกำเนิดของแชมเปญ ลักษณะความละมุนในรสหรือกลิ่นจึงขึ้นอยู่กับความปราณีของภูมิอากาศและภูมิประเทศ อีกทั้งรสนิยมของผู้คนในแต่ละประเทศว่าพวกเขาชอบไวน์ประเภทไหนกันบ้าง

ลักษณะโดยทั่วไปของไวน์นั้นมีสูตรพื้นฐานอยู่ที่น้ำองุ่นกลั่น ซึ่งมีส่วนผสมอยู่ในน้ำประมาณ 80 % น้ำตาลให้รสฟวานจากองุ่นอีก 15 % และนอกจากนี้ยังมีคาร์บอนไดออกไซด์อีก 5 % ทั้งหมดนี้คือส่วนผสมที่สำคัญของไวน์รสละมุนแก้วโปรดของใครหลาย ๆคน

ในส่วนของการแยกแยะไวน์เขาแบ่งกันออกไปอย่างเตลิดเปิดเปิง นับตั้งแต่ไวน์ประเภทที่มีฟองอยู่พอกล้อมแกล้มให้ว่าเป็นฟอง กับประเภทที่ไม่มีฟองให้ลิ้มลองเลยว่า ว่ากันว่าไอ้ประเภทที่ไม่มีฟองนี่แรงกว่าประเภทที่มีฟอง ฉะนั้นประเภทที่ไม่มีฟองจึงเหมาะแก่การดื่มให้หน้าแดงมากกว่า

การดื่มไวน์นั้นในส่วนของประเทศแถบสเปน โปรตุเกส ชิชิลีและฮังการี กลุ่มประเทศเหล่านี้ล้วนแต่ชอบจิบไวน์หลังอาหาร มากกว่าการที่จะมานั่งจิบก่อนรับประทานอาหารหรือในระหว่างการรับประทานอาหาร

สำหรับ ประเทศกลุ่มมหาอำนาจอย่างอเมริกาจัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่และอลังการกลุ่ม หนึ่ง สามารถจัดลงได้อยู่ในทุกประเภททุกกรณี เนื่องจากอาณาจักรไวน์ในประเทศนี้กว้างขวางพอสมควร แต่การตั้งชื่อยังคิดติดอยู่กับประเทศทางยุโรป ซึ่งความจริงรสชาติของทางอเมริกาไม่แพ้ทางยุโรปเช่นกัน เพียงแต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังไม่นิยมดื่มไวน์กันมากเท่าที่ควร และด้วยการที่ไปผูกติดอยู่กับแหล่งกำเนิดของไวน์ว่ามีความคลาสสิคในการดื่ม ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาดูใหม่เกินไปสำหรับตลาดไวน์

เราไม่ได้ -ไม่รักกัน

บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป
ที่ความรัก..จะต้องจบลง
ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก
บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง
แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี
นอนซม..อยู่บนเตียง

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว
..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น
แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี
ถึงแม้วันนี้..สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี

แต่..ในวันสุดท้าย..ของชีวิต
เพื่อน-ที่เธอรักที่สุด..
ก็มานั่งเคียงข้างเธอ..อยู่ตรงนี้
มาส่งเธอ..เหมือนทุกครั้ง..ทุกคราว

“หมอบอกว่า..ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก”
เธอ..เอ่ยบอกกับเขา ...
เพื่อนชรา..ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก
“ฉันรู้”
ชายชรา..พยักหน้ารับ

“เธอมาส่งฉัน..เหมือนทุกทีสินะ”
หญิงชรา..มองหน้าชายชรา
“ใช่..ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ”
ชายชราตอบ..ด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น..
บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก..” เธอ..รำลึกความหลัง
“แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน”
ชายชราบอก


“ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วย กัน
..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน” หญิงชราพูดขึ้น

“สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป”
เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

“ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ”
เธอเย้ายิ้มๆ


“แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม...
จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ”
ชายชรา..ทวนความหลัง


เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆ ว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว..
เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ


“โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอ-มาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน”
นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้
วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย
..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่
พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ ..
พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...
พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...
เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา
“กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ”
…และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ


เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..
เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ
ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน
..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน
“มัน..นอกใจเธอ” เขาบอกเรียบๆ..
แต่..เธอไม่เชื่อ

วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย
..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ
อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก
..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา
“มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร”



เธอส่งจดหมายไปขอโทษ
..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ
..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า
"กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ"

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆ นั้น
..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..


เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..
เธอจะแต่งงาน..
เขา..มองหน้าเธอ..
เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร
..ดีใจ?
..เสียใจ?
และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ ..เขาก็ตอบว่า..
“..เราใจหาย..”


แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..
ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้นิสัยดี ..และรักเธอจริง
“เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก”
ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..


วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..
“ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง”
เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ


ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ
ว่า.. “ฝากด้วยนะ..”
เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา
เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ


มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป
แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน
เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี
ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ

เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ
น้อยกว่า..อยู่ใบนึง..
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน..


บางที ..เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก
หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย..
และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย
..ที่เขาฝากไว้ที่เธอ..เธอก็รับ..และเก็บงำมันไว้..ด้วยความเต็มใจ..

“คิดอะไรอยู่?”
เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ
“เรา..กำลังนึกแปลกใจ”
เธอเอ่ย..ด้วยท่าทีครุ่นคิด
“ทำไม..เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน?”

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน
”เราสนิทกันมาก..มั้ง”
เขาว่า
“นั่น..ไม่น่าใช่เหตุผลนี่”
เธอว่า

“เธอ..ถามยากไปนะ”
เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่
“ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?”
แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น


“อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย”
เขาพูดขึ้น
เธอมองหน้าเขา.. แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..
“ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน”
เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

”แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ”
เขาเว้นช่วง
“ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”
เธอหลับตาลง..
คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง
“นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”
เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง


ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว
ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่ เอื้อมมากุมมือเธอไว้
“กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ..”



และนั่น..
คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน…

น้ำดื่ม (Water)

...น้ำดื่มที่ใช้เสิร์ฟในห้องอาหารจะมีแร่ธาตุน้อยมาก ซึ่งอาจจะเสิร์ฟตลอดทั้งมื้ออาหารหรือผสมกับเครื่องดื่มต่าง ๆ ก็ได้ ปัจจุบันน้ำดื่มอาจได้มาจรากการซื้อเข้ามาใช้บริการ หรือกรองจากเครื่องเอง จากนั้นก็นำไปผสมทำเป็นน้ำโซดา โทนิค ในเครื่องผสมแบบอัตโนมัติ นิยมเสิร์ฟโดยแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็ง ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อ เพื่อให้เลือกดื่มกันตามความชอบ และความนิยมของแต่ละท้องถิ่น เช่น น้ำสิงห์ น้ำโพลาริส เป็นต้น

If tomorrow never come

Hi my friends,
I think you (all) like it, please read the detals below:

If I knew it would be the last time that I'd see you fall asleep,
I would tuck you in more tightly
and pray the Lord, your soul to keep.

If I knew it would be the last time
that I see you walk out the door,
I would give you a hug and kiss
and call you back for one more.

If I knew it would be the last time
I'd hear your voice lifted up in praise,
I would video tape each action and word,
so I could play them back day after day.

If I knew it would be the last time,
I could spare an extra minute or two to stop and say "I love you,"
instead of assuming you would KNOW I do

If I knew it would be the last time
I would be there to share your day,
well I'm sure you'll have so many more,
so I can let just this one slip away.

For surely there's always tomorrow
to make up for an oversight,
and we always get a second chance
to make everything right.
There will always be another day
to say our "I love you's",
And certainly there's another chance
to say our "Anything I can do'
But just in case I might be wrong,
and today is all I get,
I'd like to say how much I love you
and I hope we never forget,

Tomorrow is not promised to anyone,
young or old alike,
And today may be the last chance
you get to hold your loved one tight

So if you're waiting for tomorrow,
why not do it today?
For if tomorrow never comes,
you'll surely regret the day,

That you didn't take that extra time
for a smile, a hug, or a kiss
and you were too busy to grant someone,
what turned out to be their one last wish.
So hold your loved ones close today,
and whisper in their ears,
how much you love them,
and that you'll always hold them dear

Take time to say "I'm sorry," "Please forgive me,"
thank you," or "its okay".
And if tomorrow never comes,
you'll have no regrets about today.

Send this to all that you consider a friend. Those who you've known for a long time, maybe haven't talked to for a while, and those you have just met.
Just to let them know how much you care about them. You never know, you
may not see them tomorrow. So let them know how much they mean to you.

From : Forword Mail

น้ำแร่ (Mineral Water)

...เป็นน้ำที่ได้จากน้ำพุจากพื้นดิน ซึ่งมีส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย บางชนิดมีก๊าซเล็กน้อยคุณค่าของแร่ธาตุที่ผสมอยู่จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังสามาถรักษา โรคบางชนิดได้ด้วย

โดยปกติแล้ว น้ำแร่มักเสิร์ฟโดยแช่เย็น เพื่อใช้ดื่มเปล่า ๆ เป็นการรักษาโรคและบำรุงสุขภาพหรือในบางครั้งอาจจะนำไปผสมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนรับประทานอาหาร

เพลงยุโรป


Thai Progressive Rock Band "BUTTERFLY"... Live City of Butterfly
ยุโรป (EUROPE)... เพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง "วัยระเริง"

เด็กน้อยกับตะปู

...มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของ เขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่งและบอกกับเขาว่า ทุกครั้ง ที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคน ให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน วันแรก ผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป อย่างน้อยที่สุด เขาได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อกำลังพยายามบอกกับเขา ก็คือการรู้จักควบคุมอารมณ์ ของตนเองให้สงบ ซึ่งง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ

และแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบพ่อและบอกกับพ่อว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง ได้แล้ว ไม่ มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็น พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพอสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุก ๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ ให้ถอน ตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อย ๆ ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น2... จาก2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกมา เด็กน้อยดีใจมากรับวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า

" ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ !!"

พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอก กับลูกว่า

" ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เห็นไหม ว่ามันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอย แผล เหมือน กับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน ต่อให้ พูดคำขอโทษสักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น กับเพื่อนก็เช่นกัน"

...เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายาก เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับ ความสำเร็จ เป็นคน ที่คอยปลอบใจเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา และจริงใจกับเราเสมอ

... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหน และระวังสิ่งที่เราทำไป ไม่ว่าจะ เป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจำไว้เสมอว่า เมื่อใดที่เรากล่าวคำว่า "ขอโทษ"
ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2548

น้ำอัดก๊าซ (Aerated Waters)

น้ำอัดก๊าซ(Aerated Waters)
... เครื่องดื่มที่อัดด้วยก๊าซคาร์บอนิก เพื่อทำให้เกิดความซ่า และอาจเติมรสชาติจากน้ำเชื่อมที่มีสี กลิ่นรสชาติต่าง ๆ ลงไป ซึ่งในห้องอาหารอาจจำหน่ายกันเป็นขวด หรือเป็นแก้วก็ได้ โดยใช้เครื่องผสมที่เรียกว่า "Post Mix" หรือ "Premix" อุปกรณ์ที่สำคัญคือ น้ำ ก๊าซ และน้ำเชื่อมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และเมื่องต้องการใช้เมื่อใด เพียงแต่กดปุ่มในเครื่องตามที่ต้องการ เครื่องดื่มจะทำงานโดยอัตโนมัติด้วยแรงดันของก๊าซที่บรรจุไว้นั่นเอง เครื่องดื่มที่อัดก๊าซหากไม่มีความเย็น ก๊าซหรือฟองจะหายไปอย่างรวดเร็วมาก ฉะนั้นไม่ว่าจะจำหน่ายเป็นขวดหรือเป็นแก้วก็ตามควรแช่ให้เย็นมาก ๆ เพราะมีส่นทำให้เครื่องดื่มนั้นมีรสชาติที่ดีและมีความซ่าอยู่ได้นาน

เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดก๊าซมีอยู่ด้วยกันมากมาย เช่น น้ำโซดา(Soda Water) ไม่มีสี ไม่มีรส น้ำโทนิค (Tonic Water) ไม่มีสี กลิ่นรสควินิน กลิ่นรสขิง รสหวานน้อย บิตเตอร์เลมอน (Bitter Lemon) สีขาวขุ่น กลิ่นรสเปรี้ยวของมะนาว หวานน้อย เลมอเนด (Lemonade) ไม่มีสี กลิ่นรสมะนาว หวาน มีหลายชนิด เช่น 7up , Sprite น้ำส้มอัดลม (Orange Carbonated) สีส้ม กลิ่นส้ม หวาน มีหลายชนิดเช่น Greenspot, Bireley, Fanta โคล่าอัดลม (Cola Carbonated) สีดำ กลิ่นโคล่า หวาน เช่น Pepsi, Cokeเครื่องดื่มอัดก๊าซดังกล่าวอาจเสิร์ฟเปล่า ๆ โดยการแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็ง หรือนำไปผสมกับเหล้าต่าง ๆ

บริติช แอร์เวย์ส พาท่องแดนจิงโจ้ ไต่ซิดนีย์ฮาเบอร์ชมโอเปร่าเฮาส์

คอลัมน์ พาทัวร์ 2005 โดย เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน ประชาชาติธุรกิจ

มหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวยังฮอตฮิตต้องตาโดนกระเป๋านักท่องเที่ยวคนไทย พอ "บริติช แอร์เวย์ส" เปิดช่วงนาทีทองขนเอาตั๋วโดยสารราคาประหยัด ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ซิดนีย์ 16,670 บาท ออกมาวางขายช่วงสั้นซื้อได้ภายใน 31 สิงหาคมนี้ แต่เก็บไว้ตัดสินใจเดินทางได้ภายในอีก 60 วัน หรือประมาณ 30 พฤศจิกายนนี้

เส้นทางพักผ่อนสบายๆ ใน "แดนจิงโจ้" ออสเตรเลีย โปรแกรมการท่องเที่ยวยอดนิยมอันเป็นเอกลักษณ์
คงจะหนีไม่พ้นการท่องเที่ยวเชิ งผจญภัยสไตล์ soft adventure เล็กๆ แต่เป็นการพิสูจน์ความกล้าใจกลางเมืองซิดนีย์

หลายต่อหลายคนที่มีโ อกาสเดินทางไปพักผ่อนในออสเตรเลีย ไม่ว่าจะผ่านไปแถว Sydney Habour Bridge หรือซื้อตั๋วเรือโดยสารนั่งกินลมชมวิวเลาะเมืองเก่าซิดนีย์ไปเรื่อยสัก 1-2 ชั่วโมง พอผ่านสถาปัตยกรรมทรงแปลก "โอเปร่าเฮาส์" คราวใด ทอดสายตาผ่านเลยสูงขึ้นไปแถวสะพานจะเห็นคน "แถวมด" ไต่ยัวะเยี้ยเป็นเงาตะคุ่มอยู่บนราวสะพาน Sydney Habour

ความจริง แล้วเป็น "นักท่องเที่ยว" ผมทอง ผมดำ ที่ยอมควักกระเป๋าซื้อตั๋ว ราคาก็ไม่ใช่จะถูกนัก หลายสิบดอลล์ออสซี่อยู่เหมือนกัน เพื่อที่จะได้มีโอกาสไต่ขึ้นไปตามขอบสะพานซึ่งเขาออกแบบไว้เพื่อการผจญภัยใน ที่สูงโดยเฉพาะ เป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ทำรายได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน

เพ ราะสถิติแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวนับ 100 คนไปเข้าคิวซื้อตั๋วเพื่อไต่สะพานแห่งนี้ คนไทยเองก็ใช่ว่าจะถอยพลอยสนุกไปกับเขาด้วย สำหรับบางคนที่ไม่อยากหัวใจวายเสียก่อนก็ทางการท่องเที่ยวออสเตรเลียก็มีโปร แกรมทัวร์ "เดอะร็อก" (The Rock) เป็นสถานที่แห่งแรกที่ชาวยุโรปพากันมาขึ้นฝั่ง โดยยังคงมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ สังเกตได้ชัดจากอาคารเก่ายุคที่อิทธิพลของอาณานิคมขยายเข้ามา

ส่วนนั กท่องเที่ยวที่ต้องการดูดดื่มธรรมชาติสไตล์ทะเลแปซิฟิก ตอนนี้เขากำลังนิยมไปดู "โลมา" แหวกว่ายมาทักทาย แต่ต้องซื้อตั๋วล่องเรือไป "พอร์ต สตีเฟ่น" เพื่อเล่น Sand Dune โปรแกรมนี้โดนใจลูกทัวร์ชาวไทยไม่น้อยทีเดียว

แต่ก็มีบางกรุ๊ปอยากสั มผัสไอดินกลิ่นหญ้าในอุทยานแห่งชาติ "บลู เมาเทนส์" จับรถตู้นั่งไปไม่เกินชั่วโมงครึ่ง ระยะทางจากซิดนีย์ไปไม่เกิน 105 กิโลเมตร ถึงจุดขึ้นกระเช้าซึ่งแขวนอยู่บนสะลิงลอยฟ้า เรียกว่า "ซีนิสเซ็นเตอร์" พอขึ้นไประหว่างลอยอยู่เหนือน่านฟ้าจะมองเห็นภูเขา 3 พี่น้อง หรือ Three sister โผล่เสียบฟ้าขึ้นมาโดยมีกลิ่นยูคา ลิปตัสโชยมาแต่ไกล

หากไม่จุใจแนะนำให้ไปลองนั่ง "ซีนิค เรลเวย์" พิชิตความชันซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่สุดของโลกทีเดียว

น อกจากแหล่งท่องเที่ยวเชิงการผจญภัยทางธรรมชาติแบบมีลุ้นแล้ว ในซิดนีย์ยังเป็นแหล่งอาหารการกินสไตล์ผสมผสาน เอเชีย-ยุโรป แถมมีย่านไชน่าทาวน์ให้คนไทยช็อปแหลก

ถ้าแวะไปแถว "ควีนวิกตอเรีย" ใจกลางเมือง ก็จะเห็นสินค้าประเภทสวยงามเป็นหลัก หากอยากสูดกลิ่นของพื้นเมืองแต่ละวีกเอนด์ก็ต้องไป "เดอะ ร็อก" หรือย่าน "ไชน่าทาวน์" ที่นี่ตั้งอยู่ติดกับสวนสาธารณะขนาดมหึมา เป็นเมืองของกินอร่อยรสชาติต้นตำรับ และมีแหล่งช็อปปิ้งของถูก made in China ซื้อเป็นซูวีเนียร์มีราคาให้เลือกตั้งแต่ไม่ถึง 1 ดอลล์ เรื่อยไปจนถึง 100 ดอลล์ โดยเฉพาะรกแกะ รกแพะ เพิ่มความงาม แถวนี้มีให้เลือกหลายยี่ห้อ เจ้าของร้านส่วนใหญ่เป็นหมวยที่สามารถบรรยายสรรพคุณของใช้ได้ตรงสเป็กนักช็อ ปชาวไทย

ในสภาวะเศรษฐกิจตึงเครียด การไปเปิดหูเปิดตาเที่ยวในประเทศบ้าง แวบไปทัวร์นอกประเทศบ้าง ในช่วงที่ตั๋วราคาแสนถูกนั้นก็นับได้ว่าเป็นการเติมรสชาติที่ดีให้ชีวิตได้เ หมือนกัน

ดีไม่ดีอยู่ที่ใจเรา

ทุก ย่างก้าว ของ ความฝัน คือ ย่างก้าว ของ ความเหน็ดเหนื่อย
ทุกย่างก้าว ของ ความเหน็ดเหนื่อย คือ ก้าวย่าง ของ ความสำเร็จ


ต่อให้ทุกข์ที่สุด....ก็ต้องผ่านพ้นไปจนได้
เมื่อเรานั่งมองอดีต เรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์
ก็ในเมื่อ..ชีวิต...มันยังมีชีวิต
ขอแค่อย่าทุกข์ก่อนเจอทุกข์ หลังทุกข์ อย่าทุกข์อีก
ให้ทุกข์ แค่ตอนทุกข์ แล้วทุกข์ที่สุด...ก็จะเป็น ทุกข์ แค่นี้เอง!


ให้ทำหน้าที่ทุกหน้าที่ด้วยหัวใจ ให้หัวใจตระหนักในหน้าที่....
แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าหน้าที่เป็นหน้าที่ แต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก...หัวใจเรียกร้อง...ต่างหาก


ดีไม่ดี...อยู่ที่ใจเรา... ถ้าใจเรา...คิดดี เราก็จะเจอแต่สิ่งดีๆ
ถ้าเรามองในทางที่ดี...ใจเราก็จะรู้สึกดี
ถ้ากำลังใจดี...สิ่งเลวร้าย...ก็จะคลี่คลายเป็น...ดี!

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2548

นั่งรถไฟสู่ฟากฟ้าที่"สวิตเซอร์แลนด์"แดนฝัน(จบ)

โดย : นันทสินี หมวดมณี
คอลัมน์ท่องเที่ยว @ผู้จัดการ


หุบเขาเฟียสกับทะเลสาบบัคอับบ์ที่ใสแจ๋วราวกระจก
"ฝัน"ของฉันเป็นจริงขึ้นมาเมื่อได้มาเที่ยวยังสวิตเซอร์แลนด์ เพราะนี่คือดินแดนที่ฉันใฝ่ฝันมานานแล้วว่าสักวันจะต้องมาเยือนให้ได้

สำหรับการมาเยือนสวิสในครั้งนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เพราะฉันได้มีโอกาสนั่งรถไฟสายยุงค์ฟราว (Jungfrau railway) ลัดเลาะไปตามขุนเขาที่มีทิวทัศน์งดงาม ไต่ไล่ไประดับเรื่อยๆฟากฟ้าจนถึงยัง 'ยุงค์ฟราวยอร์ค' (Jungfraujoch) สถานีรถไฟที่สูงที่สุดของยุโรป(3,454 เมตร) บนยอดเขา 'ยุงค์ฟราว' (Jungfrau) ที่ถูกเรียกขานว่า "หลังคายุโรป" ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่มรดกโลก "Jungfrau-Aletsch" ที่ องค์การUNESCOประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของเทือกเขาแอลป์ ในวันที่ วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2001


บนสถานียุงค์ฟราวยอร์ค ที่ฉันนั่งรถไฟไต่ระดับขึ้นมาจากเมืองอินเทอร์ลาเก้นนั้น(เนื้อเรื่องในตอน ที่แล้ว) มีจุดที่น่าสนใจหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น จุดชมวิวพาโนรามาทีสามารถมองเห็นวิวไปถึงแบล็ค ฟอเรสต์ (Black Forest) ในเยอรมนี และ Vogese ในฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังเป็นสถานีวิจัยงานประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็งในถ้ำน้ำแข็ง Ice Palace ที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร จุดชมวิวเหนือธารน้ำแข็งที่สามารถมองเห็นธารน้ำแข็งยาวกว่า 22 กิโลเมตร ลานกิจกรรมกลางแจ้ง Ice Plateau ที่เมื่อลงไปเดินก็จะได้สัมผัสกับความขาวโพลนของหิมะ

ส่วนใครที่ชอบความตื่นเต้นเล็กๆก็น่าที่จะลองนั่งลากเลื่อนโดยสุนัข ฮัสกี้ หรือเล่นพวกจานหิมะ สกี สโนบอร์ด รวมถึงไปลุ้นระทึกกับความเสียวสุดๆกับ Tyrolienne ที่เป็นการห้อยตัวไปกับสายเคเบิลผ่านธารน้ำแข็งกว่า 200 เมตร

Jungfrau railway ขบวนรถไฟสู่ฟากฟ้า



ฉันเพลิดเพลินอยู่บริเวณยุงค์ฟราวยอร์คอยู่พอสมควร จนเมื่อท้องเริ่มส่งเสียงประท้วงจึงได้สอดสายสายตามองหาร้านอาหารเพื่อที่จะ ฝากชีวิตและกระเพาะ และก็มาถูกใจกับร้านอาหารในห้องกรุกระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวอันเวิ้งว้าง ของหุบเขากับปุยหิมะอันขาวโพลน นับเป็นบรรยากาศที่ชวนให้อิ่มกายสบายใจยิ่งนัก และด้วยบรรยากาศอันชวนฝันเช่นนี้มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะหยิบโปสการ์ดที่ เตรียมมาบรรจงเขียนถึงคนรู้ใจที่อยู่ห่างไกล พร้อมกับหวังว่าผู้รับจะสามารถรู้สึกได้ถึงความคิดถึงที่ส่งมาพร้อมกับ แสตมป์ที่ประทับตรา Top of Europe ที่สุดแสนจะเก่ไก๋

ครั้นอิ่มหนำสำราญฉันออกไปดื่มด่ำกับบรรยากาศนอกสถานีอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะอำลาสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป เดินทางกลับลงมาสู่สถานีรถไฟไคล์เน่ ไชเดค (Kleine Scheidegg) ที่ตั้งอยู่เชิงผา Eiger North Wall

สถานีรถไฟไคล์เน่ ไชเดค ถือเป็นสถานีสำคัญ เพราะที่นี่เป็นจุดเปลี่ยนจากรถไฟปกติเป็นรถไฟล้อเฟือง นอกจากนี้รอบๆสถานีก็ยังมีร้านอาหาร เกสต์เฮาส์ ท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามที่หากใครไปถูกช่วงถูกจังหวะก็จะได้ชมการฝึก เหยี่ยวในบริเวณนั้นอีกด้วย

ขากลับจากสถานีไคล์เน่ ไชเดค ฉันเลือกกลับในเส้นทางใหม่ โดยเลือกนั่งรถไฟสู่อีกเส้นทางเพื่อชมทิวทัศน์อันน่าสนใจรอบข้าง ก่อนที่รถไฟขบวนนั้นจะวกกลับไปยังเมืองกรินเดิ้ลวาล (Grindelwald)ดังเช่นขามา

นักท่องเที่ยวออกมาสัมผัสหิมะขาวโพลน
และอากาศอันพิสุทธิ์บนยอดเขายุงค์ฟราว(บริเวณยุงค์ฟราวยอร์ค)


ที่เมืองกรินเดิ้ลวาล หากใครที่มีเวลาเหลือ และเป็นคนที่ชอบความท้าทาย ไม่กลัวความสูง น่าจะลองใช้บริการนั่งกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาเฟียส (First) เพื่อชมทิวทัศน์อันงดงาม ก่อนที่จะไปถึงยังยอดเขาเฟียสที่ข้างบนน่ายลไปด้วย ทิวทัศน์ของขุนเขาและหน้าผาสูงชันอันงดงาม ท่ามกลางสายลมบริสุทธิ์และกลิ่นหอมของทุ่งหญ้าสีเขียวสด

นอกจากนี้จากจุดสูงสุดที่ยอดเขาเฟียสยังมีเส้นทางเดินเท้ายอดนิยม ซึ่งเป็นทางเดินเท้าแบบสบายๆประมาณหนึ่งชั่วโมงไปยังจุดชมวิวที่นอกจะได้ เห็นทิวทัศน์อันเวิ้งว้างงดงามของหุบเขาเฟียสแล้ว ที่นี่ยังมี "ทะเลสาบบัคอับบ์" (Bachalpsee) อันสวยงามที่มีน้ำใสแจ๋วราวกระจกรอให้คนถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก และเอาไว้อวดคนไม่เคยมาให้แปลกใจว่าบนภูเขาสูงชันขนาดนี้ยังมีโอเอซิสคือ ทะเลสาบบัคอับบ์อยู่อีกด้วย

จากเมืองกรินเดิ้ลวาลฉันกลับมายังเมืองอินเทอร์ลาเก้น (Interlaken) อีกครั้ง ซึ่งเมืองนี้ถือเป็นทางผ่านสำคัญของการเดินทางทุกเส้นทางสู่เทือกเขายุงค์ฟราว

นั่งกระเช้าชมทิวทัศน์ขึ้นสู่ยอดเขาเฟียส
หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจที่เมืองกรินเดิ้ลวาล

เมืองอินเทอร์ลาเก้นเป็นเมืองเล็กและสงบ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบThun และทะเลสาบ Brienz ซึ่งหากใครไปเดินที่สวนสาธารณะกลางใจเมืองก็มองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาไอ เกอร์(Eiger) , เมิ้นส(Mönch) และ ยุงค์ฟราว (Jungfrau) ได้อย่างถนัดตา

หรือใครจะชวนกันไปนั่งรถม้ากินลมชมวิวรอบเมืองก็นับว่าได้บรรยากาศดี ไม่น้อย ส่วนใครที่ชอบช้อปที่เมืองอินเทอร์ลาเก้นมีร้านสินค้าแบรนด์ดังทั้งแฟชั่น และนาฬิกาสุดหรูให้เลือกช้อปสำหรับคนกระเป๋าหนัก เพราะสินค้าส่วนใหญ่หากคิดเป็นเงินไทยก็ราคามากโขเอาการอยู่ งานนี้ฉันจึงขอเลือกเดินชมเป็นอาหารตาพอ

สำหรับอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจในเมืองอินเทอร์ลาเก้น ก็คือจุดชมวิวมุมสูงของสามขุนเขา ที่บนนั้นจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์อันงดงามของขุนเขา 3 ลูก พร้อมด้วยทะเลสาบสีเขียวที่ล้อมด้วยป่าสนสูงชะลูด ซึ่งดูแล้วงดงามราวภาพฝัน

ช็อกโกแลตของฝากชั้นดีที่ร้านชูส์ส

ก่อนอำลาสวิตเซอร์แลนด์ดินแดนในฝันสู่เมืองไทย ฉันไม่ลืมที่จะเลือกซื้อของฝากให้กับคนไกลในเมืองไทย ซึ่งของฝากอันขึ้นชื่อของสวิสนั้นก็คือ 'ช็อกโกแลต' ซึ่ง หากใครจะเลือกช็อกโกแลตทั่วไปเป็นของฝากก็ลองไปดูได้ในซุปเปอร์มาเก็ต แต่หากว่าจะเลือกซื้อช็อกโกแลตพรีเมี่ยมหรือช็อกโกแลตโฮมเมดแบบgourmet ให้คนพิเศษอย่างฉัน

ขอแนะนำว่าน่าลองไปยังร้านชูส์ส (Schuh) ที่ Höheweg 56 ซึ่งร้านนี้ไม่เพียงมีช็อกโกแลตชั้นดีให้เลือกซื้อ แต่ว่ายังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้หัดทำช็อกโกแลตอีกด้วย งานนี้ฉันจึงถือโอกาสทดลองทำช็อกโกแลตฝีมือตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่จะเลือกซื้อช็อกโกแลตชั้นดีกลับไปฝากคนรู้ใจ ส่วนจะเป็นใครนั้น บอกไม่ได้จริงๆ...อิ อิ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้ภาษาพูดหลายภาษาขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ ได้แก่ ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศล อิตาเลียน อังกฤษ แต่ไม่ได้เป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปจึงไม่ใช้เงินยูโร แต่ว่าใช้เงินสกุลสวิสฟรังก์ (Swiss Francs)

สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศภูมิประเทศสวยงามและอากาศดี เดือนก.ค.-ส.ค. มีอุณหภูมิ 18 - 27 องศาเซลเซียส เดือนม.ค.-ก.พ. มีอุณหภูมิประมาณ ลบ1 - 5 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูในไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ช่วงกลางวันมีอุณหภูมิประมาณ 8 - 15 องศา และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศในแต่ละวันมีอยู่ตลอดเวลา การไปเที่ยวสวิสจึงควรนำเสื้อกันหนาวหนาๆติดตัวไปด้วย

สำหรับการเดินทางจากเมืองไทยสู่สวิตเซอร์แลนด์ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สายการบินสวิส โทร.0-2504-2754-6

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2548

นั่งรถไฟสู่ฟากฟ้าที่"สวิตเซอร์แลนด์"แดนฝัน (1)

โดย : นันทสินี หมวดมณี
คอลัมน์ท่องเที่ยว @ผู้จัดการ


ขบวนรถไฟค่อยๆแล่นไต่ขึ้นสู่หลังคายุโรป
"สวิตเซอร์แลนด์" คือดินแดนที่ฉันใฝ่ฝันมานานแสนนานแล้วว่า ถ้ามีโอกาสสักครั่งในชีวิตต้องเดินทางไปยังประเทศนี้ให้ได้

ครั้นเมื่อความเป็นจริงขึ้นมาฉันไม่รีรอที่จะเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า แล้วนั่งเครื่องบินของสวิสแอร์มุ่งสู่สวิสในทันที

จากกรุงเทพฯใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงเครื่องบินก็ร่อนลงจอดยัง สนามบินซูริค จากจุดนี้ฉันเลือกต่อรถเพื่อจะไปขึ้นรถไฟที่เมืองอินเทอร์ลาเก้น (Interlaken) โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การตะลอนนั่งรถไฟสู่สถานีที่เรียกได้ว่า"สูงสุดของทวีปยุโรป"


เมื่อขึ้นรถไฟได้เสร็จสรรพ รถไฟขบวนไม่ด่วนนักก็แล่นเรื่อย ๆไต่ไปตามระดับไหล่เขา ซึ่งฉันอดตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพสองข้างทางที่เห็นไม่ได้

บางช่วงที่รถไฟแล่นจะมีการแวะพักเพื่อให้ผู้โดยสารที่ร่วมทางมาด้วย กันได้ปรับร่างกายให้คุ้นเคย เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายก่อนที่จะแล่นไปถึงยังเขา"ยุงค์ฟราว" (Jungfrau) หรือ"เขาแห่งสาวบริสุทธิ์"

ใช่แล้ว....รถไฟขบวนนี้แหละที่จะพาฉันโลดแล่นไปยังสถานีรถไฟสูงสุด ของทวีปยุโรป ที่หลายๆคนฝันว่าจากจุดนั้นเมื่อเอื้อมมือออกไปก็จะได้สัมผัสกับปุยเมฆขาว ละมุนละไมบนท้องฟ้า

ฉันก็ฝันเช่นนั้นเหมือนกัน...

จากทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ไคล์เน่ฯ
เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นเทือกเขายุงค์ฟราวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า


จากสถานีในเมืองอินเทอร์ลาเก้นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ขบวนรถไฟค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆยังหลังคายุโรป (Top of Europe) ซึ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้ดูไม่ใคร่วุ่นวายนัก ผิดแผกไปจากช่วงฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมเดินทางมาเที่ยวใน เส้นทางสายนี้กันอย่างคับคั่ง ในทริปนี้ฉันจึงเที่ยวได้อย่างสบายเพราะไม่ต้องเร่งรีบไปแย่งกิน แย่งเที่ยว และแย่งถ่ายรูปกับใคร

รถไฟยังคงแล่นไปอย่างเอื่อยๆในขบวนรถที่ปรับอากาศไว้ค่อนข้างอุ่น สบาย และต้องถือเป็นโชคดีของฉันที่ได้นั่งเบาะเดี่ยวนุ่มสบายริมหน้าต่างที่มีวิว สวยจับใจให้ชม โดยช่วงที่รถไฟขบวนยาวแล่นเลื้อยเลาะผ่านหมู่บ้าน ฉันเห็นต้นแอปเปิ้ลในสวนข้างบ้านหลายหลังกำลังออกลูกสีอมแดงดอกเต็มต้น ส่วนตามทุ่งหญ้าข้างทางก็ชวนมองไปด้วยบรรดาสัตว์ที่เดินและเล็มหญ้าหากิน อย่างเพลิดเพลิน นอกจากนี้บางช่วงของเส้นทางยังมีหมู่บ้านที่สร้างลาดเอียงไปตามองศาของภูเขา ที่สูงชันขึ้นเรื่อยๆ

ภาพต่างๆเหล่านี้ที่ผ่านสายตาช่างสร้างความเพลิดเพลินให้กับคนในประเทศเขตร้อนอย่างฉันยิ่งนัก

ฟากฟ้าอยู่แค่เอื้อมที่ยุงค์ฟราวยอร์ค


จากสถานีเมืองอินเทอร์ลาเก้น รถไฟใช้เวลาวิ่งประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็มาจอดให้เราเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนที่กรินเดิ้ลวาล (Grindelwald) ก่อนที่จะไปหยุดตรงสถานีต้นทางที่ไคล์เน่ ไชเดค (Kleine Scheidegg) เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟล้อเฟืองเดินทางจากไคล์เน่ฯที่มีความสูง 2,061 เมตร

รถไฟขบวนใหม่ค่อยๆไต่ระดับความสูงขึ้นไปมากขึ้นเรื่อยๆในเส้นทางสู่ หลังคายุโรปยาว 12 กิโลเมตร จากไคล์เน่ฯ ไปจนถึง Eiger Glacier แล้วแล่นไต่ไปตามไหล่เขาอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จากนั้นจึงๆค่อยมุดเข้าไปอุโมงค์บนเขาก่อนจะหยุดพักประมาณ 5 นาทีเพื่อให้ผู้โดยสารได้ปรับร่างกายอีกครั้งเพื่อให้ชินกับระดับความสูงที่ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้จอดชมวิวอีก 2 จุดคือที่สถานีไอเกอร์วาน (Eigerwald) ซึ่งสูงราว 2,865 เมตร ณ บริเวณนี้หากวันไหนอากาศดีจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของ Grindelwald, Kleine Scheidegg, Interlaken และทะเลสาปทูน(Thun)ได้อย่างชัดเจน

จากนั้นรถไฟแล่นไปจอดอีกครั้งที่สถานีไอเมียร์ (Eimeer) ที่มีความสูง 3,160 เมตร สำหรับที่บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและโขดหิน ก่อนที่รถไฟจะเชิดหน้าแล่นต่อไปยังสถานีที่ใกล้กับท้องฟ้ามากที่สุดนั่น ก์คือ ยุงค์ฟราวยอร์ค(Jungfraujoch) ซึ่งมีความสูงถึง 3,454 เมตร

ยุงค์ฟราวยอร์คได้ชื่อว่าเป็นสถานีหลังคายุโรป เพราะเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในทวีป โดยผู้บุกเบิกการสร้างสถานีรถไฟยุงค์ฟราวเป็นชาวสวิสชื่อ"อดอฟฟ์ กูยเยอร์-เซลเลอร์"(Adolf Guyer-Zeller : พ.ศ. 2439 – 2455)

อดอฟฟ์ กูยเยอร์ ชายคนนี้ถือว่ามีชื่อเสียงในเรื่องการสร้างรถไฟอยู่แล้วและว่ากันว่าเขาเป็น ผู้ที่มีไอเดียกระฉูดเป็นอย่างยิ่ง โดยก่อนที่จะสร้างสถานีรถไฟสูงเสียดฟ้า อดอฟฟ์กับลูกสาวได้ออกสำรวจไปรอบ ๆ บริเวณเทือกเขายุงค์ฟราว (Jungfrau) และในระหว่างที่หยุดพัก จู่ๆเขาก็ได้พูดออกมาว่า "นึกออกแล้ว" ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เมื่อกลับไปถึงโรงแรม อดอฟฟ์ก็ใช้เวลาทั้งคืนวาดแบบความคิดให้กลายออกมาเป็นโครงการรถไฟสู่ฟากฟ้า

บ้านเรือนตามไหล่เขาแถบกรินเดิ้ลวาล


แต่ว่าการที่จะสร้างเส้นทางรถไฟสู่ฟากฟ้าเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้วไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะในช่วงเวลานั้นไม่มีเทคโนโลยีชั้นสูงใดๆช่วยทุนแรงในการก่อสร้างอย่าง เช่นปัจจุบัน ทำให้โครงการนี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานถึง 16 ปี

โดยในช่วงเริ่มต้นก่อสร้างในปี พ.ศ. 2439 ช่างก่อสร้างหลายร้อยคนต้องตั้งแคมป์พักแรมบนภูเขา และเปลี่ยนเวรกันทำงานตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับธรณีวิทยา สภาพคล่องทางการเงิน อุบัติเหตุในอุโมงค์ และปัญหาในกลุ่มคนงานด้วยกัน รวมถึงปัญหาเรื่องทุนในการก่อสร้างที่แม้ว่าจะตั้งไว้สูงถึง 15 ล้านฟรังค์แต่ว่าก็ไม่พอ

แต่ถึงอย่างไรปัญหาที่รุมเร้าก็ไม่ได้ทำให้โครงการต้องยุติลง เพราะสุดท้ายแล้วเส้นทางรถไฟสู่ฟากฟ้าและสถานีรถไฟหลังคายุโรปก็สร้างเสร็จ สมบูรณ์ และสามาถเปิดบริการเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2455 ซึ่งตรงกับวันชาติของสวิตเซอร์แลนด์พอดี

เรียกว่านายอดอฟฟ์ กูยเยอร์ สามารถสร้างผันของเขาให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ส่วนฉันการได้นั่งรถไฟจากพื้นดินไต่เรื่อยๆไปสู่ฟากฟ้าก็เสมือนว่ากำลังเดิน ทางอยู่ในความฝันยังไงยังงั้น แต่ว่าเมื่อลองหยิกตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บก็ทำให้ฉันได้พบว่า การเดินทางสู่ฟากฟ้านี้นับเป็น"ฝันที่เป็นจริง" ซึ่งอยากที่ฉันจะลืมเลือนได้...(อ่านเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจของหลังคายุโรปต่อในตอนหน้า)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้ภาษาพูดหลายภาษาขึ้นอยู่กับภูมิประเทศ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส อิตาเลียน อังกฤษ เยอรมัน แต่ไม่ได้เป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปจึงไม่ใช้เงินยูโร แต่ว่าใช้เงินสกุลสวิสฟรังก์ (Swiss Francs)

สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศภูมิประเทศสวยงามและอากาศดี เดือนก.ค.-ส.ค. มีอุณหภูมิ 18 - 27 องศาเซลเซียส เดือนม.ค.-ก.พ. มีอุณหภูมิประมาณ ลบ1 - 5 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูในไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ช่วงกลางวันมีอุณหภูมิประมาณ 8 - 15 องศา และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศในแต่ละวันมีอยู่ตลอดเวลา การไปเที่ยวสวิสจึงควรนำเสื้อกันหนาวหนาๆติดตัวไปด้วย

สำหรับการเดินทางจากเมืองไทยสู่สวิตเซอร์แลนด์ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สายการบินสวิส โทร.0-2504-2754-6

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2548

ออสเตรเลีย(Australia)

ออสเตรเลียมีชื่อทางการว่า สหพันธรัฐออสเตรเลีย มีประชากรประมาณ 18.75 ล้านคน1 ใน 5 ของชาวออสเตรเลียอพยพมาจากประเทศในแถบเอเซีย ยุโรป อังกฤษ และอเมริกา ทำให้ออสเตรเลียเป็นสังคมที่มีหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม

ออสเตรเลียตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย ลักษณะเป็นเกาะตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ออสเตรเลียเป็นทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกด้วยพื้นที่ขนาดกว่า 7 ล้านตารางกิโลเมตร ออสเตรเลียปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธ์ เป็นรัฐอธิปไตยในเครือจักรภพ (Commonwealth) มีสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชอาณาจักรอังกฤษเป็นประมุข
พื้นที่ของเกาะมีประมาณ 7.6 ล้าน ตารางกิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลที่งดงาม ชายหาดขาวสะอาด มีป่าดงดิบและป่าชื้นเขตร้อนที่ยังคงความสมบูรณ์ และเป็นธรรมชาติที่สุดแห่งหนึ่ง พื้นที่ของประเทศมีทั้งแห้งแล้งและอุดมสมบูรณ์ ประมาณหนึ่งในสามเป็นทะเลทราย แต่พื้นที่แถบชายฝั่งด้านตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐออสเตรเลียตะวันตก และรัฐทัสเมเนียมีความอุดมสมบูรณ์มาก ฝนตกชุก ที่นี่มีสัตว์และพืชรวมทั้งดอกไม้ป่าหลายชนิดที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในดินแดน อื่น เช่น จิงโจ้ โคอะล่า วอมแบต ดิงโก้ พอสซั่ม ตุ่นปากเป็ด และตัวกินมด

ประเทศออสเตรเลียแบ่ง ออกเป็น 6 รัฐ และ 2 ดินแดน
รัฐนิวเซาท์เวลล์ (New South Wales)
มีเมืองหลวงคือซิดนีย์ Sydney คือ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นมากนักศึกษานิยมไปศีกษามากที่สุด เพราะเป็นนครเก่าแก่และใหญ่ที่สุดจึงทำให้เป็นเมืองที่คึกคักและ มีชีวิตชีวาคล้ายๆกับกรุงเทพของเรา สัญลักษณ์ที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีคือ Opera House และสะพานข้ามอ่าวซิดนีย์ Sydney Harbour Bridge ถ้าใครไม่เคยถ่ายรูปกับที่นี่แสดงว่ายังไปไม่ถึง

มณฑลนครหลวงของออสเตรเลีย (Australian Capital Territory)
มีเมืองหลวงคือแคนเบอร์รา Canberra ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศด้วยมีหลายคนเข้าใจผิดว่าเมืองหลวงคือ Sydney หรือ Melbourneต้องเปลี่ยนความเข้าใจนะคะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐนิวเซาธ์เวลส์ ใช้เวลาในการเดินทาง โดยรถยนต์ จากตัวเมืองซิดนีย์ ประมาณ 3 ชั่วโมง

รัฐวิคตอเรียน (Victoria)
มีเมืองหลวงคือเมลเบิร์น Melbourne ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลนครหลวงของออสเตรเลีย เป็นรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลียเป็นเมืองที่น่าอยู่เมือง หนึ่งในออสเตรเลียเนื่องจากมีสวนสาธารณะมากมายรัฐนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น Garden State ผู้คนค่อนข้างเป็นมิตร เมืองสะอาดมาก นอกจากนี้ยังเป็นเป็นศูนย์กลางที่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปวัฒนธรรม การเงิน และการคมนาคมเนื่องจากมีท่าอากาศยานนานาชาติ ท่าเรือโดยสารและขนส่ง และทางรถไฟเชื่อมระหว่างรัฐใกล้เคียงต่างๆ นับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่มากเลยทีเดียว

เซาท์ออสเตรเลีย (South Australia)
มีเมืองหลวงคือ อาดิเลด Adelaide ตั้งอยู่ทางออสเตรเลียตอนใต้ของประเทศ เป็นเมืองที่รู้จักกันในฐานะของเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม

เวสเทอร์นออสเตรเลีย (Western Australia)
มีเมืองหลวงคือ เพิร์ธ Perth เป็นรัฐที่มีการทำเหมืองแร่เป็นอุตสาหกรรมหลัก สมบูรณ์ด้วยเหมืองแร่ และแร่ทองคำ และอยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดด้วยเวลาบินเพียง 6 ชั่วโมงหากใครชอบความเงียบ เรียบง่ายก็ขอแนะนำคะ

รัฐควีนส์แลนด์ (Queensland)
มีเมืองหลวงคือ บริสเบน Brisbane เป็นเมืองที่มีสีสันน่ารัก สบายๆถ้านักเรียนไม่ชอบผู้คนหนาแน่นและชอบชายหาดเมืองนี้ก็ไม่ควรพลาดนะคะ รัฐนี้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นรัฐแห่งแสงแดดมีแสงแดดตลอดทั้งปี มีสถานที่ตากอากาศมากมาย หรือที่รู้จักกันว่า โกลด์โคสต์ Gold Coast และถ้าห่างจากเมืองบริสเบนไปทางเหนือประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นซัน ชายน์โคสต์ Sunshine coast ซึ่งมีชายหาดและที่พักเป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน

มณฑลตอนเหนือ (Northern Territory)
มีเมืองหลวงชื่อ ดาร์วินเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมืองเมืองอะบอริจิน เป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบและสบายๆ ท่ามกลางศูนย์เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ไกลจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ปาปัวนีกินี และสิงคโปร์ ดาร์วินจึงเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันรวมกันอยู่

ทัสมาเนีย (Tasmania)
มีเมืองหลวงชื่อ โฮบาร์ต Hobart เป็นเกาะทางตอนใต้ของผืนแผ่นดินประเทศออสเตรเลีย เป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดและได้รับการขนานนามว่า “สวิสเซอร์แลนด์ของออสเตรเลีย” เนื่องจากอากาศที่เย็นตลอดปี และมีทิวทัศน์อันสวยงาม ค่าครองชีพและค่าเล่าเรียนของรัฐนี้ไม่สูงมากนัก ภูมิประเทศโดยมากจะเป็นภูเขา และการเดินป่าตลอดจน กิจกรรมสันทนาการกลางแจ้งจะเป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมาก

สภาพภูมิอากาศ
ออสเตรเลียแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ สภาพอากาศทั่วไปจะเป็นแบบเขตร้อนจนถึงเขตอบอุ่น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดที่ทัสมาเนีย ประมาณ 0-12องศาเซลเซียส และร้อนสุดที่มณฑลตอนเหนือประมาณ 33-34องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน : เดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์
ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม
ฤดูหนาว : เดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม
ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนกันยายน – เดือนพฤศจิกายน


การปกครอง
รัฐบาลสหพันธรัฐรับผิดชอบกิจการระดับประเทศ เช่นการป้องกันประเทศ การต่างประเทศ ส่วนรัฐบาลในระดับรัฐ ดูแลด้านการศึกษาการคมนาคม ขนส่ง การบริหารสาธารณสุข การเกษตร การรักษากฎหมายภายในรัฐของตน และรัฐบาลระดับท้องถิ่น ดูแลสาธารณูปโภค การระบายน้ำ การขจัดของเสีย สวนสาธารณะ ห้องสมุดประชาชน

ศาสนา
ประเทศออสเตรเลียให้เสรีภาพ ในการนับถือศาสนาต่างๆ โดยเราจะเห็นว่า ในเมืองสำคัญ ๆ ส่วนมาก จะมีโบสถ์ สุเหร่า วัดและ สถานที่ประกอบศาสนา

เวลาเนื่องจากประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ จึงแบ่งเวลาออกเป็น 3 เขตเวลา (Time Zone) ตามเส้นแบ่งของโลก คือ

• เวลาภาคตะวันตก (Western Standard Time)
จะใช้ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียโดยเวลาจะเร็วกว่าในประเทศไทย 1 ชั่วโมง
• เวลาภาคกลาง (Central Standard Time-CST) จะใช้ในมณฑลตอนเหนือ และรัฐเซาธ์ออสเตรเลีย โดยเวลาจะเร็วกว่าในประเทศไทย 2 ชั่วโมงครึ่ง
• เวลาฝั่งตะวันตก (Eastern Standard Time-EST) จะใช้ในรัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาธ์เวลส์ รัฐวิคตอเรีย รัฐแทสมาเนีย และเมืองแคนเบอร์รา โดยเวลาจะเร็วกว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง

Daylight Saving ในช่วงฤดูร้อน ประเทศออสเตรเลียจะมีเวลาในช่วงกลางวันยาวนานกว่าในช่วงกลางคืน ดังนั้น ในรัฐ Victoria , New South Wales , South Australia และ Tasmania จึงมีการปรับเวลาให้เร็วขึ้นจากเดิมอีก 1 ชั่วโมง ในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงมีนาคม

สกุลเงินตรา
หน่วยเงินตราของประเทศออสเตรเลียคือ ดอลลาร์ (1 ดอลลาร์เท่ากับ 100 เซ็นต์) ค่าเงินต่าง ๆ แบ่งได้ดังนี้

• เหรียญสีเงิน 5 เซ็นต์, 10 เซ็นต์, 20 เซ็นต์, 50 เซ็นต์
• เหรียญสีทอง 1 ดอลลาร์, 2 ดอลลาร์
• ธนบัตร 5 ดอลลาร์, 10 ดอลลาร์, 20 ดอลลาร์, 50 ดอลลาร์, 100 ดอลลาร์


โทรศัพท์
มีความสะดวกสบายมากคะสำหรับการติดต่อสื่อสารมีระบบโทรศัพท์มือถือให้เลือก หลายค่ายโดยน้องๆสามารถนำเครื่องไปจากเมืองไทยและซื้อ Sim Card และสามารถเติมเงินได้ตาม ศูนย์บริการ หรือ ร้านสะดวกอัตราค่าบริการประมาณนาทีละ 40 เซ็นต์ ระบบที่นิยมมี Optus, Vodafone และ Telstra
หรือในการโทรกลับประเทศไทยน้องๆสามารถหาซื้อบัตรโทรศัพท์ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านไทยหรือซูเปอร์มาร์เก็ต หรือสามารถหาซื้อได้ตามอินเตอร์เน็ต ของชาวเอเชียในราคา 10 เหรียญสามารถโทรได้นานถึง 2 ชั่วโมง

ไฟฟ้า
สำหรับกระแสไฟทางประเทศออสเตรเลียใช้กระแสไฟฟ้า 220-240 โวลต์ (V) แต่ใช้ปลั๊กไฟแบบสามขาฉะนั้นอย่าลืมว่า ต้องนำปลั๊กต่อไปด้วย และถ้าหากจะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศไทยต้องใช้ Adapter ในการแปลงกระแสไฟฟ้า ให้เป็นระบบเดียวกับกระแสไฟฟ้าซึ่งสามารถหาซื้อ Adapter ได้ทั้งในประเทศไทย

ประปา น้ำประปาสะอาด สามารถใช้สำหรับดื่มได้

ไม่คิดตังค์

เด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่และส่ง
กระดาษให้ หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน
แล้วเธอก็ก้มลงอ่าน

-ค่าตัดหญ้า 5.00 เหรียญ
-ค่าทำความสะอาดห้องของผมอาทิตย์นี้ 1.00 เหรียญ
-ค่าไปซื้อของให้แม่ 0.50 เหรียญ
-ค่าดูแลน้องชาย 0.25 เหรียญ
-ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 เหรียญ
-ค่าได้คะแนนดี (เรียนเก่ง) 5.00 เหรียญ
-ค่าทำความสะอาดและกวาดสนาม 2.00 เหรียญ
รวมค้างชำระ 14.75 เหรียญ :)

แม่มองลูกชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างคาดหวัง
เธอหยิบปากกาขึ้นมา พลิกกระดาษไปด้านหลังแล้วเขียนว่า:

-เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน
-วันที่แม่นั่งกับลูก ดูแลลูก และสวดมนต์ให้ลูก ไม่คิดเงิน
-ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตามาเป็นปีๆ ไม่คิดเงิน
-หลายคืนที่มีความหวาดระแวงกับ
ความกังวลที่แม่รู้ว่ารออยู่ข้างหน้า ไม่คิดเงิน
-ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
และเมื่อลูกรวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน
จะเป็นราคาเต็มของความรักที่แท้จริง ไม่คิดเงินเหมือนกันจ๊ะ

เมื่อลูกชายตัวน้อยอ่านสิ่งแม่เขียน น้ำใสๆ หยดใหญ่ๆ
ก็ไหลออกมา เขาสบตาแม่และพูดว่า
"แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆครับ"

แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตๆว่า จ่ายหมดแล้ว

เอ็ม อดัมส์

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2548

น้ำเชื่อม

  • น้ำเชื่อม (Simple Syrup)
  • น้ำเชื่อม (Fruit Syrup)
น้ำเชื่อม (Simple Syrup)
... น้ำเชื่อมส่วนใหญ่จะใช้ผสมเครื่องดื่มเพื่อให้มีความหวาน โดยแต่ละห้องอาหารมักจะทำขึ้นมาเอง ซึ่งอาจใช้ผสมเครื่องดื่มสำเร็จก่อนเสิร์ฟ หรือนำไปให้แขกผสมเองตามความชอบของแต่ละคนก็ได้ เช่นน้ำมะนาว ชาดำเย็น หรือโอเลี้ยง

น้ำเชื่อมผลไม้(Fruit Syrup)
...เป็นน้ำเชื่อมที่ปรุงสีกลิ่นรสชาติจากผลไม้ต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำมาปรุงเครื่องดื่มต่าง ๆ ให้มีสี กลิ่น รสชาติที่หลากหลาย ส่วนใหญ่บรรจุขวดจำหน่าย ซึ่งมีทั้งที่ทำในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น Grenadine ทำจากทับทิม Cassis ทำจากแบล๊กเคอร์แรนต์ (Black Currant) Lime ทำจากมะนาว Orange ทำจากส้ม Ceris ทำจากเชอรี่ Frais ทำจากสตรอว์เบอร์รี่ Orgeats ทำจากเมล็ดแอลมอนด์ Framboise ทำจากราสเบอร์รี่ และ Citronelle ทำจากมะนาว

สหราชอาณาจักร (United Kingdom)

ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของทวีปยุโรป พื้นที่ของประเทศประกอบด้วยพื้นที่เกาะ 2 คือ (Great Britain) เกาะใหญ่ของอังกฤษ ที่ได้รวบรวมอาณาเขตของอังกฤษ(England) เวลส์(wales) และสก็อตแลนด์(Scotland) ไว้ด้วยกัน และเกาะไอร์แลนด์เหนือ(Northern Ireland) พื้นที่โดยรวมของประเทศประมาณ 240,000 ตาราง โดยมีเมืองลอนดอน(London) เป็นเมืองหลวง ประเทศอังกฤษหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาชาวต่างชาติ เช่น ชาวยุโรป จีน เกาหลี ไต้หวัน และไทย ในการศึกษาต่อต่างประเทศ อันเนื่องมาจากภูมิประเทศที่สวยงาม มีความเจริญด้านวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เป็นแหล่งแฟชั่นของโลก และมีคุณภาพทางการศึกษาระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ เป็นแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งมีพระบรมราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เป็นประมุขของประเทศ

สภาพภูมิอากาศ
เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของประเทศอังกฤษจัดอยู่ในประเทศเป็นเกาะ จึงมีอากาศเปลี่ยนแปลงมาก
สาเหตุเนื่องจากกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นไหลผ่าน ทำให้เกิดหมอกหนาแน่นปกคลุมในบางครั้ง โดยส่วนใหญ่แล้วสภาพภูมิอากาศทางตอนเหนือจะหนาวมากกว่าทางตอนใต้ และทางภาคตะวันตกจะมีฝนชุ่มกว่าทางภาคตะวันออก เดือนที่ฝนตกน้อยคือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฏาคม อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนมกราคม 4 องศาเซลเซียส และสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 18 องศาเซลเซียส ประเทศอังกฤษประกอบด้วย 4 ฤดูกาล
  • ฤดูใบไม้ผลิ : อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม อากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อย
  • ฤดูร้อน : อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม อากาศส่วนใหญ่จะอบอุ่นและแสงแดดจัดจ้า
  • ฤดูใบไม้ร่วง : อยู่ในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน อากาศจะเย็นขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีสวยงามและร่วงหล่น
  • ฤดูหนาว : อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมากที่สุด หิมะตกในบางพื้นที่ กลางคืนจะยาวกว่ากลางวัน และจะมืดเร็วกว่าปกติ

เวลา
เวลาในประเทศอังกฤษจะช้ากว่าบ้านเราอยู่ประมาณ 6 ชั่วโมงในช่วงปลายเดือนมีนาคม – ปลายเดือนตุลาคม อย่างเช่นบ้านเราตอนเที่ยงอังกฤษจะ 6 โมงเช้า และจะช้ากว่าบ้านเรา 7 ชั่วโมงในเดือนตุลาคม – ต้นเดือนมีนาคมอย่างเช่นบ้านเราตอนเที่ยงอังกฤษจะ 7 โมงเช้า

สกุลเงินตรา
อังกฤษ ใช้หน่วยหน่วยเงินตราเป็นปอนด์ (GBP) โดยแบ่งค่าเงินต่าง ๆได้ดังนี้

• ธนบัตรประเทศอังกฤษ มีมูลค่า 5,10, 20 และ 50 ปอนด์
• ส่วนเหรียญแบ่งออกเป็น 8 ชนิด คือ 2 และ 1 ปอนด์ และ 50, 20, 10, 5, 2 และ 1 เพนนี

ธนาคาร
ธนาคารในอังกฤษจะเปิดทำการเวลา 09:00 – 16:30 ในวันจันทร์ - วันศุกร์ และบางแห่งอาจเปิดทำการในช่วงเช้าของวันเสาร์ด้วย ในการขอเปิดบัญชีนั้น น้องๆ ต้องใช้เอกสารในการเปิด คือ หนังสือเดินทาง จดหมายรับรองการเข้าศึกษาจากสถาบัน เอกสารแสดงที่อยู่ในประเทศอังกฤษ บางแห่งอาจขอเอกสารทางด้านการเงินในประเทศไทยของผู้สนับสนุนด้านการเงินของนักศึกษา โดยบางครั้งน้อง ๆ สามารถเบิกเงินเกินบัญชีได้คะ ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่จะไม่คิดดอกเบี้ยคะ

โทรศัพท์
การติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศอังกฤษกับบ้านเรา ปัจจุบันนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย รวดเร็วและถูก น้องสามาถโทรศัพท์กลับบ้านเราได้ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะคะ ซึ่งมีทั้งแบบหยอดเหรียญ และแบบใช้บัตรโดยมีทั้งแบบบัตรโทรศัพท์และบัตรเครดิต บัตรโทรศัพท์สามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ไปรษณีย์ ราคามีตั้งแต่ 2 ปอนด์ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ และ 20 ปอนด์คะ สำหรับน้อง ๆ ที่ไปเรียนในระยะยาวอาจจะซื้อโทรศัพท์มือถือใช้ก็ได้ ซึ่งราคาและรูปแบบการให้บริการจะใกล้เคียงกับบ้านเราคะ หรือน้อง ๆ อาจจะเอาโทรศัพท์มือถือไปจากบ้านเราก็ได้คะ แล้วไปหาซื้อ sim ที่นั้นคะ

ไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าของประเทศอังกฤษที่ใช้คือระบบ 240V.AC50 Hz เหมือนประเทศไทย แตกต่างกันในลักษณะของปลั๊กไฟ ซึ่งจะเป็นปลั๊กไฟฟ้าแบบ 3 ขา ถ้านำเครื่องใช้ไฟฟ้าไปจากประเทศไทย นักเรียนต้องใช้ตัวเสียบปลั๊กไฟฟ้าชนิดที่มี 3 ขาติดตัวไปด้วย

ศาสนา
ประเทศอังกฤษให้เสรีภาพ ในการนับถือศาสนาต่างๆ โดยเราจะเห็นว่า ในเมืองสำคัญ ๆ ส่วนมาก จะมีโบสถ์ สุเหร่า วัดและ สถานที่ประกอบศาสนาสำหรับนักเรียนทุกคน ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหน นับถือศาสนาอะไร

การประกันสุขภาพสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
นักเรียนต่างชาติที่ลงทะเบียนเต็มเวลาตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจะได้รับสิทธิหรือได้รับการรักษาฟรีจาก National Health Service (NHS) โดยนักเรียนจะต้องลงทะเบียนเพื่อมีแพทย์ประจำตัวซึ่งควรจะทำทันทีที่เดินทาง ไปถึงและเมื่อมีที่อยู่แน่นอน ซึ่งในโครงการนักเรียนจะได้รับการยกเว้นค่าบริการพบแพทย์แต่นักเรียนต้องรับ ผิดชอบค่ายาและค่าใบสั่งยาเองด้วย พร้อมกับในเรื่องทันตกรรม นักศึกษาสามารถมีสิทธิได้รับการรักษาผ่าน (NHS) โดยนักศึกษาจะต้องลงทะเบียนกับทันตแพทย์ แต่ทั้งนี้น้อง ๆ จะต้องตรวจสอบว่าแพทย์ท่านใดรับการรักษาคนไข้ของ NHS เนื้องจากแพทย์บางท่านไม่รับการรักษาที่ผ่านทางโครงการ (NHS)


สถานที่น่าสนใจ

กรุงลอนดอน ( London ) ซึ่งเป็นเมืองหลวงประเทศอังกฤษ เป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมและประเพณีในรูปแบบที่เคร่งครัด มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และยังเป็นศูนย์รวมของการช็อปปิ้งชั้นนำ

เมืองเคมบริดจ์ ( Cambridge ) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และพิพิธภัณฑ์

เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ( Oxford ) เป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอน

เมืองแคนเทอร์เบอร์รี่ ( Canterbury ) เป็นที่ตั้งของโบสถ์ที่มีความสำคัญ และเก่าแก่ที่สุดของประเทศอังกฤษ

เมืองบริสโทล ( Bristol ) เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตตะวันตกของประเทศอังกฤษ

เมืองบอร์นมัธ ( Bournemouth ) เป็นเมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียง

เมืองบาธ ( Bath ) เป็นเมืองตากอากาศที่มีมาตั้งแต่อาณาจักรโรมันโบราณที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศ

เมืองเบอร์มิ่งแฮม ( Birmingham ) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องดื่มและอาหาร เช่น ช็อกโกแลต ยี่ห้อ Canbury อีกทั้งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม และมหาวิทยาลัยแอสทั่น

เมืองแมนเชสเตอร์ ( Manchester ) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางดนตรี และการละครของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งของทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เมืองไบร์ทตันและโฮพว์ ( Brighton and Hove ) เป็นเมืองพักตากอากาศขนาดกลาง ซึ่งชาวอังกฤษจะใช้เวลาว่างพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์

0000000000000000000000

คุ่มือเลี้ยงแม่

แม่ เป็นภาระให้แก่ลูกทุกคนมาตั้งแต่เกิด นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจจะปฏิเสธได้ ก็ลองคิดดูสิ ตั้งแต่เราเกิดมา ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลย อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็มาโอบอุ้ม ถูกเนื้อต้องตัวเรา มิวายที่เราจะแหกปากร้องไห้ขับไล่ไสส่งยายผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน เธอก็ยังพยายามปลอบโยน เห่กล่อมเราอยู่นั่นแหละ เป็นภาระให้เราต้องจำใจเงียบ ยอมนอนดูดนมเธออยู่จั่บๆๆ

พอเราเริ่มเตาะแตะ ตั้งไข่จะเดินไปไหนต่อไหนมั่ง คุณเธอก็ยังคอยเรียกหาเราอยู่นั่นแหละ "มานี่มาลูก มานี่มา อีกนิดเดียวลูก อีกนิดเดียว อีกก้าวเดียว" ไม่รู้จะเรียกทำไมนักหนา ไอ้เราก็เดินล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นมั้ย เป็นภาระที่เราต้องเดินไปให้เธอกอดอีก

โตขึ้นมาอีกนิด เราเริ่มกินอาหารได้ หล่อนก็เอาอะไรนักหนาไม่รู้ เละๆ เทะๆ มาบดให้เรากิน ไอ้เราจะไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะน้อยใจ ก็เอาวะ เอาซะหน่อย เคี้ยวไปเเจ่บๆ อย่างนั้นแหละ แม่คุณก็ยิ้มปลื้ม คงนึกว่าเราอร่อยตายล่ะมั้งนั่นน่ะ กล้วยบดนะจ๊ะ เธอจ๋า ในปากฉันตอนนี้น่ะ ถ้าคิดว่ามันอร่อยขนาดนั้น ทำไมไม่ลองทานเองดูมั่งล่ะ

ทีนี้พอเราเริ่มพูดจารู้เรื่องขึ้นมาหน่อย คราวนี้ยังไงล่ะ ผู้หญิงคนนี้กลับขับไล่ไสส่งให้เราไปโรงเรียนซะอีก ไม่ไปก็ไม่ได้ด้วยนะ บางทีมีตีเราเข้าให้อีก ภาษาอะไรนักก็ไม่รู้ เอามาให้เราหัดอ่านหัดเรียนใช่มั้ย ลองคิดดูนะ สัปดาห์หนึ่งต้องไปโรงเรียนตั้งห้าวันน่ะ มันภาระหนักหนาแก่เราแค่ไหน แต่พอถึงเวลาเราจะดูทีวี ดูหนังการ์ตูน นอนดึกขึ้นมาสักหน่อย ลองนึกย้อนไปสิ ใครกันเคี่ยวเข็ญให้เราไปนอนด้วย ตัวเองง่วงจะนอนคนเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับให้เราไปนอนเป็นเพื่อนด้วย ใช่มั้ย

ที่พูดนี่ไม่ใช่ลำเลิกหรอกนะ เพียงแค่อยากให้เห็นใจกันบ้างเท่านั้น วันเวลาผ่านไป เราโตขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโตตามเราสักที ลูกอยากจะทำผมทำเผ้า แต่งเนื้อเเต่งตัวให้มันดูอินเทรนด์ ดูทันสมัย ใคร ใครกันเป็นตัวสกัดดาวรุ่ง พูดแล้วขนลุก ผู้หญิงคนนี้มีพัฒนาการไม่คืบหน้าไปไหนเลย ว่ามั้ย

พอเราสำเร็จจบการศึกษาเเล้วเป็นยังไง... เธอร้องไห้ครับ เชื่อเถอะว่าเธอต้องร้องไห้ ถ้าเราไม่เห็นก็แปลว่าเธอต้องแอบร้องไห้ มีอย่างที่ไหน เราคร่ำเคร่งร่ำเรียนมาแทบตาย แล้วตัวเองแท้ๆ ที่เป็นคนเริ่มเรื่อง พอเราเรียบจบแทนที่จะดีใจดันมาร้องไห้ มีอย่างที่ไหน ดีนะ ว่าเราเข้าใจ คู่มือการเลี้ยงแม่ ก็เลยทำใจได้ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ขอไปฉลองการสำเร็จการศึกษากับพวกเพื่อนๆ ที่นอกบ้านก่อน ก็แหม เรียนจบทั้งที จะมาให้นั่งดูผู้หญิงแก่ๆ นั่งร้องไห้ทำไมล่ะ ใช่มั้ย

เป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้วนี่ คราวนี้ใครๆ ก็ต้องอยากมีแฟน คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็เรื่องมาก ผมยาวไปมั่งล่ะ ดูไม่มีความรับผิดชอบมั่งล่ะ...แม่ แม่จะไปรู้อะไร แม่เคยคบกับเขาเหรอ ไม่ใช่แค่เรื่องคู่ครองเท่านั้นนะ แม่เขายังอยากรู้ไปจนถึงเรื่องอาชีพการงานด้วย ว่าเราจะไปทำอะไร อยากเป็นอะไร แม่ครับ แม่ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย พวกเราจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของพวกเรา อนาคตของเรา ขอให้เราได้ตัดสินมันเอง แต่เรารับรองกับแม่ได้อย่างหนึ่งว่า เราจะไม่เป็นเหมือนแม่หรอก... เชย

นับจากบรรทัดแรก จนมาถึงบรรทัดนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว สมควรที่พวกเราจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตนเองสักที ว่าแล้วเราก็ย้ายออกจากบ้านแม่ มายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อย่างที่แม่เคยพูดไง แล้วทำไมต้องมาทำตาละห้อยด้วยล่ะ วันที่เราย้ายออกมาน่ะ มันก็ไม่ได้ใกล้ มันก็ไม่ได้ไกลหรอกนะ ไอ้ที่ย้ายออกมาน่ะ แต่เวลามันรัดตัวจริงๆ ใช้โทร.คุยกันก็ได้นะแม่นะ ถึงวันที่เรามีลูก แม่ยังพยายามอยากมาทำตัวเป็นภาระกับลูกเราด้วย เราบอกแม่ว่าไม่ต้องมายุ่งหรอก เราดูแลลูกของเราได้ เด็กสมัยนี้มันไม่เหมือนกับสมัยแม่แล้วล่ะ

แม่อายุเกือบหกสิบปีแล้ว โทร.มาไอแค่กๆ บอกไม่ค่อยสบาย เราบอกแม่ว่าอย่าคิดมาก ในใจเรารู้อยู่แล้วว่าแม่พยายามเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของคุณแม่วัยนี้

จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง คุณโทร.กลับไปที่บ้านแม่ แต่... ไม่มีคนรับสายแล้ว อย่าเพิ่งตกใจ แม่อาจจะออกไปทำบุญที่วัดตามประสาคนแก่ก็ได้ ลองโทร.เข้ามือถือแม่ดูซิ ...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก... อย่าเพิ่งด่วนสรุป มือถือแม่อาจจะแบตหมดก็ได้ ผู้หญิงคนนี้กระดูกเหล็กจะตายไป เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ คิดฟุ้งซ่านไปได้ ยังไงแม่ก็ต้องรอเราอยู่เหมือนเดิมน่ะแหละ ไปหาเมื่อไหร่ก็ต้องเจอ อย่างมากแกก็อาจจะงอนนิดๆ หน่อยๆ พอเห็นหลานตัวเล็กๆ วิ่งเข้าไปกอดก็ขี้คร้านจะอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้ง

หลายวันผ่านไป ทำไมแม่ยังไม่โทร.กลับมาอีกนะ ทำบุญตักบาตรก็ไม่น่าจะรอคิวนานขนาดนี้ ชาร์จแบตมือถือไม่เต็มก็เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นแบตเตอรี่รถสิบล้อป่านนี้ไฟทะลักแล้ว วันนี้แวะไปหาแม่สักหน่อยดีกว่า ระหว่างทางที่คุณขับรถไป ลูกคุณซนเป็นลิงอยู่ข้างๆ ประโยคมากมายที่หลุดจากปากคุณ ล้วนเเต่เป็นคำที่แม่คุณเคยพูดมาแล้วทั้งสิ้น คุณเพิ่งสัมผัสได้ ภาพเก่าๆ มากมายที่ผู้หญิงคนนั้นทำวิ่งวนอยู่ในหัวคุณ ช่างเถอะ.. เดี๋ยวเจอเธอแล้ว คุณจะสารภาพผิด แล้วทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น

...แล้วคุณก็ได้เจอ คนที่คุณรู้สึกว่าเธอเป็นภาระให้กับคุณมาตั้งแต่เกิด ...ผู้หญิงคนนั้น นอนตายในท่าที่คอยคุณมาตลอดชีวิต...


ที่มา : คอลัมน์ แกว่งเท้าหาเสี้ยน โดย พิง ลำพระเพลิง มติชน 10 มิถุนายน 2544

น้ำผลไม้

  • น้ำผลไม้สด (Fresh Fruit Juice)
  • น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง (Can Fruit Juice)
  • น้ำผลไม้ปรุงแต่งรสเข้มข้น (Fuuit Squash)
น้ำผลไม้สด (Fresh Fruit Juice)
... น้ำผลไม้สด เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้า หรือมื้ออื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งห้องอาหารหรือบาร์อาจจะผลิตขึ้นเองจากผลไม้สดที่มีตามฤดูกาล หรือสั่งซื้อจากภายนอกก็ได้ และในบางครั้งรสชาติอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและชนิดของผลไม้ที่นำมาคั้น บางฤดูกาลผลไม้ตามที่เราต้องการอาจมีราคาแพง เนื่องจากมีผลผลิตน้อยหรือไม่ตรงตามฤดูกาลต้องใช้แรงงานในการคั้น-กรอง การเก็บอย่างพิถีพิถัน และสามารถเก็บไว้ได้ไม่นานนัก ราคาจึงค่อนข้างสูง แต่ผู้บริโภคก็ยังคงนิยมดื่มเนื่องจากมีความสดและคุณค่าอาหารสูง เช่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำมะนาวสด ฯลฯ

น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง (Can Fruit Juice)
... เนื่องจากในบางฤดูกาล น้ำผลไม้สดค่อนข้างหายากมาก ทำให้ต้องหันไปดื่มน้ำผลไม้บรรจุกระป๋องแทน เพราะสามารถซื้อหามาดื่มให้ฉ่ำใจได้สะดวกกว่า น้ำผลไม้ประเภทนี้สามารถนำมาผสมเป็นเครื่องดื่มอื่น ๆ และเป็นที่นิยมกันมาก เช่น น้ำมะเขือเทศ มักจะนำไปปรุงกับซอสบางชนิด โดยจะนำไปให้แขกเป็นผู้ปรุงเองที่โต๊ะอาหาร สิ่งที่นำไปให้แขกปรุงคือ Wochestershire saue, Tabasco เกลือ, พริกไทย และมะนาว บีบจัดใส่จานพร้อมกับช้อนหรือไม้คนเหล้า

น้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดนั้น แม้ว่าจะเป็นชนิดเดียวกันแต่ต่างยี่ห้อ อาจทำให้มีรสชาติที่ไม่เหมือนกัน แต่มีส่วนดีตรงที่ สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าน้ำผลไม้ชนิดที่คั้นสด ๆ โดยบางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศของตน เช่นน้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำเกรปฟรุต น้ำแอปเปิ้ล น้ำเสาวรส ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้สด หรือน้ำผลไม้บรรจุกระป๋อง ก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะแช่ให้เย็นก่อนแล้วค่อยนำมาดื่ม นอกจากนี้เรายังสามารถนำเอาน้ำผลไม้เหล่านี้ไปทำเป็นเครื่องดื่มผสมต่าง ๆ ได้อีกมากมายโดยผสมกับเหล้า หรือ เครื่องปรุงอื่น ๆ เช่น Bloddy, Mary, Maitai, Daiquiri, Pina Colada, Whisky Sour, Screwdriver, Salty Dog, Margarita เป็นต้น

น้ำผลไม้ปรุงแต่งรสเข้มข้น (Fruit Squash)
... เครื่องดื่มประเภทนี้จำทำมาจากน้ำผลไม้และน้ำเชื่อมเข้มข้น ซึ่งส่วนใหญ่จะบรรจุขวดจำหน่าย นิยมดื่มโดยการผสมน้ำแข็งแล้วเติมน้ำหรือโซดา รวมทั้งน้ำขวดประเภทอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เจือจาง และมีรสชาติที่พอเหมาะแก่การดื่มยิ่งขึ้น

ย่ำ "นิวยอร์กซิตี" สูดกลิ่นความศิวิไลซ์เกาะแมนฮัตตัน

โดย เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมน์ พาทัวร์ 2005 ประชาชาติธุรกิจ

เที่ยวบิน TG 790 ของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ใช้เครื่องรุ่นใหม่ แอร์บัส A340-500 ขนาด 215 ที่นั่ง บินเลาะภูเขาน้ำแข็งข้ามขั้วโลกจากเอเชียสู่สหรัฐ อเมริกา นำผู้โดยสารแลนดิ้งลงสู่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ JFK เทอร์มินอล 4 เช้าตรู่ตอน 6 โมง 35 นาที

มองสภาพภูมิประเทศรอบสนามบินอันยิ่งใหญ ่ JFK แห่งนี้ เห็นว่ามีอาคารผู้โดยสารถึง 9 หลัง พ้นปากประตูเครื่องบินเข้าสู่ตัวอาคาร ผู้โดยสารบางตา มาทราบจากเจ้าหน้าที่สนามบินว่าช่วงเวลานี้มีการบินไทยเพียงสายการบินเดียวที่มาใช้บริการ  จึงสามารถเคลียร์การจราจรเข้าและออกจากเคาน์เตอร์ตรวจ คนเข้าเมือง และกระเป๋าสัมภาระได้ค่อนข้างเร็ว พอยื่นหนังสือเดิน ทางให้เจ้าหน้าที่เพียงนาทีเศษก็เรียบร้อย แต่ยังเข้าเมืองนิวยอร์กซิตีไม่ได้ทันที เพราะตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมเป็นต้นมา "อเมริกา" นำกฎเหล็กการเข้าเมืองมาใช้ นั่นก็คือ ผู้โดยสารทุกคนจะต้องใช้นิ้วซ้ายแตะบนแสงเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และต้องเบิ่งตาใส่เลนส์ขยายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจม่านตาอย่างละเอียด


สนามบิน JFK ออกแบบโปร่งสบาย เรียบง่ายและหรู ไม่รกรุงรังเหมือนสนามบินดอน เมืองบ้านเรา พ้นจากเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็มีเจ้าหน้าที่จูงสุนัขพันธุ์พุดเดิลย ืนสบายๆ รอส่งผู้โดยสารอยู่ที่หน้าประตู ซึ่งพอข้ามถนนจะมีสถานีจอดรถบัสเห็นได้ว่ามีความคล่องตัวสูงมากต่างจากสนามบ ินนานาชาติบ้านเราโดยสิ้นเชิง

นั่งรถบัสราว 40 นาที ถึงโรงแรม Westin Essex House ใจกลางดินแดน "เดอะบิ๊กแอปเปิล" อันได้แก่สัญลักษณ์ของมหานครนิวยอร์กซิตี บนเกาะแมนฮัตตันอันศิวิไลซ์ ฟังว่า บริเวณนี้เรียกว่าเซ็นทรัล ปาร์ก เซาท์ เป็นย่านธุรกิจชั้นนำที่สุดของนิวยอร์กซิตี ตรงด้านหน้าทำเป็นสวนสาธารณะขนาดมหึมา มีไม้อายุเป็นร้อยปีขึ้นเขียวครึ้มทั่วบริเวณ ผู้คนวนเวียนมาพักผ่อนกันทั้งวัน

แต่จุดหมายปลายทางที่อยากดูให้ครบภายในเวลาที่มีอยู่ ไม่เกิน 48 ชั่วโมงในนิวยอร์กซิตีแห่งนี้ คือ จุดแรก ซื้อตั๋วล่องเรือตามแม่น้ำชมให้ทั่วเกาะแมนฮัตตัน เลือกที่จะไปกับ "Circle Line" ซึ่งเป็นเรือ 2 ชั้นขนาดใหญ่ มีรูปแบบการเดินทางอยู่ 4 โปรแกรม คือ หนึ่ง เที่ยวทั่วทั้งเกาะ (Full island Cruise) ชมความคลาสสิกทุกซอกทุกมุม ผู้ใหญ่ต้องจ่ายค่าเรือ 23 ดอลล์ เด็กจ่าย 15 ดอลล์ คนสูงอายุ (เกิน 60 ปี) จ่าย 23 ดอลล์ สอง ชมท่าเรืออลังการครึ่งเกาะ (Harbor lights Cruises) 2 ชั่วโมง จ่ายน้อยลงมาหน่อย ผู้ใหญ่เหลือ 23 ดอลล์ เด็ก 12 ดอลล์ ผู้สูงอายุ 19 ดอลล์

สาม สัมผัสลมหายใจแห่งความยิ่งใหญ่ (Breathtaking Statue Cruise) เป็นโปรแกรมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะคิดขึ้นมา พาล่องเรือราว 75 นาที โฉบเข้าไปยังอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เลาะอาคาร World Financial Center ผู้ใหญ่จ่าย 18 ดอลล์ เด็ก 10 ดอลล์ ผู้สูงอายุ 15 ดอลล์ และ สี่ นาทีระทึกใจที่ได้ขี่ สปีดโบ๊ตชมเกาะเพียง 30 นาที

คิวต่อ ไปเป็นโปรแกรมนั่งรถยอดฮิต "Double Desk" รถนำเที่ยว 2 ชั้น ที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงอย่างมากว่าหากมานิวยอร์กซิตีต้องทดลองนั่งกันสักครั้ง ถ้าจะให้คุ้มต้องซื้อตั๋วทั้งวัน ช่วงเช้าไกด์พาเลาะถนนที่รายล้อมด้วยตึกระฟ้าและที่ตื่นตาก็คงจะหนีไม่พ้นย่ าน "ไทม์สแควร์" และ ฟิฟท์ อะเวนิว ถนนหรูที่บ่งบอกถึงรสนิยมของคนเดิน

เ ป็นความหรูที่เราให้ความสนใจบ้างแต่ไม่มาก เพราะสิ่งที่ทรงค่ามากกว่านั้นคือ "World Trade Memorial" อนุสาวรีย์ความทรงจำของตึกแฝด เวิรลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่ถูกผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินโบอิ้งพุ่งชนเมื่อ 11 กันยายน 2544 ตอนนี้ทำโครงคล้ายสถานีเยี่ยมชม หลังคาโปร่งไร้ผนัง ไม่ใหญ่โตนัก ตั้งอยู่ตรงข้ามโบสถ์ St.Paul"s Chapel (Parish of Trinity Church) เดินข้ามถนนหากไม่สังเกตหรือไม่มีใครบอกก็คงจะเดายาก แต่ผู้คนจากหลายชาติยังแวะไปยืนเหม่อชมกันบ้างประปราย ต่อเมื่อเห็นป้ายมีเนื้อเรื่องบอกไว้ละเอียด ทุกคนก็ถึงบ้างอ้อว่า ใช่เวิรลด์เทรด เซ็นเตอร์ ของจริง ซึ่งอีกไม่นานรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทำแผนไว้แล้วที่จะใช้พื้นที่ตรงนี้เนรมิต ตึกแฝดขึ้นมาอีกครั้ง

ความตระการตาใน "นิวยอร์กซิตี" นอกจากภาพผู้คนแต่ละถนนที่ตื่นตัวกันอยู่ตลอดเวลา เคลื่อนไหวเร็ว ทำทุกอย่างเร็ว แล้วบริเวณเซ็นทรัลปาร์กมีห้างสรรพสินค้าเรียงรายอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะร้านยอดฮิตมินิมาร์ตฟามาซีมักจะเป็นศูนย์รวมคนไทยที่หลงใหลผลิตภัณฑ ์เพื่อสุขภาพและความงามยี่ห้อต่างกัน แต่ต้องเขียนกำกับว่า made in U.S.A. ส่วนสินค้าแฟชั่นในห้างไฮไลต์ที่คนไทยชอบมีไม่กี่อย่างแต่มีหลากหลายยี่ห้อ เช่น เครื่องสำอาง คลีนิกข์ ชิเซโด้ เอสเต้

เสื้อผ้าดูจะฮอตมากที่ สุดเนื่องจากเป็นศูนย์รวมยี่ห้อดังของโลก และเครื่องหนัง อย่างกระเป๋าถือของสาวทุกวัย รองเท้า แต่ตอนนี้คนไทยอาจจะผิดหวังอยู่บ้าง เพราะทั้งเสื้อผ้าและเครื่องหนังตอนนี้หากพลิกดูแหล่งผลิตมักจะโชว์หราว่า Made in China นักช็อประดับมืออาชีพจากเมืองไทยบางคนถึงกับออกปากกลางวงทันทีว่าของพวกนี้ไ ม่ต้องซื้อ ไปช็อปที่ "มอลล์เอเชีย" ในเสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน ช็อปมันกว่ากันเยอะเลย

เป็นการกระตุ้นเตือนที่ได้ผล ทำให้ชาติประหยัดเงินโขได้เหมือนกัน เพราะนักช็อปมือใหม่ทั้งหลายเริ่มลังเล

แ ต่แหล่งช็อปที่ขึ้นชื่อของ "นิวยอร์กซิตี" ได้ฟังว่าไม่ได้อยู่ในเมือง หากต้องขับรถออกไปทางนิว เจอร์ซีย์ราว 1 ชั่วโมงเศษ พอรถเข้าโค้งบนไฮเวย์จะเห็น "Woodbury Common Outlet" เป็นเมืองขนาดย่อมตั้งอยู่ด้านหน้าเทือกเขาลูกเล็กๆ ที่นี่เองเป็น meeting point ของเหล่านักช็อปจากทุกชาติ เพราะมีสินค้ามากกว่า 500 แบรนด์ดังที่ผลิตในอเมริกามาเปิดขายกันในราคาถูกกว่าในเมืองถึง 70% มีสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันที่อยู่อาศัย ต้องใช้เวลาเดินเลือกอย่างพิถีพิถันอย่างต่ำๆ 6-8 ชั่วโมง จึงจะครบทั้งพื้นที่ รวมทั้งได้ของถูกใจคุ้มค่าเงิน

การเดินทางช่วงสั้นๆ เพื่อสูดกลิ่นอายนิวยอร์ก ซิตีมาจบลงท่ามกลางบรรยากาศการเปิดตัว "เที่ยวบินที่เร็วที่สุด" ของโลกจากเอเชียสู่อเมริกาของ "การบินไทย" ที่เลือกใช้ชั้น 5 ตึก "ลินคอน" กลางนิวยอร์กซิตี ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินหรูแถวอนุสาวรีย์ลินคอนนั่นเอง เป็นสถานที่โชว์ความยิ่งใหญ่ให้บรรดาแขกกว่า 500 คนจากทั่วสารทิศได้สัมผัสความสุขจากวัฒนธรรมแบบไทยที่โรงแรมแมน ดาริน โอเรียนเต็ล ดาราเทวี ซึ่งมี "สวัท สุทัศน์ ณ อยุธยา" ผู้จัดการทั่วไป คุมทีมไปด้วยตนเอง และการตกแต่งจำลองเมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย สร้างความซาบซึ้งใจแก่ผู้ร่วมงาน

ก่อนจะจบลงด้วยการขายเที่ยวบิน TG 791 จากนิวยอร์กสู่กรุงเทพฯ เชื่อมโปรแกรมเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวอันงดงาม ภูเก็ต กระบี่ บาหลี และอินเดีย ทั้งนักเรียนไทย ครอบครัวอเมริกัน ต่างแสดงความสนใจอย่างคึกคัก

กลิ่นอายความศิวิไลซ์ของ "นิวยอร์กซิตี" ในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นแบตเตอรี่ชั้นดีของทั้งนักธุรกิจและมนุษย์งานอย่างพวกเรา

-------------------------------------------

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2548

สหรัฐอเมริกา

ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง ได้แก่  Washington D.C อเมริกามีเนื้อที่ประมาณ 3,787,319 ไมล์ (เทียบได้กับขนาดพื้นที่ประเทศไทย) มีบริเวณรัฐที่ติดต่อกันรวม 48 รัฐ และรัฐ Alaska ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐฮาวายซึ่งอยู่ในมหาสุมทรแปซิฟิก และเมื่อรวมเอารัฐอลาสก้า และฮาวายเข้าด้วยกันสหรัฐอเมริกา จะมีพื้นที่มากกว่า 9 ล้าน ตารางกิโลเมตร อลาสก้าเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 50 รัฐ รองลงมาคือ เท็กซัส ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ เฉพาะเท็กซัสรัฐเดียวก็ใหญ่ กว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศแล้ว ส่วนอลาสก้านั้นใหญ่กว่าเท็กซัสถึง 2 เท่า

ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและมีกลุ่มต่างๆ อยู่บริเวณต่างกัน เช่น China Town , Little Italy เป็น ต้น ชาวอเมริกันเรียนรู้เร็ว และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ และมีความรักอิสระในการเรียนรู้ และเนื่องจากภูมิประเทศกว้างขวางทำให้ขนบธรรมเนียบประเพณีและวัฒนธรรมแตก ต่างกันตามภูมิภาค กลุ่มเยาวชนมีงานนอกเวลาทำเป็นส่วนใหญ่เพื่อหารายได้เสริมเพื่อกิจกรรมที่ตน เองต้องการคนอเมริกันได้รับเงินประกันสังคมและเบี้ยบำนาญรวมถึงออมทรัพย์และ สะสม เมื่อครบเกษียณอายุจะได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐในรูปแบบสวัสดิการทาง สังคม

สภาพภูมิประเทศ  ทิศเหนือติดต่อกับประเทศแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโก ทิศตะวันออกติดชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก และทิศตะวันตกจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การเดินทางจากฝั่งตะวันออกจรดตะวันตก โดยเครื่องบินใช้เวลา 5 ชั่วโมง

สภาพภูมิอากาศ ทุกรูปแบบตั้งแต่บรรยากาศแถบขั้วโลก ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นติดลบ 40 องศา จนถึงบรรยากาศร้อนเหมือนทะเลทราย 45 องศา สภาพอากาศอาจเปลี่ยนแปลงรวดเร็วในบางส่วนของประเทศ เช่น อาจมีหิมะถล่ม พายุทอร์นาโด ไฟป่า และแผ่นดินไหว ส่วนแนวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก อากาศในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ส่วนแถบตะวันตก อากาศหนาวจะไม่เย็นจัดนักคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิต
     ฤดูร้อน : เดือนมิถุนายน เดือนสิงหาคม  
     ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนกันยายน เดือนพฤศจิกายน
     ฤดูหนาว  : เดือนธันวาคม เดือนกุมภาพันธ์
     ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนมีนาคม เดือนพฤษภาคม

เวลา  เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่มาก จึงแบ่งเวลาออกเป็น 4 เขต

1.ตะวันออก Eastern Time Zone (EST) มีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 12 ชั่วโมง แต่ในเดือนมีนาคม เดือนเมษายน อเมริกาเลื่อนเวลาในฤดูร้อนอีก 1 ชั่วโมง หรือ Daylight Saving Time ทำให้เวลาในอเมริกาช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วโมง เมืองที่อยู่ในเขต EST คือ Boston, New York, Washington D.C, Miami และ Cleveland 

2.ตอนกลาง (Central Time Zone) เวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย 13 ชั่วโมง และช่วงเดือนมีนาคม เดือนเมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time เมืองในเขตนี้ คือ Chicago และ Orleans

3.แถบภูเขา (Mountain Time Zone) เวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเท่ากับ 14 ชั่วโมง และช่วงเดือนมีนาคม เดือนเมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมง เมืองที่อยาในเขตนี้ คือ Denver และ Phoenix
  
4.พื้นที่ย่านมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Time Zone) เวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยประมาณ 15 ชั่วโมง และเดือนมีนาคม เดือนเมษายน มีกาปรับ Daylight Saving Time เมืองที่อยู่ในเขตนี้ คือ San Francisco , Seattle และ Hawaii   
สกุลเงิน
สหรัฐอเมริกา ใช้หน่วยเงินตราเป็นดอลลาร์ ($) 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 100 เซ็นต์ โดยแบ่งค่าเงินต่าง ๆ ออกเป็นดังนี้
• ธนบัตร $1, $5, $10, $20, $50 และ $100
• เหรียญ 1 เซนต์ (Penny), 5 เซ็นต์ (Nickel), 10 เซ็นต์ (Dime), 25 เซ็นต์ (Quarter)
ธนาคาร
ธนาคารจะเปิดทำการตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น. ในวันจันทร์ – วันศุกร์ นอกจากนี้ ธนาคารหลายแห่งยังเปิดให้บริการต่อในช่วงเย็นของวันศุกร์อีก 1-4 ชั่วโมง และอาจเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. ในวันเสาร์ ดูเวลากันดีๆนะคะอย่าไปยืนหน้าแบงค์ตอนแบงค์ปิดแล้วนะคะ


โทรศัพท์
มีความสะดวกสบายมากคะสำหรับการติดต่อสื่อสารมีระบบโทรศัพท์มือถือให้เลือกหลายค่ายโดยน้องๆสามารถจ่ายเป็นรายเดือนประมาณ 29-99 เหรียญต่อเดือนขึ้นอยู่กับความต้องการเลยคะระบบที่นิยมมี AT&T, MCI and SPRINT ราคาของมือถือจะถูกมากเมื่อเทียบกับบ้านเราประมาณ 50-100 เหรียญ
ในการโทรกลับประเทศไทยน้องๆสามารถหาซื้อบัตรโทรศัพท์ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านไทยหรือซูเปอร์มาร์เก็ตของ ชาวเอเชียในราคา 5 เหรียญสามารถโทรได้นานถึง 1 ชั่วโมงซึ่งสามารถใช้บัตรโทรศัพท์ได้ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือใช้กับโทรศัพท์ตามบ้านโดยจะไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ เพิ่มเติม


ไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115V, 600 Cycles ซึ่งแตกต่าง จากประเทศไทย ไม่แนะนำให้นักศึกษานำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไปนอกจากหนักแล้วยังใช้ไม่ได้ด้วยคะ



เชื้อชาติ  มีหลายเชื้อชาติทั้งคนขาว , คนดำหรือคนแอฟริกันอเมริกา, คนอเมริกันอินเดียน,ชาวอลาสกา, ชาวฮาวายเอียนและชาวเกาะแปซิฟิกและคนเชื้อชาติอื่นๆ
 

ศาสนา
ด้วยความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของประชากรและด้วย ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้อพยพ ชาวอเมริกันทุกคน จึงมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาใดก็ได้ตามความเชื่อมั่นของ แต่ละบุคคล หรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ ทุกรัฐมีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนาเท่าเทียมกัน ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ มีประชากรนับถือมากที่สุด

ภาษาราชการ  ภาษาอังกฤษ 
 

วันชาติ  4 กรกฎาคม 

กำแพงหรือสะพาน



แม้จะเป็นเพียงคำเปรียบเทียบ
แต่คนเราสามารถสร้างได้ในพริบตา
ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้

พยายามบอกตัวเองว่า..

สร้าง"กำแพง"เพื่อปกป้องตัวเองจากศัตรู
สร้าง"สะพาน" เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ให้มิตร

แต่ชีวิตจริง "มิตร" หรือ "ศัตรู"
ใช่ว่าจะมองแล้วรู้เลยซะที่ไหน
บ่อยไปที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้

เรื่องที่ผิดพลาดปล่อยให้ศัตรูข้ามสะพานมา
ก็ต้องลบเลือนไปสักวัน
แต่เรื่องที่ลบเลือนได้ยากคือ

ความผิดพลาดที่ปล่อยให้มิตร..
..อยู่อีกฟากหนึ่งของกำแพง..

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2548

ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับหนังสือเดินทางทั่วไป

ประเทศที่ได้ทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดา(ไม่ต้องขอวีซ่า)กับประเทศไทย

อยู่ได้ 90 วัน
  • อาร์เจนตินา
  • บราซิล
  • ชิลี
  • เปรู 
  • เกาหลีใต้
อยู่ได้ 30 วัน
  • ฮ่องกง
  • อินโดนีเซีย
  • ลาว
  • มาเก๊า
  • มองโกเลีย
  • มาเลเซีย
  • มัลดีฟส์
  • รัสเซีย
  • สิงคโปร์
  • แอฟริกาใต้
  • เวียดนาม

อยู่ได้ 21 วัน
  • ฟิลิปปินส์


อยู่ได้ 14 วัน
  • บรูไน
  • บาห์เรน


หมายเหตุ 
  • หลายประเทศในอาเซี่ยน  เราไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า ยกเว้น พม่าและกัมพูชา ยังต้องขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศ
  • ระยะเวลาการพำนักในประเทศดังกล่าวมีการตกลงกำหนดช่วงระเวลาในการเข้าโดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่หากอยู่เกินระยะเวลาที่ตกลงก็ต้องขอวีซ่าตามปกติ
  • การที่ไม่ต้องขอวีซ่าหรือขอวีซ่าได้แล้วก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าสามารถที่จะเข้าประเทศดังกล่าวได้เสมอไป ดุลยพินิจการเข้าประเทศนั้น ๆ ขึ้นอยู่กับ ตม. ของประเทศนั้นๆ
  • จำนวนประเทศ จำนวนวันที่สามารถเข้าพำนักได้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ข้อมูลที่ได้ระบุ ณ วันเวลา เมษายน 2551

ที่มาข้อมูลบางส่วน : เอกสารจากเว็บไซต์ กระทรวงการต่างประเทศ

ความเชื่อถือไว้วางใจ



กาลครั้งหนึ่ง......ไฟ ,น้ำ และความเชื่อถือไว้วางใจ
เดินเล่นกันอยู่ในป่า และคุยกันถึงว่า หากต้องพลัดหลงกันแล้ว....
จะตามหากันเจอได้อย่างไร?

ไฟ บอกว่า "ให้มองหาควัน เพราะว่าควันอยู่ที่ไหนผมก็อยู่ที่นั่น"

น้ำ ก็บอกว่า "ให้มองหาหญ้าเขียว ๆและดอกไม้ ผมอยู่ตรงนั้นแหละ"

ความน่าเชื่อถือ ยิ้มเป็นนัย ๆ ก่อนจะพูดว่า.....

"สำหรับผม
พวกคุณต้องไม่ทำให้ผมหลงทาง
เพราะถ้าผมหายไปแล้ว.....
พวกคุณจะไม่มีวันได้ตัวผมกลับมาอีกเลย"

รักแท้ Online???

การแสวงหาความรักที่ออนไลน์อยู่บนโลกไซเบอร์ใบนี้ ไม่ได้ง่ายดายหรือยากลำบาก ไปกว่าการแสวงหาความรักในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีผู้คนเดินสวนกันไปมาแม้แต่น้อย

การแลกเปลี่ยนทางความคิดกับคนพิเศษซักคนที่ออนไลน์มาพบกัน อาจเริ่มต้นขึ้นอย่างเปิดเผยและง่ายดาย ความสวยงามของตัวหนังสือที่พิมพ์ส่งมาอาจมีมนต์ขลังเสียจนทำให้หัวใจของคุณผูกมัดด้วยจินตนาการงดงามของภาพฝันในอุดมคติ

แต่คุณจะด่วนสรุปได้อย่างไรว่า..นั่นคือ..ความรัก.จนกว่าคุณจะก้าวออกมาจากโลกแห่งความฝันของคุณเพื่อมาพบกับความเป็นจริงที่ คนคนนั้นเป็นอยู่

การปล่อยให้ตัวเองผูกพันกับจินตนาการจนอารมณ์และความรู้สึกเตลิดไปไกล มีแต่จะทำให้คุณต้องพบกับความผิดหวังและปวดร้าว หากภาพฝันนั้นไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิด

ความรักไม่อาจเริ่มต้นระหว่างคนแปลกหน้า และไม่ว่าคุณจะออนไลน์ คุยกับเขายาวนานนับปีด้วยความรุ้สึกคุ้นเคยเปิดเผยเพียงไรกำแพงแห่งความแปลกหน้าก็ไม่มีวันพังทลายลง จนกว่าคุณและเขาจะได้พบกันในโลกแห่งความเป็นจริง

รักแท้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายบนโลกสับสนใบนี้ และยิ่งไม่อาจค้นพบได้ง่ายดายในโลกที่มองไม่เห็น

ความรักต้องการการเรียนรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งระหว่างคนสองคน
ความรักคือการรู้จักเพื่อที่จะยอมรับตัวตนของกันและกันอย่างแท้จริง

ดังนั้นหากคุณกำลังคิดว่า คุณมีความรักหรือเจ็บปวด กับคนพิเศษซักคนที่ออนไลน์มาพบกันประจำทุกวัน ทั้งที่คุณไม่เคยได้ยินเสียง ไม่เคยเห็นหน้า และไม่เคยแม้แต่จะรับรู้ความจริงว่า เขาเป็นอย่างไรเมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติ หรือเพียงแต่หลงรักภาพอุดมคติที่ตัวเอง เป็นคนสร้างขึ้นมา ก็คือการพาเขาก้าวออกมาจากโลกแห่งจินตนาการใบนั้นเพื่อมาพบปะกันในชีวิตจริง


To handle yourself, use your head,
To handle others, use your heart.
จงใช้สมองดูแลหัวใจของคุณเอง
และจงใช้หัวใจคุณเพื่อดูแลหัวใจดวงอื่นๆ

Focus ที่ปัญหา และ Focus ที่ทางออก

เรื่องที่ 1

เมื่อองค์การนาซ่าได้เริ่มปล่อยจรวดเพื่อการสำรวจอวกาศ พวกเขาพบว่า ปากกาไม่สามารถเขียนได้ที่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่ากับ 0
(น้ำหมึกไม่สามารถไหลออกมาที่กระดาษที่ต้องการเขียนได้) การแก้ปัญหานี้ ได้ใช้เวลาราว 10 ปีและได้ใช้เงินมูลค่า 12 ล้านดอลล่าห์ (480 ล้านบาท) พวกเขาได้สร้างปากกาที่สามารถใช้งานได้ที่แรงโน้มถ่วงเป็นศูนย์ เขียนแบบคว่ำ หรือเขียนที่ใต้น้ำได้ สามารถเขียนได้ไม่ว่าสภาพผิวเป็นเช่นไร รวมทั้งผิว crystal และที่อุณหภูมิช่วงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งจนถึงที่มากกว่า 300
องศาเซลเซียลได้

ด้วยปัญหาแบบเดียวกัน ทางรัสเซีย ใช้ ดินสอ

เรื่องที่ 2
หนึ่งในเรื่องที่นิยมใช้ในการสอนที่ประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ เรื่องของการเกิดปัญหาที่ว่าสบู่ที่ลูกค้าซื้อไม่มีสบู่มาด้วย คือได้แต่กล่องเปล่าๆมา
เรื่องนี้มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตเครื่องสำอางของญี่ปุ่น ได้รับการร้องเรียนจากทางลูกค้าถึงปัญหาดังกล่าว

ทางด้านวิศวกรที่รับผิดชอบ ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray เพื่อการตรวจดูว่าภายในของกล่องสบู่มีสบู่หรือไม่
และเพื่อการนี้ก็ได้ให้คน 2 คนคอยเฝ้าที่จอเพื่อดูให้แน่ใจได้ว่าไม่มีการหลุดของกล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่ไป แน่นอนว่าคน 2 คนที่ดูจอมอนิเตอร์คงไม่สนุกในการทำงานนี้เท่าไหร่

ด้วยปัญหาเดียวกัน พนักงานหน้างานที่บริษัทเล็กแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้แก้ปัญหาโดยการสร้างเครื่อง X-ray แต่สิ่งที่เขาทำได้แก่การไปซื้อพัดลมที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แล้วนำมาเป่าที่รางสายพานขณะที่กล่องสบู่วิ่งผ่าน กล่องที่ไม่ได้บรรจุสบู่เมื่อถูกลมก็จะปลิวออกนอกสายพานลำเลียงเอง

กาแฟ

ถ้าไม่นับน้ำแล้ว เครื่องดื่มที่นับว่าถูกและเป็นที่นิยมมากที่สุด เห็นจะได้แก่ ชา ซึ่งในเมืองไทยเองก็มีแหล่งผลิตชาที่ขึ้นชื่ออยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะในแถบภาคเหนือ เช่น ชาระมิง เป็นต้น

จริง ๆ แล้วมีการรู้จักชามาตั้งนานนมแล้ว ว่ากันว่าได้เริ่มต้นขึ้นในประเทศจีนก่อนเป็นแห่งแรก และเนื่องจากชาวจีนนิยมเดินทางไปแสวงโชคในดินแดนอื่น ๆ ทั่วโลก จึงนำเอาชาติดตัวไปด้วย ทำให้ชาเริ่มแพร่หลายเข้ามายังยุโรป อเมริกา และประเทศอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

สำหรับ การดื่มชานั้น หากเป็นชาผงสำเร็จรูปจะนิยมดื่มผสมน้ำตาล และมะนาว หรือครีม หรือนมก็ได้ ซึ่งสามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น แต่ถ้าเป็นชาจีน มักจะไม่ผสมอะไรเลย

ความเป็นมา
กาแฟเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสังคมปัจจุบัน มีความเป็นมาที่พอจะรวบรวมหามาได้คือ... กาแฟ เป็นคำที่มาจากภาษาอารบิกว่า "Qahfah" ซึ่งหมายถึงความเข้มแข็ง หรือพลัง แต่มีชำนาญทางภาษาบางคนยืนยัน คำนี้น่าจะมาจากคำว่า "Kaffa" มากกว่า ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเอธิโอเปีย โดยเชื่อกันว่า ณ ที่แห่งนี้คือแหล่งกำเนิดของกาแฟ

นอกจากนี้ กาแฟยังมีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาคือ ตำนานคาลดี ที่กล่าวถึงเด็กเลี้ยงแกะชาวอาราเบียนคนหนึ่งว่า ในระหว่างที่เขาเขาพาฝูงแพะแทะเล็มต้นไม้ อยู่ในทุ่งนั้น เขาได้สังเกตเห็นว่า เจ้าฝูงแพะได้เล็มกินผลไม้อยู่ในทุ่งนั้น เขาได้สังเกตเห็นว่า เจ้าฝูงแพะได้เล็มกินผลไม้ชนิดนี้เข้าไป และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าแพะก็พากันวิ่งโลดแล่นไปทั่วทุ่ง แพะทุกตัวดูเหมือนกับมีความกระปรี้กระเปร่า ราวกับเด็กหนุ่ม ๆ ซึ่งสร้างความประหลาดใจ ให้กับเขาอย่างมาก

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงลองเด็บผลไม้เหล่านั้นมาเคี้ยวดูบ้างก็รู้สึกว่ามีชีวิต ชีวาเพิ่มขึ้น เขาจึงได้นำเอาสิ่งที่พบเห็นไปเล่าให้บาทหลวงฟัง และบาทหลวงได้นำผลไม้ชนิดนี้มาต้มในน้ำพร้อมกับสาวกชิม ซึ่งสามารถทำให้ทุกคนที่ชิมเกิดความรู้สึกตาสว่าง และมีความตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งเจ้าผลไม้ที่ว่าก็คือผลของกาแฟนั่นเอง และนับจากนั้นเป็นต้นมากาแฟก็เริ่มเป็นที่นิยมเรื่อยมา

ใน ศตวรรษที่ 17 นั้น กาแฟและชายังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักในประเทศตะวันตก ซึ่งในช่วงนั้นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมมากในยุโรปตอนเหนือและตะวันตกจะ เป็นเบียร์ ส่วนทางตอนใต้นั้นจะนิยมดื่มไวน์

กาแฟมีพันธุ์อะไรบ้าง

"กาแฟ" เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าแถบแอฟริกา และมีปลูกอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่ที่ปลูกกันมากได้แก่ Coffea Arabica โดยปลูกมากถึง 3 ใน 4 ของกาแฟที่ปลูกได้ทั้งหมด และส่วนที่เหลือจะเป็น พันธุ์ Coffea Canephora Var Robusta และอื่น ๆ

คำถาม - คำตอบ เกี่ยวกับเอกสารการเดินทาง

การตรวจลงตรา (Visa)
ถาม : visa คืออะไรครับ คนไทยต้องใช้หรือไม่ครับ
ตอบ : เวลา ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ (1) หนังสือเดินทาง (2) visa เข้าประเทศนั้นในหนังสือ เดินทาง (3) ตั๋วเครื่องบิน (4) เงินสำหรับใช้จ่าย เป็นเงินสกุลท้องถิ่นหรือเงินสกุลหลักที่ประเทศนั้นๆ ยอมรับค่ะ

สรุปอย่างง่ายๆ visa คือการขออนุญาตเข้าประเทศอื่นค่ะ คนไทย ต้องมี visa ก่อนที่จะเดินทางไปประเทศต่างๆ ค่ะ

ถาม : ทราบมาว่ามีบางประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอ visa ก่อนเข้าประเทศของเขา ใช่ไหมครับ
ตอบ : ถูก ต้องค่ะ มีหลายประเทศที่รัฐบาลเราไปทำความตกลงเอาไว้เพื่อให้เดิน ทางไปมากันได้สะดวก และมีอีกหลายประเทศที่เขาอำนวย ความสะดวกให้คนไทยเป็นพิเศษ ปัจจุบัน (เมษายน 2551) มีอยู่ 19 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ที่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยสามารถเดินทางเข้าไป ท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องใช้ visa ได้แก่
1. อาร์เจนตินา (อยู่ได้ 90 วัน)
2. บาห์เรน (อยู่ได้ 14 วัน)
3. บราซิล (90 วัน)
4. บรูไน (14 วัน)
5. ชิลี (90 วัน)
6. ฮ่องกง (30 วัน)
7. อินโดนีเซีย (30 วัน)
8. เกาหลีใต้ (90 วัน)
9. ลาว (30 วัน)
10. มาเก๊า (30 วัน)
11. มองโกเลีย (30 วัน)
12. มาเลเซีย (30 วัน)
13. มัลดีฟส์ (30 วัน)
14. เปรู (90 วัน)
15. ฟิลิปปินส์ (21 วัน)
16. รัสเซีย (30 วัน)
17. สิงคโปร์ (30 วัน)
18. แอฟริกาใต้ (30 วัน)
19. เวียดนาม (30 วัน)

สำหรับ ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยก็มีความตกลงกับ 42 ประเทศ ให้สามารถเดินทางไปราชการได้โดยไม่ต้องใช้ visa ราย ชื่อประเทศดูได้ใน www.consular.go.th ในหน้าของกองตรวจลงตราฯ ค่ะ

ถาม : ตรวจดูรายชื่อประเทศแล้ว การไปหลายๆ ประเทศยังต้องขอ visa ก่อน เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญีปุ่น อังกฤษ จะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้ visa ครับ
ตอบ : ที่ ที่เราจะไปขอ visa ก็คือสถานทูตของประเทศที่เราจะไป เช่น จะไปสหรัฐฯ ก็ต้องขอ visa ที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลสหรัฐที่เชียงใหม่ เป็นต้น ต้อง ใช้เอกสารหลักฐานอะไรบ้าง ก็ต้องสอบถามกับสถานทูตของประเทศนั้นๆ ค่ะ

ถาม : ไปเที่ยวอย่างเดียวกับไปทำอย่างอื่น visa แตก ต่างกันไหมครับ
ตอบ : วัตถุ ประสงค์ของการเดินทางก็เป็นปัจจัยสำคัญค่ะ เช่น การไปเที่ยวกับการไปเรียน ก็ต้องใช้ visa คนละประเภท และเอกสารหลักฐานในการขอก็ไม่เหมือนกัน ค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน และระยะเวลา ที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ใน ประเทศของเขาก็แตกต่างกันด้วยค่ะ ต้องขอให้จำไว้เสมอนะคะว่า การไปอยู่ในประเทศอื่นนั้น หากไม่ได้พำนักอยู่โดยมีวัตถุประสงค์ แบบเดียวกับที่ตอนที่ขอ visa ไว้ เป็นการผิดกฎหมายนะคะ เช่น ขอ visa ไปเที่ยว แต่จริงๆ ไปทำงาน

ถาม : ผมเป็นนักธุรกิจ ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านและจีน มีคำแนะนำไหมครับ
ตอบ : ไทย เป็นสมาชิกของ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ซึ่งในกรอบความร่วมมือนี้ ก็มีการทำความตกลงให้นักธุรกิจเดินทางไปมาภาย ใน APEC ได้ โดยสะดวกค่ะ นักธุรกิจไทยสามารถยื่นคำร้องขอ มี ABTC (APEC Business Travel Card) ซึ่งจะอำนวยความ สะดวกในการเดินทางไปประกอบ ธุรกิจในอีก 17 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ คือ ออสเตรเลีย บรูไน ชิลี จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี สิงคโปร์ ไต้หวัน และเวียดนาม โดยไม่ต้องไปขอ visa กับสถานทูตแต่ละประเทศ
เลยค่ะ

นักธุรกิจที่สนใจ สามารถยื่นคำร้องและสอบ ถามรายละเอียดได้จากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้ที่หมายเลข 0-2225-5474 หรือ 0-2622-1111 ต่อ 649 ค่ะ

ถาม : เพื่อนผมบอกว่า ถ้าไปยุโรป ขอ visa ครั้งเดียว เข้าได้หลายประเทศ
ตอบ : ประเทศ ในยุโรป จำนวน 24 ประเทศ มีการทำความตกลงกันโดยการออก visa พิเศษ ที่มีชื่อว่า “Schengen Visa” เพื่อ อำนวยความสะดวกให้คนประเทศต่างๆ ค่ะ คนไทยก็มีสิทธิ ขอ visa นี้ค่ะ ผู้ที่มี Schengen Visa สามารถเดินทางเข้าประเทศเหล่านี้โดยไม่ต้องขอ visa กับทุกประเทศอีก : ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอซ์แลนด์ อิตาลี กรีซ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน เช็ค เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย ฮังการี มอลตา โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย

คุณ จะสามารถพำนักอยู่ได้รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ขอทราบรายละเอียดและยื่นคำ ร้องขอ Schengen Visa ได้ที่สถานทูตประเทศดังกล่าวค่ะ ทั้งนี้ การยื่นขอ Schengen Visa จะต้องเป็นการขอที่สถานทูต ของประเทศที่คุณจะไปพำนักอยู่นานที่สุด แต่หากไม่สามารถ ระบุได้ชัดเจน ก็ต้องไปขอที่สถานทูตของประเทศแรกที่จะเดินทางเข้าค่ะ

ถาม : ผม ถือหนังสือเดินทางราชการ กำลังจะไปประชุมที่กรุงเวียนนา โดยจะไปเปลี่ยนเครื่อง ที่สนามบินกรุงเอเธนส์ ทราบมาว่าถ้าเดินทางผ่านกรีซเพื่อเปลี่ยนเครื่องอย่างเดียว ไม่ต้องขอ visa และไทยก็มีความตกลงกับออสเตรียในการยกเว้นการตรวจลงตรา หนังสือเดินทางทูตและ ราชการ ดังนั้น การเดินทางของผมครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องขอ visa เลยใช่ไหมครับ?
ตอบ : กรณี นี้ ต้องขอ Schengen Visa ก่อนค่ะ แม้ว่าคุณถือหนังสือเดินทางราชการก็ตาม ทางการกรีซแจ้ง ว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยทุกประเภท หากเดินทางผ่านกรีซไปประเทศ Schengen อื่น โดยกรีซเป็นประเทศแรกของ Schengen ที่เดินทางเข้า บุคคลผู้นั้นจะต้องขอ Schengen Visa ก่อนการเดินทาง ไม่ว่าประเทศ Schengen ที่เดินทางเข้าต่อจากนั้น จะมีความตกลง ในการยกเว้นการตรวจลงตรากับไทยหรือไม่ก็ ตามค่ะ ในขณะ เดียวกัน หากเป็นการเดินทางผ่านกรีซเพื่อขึ้นเครื่องบินต่อไปประเทศอื่นที่ไม่ใช่ Schengen โดยไม่ออกไปนอกท่าอากาศยานกรุง เอเธนส์ ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยทุกประเภทไม่จำ เป็นต้องขอ visa เข้า กรีซก่อนการเดินทางค่ะ

ประเทศ Schengen มี 24 ประเทศ : ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอซ์แลนด์ อิตาลี กรีซ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน เช็ค เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย ฮังการี มอลตา โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย
Ø ประเทศ Schengen ที่มีความตกลง ยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง ทูตและราชการกับไทย 10 ประเทศ : ออสเตรีย เบลเยียม เยอรมนี อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ เช็ค ฮังการี โปแลนด์ และสโลวาเกีย

Ø ประเทศ Schengen ที่ประกาศยกเว้น การตรวจลงตราหนังสือ เดินทางทูต และราชการให้ไทยฝ่ายเดียว 4 ประเทศ : เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน

Ø ประเทศ Schengen ที่ผู้ถือหนังสือทูตและราชการของไทยต้องขอรับการ ตรวจ ลงตรา 10 ประเทศ : ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ กรีซ โปรตุเกส สเปน เอสโตเนีย ลัต เวีย ลิธัวเนีย มอลตา และสโลวีเนีย

ถาม : กองตรวจลงตราฯ ที่กรมการกงสุล มีหน้าที่อะไรเกี่ยวกับ visa ครับ
ตอบ : หน้าที่ หลักของกองตรวจลงตราฯ คือการดูแลการออก visa ของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของไทยในต่างประเทศสำหรับ คนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าเมืองไทยค่ะ

นอกจากนี้ กองตรวจลงตราฯ ก็มีหน้าที่เกี่ยวกับการอนุญาตให้คนต่างชาติที่เป็นนักการทูต หรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศที่ พำนักอยู่ในเมืองไทย เดินทางกลับเข้าเมืองไทยได้อีก (Re-entry)

หากคนต่างชาติ ทั่วไปที่อยู่ในเมืองไทย ต้องการติดต่อเรื่อง visa ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนประเภท visa หรือการขอขยายเวลา การพำนักในเมืองไทย ต้องติดต่อที่สำนักงาน ต.ม. ค่ะ โทรศัพท์ ไปสอบถามก่อนได้ค่ะที่หมายเลข 0-2287-3101 ถึง 10

อนึ่ง กองตรวจลงตราฯ ก็สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการขอ visa ไปต่างประเทศของคนไทย ได้ค่ะ แต่ข้อมูลในรายละเอียดจะต้องไปสอบถามจากสถานทูตของประเทศนั้นๆ ในเมืองไทย เพราะเป็นอำนาจของแต่ละประเทศ ในการออก visa ให้คนต่างชาติเข้าประเทศของเขา

ถาม : ถ้าอย่างนั้น คนต่างชาติที่จะเข้ามาในเมืองไทย ก็ต้องขอ visa ก่อนใช่ไหมครับ
ตอบ : ใช่ แล้วค่ะ คน ต่างชาติที่จะเข้ามาในเมืองไทยก็ต้องขอ visa ที่ สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ ก่อน แต่ ก็มีหลายประเทศค่ะที่สามารถเข้าเมืองไทยได้โดยไม่ต้องขอ visa หรือขอ visa ที่สนามบินก็ได้ สามารถตรวจสอบรายชื่อประเทศดังกล่าวได้ จาก www.consular.go.th หรือ www.mfa.go.th นะคะ

ถาม : เพื่อน ผมเป็นคนนิวซีแลนด์มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่นิวซีแลนด์ ชอบเมืองไทยมากเลยเดินทางเข้ามาเที่ยวบ่อย เพราะไม่ต้องใช้ visa ด้วย บางครั้ง ใน 1 ปี เดินทางเข้า-ออกเมืองไทยบ่อยครั้งมากจนนับได้ว่าอยู่ในเมืองไทยมากกว่าอยู่ ในนิวซีแลนด์เสียอีก แต่ตอนนี้ ทราบว่า ต.ม.มี ระเบียบใหม่เกี่ยวกับระยะเวลาที่อนุญาตให้คนต่างชาติพำนักอยู่หากเข้ามาโดย ไม่มี visa ใช่ ไหมครับ?
ตอบ : ถูก ต้องค่ะ เพื่อไม่ให้คนต่างชาติจำนวนหนึ่งอาศัยช่องทางในการได้รับการยกเว้น visa เดินทางเข้าออกหลายครั้งเพื่อลักลอบทำงานในเมือง ไทยอย่างผิดกฎหมาย สำนักงาน ต.ม. จึงออกมาตรการป้องกันไว้ ปัจจุบัน คนต่างชาติ 42 ประเทศ รวมถึงนิวซีแลนด์ สามารถเดินทางเข้าประเทศ ไทยเพื่อการท่องเที่ยวโดยได้ รับการยกเว้น visa (เรียกว่า ผ. 30) ซึ่งเจ้าหน้าที่ ต.ม. จะอนุญาต ให้อยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 90 วันภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เดินทางเข้าครั้งแรกค่ะ

ในกรณีอย่าง เพื่อนของคุณนี้ ถ้าประสงค์จะท่องเที่ยวระยะยาวจริงๆ ขอแนะนำให้ขอ visa นักท่องเที่ยว จากสถานทูตไทยที่กรุงเวลลิงตัน หรือสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ที่เมืองโอ๊คแลนด์ ก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองไทย เพราะจะได้รับอนุญาตให้อยู่ได้นานกว่าการเข้ามาโดยไม่มี visa ค่ะ

ถาม : อาจารย์ของผมเป็นคนญี่ปุ่น เข้ามาเที่ยวเมืองไทยโดยได้รับการยกเว้น visa ได้รับอนุญาตจาก ต.ม. ให้อยู่ได้ 30 วัน สัปดาห์ หน้าก็จะครบกำหนดแล้ว แต่บังเอิญว่า ท่านประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่งก่อนจะเดินทางกลับญี่ปุ่นได้ทำอย่างไรดีครับ
ตอบ : ขอ แนะนำให้อาจารย์ของคุณขอใบรับรอง แพทย์ไปแสดงกับสำนักงาน ต.ม. ที่ไหนก็ได้ค่ะ แต่ต้องดำเนินการก่อนที่จะครบ 30 วันนะคะ สำนักงาน ต.ม. จะพิจารณาอนุญาตให้อยู่ต่อได้ ตามความจำเป็นค่ะ

การที่คน ต่างชาติอยู่เกินกำหนด โดยที่ไม่ขออนุญาตก่อน เมื่อเดินทางออกจากเมืองไทย จะถูกปรับตามจำนวนวันที่อยู่เกินกำหนดค่ะ (ค่าปรับวันละ 500 บาท หรือรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท)

ถาม : ผมทำธุรกิจส่งออก กำลังขยายกิจการ อยากจะจ้างคนจีนไว้ช่วยทำตลาดจีนควรทำอย่างไรบ้างครับ
ตอบ : ขอ แนะนำให้ปรึกษากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานก่อนค่ะ เพราะมีกฎหมายและระเบียบต่างๆ กำหนดไว้สำหรับการจ้างคนต่างชาติ (www.doe.go.th) สิ่งที่จำเป็นสำหรับนายจ้างก็คือการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (work permit หรือ ต.ท. 2) ให้คนต่างชาติ นั้นๆ ขอแนะนำให้คุณยื่นขอใบอนุญาตทำงานล่วงหน้า (แบบฟอร์ม ต.ท. 3) หากกรมการจัดหางานพิจารณาแล้วเห็นควร อนุมัติ ก็จะออกหนังสือรับรองให้ ซึ่งคุณก็สามารถ

ส่งเอกสารที่ว่านี้และเอกสารประกอบคำร้อง ต่างๆ ที่คุณสามารถตรวจสอบได้จาก www.mfa.go.th หรือ www.consular.go.th ให้คนต่างชาตินั้นไปยื่นขอ Non-Immigrant visa ที่ สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทย ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยค่ะ

ถาม : เพื่อนผมเป็นคนอินเดีย มาเที่ยวเมืองไทยแล้วติดใจครับ อยากจะอยู่ทำงานที่นี่มีคำแนะนำไหมครับ
ตอบ : ถ้า อยากจะทำงานในเมืองไทย ก็ต้องมีนายจ้างก่อนนะคะ หน่วยงานที่อนุญาตให้คน ต่างชาติทำ งานในเมืองไทยได้ก็คือกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ส่วน เรื่องการอนุญาตให้พำนัก
อยู่ในเมืองไทยเป็นอำนาจตามกฎหมายของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ใน กรณีนี้ หากเพื่อนของคุณมีนายจ้างแล้ว ก็ควรจะกลับไปขอ visa ทำงาน (เรียกชื่อทางการว่าNon-immigrant “B” visa) จาก สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทยในอินเดีย โดยมีเอกสารรับรองต่างๆ จากนายจ้างไปแสดง หรือหากให้นายจ้างยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ล่วงหน้า

(แบบ ฟอร์ม ต.ท. 3) ก็จะยิ่งทำให้ขอ visa ได้ง่ายมากขึ้นค่ะ และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไปขอรับใบอนุญาตทำงาน จากนั้น ไปยื่นคำร้องขออนุญาตอยู่ต่อกับสำนักงาน ต.ม. ก่อนที่จะครบกำหนด 90 วันค่ะ

ถ้าเพื่อนของคุณอยู่ต่อ ในเมืองไทยและทำงานโดยไม่มี visa ที่ถูกต้อง และไม่มีใบอนุญาตทำงาน ถือเป็นการผิดกฎหมายนะคะ อาจถูกปรับและเนรเทศกลับประเทศได้

ถาม : ผมมีแฟนเป็นคนฮ่องกง ตอนนี้อยู่ที่ฮ่องกง อยากจะแต่งงานและพาเธอมาอยู่ ด้วยกันที่ เมืองไทย ต้องทำอะไรบ้างครับ
ตอบ : ก่อน อื่น ต้องจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนค่ะ สามารถเลือกจดทะเบียนตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายฮ่องกงก็ได้ หลังจากนั้น ก็นำหลักฐานการจดทะเบียนสมรส
ไปยื่นขอ visa คู่สมรสได้ที่สถานกงสุลใหญ่ ของไทยในฮ่องกง (เรียกว่า Non-immigrant “O”)

เมื่อ ได้ visa แล้ว ก็สามารถอยู่ในเมืองไทยระยะยาวได้ แต่ต้องอย่าลืมไปขอต่ออายุการพำนัก ในเมืองไทยกับสำนักงาน ต.ม. แห่งไหนก็ได้เป็นประจำนะคะ

เรื่องการจดทะเบียนสมรสระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ สามารถขอคำแนะนำจากกองสัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุล ได้ด้วยค่ะ

ถาม : ดิฉัน แต่งงานกับคนเยอรมนี จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเยอรมนีแล้วตอนนี้เราอยู่ด้วยกันที่แฟรงก์เฟิร์ต ดิฉัน เคยพาเขามาเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งแล้ว โดย ไม่ได้ใช้ visa แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน อยาก จะพาเขามาอยู่ระยะยาว ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
ตอบ : สามี ของคุณสามารถยื่นขอ Non-Immigrant “O” Visa ในฐานะคู่สมรสของคนไทยได้ ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ตค่ะ ในการขอ visa นั้น ก็ต้องนำทะเบียนสมรสและหลักฐานไทยของคุณไปแสดงด้วย เมื่อสามีของคุณได้รับ visa แล้ว ก็สามารถเดินทางเข้าเมืองไทย และจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในครั้งแรกไม่เกิน 90 วัน หลัง จากนั้น ก็สามารถขออยู่ต่อที่สำนักงาน ต.ม. แห่งไหนก็ได้ โดยจะได้รับอนุญาตครั้งละไม่เกิน 1 ปีค่ะ

ถาม : ขอ ความกระจ่างอีกนิดหนึ่งครับ แปลว่า ถ้าคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในเมืองไทยแล้วสถานะเปลี่ยนไป เช่น แต่งงานกับคนไทย หรือเปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างอื่น ต้องติดต่อเพื่อขออนุญาตกับสำนักงาน ต.ม. ใช่ไหมครับ
ตอบ : ถูก ต้องค่ะ ต.ม. จะพิจารณาตามเอกสารและความจำเป็น ในบางกรณี อาจได้รับคำแนะนำให้กลับไปประเทศของตนเพื่อขอ visa ที่ถูกต้องเข้ามา จะได้ไม่ประสบปัญหาในอนาคตค่ะ

เอกสาร เดินทางคนต่างด้าว (Travel Document for Aliens หรือ TD) และเรื่องอื่นๆ

ถาม : เอกสาร เดินทางคนต่างด้าวคืออะไรครับ ต่างจากหนังสือเดิน ทางอย่างไรครับ

ตอบ : หนังสือเดินทางเป็นเอกสารการเดินทางสำหรับผู้ที่มีสัญชาติไทยค่ะ ส่วนคนต่างด้าว

ที่พำนักอยู่ในเมืองไทย มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ที่ออกให้โดย ต.ม. แต่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทาง

จากประเทศที่ตนเคยมีสัญชาติเดิม สามารถขอเอกสารเดินทางคนต่างด้าว (TD)

ซึ่งมีอายุการใช้งาน 1 ปี และสามารถต่ออายุ ได้ที่กองตรวจลงตราฯ เพื่อใช้เดินทาง

ไปต่างประเทศชั่วคราวได้ค่ะ

นอกจากคนต่างด้าวที่มีใบถิ่นที่อยู่แล้ว บุคคล ไร้สัญชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย

และคนต่างด้าวทีได้รับถิ่นที่อยู่ถาวรภายใต้โครงการลงทุนเป็นกรณี พิเศษ 10 ล้านบาท

ก็มีสิทธิยื่นขอ TD ได้เช่นกันค่ะ

เอกสารประกอบต่างๆ ในการขอ TD ปรากฎใน www.consular.go.th หรือ www.mfa.go.th ค่ะ


ถาม : พอได้รับ TD แล้วต้องทำอะไรบ้างครับ

ตอบ : อย่างแรกที่ต้องทำคือไปยื่นคำร้องขอ Re-entry Permit จากสำนักงาน ต.ม. ค่ะ

สำนักงาน ต.ม. จะออก Re-entry Permit ให้โดยมี อายุเท่ากับ TD จากนั้น ก็นำ TD ไปขอ visa

เข้าประเทศที่คุณจะเดินทางไปจากสถานทูต ของประเทศนั้นๆ ค่ะ


ถาม : คุณแม่ของผมเป็นคนต่างด้าว แต่ตอนนี้มีหนังสือเดินทางจีนอยู่ด้วย จะขอ TD ได้ไหมครับ

ตอบ : กรมการกงสุลไม่สามารถออก TD ให้กับบุคคล ที่มีหนังสือเดินทางของประเทศอื่นค่ะ

ในกรณีเช่นนี้ คุณแม่ของคุณสามารถใช้หนังสือเดินทางจีนเดินทางออกจากเมืองไทยได้ค่ะ

แต่ควรปรึกษากับ ต.ม. ก่อนล่วงหน้าให้แน่ใจว่าต้องดำเนินการอะไรหรือไม่ถึงจะสามารถเดินทาง

กลับเข้ามาเมืองไทยได้อย่างไม่มีปัญหา


ถาม : คุณพ่อผมเป็นคนต่างด้าว อยากให้ท่านได้รับสัญชาติไทย จะได้เปลี่ยนจากถือ TD

เป็น หนังสือเดินทางไทย ต้องทำ อย่างไรบ้างครับ

ตอบ : การได้สัญชาติไทยอยู่ในอำนาจการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยค่ะ คนต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่

ในเมืองไทยและประสงค์จะได้สัญชาติไทย ต้องไปยื่นคำร้องขอที่กองตำรวจสันติบาล

สามารถขอคำแนะนำในเบื้องต้นได้ที่กอง สัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุลค่ะ


ถาม : สามารถ ขอต่ออายุ TD ในต่างประเทศได้ ไหมครับ คุณลุงของผมเป็นคนต่างด้าว

ใช้ TD เดินทางไปเยี่ยมญาติที่เกาหลีใต้ แล้วไปล้มป่วยอยู่ที่นั่น เกรงว่า TD จะหมดอายุ

เสีย ก่อนที่ท่านจะหายป่วยและเดินทางกลับได้

ตอบ : ในหลักการแล้ว สถานทูตสถานกงสุลใหญ่ไม่สามารถต่ออายุ TD ให้ได้ค่ะ หากผู้ที่ถือ TD

ไม่เดินทางกลับประเทศไทยระหว่างที่ TD และ Re-entry Permit ยังมีอายุอยู่

สถานะของคนต่างด้าวที่ได้รับใบถิ่นที่ อยู่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยนะคะ

หาก เป็นกรณีที่สุดวิสัยจริงๆ เช่น เจ็บป่วยในต่างประเทศ ขอให้ติดต่อสถานทูต/สถานกงสุล ใหญ่ของไทยที่อยู่ใกล้ที่สุด พร้อมแสดงหลักฐานประจำตัวต่างๆ รวมถึงใบรับรองแพทย์ค่ะ

และสถานทูต/สถานกงสุลใหญ่จะหารือกับกอง ตรวจลงตราฯ กรมการกงสุล เพื่อช่วยหาทางออกให้ต่อไปค่ะ


ถาม : นอกจากหนังสือเดินทางและ เอกสารเดินทางคนต่างด้าวแล้ว ผมเคยได้ยินว่า

มีเอกสารที่เรียกว่า Emergency Certificate ด้วย คืออะไรครับ

ตอบ : Emergency Certificate หรือ EC คือเอกสารการเดินทางที่กองตรวจลง ตราฯ กรมการกงสุล

ออกให้กับคนต่างชาติในการเดินทางออกจากเมืองไทยแบบฉุกเฉินค่ะ กลุ่มคนต่างชาติที่มีสิทธิ

ขอ EC เป็นคนกลุ่มพิเศษที่ไม่สามารถยื่นขอหนังสือเดินทางของประเทศใดๆ ในเมืองไทยได้

เช่น (1) คนต่างชาติที่ทำหนังสือเดินทางหาย และไม่มีสถานทูตของตนตั้งอยู่ในเมืองไทย

(2) บุตรของคนต่างชาติที่เกิดในเมืองไทย แต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย และไม่มีสถานทูต

ของตนตั้งอยู่ใน เมืองไทย (3) เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในความดูแลของกรมพัฒนาสังคม

และสวัสดิการ (4) คนต่างชาติที่ลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ในเมืองไทย

ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ในเอกสาร April 2008