หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2549

แชมเปญ (Champagne)

แชมเปญ เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อีกประการหนึ่งที่นิยมดื่มกันมาก ตำนานความเป็นมา เกิดขึ้นในที่เก็บไวน์ของโบสถ์ Haut Willers ซึ่งในวันหนึ่งอยู่ดี ๆ ขวดไวน์ที่เก็บเอาไว้เกิดระเบิดขึ้นมา โดยที่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจแม้แต่น้อย คงเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สำหรับาทหลวง ดอม เปอริยอง แล้ว มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ทั้งนี้ เพราะเขาเป็นคนปรุงไวน์เหล่านั้นมากับมือจึงรู้ดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับไวน์ ขวดแล้วขวดเล่าที่เกิดระเบิดขึ้น เพราะแทนที่จะหมักไวน์ครั้งที่สองลงในถังไม ้เปอริยอง กลับพลิกแพลงบรรจุลงในขวด เพื่อจะรอดูผลอะไรสักอย่าง ซึ่งผ ลนั้นก็คือก๊าซคาร์บอนิคอะซิที่เกิดปฎิกิริยาขึ้นจากการหมักครั้งที่สอง ก่อให้เกิดแรงผลักอันเป็นฟองออกมา

ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนกู่ก้องด้วยความดีอกดีใจ ในผลสำเร็จจากการเฝ้าสังเกตของเขาสักเพียงใด เขากลับปิดปากเงียบที่จะบอกถึงสูตรลับอันนี้ให้แก่ใคร

เพราะรสชาติของแชมเปญที่เปอริยองปรุงขึ้นมานั้นอ่อนละเมียดละไมมาก จึงร้อนถึงพระเจ้าเฟดเดอริก วิลเลี่ยมที่ 2 แห่งปรัสเซียผู้ใคร่อยากรู้กรรมวิธี จึงเรียกประชุมนักวิทยาศาสตร์ นักเคมีทั้งหลายมาช่วยกันค้นคิด เพราะถ้าให้ไปบีบคอ บังคับบาทหลวง เปอริยองบอกสูตรนั้นเป็นไปไม่ได้

หลังจากนั้นการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจึงได้เริ่มเกิดขึ้นร สูตรลับเฉพาะของท่านบาทหลวงจึงกลายเป็นตำราที่ต้องเปิดเผยกันอีกต่อไป และก็ไม่มีอะไรมากไปหว่าการนำเอาไวน์แดงกับไวน์ขาวมาผสมกัน แต่จะเป็ฯอัตราส่วนเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนที่จะทำอย่างไรให้ ได้แชมเปญที่ถูกใจออกมา

รสชาติของแชมเปญไม่ใช่อยู่ที่การหมักบ่มนานเท่าใด แต่อยู่ที่ปีเริ่มผลิตซึ่งเป็นผลจากสภาพ ดินฟ้าอากาศที่มีผลต่อการผลิตองุ่นซึ่งนำมาทำแชมเปญ

ถ้าปีไหนชาวไร่องุ่นเห็นว่าธรรมชาติเอื้ออำนวยให้ทุกอย่าง เขาก็จะเก็บเอาไว้ในปริมาณที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าอะไรไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร เขาก็จะหยุดพักไว้แล้วนำเอาวัตถุดิบที่มีไปทำอย่างอื่นแทน

การเลือกซื้อแชมเปญมาดื่ม ควรจะสังเกตคำบ่งบอกคุณภาพให้เข้าใจ เช่น
  • BRUT
  • EXTRA SEC
  • SEC
  • DEMI-SEC
  • DOUX
  • เป็นรสชาติละเมียดละไมมาก
  • ละเมียดละไมพอใช้ได้
  • หวานปานกลาง
  • ค่อนข้างหวาน
  • หวานมาก

เบียร์ (Beer)

เบียร เป็นเครื่องดื่มที่มี แอลกอฮอล์ชนิดแรกของโลกที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย ซึ่งจากประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ชนชาติ บาบิโลเนีย เป็นผู้ค้นคิด และผลิตขึ้นในยุคคริสต์กาลประมาณ 6,000 ปี และในราว 4,000 ปี ก่อนคริสต์กาลจึงได้เริ่มใช้ข้าวบาร์เล่ย์เป็นวัตถุดิบ ต่อมาเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์กาล จึงได้ใช้พืชชนิดหนึ่งเรียกว่า "ฮ้อปส์" ผสมลงไปด้วยเพื่อรักษาคุณภาพของเบียร์ให้เก็บไว้ได้นาน พร้อมทั้งมีรสขมและกลิ่นหอมชวนให้ดื่มมากขึ้น

ในสมัยนั้นกษัตริย์ฟาโรห์ ยุคที่อียิปต์ กำลังรุ่งเรืองอยู่นั้น ถือว่าเบียร์เป็นเครื่องดื่มสำคัญควบคู่ไปกับอาหารประจำวัน บุคคลที่ต้องทำงานหนักในสมัยนั้นจะได้รับอาหารวันละ 4 มื้อ คือขนมปังกับเบียร์มื้อละ 2 เหยือก เด็ก ๆที่ไปโรงเรียน ผู้ปกครองจะจัดเบียร์ใส่ภาชนะให้ติดตัวไปดื่มแทนน้ำที่โรงเรียนด้วย

ต่อมาพวกกรีกและโรมันได้เรียนรู้วิธีทำเบียร์ต่อจากพวกอียิปต์โบราณ และในประเทศจีนสมัยเมื่อเกือบ 3,000 ปี ก่อนคริสต์กาลก็ปรากฎว่ามีเครื่องดื่มชนิดหนึ่งคล้ายกับเบียร์เป็นที่นิยม ของเขาอยู่แล้ว และนอกจากนี้อินเดียนแดงเจ้าของถิ่นฐานดั้งเดิมในอเมริกาก็มีหลักฐาน ว่าได้มีเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ผสมจากข้าวโพด ซึ่งความจริงแล้วก็คือเบียร์ชนิดหนึ่ง ที่มีมาก่อนชาวยุโรปจะค้นพบทวีปแห่งนี้เสียอีก

วิวัฒนาการของเบียร์มีติดต่อสืบเนื่องกันมาจนกระทั่งในสมัยกลางของประวัติศาสตร์ยุโรป การทำเบียร์ส่วนใหญ่อยู่ในมือของบาทหลวง โดยบาทหลวงในยุคนั้นนอกจากจะทำหน้าที่นักบวชแล้ว ยังทำการค้าอีกด้วย ซึ่งมีดรงต้มเบียร์จะมีอยู่เกือบทุกจังหวัด และในวัดหนึ่ง ๆ จะมีอย่างน้อยสุด 1 โรง
ครั้นต่อมาพวกบาทหลวงได้เลิกกิจการทำเบียร์ แต่การทำเบียร์มิได้เลิกราตามไปด้วย ตรงกันข้ามการทำเบียร์กลับเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนหันมาผลิตและนิยมดื่มกันมากจนกระทั่งกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่โต โดยเฉพาะชาวอังกฤษ เบียร์นับเป็นเครื่องดื่มสำคัญไม่ว่าจะเป็นงานตัดขนแกะหรืองานพิธีมงคลต่าง ๆ จะนำเบียร์มาเลี้ยงฉลองชัยกันด้วยทุกครั้ง

ในสมัยแรก ๆ จะมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าเบียร์ที่มีในปัจจุบันนี้มาก อีกทั้งยังมีแอลกอฮอล์ที่สูงกว่าด้วย จึงนับได้ว่าหลายร้อยปีมาแล้ว เบียร์เป็นเครื่องดื่มควบคู่กับอาหารประจำวันของชาติยุโรปเลยทีเดียว โดยเฏพาะในสมัยโบราณน้ำที่ใช้ดื่มไม่สู้จะสะอาดนัก ประชาชนจึงนิยมดื่อมเบียร์ เพราะมีคาวมปลอดภัยมากกว่า หลังจากนั้นไม่นานการทำเบียร์จึงเริ่มแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้พวกฝรั่งนักล่าเมืองขึ้นก็ยังนิยมดื่มเบียร์กันจนเกิดความเชคยชิน ไม่ว่าครั้งไหน เมื่อไปถึงประเทศใดก็มักจะไปตั้งโรงต้มเบียร์ขึ้นที่นั่น อาทิ มร.วิลเลียม แพน ได้ตั้งโรงเบียร์ของเขาขึ้นที่เมืองเพนน์สบิรี รัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อปี ค.ศ. 1683 ในสหรัฐอเมริกา

ในสหรัฐอเมริกาเจ้าของฟาร์มใหญ่ ๆ จะมีโรงเบียร์เล็ก ๆของตนเอง ซึ่งในช่วงที่ปฏิวัติอุตสาหกรรม นักเศรษศาสตร์ชื่ออาดัมส์และแพทริก สองคนนี้มีความสนใจในการทำอุตสาหกรรมเบียร์มากที่สุด นอกจากนี้อดีตประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐคือ ยอร์ช วอชิงตัน ท่านก็ยังมีสูตรการทำเบียร์เฉพราะของท่านเดง ซึ่งประชาชนในสมัยนั้นนิยมดื่มกันมาก จนทำให้เกิดการเลียนแบบตามมาอย่างมากมาย

ส่วนในภาคเหนือของยุโรป ได้มีผู้คิดค้นกรรมวิธีการผลิตเบียร์ที่เรียกว่า Brewing ขึ้น โดยใช้ข้าวบาเลย์ ซึ่งผ่านกรรมวิธีมาแล้วจนกลายเป็นมอลต์(Malt) มีการต้มและหมักผสมส่วนสัดกับฮ็อปต์ และวัตถุดิบอื่น ๆ จนกลายเป็นเบียร์ที่มีรสชาติคล้ายในปัจจุบัน และมีแอลกอฮอล์เจอปนอยู่ด้วยระหว่าง 3-5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนัก

ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรป ถือกันว่าราชวงศ์และบรรดาครอบครัวชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของที่ดินจะต้องมีโรงต้มกลั่นเบียร์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชาติ เยอรมัน ได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เชี่ยวชาญการผลิตเบียร์มากที่สุดในโลก ตลอดจนกรรมวิธีการผลิตเบียร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการผลิตเบียร์ บรรพบุรุษของชาวเยอรมันก็เป็นผู้ค้นคิดขึ้น และวิวัฒนาการกันเรื่อยมา ซึ่งนอกจากชาวเยอรมันได้ชื่อว่าเป็นชาติที่เชี่ยวชาญเรื่องการผลิตเบียร์แล้ว ในปัจจุบันเบียร์ของเยอรมันนีได้เป็นที่เชื่อถือกันว่า เป็นเบียร์ที่เลิศที่สุดในโลกด้วย อีกทั้งยังมีโรงงานผลิตเบียร์อยู่ถึง 2,500 แห่งด้วย