หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2548

การขอหนังสือเดินทางธรรมดา

กรณี
  • บุคคลบรรลุนิติภาวะ
  • ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
  • ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์

บุคคลบรรลุนิติภาวะ
เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของบุคคลบรรลุนิติภาวะ
  • บัตร ประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรข้าราชการ หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง (ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย)
  • หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
.... ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องนำสูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาต้องได้รับการรับรองสำเนาถูกต้อง
จาก อำเภอ/เขตมาแสดงพร้อมผู้มีอำนาจปกครอง หากผู้มีอำนาจปกครองไม่สามารถมาดำเนินการได้ สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนได้โดยต้องมีหนังสือมอบอำนาจและ หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชน ของบิดามารดาและ/หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริงมาแสดง ทั้งนี้หนังสือมอบอำนาจและหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศต้อง ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต

เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์ อายุต่ำกว่า 15 ปี
  • สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาสูติบัตรต้องได้รับการรับรองจากอำเภอ/เขต
  • บิดาและมารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองนำบัตรประชาชนฉบับจริงมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ของบิดา มารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง หากชื่อนามสกุลบิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ หรือ นามสกุลที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย ในกรณีที่มารดาหย่า และจดทะเบียนสมรสใหม่ และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมา แสดงด้วย
  • หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศและบัตรประจำตัวประชาชน ฉบับ จริงของบิดามารดาที่ไม่มา ในกรณีที่บิดา/มารดาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้
    **หนังสือยินยอมของบิดา/มารดา ต้องผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต(ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องมีบิดาหรือมารดา คนใดคนหนึ่งมาแสดงตัวให้ความยินยอม)
  • เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรอง บุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่า ซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดา หรือมารดา เป็นต้น
  • กรณีบิดา มารดาผู้เยาว์เสียชีวิต / บิดาหรือมารดาผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติมิได้จดทะเบียนสมรสและ ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้ /บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครอง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดง
  • ค่า ธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
.....ผู้ เยาว์ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่ทำบัตรประชาชนแล้วสามารถติดต่อขอทำ หนังสือเดินทางด้วยตนเอง โดยมีหนังสือยินยอมของบิดาและมารดา หรือ ผู้มีอำนาจปกครองที่ยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรอง จากอำเภอ/เขตมาแสดงประกอบการยื่นคำร้อง หากไม่มีหนังสือยินยอม บิดาและมารดาหรือผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ต้องมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่ใน วันที่ยื่นคำร้อง (หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาไม่ได้ ให้มาลงนามในวันรับเล่ม) หรือ มีหนังสือยินยอม จากฝ่ายที่มาไม่ได้มาแสดง เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องผ่านการ รับรองสำเนาถูกต้อง จากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น

เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์ ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวง มหาดไทย
  • หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจาก อำเภอ/เขต และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครอง พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
  • เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบ
  • สำคัญการสมรส ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดา เป็นต้น
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท
ความหมายของผู้มีอำนาจปกครอง
กรณี บิดาและมารดาจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้า เจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้งสองฝ่ายหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้องให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง
  • กรณีที่ผู้มี อำนาจปกครองอยู่ในต่างประเทศ ให้ทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยในประเทศที่พำนักอยู่ หากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้ปกครองไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองและประสงค์จะมอบอำนาจให้ผู้อื่น มาดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ และหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ โดยหนังสือทั้ง 2 ฉบับ ต้องผ่านการรับรองจาก สอท./สกญ. (สถานทูต/สถานกงสุล) กรณีบิดามารดาหย่าตามกฎหมาย ให้ผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ตามที่ระบุในบันทึกการหย่าเป็นผู้ลงนามพร้อม แสดงทะเบียนหย่า และบันทึกการหย่า
  • ผู้เยาว์ที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส มารดาสามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดยให้ทำ บันทึกคำให้การจากอำเภอ/เขตยืนยันว่าไม่ได้จดทะเบียนสมรสพร้อมแสดงหลักฐาน บัตรประจำตัวประชาชนที่มีอายุใช้งานเป็น “นางสาว” ต่อเจ้าหน้าที่รับคำร้อง
  • มารดาผู้เยาว์ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ใช้คำนำหน้า “นาง” สามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดย นำหนังสือรับรองการอุปการะบุตรแต่เพียงผู้เดียวจากอำเภอ/เขต มาแสดง
  • ผู้เยาว์เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มารดาต้องมาลงนามให้ความยินยอม บิดา ไม่สามารถลงนามยินยอมให้ผู้เยาว์เพียงฝ่ายเดียวได้ เว้นแต่ว่ามีคำสั่งศาลมาแสดงว่าศาลให้บิดาเป็นผู้อุปการะผู้เยาว์แต่ผู้ เดียว
  • บิดามารดาผู้ให้กำเนิดผู้เยาว์ที่ได้ยกผู้เยาว์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของ ผู้ อื่นแล้ว ไม่สามารถลงนาม แทนบิดามารดาบุญธรรมได้ต้องให้บิดา มารดาบุญธรรมเป็นผู้ลงนาม
  • เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องได้ รับ การรับรองสำเนา ถูกต้องจากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น
ข้อควรปฏิบัติในวันมายื่นคำร้อง
... กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรส บิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้าเจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้ง สองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้อง ให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง

ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2548

สิงคโปร์

ที่ตั้ง - ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 1'09'เหนือ และ 1'29'เหนือ กับเส้นแวงที่ 103'36'เหนือ และ 104'25'เหนือ หรือประมาณ 137 กิโลเมตรเหนือเส้นศูนย์สูตร

รูปแบบการปกครอง
- สาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว) โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

พื้นที่ - ประกอบด้วยเกาะสิงคโปร์และเกาะใหญ่น้อยในบริเวณรอบ ๆ 63 เกาะ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 682.7 ตารางกิโลเมตร เกาะสิงคโปร์เป็น เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความยาวจากทิศตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 42 กิโลเมตร และความกว้างจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ประมาณ 23 กิโลเมตร

ภูมิอากาศ - อากาศร้อนชื้นตลอดปี และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 26.8-31 องศาเซลเซียส

วันชาติ - 9 สิงหาคม (แยกตัวจากสหพันธรัฐมาเลเซีย เมื่อ 9 สิงหาคม 2508)

เงินตรา - ดอลลาร์สิงคโปร์

ภาษา - อังกฤษ (ภาษาราชการ) มาเลย์ จีนกลาง ทมิฬ

ศาสนา - พุทธ (42.5%) อิสลาม (14.9%) คริสต์ (14.6%) ฮินดู (4%)

ประชากร - 4,240.3 ล้านคน (2547)

เชื้อชาติ - ประกอบด้วยชาวจีน (76.5%) ชาวมาเลย์ (13.8%) ชาวอินเดีย (8.1%) และอื่น ๆ (1.6%)

เวลา - GMT+0800 (เวลาที่สิงคโปร์เร็วกว่าเวลาในไทย 1 ชั่วโมง)

เอกอัครราชทูตไทยประจำสิงคโปร์ - นายเฉลิมพล ทันจิตต์ (Mr. Chalermpol Thanchitt) (เข้ารับหน้าที่เมื่อมกราคม 2547)

เอกอัครราชทูตสิงคโปร์ประจำไทย - นายชัน เฮง เวง (Mr. Chen Heng Wing) (เข้ารับหน้าที่เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2545)

02/06/2005


สิงคโปร์ ประเทศทันสมัยแต่ไซต์เล็ก
โดย ผู้จัดการออนไลน์

ตอน : ตะลุยแดนลอดช่อง เที่ยวท่องมองเมือง


รูปปั้นเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล ผู้ค้นพบสิงคโปร์เป็นคนแรก


เมื่อครั้งสมัยเรียนมัธยม วิชาอะไรจำไม่ได้แล้ว คุณครูได้สอนให้“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ท่องว่า“สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่เล็กนิดเดียว เล็กกว่าจังหวัดนนทบุรีเสียอีก“ก่อนที่จะเปิดฉากสอนถึงเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจและบทบาทในภูมิภาคของประเทศนี้ ซึ่งเราก็รับรู้ว่าประเทศนี้มีพื้นที่เล็กมากๆ

แต่เมื่อได้มีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ ดินแดนลอดช่องหลังจากโรคซาร์สสงบ ตามประสาคนชมชอบท่องเที่ยวก็พบว่าความเล็กของประเทศสิงคโปร์นั้นจัดอยู่ในประเภท “เล็กๆแต่เร้าใจ” เนื่องจากว่ามากมายไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว แถมบางแห่งก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ที่ถ้าจะให้เที่ยวกันแบบจริงๆจังๆก็คงต้องใช้เวลาเป็นเดือน

ซึ่ง“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ไม่มีเวลามากขนาดนั้น การเที่ยวสิงคโปร์ในครั้งนี้จึงเลือกเที่ยวเฉพาะไฮไลท์ที่น่าสนใจ โดยมีคุณ Chong en Ching หรือ K.C. ไกด์รุ่นเก๋า หนุ่มใหญ่น้ำหนักเยอะ มานำเที่ยวตลอดทริป

ถึงแม้ว่า K.C. จะเป็นคนสิงคโปร์แท้ๆ แต่แกก็พูดไทยชัดเจน แถมยังรอบรู้เรื่องราวต่างๆของเมืองไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น ประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง บันเทิง เรียกว่าทำการบ้านมาดี ทำให้การเที่ยวทริปนี้นอกจากจะได้อรรถรสแล้ว เรายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลของประเทศตนเองซึ่งกันและกัน

สำหรับรูปแบบการเที่ยวในครั้งนี้ก็เป็นแบบจับฉ่าย คือ เที่ยวผสมปนเปกันไป ใกล้ที่ไหนก็เข้าไปเที่ยวที่นั่น แต่เพื่อความเหมาะสม“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ขอจัดระเบียบรัตน์ นายกสมาคมเมียหลวง เอ๊ย!!! ขอจัดระเบียบการเที่ยวเป็นหมวดหมู่ต่างๆ คือ การเที่ยวชมเมือง ชมสรรพสัตว์ ชมวัฒนธรรม ส่วนการเที่ยวกิน เที่ยวช้อปนั้นเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคลและเรื่องของกำลังทรัพย์ในกระเป๋า ซึ่งใครมีน้อยก็ใช้น้อยกินน้อย มีเยอะก็ใช้เยอะกินเยอะ ไม่ว่ากัน


จาก : @ - 19/08/2005 11:47

# 2

เที่ยวท่องมองเมือง


บั๊ม โบ๊ท เรือนำเที่ยวล่องแม่น้ำสิงคโปร์จอดเรียงรายอยู่ริมฝั่งน้ำท่ามกลางตึกสูงระฟ้า


เพื่อนๆสถาปนิกหลายๆคน มักจะบอกกับ“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ว่า ถ้าอยากดูเมืองในเอเชียที่มีความก้าวล้ำในเรื่องของเทคโนโลยีการก่อสร้าง เมืองที่ถูกออกแบบเรื่องการวางผังมาเป็นอย่างดี เมืองที่สะอาดสะอ้าน ก็ให้ไปดูได้ที่ประเทศสิงคโปร์

ในเส้นทางล่องเรือเราจะได้เห็นตึกสูงเสียดฟ้าขึ้นควบคู่ไปกับย่านชุมชนเก่า อย่าง “โบ๊ท คี”ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารฝรั่งเศส และ“คล๊าก คี”ซึ่งโด่งดังเรื่องอาหารจีน สำหรับย่านทั้ง 2 นี้ ภาษาอังกฤษจะเขียนว่า Boat Quay และ Clarke Quay แต่อย่าพยายามอ่านตรงตัวแบบไทยๆเลยเพราะ มิฉะนั้นจะเป็น โบ๊ท ค... และ คล๊าก ค... ซึ่งเมื่อไปถามคนสิงคโปร์เขาจะไม่รู้จักหรอก และเมื่อไปถามคนไทยก็จะถูกกล่าวหาว่าทะลึ่งได้
ซึ่งก็เห็นจะจริงดังนั้น เพราะเมื่อไปถึงสิงคโปร์ เดินทางออกจากสนามบิน ชางฮี (Changi) เราก็สัมผัสได้ถึงความสะอาดสะอ้าน ความเป็นระเบียบของเมือง โดยตลอด 2 ข้างทางและเกาะกลางถนน จะรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่-เล็ก รวมถึงมวลหมู่ดอกไม้นานาพันธุ์ ที่เมื่อนักรถผ่านแล้วมองสบายตายิ่งนัก

K.C. เลือกเปิดทริปด้วยการพา“ผู้จัดการท่องเที่ยว”ไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ผ่านรูปปั้นเซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิล ผู้ค้นพบสิงคโปร์เป็นคนแรก ก่อนที่จะมาลงหลักปักฐานและเสียชีวิตลงที่เมืองนี้ โดยบริเวณทางเดินริมน้ำใกล้ๆกันจะมีรูปปั้นอีกหลายตัว ซึ่งนอกจากจะน่าดูแล้วแต่ละตัวยังมีที่มาที่ไปอันน่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง K.C. ก็ได้ถ่ายทอดออกมาให้เราฟังอย่างมีรสชาติ

เมื่อรู้ประวัติศาสตร์คร่าวของสิงคโปร์ผ่านรูปปั้นเล่าเรื่อง K.C. ก็พาเรานั่งเรือบั๊ม โบ้ท (Bump Boat) ที่มีอดีตเป็นเรือขนส่งเก่าล่องชมทิวทัศน์ 2 ฝั่งแม่น้ำสิงคโปร์ แม่น้ำที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดสายหลักของคนสิงคโปร์ ซึ่งอดีตนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ก่อนที่จะกลายเป็นท่าเรือที่สำคัญทางเศรษฐกิจ


จาก : @ - 19/08/2005 11:50

# 3


ตัวเมอร์ไลออนยามค่ำคืนสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์


เรือบั๊ม โบ๊ท ได้พา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ล่องผ่านสะพานรูปร่างแปลกตา มีดีไซน์ 2-3 สะพาน ก่อนจะไปออกยังปากแม่น้ำ ที่มีตัวเมอร์ไลออน (Merlion) ตั้งตระหง่านหันหน้าออกไปยังอ่าวมารินามองเห็นแต่ไกล

อันตัวเมอร์ไลออนนี้ มีอายุ 30 กว่าปีแล้ว โดยตัวเมอร์ไลอ้อนนั้นหัวจะเป็นสิงโต ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของตำนานการค้นพบดินแดง "สิงคปุระ" ของชาวมาเลย์ ส่วนลำตัวเมอร์ไลอ้อนจะเป็นปลากำลังโต้คลื่นนั้นหมายถึงการเริ่มต้นของสิงคโปร์ที่เต็มไปด้วยหมู่บ้านชาวประมงในอดีต

ปัจจุบันตัวเมอร์ไลออนถือเป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ ที่ใครไปใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปคู่กับเจ้าตัวนี้เสมอ

K.C. ได้แนะนำว่าตัวเมอร์ไลออนนี้ถ้าจะถ่ายรูปให้สวยควรมาตอนกลางคืนก่อนเที่ยงคืน เพราะจะมีไฟส่องดูสวยงาม


โรงละคร เอสพลาเนด อาคารทรงทุเรียนที่ดูสวยงามแปลกตาริมฝั่ง Marina Bay


เนื่องจากเวลามีจำกัด พอเสร็จสิ้นการล่องเรือ ซึ่งเป็นเวลาช่วงยามเย็น K.C.ก็พาเราไปต่อยัง โรงละคร เอสพลาเนด (Esplanade - Theatres on the bay) ที่นี่เราจะได้เห็นถึงความล้ำหน้าของเทคโนโลยีการก่อสร้าง ที่ออกแบบให้โรงละคร เอสพลาเนด หน้าตาออกมามีหนามแหลมๆ ดูคล้ายกับทุเรียนผ่าครึ่ง 2 ซีกวางอยู่คู่กันริมฝั่ง Marina Bay

เสน่ห์ อีกอย่างหนึ่งของโรงละครเอสพลาเนด นอกเหนือไปจากความสวยงามแปลกตาแล้ว ก็คือการตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม ทำให้บริเวณรอบๆกลายที่พักผ่อนเดินเล่นของคนสิงคโปร์ เพราะว่าทิวทัศน์รอบๆล้วนสวยงามด้วยท้องทะเล มองเห็นสะพาน Esplanade และตัวเมอร์ไลอ้อน ส่วนตัวโรงละครรูปทุเรียนนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดฮิตประจำสิงคโปร์

ซึ่ง “ผู้จัดการท่องเที่ยว”เห็นอาคารรูปทุเรียน 2 ซีกนี้แล้ว ก็อดคิดไปถึง “สไปเดอร์แมน” ไม่ได้ว่า เมื่อเจอตึกมีหนามแหลมๆอย่างนี้แล้วพี่แกจะกล้าชักใยโหนไปเกาะหรือเปล่า...


จาก : @ - 19/08/2005 11:53

# 4


ทิวทัศน์สิงคโปร์ยามค่ำคืนเมื่อ มองออกไปจากสวิสโอเท็ล


คืนนั้นหลังจากที่เที่ยวชมเมืองจนเหน็ดเหนื่อย K.C. พาเราไปนั่งดริงก์ “สิงคโปร์ สลิง” ค๊อกเทลขึ้นชื่อของสิงคโปร์ พร้อมๆกับการนั่งชมวิวยามค่ำคืนของเมืองลอดช่องที่ห้องอีควัวน๊อก (Equinox) ใน สวิสโอเท็ล (Swissotel) ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดของสิงคโปร์ โดยครั้งหนึ่งเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกมาแล้ว

ณ ที่นี่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ได้เห็นถึงความสวยงามของสีสันแสงไฟ และตึกรูปทรงแปลกตาของตึกยามค่ำคืน ซึ่งแม้ว่าจะขึ้นเบียดเสียดกันอยู่หนาแน่นแต่ว่าก็ดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ

เมื่อเราเห็นแล้วก็อดนึกถึงบ้านเราไม่ได้ว่า เมื่อไหร่กรุงเทพฯจะสะอาดสะอ้านและสวยงามเป็นระเบียบ อย่างสิงคโปร์บ้างนะ เพราะเห็นว่ากรุงเทพฯกำลังจะมีผังเมืองใหม่ แต่ก็ติดที่ว่าผู้มีความรู้เกี่ยวกับผังเมืองหลายๆท่านต่างออกมาแสดงอีโก้ถกเถียงกัน โดยที่ไม่พยายามจะร่วมมือกันสร้างกรุงเทพฯให้สวยงามน่าอยู่ เฮ้อ...คิดแล้วก็น่าหดหู่หัวใจยิ่งนัก เพราะฉะนั้นคืนนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จึงเลือกนั่งดริงก์ให้กรึ่มๆดับความหดหู่ ก่อนที่จะเข้านอนเก็บแรงไว้เที่ยวในวันต่อไป...


จาก : @ - 19/08/2005 11:54

# 5

ตอน: ตะลุยแดนลอดช่อง เที่ยวท่องมองสรรพสัตว์


กระเช้าลอยฟ้าชมวิวสิงคโปร์ที่เกาะเซ็นโตซ่า


ในวันแรกของการเที่ยวสิงคโปร์ K.C. ได้พา“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ตะลุยชมเมืองในบางส่วนเป็นการอุ่นเครื่อง โดยยังเหลือไว้ด้วยกิจกรรมชมเมืองที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การนั่งกระเช้าชมทิวทัศน์เมืองลอดช่องในมุมสูงที่ “เกาะเซ็นโตซ่า”(Sentosa Irland) ซึ่งK.C. บอกว่าเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสิงคโปร์นิยมกันมาก

การนั่งกระเช้า(Cable Car) ชมทิวทัศน์เมืองสิงคโปร์ที่เกาะเซ็นโตซ่าก็ไม่มีอะไรมาก ขอเพียงแค่จ่ายเงินค่าขึ้น และไม่เป็นคนกลัวความสูงก็พอแล้ว โดยหลังจากนั้นกระเช้าก็จะเคลื่อนตัวไปบนลวดสลิง ปล่อยให้คนในกระเช้าเลือกมองมุมได้รอบทิศ

ระหว่างนั่งกระเช้านอกจากจะได้เห็นทิวทัศน์ของเกาะเซ็นโตซ่า และท้องทะเลรวมถึงความทันสมัยของเมืองลอดช่องอย่างจุใจแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ยังได้เห็นถึงการวางผังเมืองที่แบ่งพื้นที่ประเทศสิงคโปร์ออกเป็นโซนต่างๆอย่างเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นย่านอุตสาหกรรมจูร่ง ย่านธุรกิจ ย่านที่อยู่อาศัย ย่านพื้นที่สีเขียว ย่านท่าเรือ ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของประเทศสิงคโปร์

แต่ก็ใช่ว่าเกาะเซ็นโตซ่าจะมีดีแค่การนั่งกระเช้าเท่านั้น เพราะที่เกาะแห่งนี้ยังที่แหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายให้เที่ยวชม อย่างเช่น การขึ้นไปชมวิวที่หอคอยเมอร์ไลอ้อน(Merlion Tower) การเพลิดเพลินกับการชมน้ำพุเต้นระบำ (Musical Fountain)ในยามค่ำ การได้รอบรู้เรื่องของประเทศสิงคโปร์ผ่านหุ่นขี้ผึ้งที่ Images of Singapore

และที่ไม่น่าพลาดก็คือการท่องโลกใต้ทะเลที่ถูกนำมาไว้บนบกที่ “อันเดอร์ วอเตอร์เวิลด์” ซึ่งK.C. บอกว่าที่นี่ถือเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของเกาะเซ็นโตซ่า


จาก : @ - 19/08/2005 12:12

# 6

เที่ยวท่องมองสรรพสัตว์


อควาเรียมชมโลกใต้ทะเลในอันเดอร์วอเตอร์เวิลด์



ในอันเดอร์ วอเตอร์เวิลด์ จะมีการแบ่งโลกใต้ทะเลออกเป็นโซนต่างๆ สำหรับจุดแรกที่ทุกคนต้องผ่านก็คือ Main Hall ที่เป็นห้องแสดงข้อมูลของสัตว์น้ำนานาชนิด โดยในนั้นจะมีสระเล็กๆ เท่าที่“ผู้จัดการท่องเที่ยว”จำได้ก็มี ปลาปักเป้า ฉลามกบตัวเล็ก และปลาหลากหลายสี ว่ายเวียนไปมา ซึ่งเราสามารถเอามือจุ่มลงไปสัมผัสกับปลาพวกนั้นได้

ผ่าน Main Hall ก็เป็น Wet Land ในนี้เราจะได้พบกับสัตว์ทะเลที่น่าสนใจหลายชนิด อาทิ ปลามังกร ม้าน้ำ ส่วนตัวที่โดดเด่นก็คือ มังกรทะเล สัตว์ทะเลหายาก(มาก)ที่หลงเหลือในธรรมชาติที่เดียวในโลกคือที่ ทะเลออสเตรเลีย

โซน Jelly เป็นจุดถัดมาในนั้นก็จะมีพวกสัตว์ ที่ตัวหนืดๆยืดหยุ่นทั้งหลาย ตัวพระเอกก็คือ แมงกะพรุนที่เมื่อแหวกว่ายในตู้มืดจะให้สีสันเรืองแสงน่ามองมาก

แล้วก็มาถึงอควาเรียมชมโลกใต้ทะเลที่ถือเป็นไฮไลท์ของ อันเดอร์ วอเตอร์เวิลด์เนื่องจากว่าในนั้นจะน่าตื่นตาตื่นใจไปด้วย สารพัดปลาทะเลนับพันตัวที่แหวกว่ายอวดโฉมไปมา ที่คนชอบดูกันมากๆก็จะเป็น ปลาฉลาม ปลากระเบนยักษ์ ปลาไหลมอเรย์ โดยทางเดินเข้าชมในอควาเรียมนั้นก็มีทั้งทางเดินธรรมดาและที่เป็นรางเลื่อนพาไหลเข้าไปเป็นวงรอบก่อนจะมาโผล่ยังจุดเดิม

สำหรับคนไทยที่อยากสัมผัสกับอควาเรียมที่สามารถเดินเข้าชมอารมณ์การแหวกว่ายของสัตว์ใต้ทะเลนานาชนิด ปัจจุบันในเมืองไทยเราก็มีให้ดูที่ อันเดอร์ วอเตอร์เวิลด์ พัทยา ซึ่งรูปแบบก็คล้ายๆกับที่สิงคโปร์ เพราะเป็นเจ้าของนั้นเป็นกลุ่มเดียวกัน


จาก : @ - 19/08/2005 12:16

# 7


สิงโตเจ้าป่าแห่งไนต์ซาฟารีกับมาดนิ่มๆที่น่าเกรงขาม
(ภาพโดย: ไนต์ซาฟารี)


“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ต้องขอชมK.C.ว่าช่างเลือกจังหวะไปชมอันเดอร์ วอเตอร์เวิลด์ได้เหมาะเหม็งจริงๆเพราะเวลาที่เราเข้าชมกันเป็นช่วงเย็นๆใกล้ค่ำ พอออกจากที่นั่น เราก็ขึ้นไปชมวิวเกาะเซ็นโตซ่ายามค่ำที่หอคอยเมอร์ไลอ้อน และต่อด้วยการดูน้ำพุเต้นระบำ จากนั้นก็ไปหาอะไรกินเพิ่มพลังในมื้อเย็น ก่อนที่จะไปปิดทริปของวันนั้นทื่ “ไนต์ซาฟารี” (Night Safari)


ลีลาการเล่นน้ำที่น่ารักน่าชังของนากตัวน้อยในไนต์ซาฟารี
(ภาพโดย: ไนต์ซาฟารี)


ไนต์ซาฟารี สิงคโปร์ นับเป็นสวนสัตว์กลางคืนแห่งแรกของโลก ที่เราสามารถเลือกเดิน หรือนั่งรถรางเที่ยวก็ได้ ซึ่งถ้าเลือกนั่งรถรางประมาณ 50 นาทีก็จะไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ้ม แต่ถ้าเลือกเดินก็จะสามารถชมสัตว์บางตัวที่ชื่นชอบได้อย่างจุใจ

สำหรับบรรยากาศในไนต์ซาฟารี เราจะได้เห็นถึงการใช้ชีวิตของสรรพสัตว์ยามค่ำคืน ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีรูปแบบที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป โดยถ้าจะดูการหากินแบบน่ารักสามัคคีก็ต้องดูกวางป่าที่ออกหาหญ้ากินกันเป็นฝูงๆ หรือถ้าจะดูความน่าเกรงขามก็ต้องดูสิงโตเจ้าป่าที่มาในมาดนิ่มๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยรังสีแห่งความน่ากลัว

ส่วนที่ใครๆดูแล้วน่ารักน่าชังก็เห็นจะเป็นกลุ่มเจ้านากตัวน้อยที่ลงเล่นน้ำในลำธารด้วยความสนุกสนาน หรือถ้าจะดูก้อนหินเดินได้ก็ต้องดูเจ้าแรดตัวโต เพราะเมื่อยามใดที่มันหยุดนิ่งมองไกลๆจะดูคล้ายกับก้อนหิน นอกจากนี้ที่ไนท์ซาฟารีก็ยังมีสัตว์ที่น่าสนใจอีกมากให้เลือกชม อย่างเช่น ยีราฟ เสือมาเลเซีย ไฮยีน่าลายทาง และอีกสารพัดสัตว์

คืนนั้นเราเพลิดเพลินกับการชมสารพัดสัตว์ที่ไนท์ซาฟารีกันอย่างจุใจ ก่อนจะแยกไปนอนห้องใครห้องมัน



จาก : @ - 19/08/2005 12:22

# 8


ลีลาน่ามองยามเช้าของเจ้านกฟลามิงโกในสวนนกจูร่ง


รุ่งเช้า “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ยังไม่ทันที่จะตื่นแบบเต็ม 2 ตาดี K.C. ก็พาขึ้นรถไปต่ออารมณ์ชมสัตว์ด้วยการกินมื้อเช้าใน “สวนนกจูร่ง” (Jurong BirdPark) โดยสวนนกแห่งนี้ถือเป็นสวนนกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีนกให้เลือกชมกว่า 500 ชนิดท่ามกลางบรรยากาศของมวลหมู่ต้นไม้ที่ร่มรื่นเขียวครึ้ม

ที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ติดอกติดใจก็มี มวลหมู่นกฟลามิงโกฝูงใหญ่ในสระน้ำที่เกิดจากน้ำตก Aviary ซึ่งเป็นน้ำตกที่มนุษย์สร้างขึ้นสูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 30 เมตร กลุ่มนกเพนกวินที่มีทั้งลงเล่นน้ำและเดินตุปัดตุเป๋ในห้องกระจกบรรยากาศขั้วโลกเหนือ การแสดงของนกแสนรู้หลังอาหารเช้า และการให้อาหารนกในพื้นที่ที่ทางสวนนกจัดไว้ให้


นกเพนกวินหนึ่งในดาวดังแห่งสวนนกจูร่ง


เราเดินชมนกชมไม้ในสวนนกจูร่งกันอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่ K.C. จะพา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เปลี่ยนอารมณ์จากการเที่ยวชมชีวิตสรรพสัตว์เป็นการไปเที่ยวชมชีวิตวัฒนธรรมที่เด่นของชาวสิงคโปร์



จาก : @ - 19/08/2005 12:25

# 9

ตอน: ตะลุยแดนลอดช่อง เที่ยวท่องมองวัฒนธรรม


แม้ภายนอกจะเป็นอาคารแบบยุโรปแต่ภายใน ACM กลับมากมาย
ไปด้วยเรื่องราวของอารยธรรมเอเชีย


ช่วง 2 วันกว่าๆในสิงคโปร์ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”กับ K.C. ก็ได้ใช้เวลาตะลุยเที่ยวแดนลอดช่องกันแบบโปรแกรมแน่นเอี๊ยด ทั้งตะลุยเที่ยวชมเมืองและตะลุยเที่ยวชมสิงสาราสัตว์ (เนื้อเรื่องอยู่ใน 2 ตอนที่ผ่านมา)

โดยแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งที่เราไปเยือนและแหล่งท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดในดินแดนลอดช่องนั้น จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทมนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้น

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กมากๆ พื้นที่ส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องถูกจัดสรรเพื่อประโยชน์ใช้สอยของมนุษย์ ธรรมชาติเพียวๆในดินแดนลอดช่องจึงมีน้อยมาก ที่เห็นมีก็เพียงทะเลเท่านั้น แต่ว่าความสวยงามนั้นเทียบไม่ได้กับเมืองไทย ส่วนป่าไม้นั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะตั้งแต่อังกฤษ เข้ามาปกครองสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ. 2362 พื้นที่ป่าได้ถูกทำลายลงเพื่อการก่อสร้างจนเหลือไม่ถึง 10 %

เหตุการณ์นี้ไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ แต่บ้านเรายังเหลือป่าอยู่กว่า 10 % ซึ่งในอนาคตก็ไม่แน่ใจว่าจะเหลืออยู่สักแค่ไหน เพราะตราบใดที่ยังมีบุคคลกลุ่มหนึ่งทำมาหากินด้วยการตัดไม้ทำลายป่า ป่าไม้ของเมืองไทยที่เหลือน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งหดหายลงไปเรื่อยๆ ไม่แน่นะ อีกประมาณ 30 ปีข้างหน้า คนไทยเราอาจจะต้องเที่ยวชมธรรมชาติเทียมๆที่ถูกสร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์อย่างสิงคโปร์ก็เป็นได้

และจากการปกครองของอังกฤษเกือบ 200 ปี ก็ทำให้วัฒนธรรมของคนสิงคโปร์มีส่วนที่เป็นตะวันตกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่ง K.C. ได้เล่าเรื่องที่ชวนหดหู่ใจให้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ฟังว่า มีวัยรุ่นไทยๆหลายคนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ มักจะพูดกันว่า “ทำไมประเทศไทยไม่เป็นเมืองขึ้นของตะวันตกบ้างนะ จะได้พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ”

เรื่องนี้ K.C. ได้บอกกลับไปว่า “เป็นประเทศเอกราชอย่างเมืองไทยนะดีแล้ว ภาษาอังกฤษมันสามารถเรียนกันได้ แต่ถ้าประเทศตกเป็นเมืองขึ้นนี่สิ ชีวิตของพวกเราคนสิงคโปร์ในยุคนั้น โดนดูถูกยิ่งกว่าหมาเสียอีก”

“ผู้จัดการท่องเที่ยว” เมื่อได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง แต่ว่าก็แอบภูมิใจในความเป็นไทยอยู่ลึกๆไม่ได้

K.C. ได้เล่าต่อว่า หลังจากสิงคโปร์ได้รับเอกราช ทางรัฐบาลก็พยายามที่จะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของโลกตะวันออกไว้ให้มากที่สุด โดยย่านวัฒนธรรมที่เด่นๆของสิงคโปร์ก็มีอยู่ 2 แห่ง คือย่านไชน่าทาวน์ และ ลิตเติ้ล อินเดีย ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักๆปิดท้ายก่อนอำลาจากดินแดนลอดช่อง


จาก : @ - 19/08/2005 12:36

# 10

เที่ยวท่องมองวัฒนธรรม


เทคนิคการจัดแสดงที่ครบเครื่องเรื่องแสง-สี-เสียงและศิลปวัตถุ ใน ACM


ก่อนที่จะออกไปเดินชมวิถีชีวิตวัฒนธรรมของผู้คนทั้ง 2 ย่าน K.C.ก็พา “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ไปอุ่นเครื่องชมพัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของเอเชีย ที่ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย(Asian Civilisations Museums หรือ ACM) ภายในอาคารทรงยุโรป แถวถนน Armenian Street

ใน ACM ได้รวบรวมเอาศิลปวัตถุที่เก่าแก่ของเอเชียมาจัดแสดง ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยี แสง-สี-เสียง แสดงถึงพัฒนาการของอารยธรรมเอเชีย โดยจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ อาทิ ห้องจีน ห้องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ห้องเอเชียตะวันตกและอิสลาม

ซึ่งแต่ละห้องต่างก็มีศิลปวัตถุเด่นๆที่แสดงถึงความเป็นมาแห่งอารยธรรมของประเทศนั้นๆ อย่างจีน ก็มีพวกเซรามิก เครื่องแต่งกายยุคโบราณ หรืออย่างของไทยเราก็มีพระพุทธรูปและผ้าไหม ส่วนประเทศอื่นๆก็มีของน่าสนใจวางแสดงแตกต่างกันออกไป

“ที่ประเทศสิงคโปร์ตอนนี้รัฐบาลกำลังส่งเสริมให้คนเด็กๆเข้าพิพิธภัณฑ์ เพราะถือว่าเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างหนึ่ง นอกจากนี้เด็กๆเหล่ายังได้ซึมซับในวัฒนธรรมของตัวเอง”

K.C. เล่าให้ฟังระหว่างที่เดินออกจาก ACM ซึ่งเราก็ได้เห็นเด็กนักเรียนยืนเรียงกันเป็นทิวแถวรอเข้าไปใน ACM

“ผู้จัดการท่องเที่ยว” คิดว่าบ้านเราก็น่าจะส่งเสริมเด็กๆแบบนี้กันบ้าง เพราะถึงยังไงการส่งเสริมให้เด็กๆเข้าพิพิธภัณฑ์มันก็ดีกว่าการส่งเสริมให้เด็กๆประกวดเต้นแร้งเต้นกาตามห้างเป็นแน่แท้


จาก : @ - 19/08/2005 12:39

# 11


ชุดสาหรีสีสดใสสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในย่านลิตเติ้ล อินเดีย
(ภาพโดย : STB)


จาก ACM พวกเราก็ไปต่อกันยังย่าน ลิตเติ้ล อินเดีย (Little India) ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกในช่วงนี้ก็คล้ายๆกับเดินอยู่ย่านพาหุรัดบ้านเรา

ในระหว่างที่เราเดินทอดน่องชมวิถีชาวแขกกันในย่านลิตเติ้ล อินเดีย ตลอดสองข้างทางก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นธูปหอม กลิ่นเครื่องเทศ รวมถึงเสียงเพลงแขกในหลากหลายอารมณ์ นอกจากนี้เรายังได้เห็นแฟชั่นของสาวแขก ที่ส่วนมากมากันในชุดสาหรีสีสันสดใส บางคนเดินอวดโฉมโชว์พุงกันเต็มที่ ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสาวๆแขกเขาหละ


ไชน่าทาวน์นับเป็นย่านถนนคนเดินในสิงคโปร์ที่ไม่เคยว่างเว้นผู้คน


“เราไปดูแฟชั่นสาวจีนที่ไชน่าทาวน์กันต่อดีกว่า”

K.C. เอ่ยปากขึ้น หลังจากที่เห็น “ผู้จัดการท่องเที่ยว” กำลังอินน์กับแฟชั่นโชว์พุงของสาวแขกที่เดินไป-มาย่านลิตเติ้ล อินเดีย

ที่ไชน่าทาวน์ (Chinatown)นี่ก็คล้ายๆกับเยาวราชบ้านเรา เพียงแต่ว่าที่นั่นเขาสะอาดและเป็นระเบียบกว่า อีกทั้งตึกรามบ้านช่องก็ตกแต่งทาสีเสียใหม่ดูสดใสสบายตาดี


ร้านขายยาจีนนับเป็นหนึ่งในร้านค้าที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันมาก
(ภาพโดย : STB)


สำหรับย่านไชน่าทาวน์นี้ ถือเป็นแหล่งทำมาหากิน เที่ยวเล่นของคนจีนมาช้านาน ตั้งแต่ครั้งที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่ยังสิงคโปร์ ปัจจุบันทางสิงคโปร์เขาจัดทำเป็นถนนคนเดินเพื่อให้นักท่องเที่ยวและคนสิงคโปร์มาเดินซึมซับบรรยากาศวิถีชีวิตวัฒนธรรมแบบจีนๆกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศตลาดสด ที่การซื้อขายมีการต่อรองกันเสียงดังโล้งเล้งเหมือนบ้านเรา รวมถึงบรรยากาศร้านรวงของย่านไชน่าทาวน์ ที่มีทั้งร้านโชว์ห่วย ร้านขายผลไม้ ร้านน้ำชา ร้านขายยาจีน ร้านขายของเก่า และอีกมากมายหลายร้าน แต่ถ้าจะหาดูสาวจีนในแฟชั่นกี่เพ้าละก้อ เพราะสาวจีนที่นี่เขาแต่งตัวอินเตอร์กลายเป็นหมวยอินเตอร์กันหมดแล้ว


จาก : @ - 19/08/2005 12:50

# 12

[img][/img]


ในขณะที่กำลังเดินเที่ยวเพลินไปกับอารมณ์แบบจีนๆ K.C. ก็พา ไปหยุดที่หน้าร้านขายของที่ระลึกร้านหนึ่ง ซึ่ง“ผู้จัดการท่องเที่ยว” ตอนแรกคิดว่า เอ๊ะ!!! หรือว่า K.C. จะพาเราไปปล่อยร้านขายของที่ระลึกแบบที่ไกด์บ้านเรานิยมทำกับทัวร์ศูนย์เหรียญ

แต่เปล่าเลย หลังจากที่ K.C. ติดต่อกับผู้หญิงที่ขายของในตู้โชว์ ก็พาเราเดินขึ้นไปยัง ศูนย์มรดกทางวัฒนธรรมแห่งไชน่าทาวน์ (The Chinatown Heritage Centre) ซึ่งทางการท่องเที่ยวสิงคโปร์เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน


บรรยากาศจำลองความเป็นอยู่ของคนจีนยุคบุกเบิก
ในศูนย์มรดกฯไชน่าทาวน์


ภายในตึกเก่า 3 ชั้นของศูนย์มรดกฯไชน่าทาวน์ ที่เมื่อเดินขึ้นบันไดเสียงจะดังเอี๊ยดอ๊าด การันตีถึงความเก่าแก่นั้น จัดแสดงไว้ด้วยบรรยากาศชีวิตความเป็นอยู่ที่และข้าวของเครื่องใช้ของชาวจีนยุคบุกเบิกมาไว้ให้ผู้คนได้ชม โดยได้ดัดแปลงให้เหมือนกับครั้งอดีตไม่ว่าจะเป็นทางเดินที่แคบ มืด มีของวางระเกะระกะ รวมถึงห้องที่เบียดเสียดกันอย่างแออัดซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนยุคบุกเบิกได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ

นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดแสดงเฟอร์นิเจอร์เก่า เครื่องแต่งกายเก่า อาหารการกินแปลกๆที่คนจีนชอบกินอย่างงู ตะกวด รวมทั้งการถ่ายทอดเรื่องราวแง่ลบของชาวจีนในยุคนั้นออกมา เช่น การพนันและซ่องโสเภณี แต่ว่าไม่มีการจัดแสดงเรื่องตำรวจกินส่วยน้ำกามอย่างบ้านเรา


จาก : @ - 19/08/2005 13:04

# 13


ห้องน้ำและครัวที่จำลองเหมือนของจริงมากในศูนย์มรดกฯไชน่าทาวน์


“ปู่ผมก็เคยอยู่แบบนี้มา ไม่รู้ว่าสภาพที่แออัดอยู่กันแน่นเอี๊ยดอย่างนี้แกใช้จังหวะไหนให้กำเนิดพ่อผมออกมา”

K.C. พูดติดตลกเมื่อเราเดินออกมาจากศูนย์มรดกฯไชน่าทาวน์ ซึ่งก็ถือเป็นมุขส่งท้ายของ K.C. เพราะหลังจากนั้น งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ฉันใดก็ฉันเพล การเที่ยวในดินแดนลอดช่องก็ย่อมมีวันยุติเช่นกัน

ค่ำวันนั้น “ผู้จัดการท่องเที่ยว” อำลาจาก K.C. ที่สนามบินชางฮี โดยที่ไม่ลืมจะแลกเปลี่ยนที่อยู่กันพร้อมกับเชิญชวน K.C. ว่าถ้าไปเมืองไทยเมื่อไหร่ก็อย่าลืมโทร.หา เราจะพาไปตะลุยแดนบางกอกบ้าง...

...เสน่ห์อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวนอกจากเราจะได้เจอสถานที่แปลกใหม่ ประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว เรายังได้เพื่อนใหม่ๆอีกด้วย...

..............................................................

เครื่องบินค่อยๆเคลื่อนลำบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ในระหว่างนั้น “ผู้จัดการท่องเที่ยว” มองเห็นสนามบินชางฮีอยู่ลิบๆ ซึ่งเราก็พลอยอดคิดไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิหรือสนามบินหนองงูเห่าไม่ได้ว่า ถ้านักการเมืองบ้านเราไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ป่านนี้สนามบินหนองงูเห่าเปิดใช้ไปก่อนสิงคโปร์นานโขแล้ว

แต่เอาเหอะถึงแม้ว่านักการเมืองบ้านเราส่วนมากจะมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ตำรวจบ้านเราจะหากินกับสารพัดส่วย ถึงกระนั้นเราก็ยังรักเธอประเทศไทยอยู่ดี เพราะว่าบ้านเรานั้นแสนสุขใจ ถึงจะอยู่ที่ไหนไม่สุขใจเหมือนเมืองไทยบ้านเรา...

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=4657410780190
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=4624686628579
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=4647212721108


จาก : @ - 19/08/2005 13:08