หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟุตบอลโลก

......ฟุตบอลโลกทำการแข่งครั้งแรกในปี 1930 โดยฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) โดยประเทศอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ ตอนนั้นยังไม่มีการแข่งขันรอบคัดเลือก ที่อุรุกวัยประเทศเจ้าภาพได้ส่งจดหมายเชิญประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการแข่งขัน

เพราะระยะทางที่ไกล ทำให้มีเพียงประเทศจากยุโรป 4 ประเทศเท่านั้นที่ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ โดยส่วนมากปฏิเสธที่จะเดินทางโดยเรือหลายอาทิตย์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

ที่มอนเตวิเดโอ เจ้าภาพได้สร้างสนามแข่งขันที่สวยงามสนามหนึ่ง ซึ่งจุผู้ชมได้ถึง 95,000 คน โครงการสร้างสนามดังกล่าวต้องเลื่อนกำหนดสร้างเสร็จออกไป เนื่องจากมีฝนตกหนัก ซึ่งทำให้สนามแข่งขันเสร็จก่อนหน้าการแข่งขันเพียง 5 วันเท่านั้น

แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้อุรุกวัยเหมาะสมสำหรับการจัดการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขาเป็นแชมป์โอลิมปิกสองสมัยแรก ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา นอกจากนั้นเดือนกรกฎาคม 1930 ยังเป็นเดือนที่ประเทศกำลังเฉลิมฉลอง 100 ปีแห่งการเป็นอิสระ ที่ทำให้ช่วงสองสัปดาห์ของการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่แทบจะทั้งทัวร์นาเมนท์แข่งขันกันที่เมืองหลวงของอุรุกวัยแห่งนี้ มีเทศกาลคาร์นิวัลฉลองเอกราชอยู่ด้วย

4 ทีมเท่านั้นที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก และไม่มีทีมไหนเลยที่ได้รับการคาดหมายว่าจะคว้าแชมป์ไปครอง ประเทศมหาอำนาจอย่างอิตาลี, เยอรมัน, ฮอลแลนด์, อังกฤษ และสเปน พากันอยู่ที่บ้าน หนึ่งในประเทศที่ส่งทีมเข้าร่วมอย่างโรมาเนีย ที่แม้ว่าจะมีกษัตริย์คิง แคโรล เป็นผู้จัดการทีม แต่โรมาเนียก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ฝรั่งเศส และเม็กซิโก ลงเล่นฟุตบอลโลกนัดแรกในประวัติศาสตร์ และทีมตราไก่เป็นฝ่ายชนะ 4-1 โดยลูเซียน โลรองต์ ของฝรั่งเศสยิงประตูแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก แต่สองทีมที่แข็งแกร่งในทัวร์นาเมนต์นี้คืออาร์เจนติน่า และอุรุกวัย ที่ทั้งสองทีมเป็นแชมป์ของกลุ่มอย่างง่ายดาย

สตาบิเล่ ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนท์ จากจุดเริ่มต้นคือผู้เล่นสำรอง เขาลงสนาม และซัดแฮตทริกนัดเตะกับเม็กซิโก

ในรอบรองชนะเลิศอาร์เจนติน่าถล่มสหรัฐ อเมริกา 6-1 และอุรุกวัยชนะด้วยสกอร์เดียวกันในการเตะกับยูโกสลาเวีย ตอนนั้นไม่มีการแข่งขันชิงอันดับสาม ทำให้สหรัฐ และยูโกสลาเวียได้ครองอันดับสามร่วมกัน

รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 1930 ณ สนามเอสตาดิโอ เซนเตนาริโอ ที่อุรุกวัยเจ้าภาพพบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาร์เจนติน่า

ถ้วยรางวัล World Cup

ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่


ความเป็นมาของถ้วยฟุตบอลโลกที่นับเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศนั้นมีด้วยกันสองรุ่น โดยรุ่นล่าสุดนี้เป็นถ้วยรางวัลที่มีน้ำหนักถึง 4,970 กรัม ทำด้วยทองแท้ 18 กะรัต สูง 36 เซนติเมตร เรียกว่าถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออกแบบโดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐานเป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังเคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะแห่งการฉลองชัยชนะ

ถ้วยเวิลด์คัพใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี จากนั้นจึงลงไปอยู่อเมริกาใต้ แล้วกลับขึ้นมายุโรป สลับกัน 2 ทวีป อย่างนี้ในทุก 4 ปี เพราะประเทศที่ได้แชมป์จากเยอรมนีก็คือ อาร์เจนตินา (1978) อิตาลี (1982) เยอรมนี (1990) แล้วก็ล่าสุดคือบราซิล (1994)

แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่า หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน


ถ้วย ชูลส์ ริเมต์


สำหรับถ้วยเดิมชื่อถ้วยจูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่าชาวฝรั่งเศสที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกสำเร็จในปีค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองหนัก 3.8 กิโลกรัม สูง 38 เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้า หรือไพฑูรย์ (Lapislazule) เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ (Goddess of Victory) ตรงเหลี่ยม 4 ด้านของฐาน สลักชื่อประเทศที่ได้แชมป์ที่ 9 ราย ชื่อนับตั้งแต่ปี 1930-1970

ถ้วยจูลส์ ริเมต์ หายไปถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปีค.ศ.1966 ช่วงที่อังกฤษได้แชมป์ มีคนมาพบว่าถูกฝังอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง โดยฝีมือการดมหาของเจ้าสุนัขตัวเล็กชื่อพิกเกิ้ลส์ แต่ถ้วยมาหายจริงๆในปีค.ศ.1983 ช่วงบราซิลได้สิทธิ์ครอบครองถ้วยนี้อย่างถาวร หลังจากคว้าแชมป์ 3 สมัยได้สำเร็จ โดยขโมยมือดีฉกจากที่เก็บในนครริโอ เดอจาเนโร

ทำเนียบบอลโลก
ครั้งที่ ปี เจ้าภาพ คู่ชิง แชมป์
1 1930 อุรุกวัย อาร์เจนตินา อุรุกวัย
2 1934 อิตาลี เชโกสโลวะเกีย อิตาลี
3 1938 ฝรั่งเศส ฮังการี อิตาลี
4 1950 บราซิล บราซิล อุรุกวัย
5 1954 สวิตเซอร์แลนด์ ฮังการี เยอรมันตะวันตก
6 1958 สวีเดน สวีเดน บราซิล
7 1962 ชิลี เชโกสโลวะเกีย บราซิล
8 1966 อังกฤษ เยอรมันตะวันตก อังกฤษ
9 1970 เม็กซิโก อิตาลี บราซิล
10 1974 เยอรมันตะวันตก ฮอลแลนด์ เยอรมันตะวันตก
11 1978 อาร์เจนตินา ฮอลแลนด์ อาร์เจนตินา
12 1982 สเปน เยอรมันตะวันตก อิตาลี
13 1986 เม็กซิโก เยอรมันตะวันตก อาร์เจนตินา
14 1990 อิตาลี อาร์เจนตินา เยอรมัน
15 1994 สหรัฐอเมริกา อิตาลี บราซิล
16 1998 ฝรั่งเศส บราซิล ฝรั่งเศส
17 2002 เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น เยอรมัน บราซิล

ที่มา : สยามสปอร์ต,ผู้จัดการออนไลน์

ยาแก้อาการอกหัก

สูตรส่วนผสมตัวยา
1. น้ำใจเพื่อนที่ปรารถนาดี 5 กรัม
2. น้ำตาพ่อแม่ที่รักเรา 10 หยดหรือมากกว่านั้น
3. ความเข้มแข็ง 10 ช้อนชา
4. รากแห่งศักดิ์ศรี 10 กรัม
5. ใบเจ็บแล้วจำ 5 ใบ
6. ความใฝ่ดี 5 ช้อนชา
7. ความเข้าใจ(ในรัก) 5 ช้อนชา
8. สติ 20 กรัม
9. สมาธิ 5 กรัม
10. ปัญญา 20 กรัม
11. น้ำล้างตา(ให้สว่าง) 2 ฝา
12. ความรักตัวเอง เท่ากับกำปั้นของผู้ใช้ยา
13. ความชัดเจน ชัดเจน เท่าที่คนข้างๆ ต้องการ (อันนี้ผมปรุงเพิ่มเอง)

วิธีปรุงยา
ทันทีที่อกหัก ให้รีบนำส่วนผสมทั้งหมดมาบดให้ละเอียด
แล้วผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นรูปหัวใจเล็กๆ..
(เพื่อความน่ารัก)..ใส่ขวด..อย่าลืมติดฉลาก "ยาแก้อกหัก"

วิธีใช้
ให้กินวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร จนกว่าจะหายจากอาการเจ็บอก
ยานี้ไม่มีวันหมดอายุ สามารถเก็บไว้รักษาโรคอกหักได้ตลอดไป...

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สก็อตช์ (Scotch)

เดิมที สก็อตช์ นั้นเป็นเหล้าพื้นเมืองสกอตแลนด์ ที่นิยมทำดื่มกันเองมานามนมแล้ว จวบจนปี 1170 เมื่อสกอตแลนด์ได้เป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ ทำให้เหล้าพื้นเมืองของสก็อตช์ ได้เริ่มแพร่หลายเป็นที่รู้จักไปทั่ทุกมุมโลก จนกระทั่งกลายเป็นเล้าที่นิยมดื่มกันมากที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบบัน

เมื่อในอดีต สก็อตช์ นั้น คงมีภาพพจน์ที่ดีมากเนื่องจากเป็นเหล้าที่นิยมดื่มกันเฉพาะในกลุ่มสังคมชั้น สูงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สก็อตช์สามารถอื่นกมันได้ทุกคน ซึ่งสก็อตช์ก็ไม่ใช่เหล้าสำหรับคนมีเงินเท่านั้น หากแต่เป็นเหล้าที่เหมาสมกับนักดื่มที่มีประสบการณ์ เพราะคนที่จะชอบจริง ๆ จะต้องติดใจในรสชาติที่พิเศษซึ่งเป็นกลิ่นรมควัน อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้สก็อตช์ผสมห้ก็แต่เฉพาะน้ำแข็ง น้ำ หรือโซดานิดหน่อยเท่านั้น แต่จะไม่มีวันที่จะถูกนำไปผสมกับของหวาน ๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นค็อกเทลให้น่าดื่มเหมือนกับเหล้าตระกูลอื่น ๆ ได้


สก็อตช์ เป็นเหล้าที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ (Malted Barley) ซึ่งหลังจากที่แช่น้ำไว้จนได้ที่แล้ว ก็จะนำมาอบให้แห้งโดยใช้ไม้พีตเป็นถ่านสุมไฟให้ร้อนและแห้งเร็วขึ้น แล้วจึงนำมาหสักกับยีสต์ในน้ำอุ่นในหม้อทองแดง จนกลายเป็นไอน้ำเพื่อไปผ่านการกลั่นซึ่งในการกลั่นสก็ตช์นั้นจะต้องทำติดต่อ กันหลาย ๆ เที่ยว เพื่อให้ออกมาเป็นเหล้าแท้ ๆซึ่งจะมีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันไปจากสก็อตช์ที่รู้จัก เพราะต้องผ่านการผสม (Blen) ด้วยนิวทราล สปิริต และวิสกี้ที่ทำมาจากเมล็ดข้าวชนิดอื่น ๆ จนมาเป็นวิสกี้ผสม อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ควันจากการเผาถ่านไม้พีตเท่านั้น ซึ่งคงตอบได้ว่าเพราะนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สก็อตช์มีเอกลักษณที่พิเศษ เฉพาะตัวของมันเอง แต่ถ้าหากให้ไปถามคนปรุงเหล้าสก็อตช์ ก็มักจะได้คำตอบอีกอย่างหนึ่งซึ่งเขาจะบอกว่า เครื่องปรุงที่เป็นเคล็ดลับในการทำให้สก็อตช์มีรสและกลิ่นที่ยวนใจนักดื่อ มมากจะเป็นผลมาจากไอเค็มของทะเลและน้ำใสจากลำธารในสก็อตช์แลนด์ต่างหาก

สิ่งที่ทำให้สก็อตช์เป็นสก็อตช์และวิสกี้ ทั้งที่เป็นเหล้าตระกูลเดียวกันที่ทำมาจากธัญชาตินั้น จึงเป็นเพียงความแตกต่างของถ่านไฟที่ใช้และวัตถุดิบจากแหล่งผลิตนั่นเอง นอกจากนั้นกฏหมายของสก็อตแลนด์ยังระบุไว้ว่า เหล้าที่ใช้ชื่อสก็อตช์นั้จะต้องบ่มไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี จึงจะนำออกมาจำหน่ายได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะบ่มไว้ประมาณ 7-12 ปี แต่ก็ไม่เกิน 15 ปี จะมีก็แต่ ชีวาส อยู่เพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่บ่มกันนานถึง 17 ปี โดยถึงที่ใช้บ่มเหล้าชนิดนี้จะทำมาจากไม้โอ๊ค ซึ่งอาจเป็นถึงใหม่หรือถังที่เคยใช้บ่มเหล้ามาแล้วก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะนิยมถังที่บ่มเหล้าไวน์องุ่น หรือไวน์เชอร์รี่มาก่อน

เคล็ดลับสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับการผลิตสก็อตช์ให้น่าดื่ม ก็คือสูตรผสมเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติอันละมุนทีถูกคอนักดื่มทั้งหลายนั่นเอง

รถชน!!!..... อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี

อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทย ด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่"ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" นำมาให้อ่านกัน

1. ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์
ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำ ทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม

2. ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน
สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยัง สามารถพูดได้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้อง ต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง

3. ถ้าท่านเป็นผู้ขับ
กรณีนี้อย่านี้เป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้
3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล
3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร
3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย
3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้ สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจมีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับ ขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด
3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4. ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที
เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี

5. ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที
นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพ ไว้เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง

วอดก้า(Vodka)

เป็นที่เชื่อกันว่า สิ่งที่ทำให้วอดก้ามีดีกรีสูงสุด จนแทบจะเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ และเป็นเหล้าประจำชาติของรัสเซียนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะทนต่อความหนาวเหน็บของฤดู หนาวในรัสเซีย โดยไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งได้ และไม่น่าแปลกเลยที่คำว่า วอดก้า เมื่อแปลความหมายแล้วคือ น้ำน้อย

ถ้าจะกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว วอดก้า นั้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของรัสเซียมาอย่างช้านานแล้ว เนื่องจากมีส่วนและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันมาโดยตลอด

เริ่มตั้งแต่สมัยจักรพรรดินีแอนด์ ในปี 1700 ที่ให้นางสนมสระผมด้วยเหล้าวอดก้า จากนั้นก็ให้นำเอาไปดื่มเพราะมีอยู่ในปริมาณที่ไม่มากนัก จวบจนยุคสมัยใหม่ก็ยังมีเรื่องเล่ากันว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมีการปฏิวัติล้มล้างราชบัลลังค์ ซาร์ในรัสเซีย ก็เนื่องมาจากซาร์สั่งให้เลิกดื่มเหล้าวอดก้า จนกลายเป็นสาเหตุให้เหล่าคอมมิวนิสต์ ภายบใต้การนำของเลนินมีความคึกคัก กระเหี้ยนกระหายที่จะรบเอาชนะซาร์ให้ได้ เนื่องจากไม่ดื่มเหล้าเมื่ออยู่ว่าง ๆ ก็เซ็งเปล่า ๆ จึงพากันหยิบอาวุธขึ้นมารบพุ่งจนขาดใจตายไปข้างหนึ่ง

คน ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจไหว่า วอดก้าเป็นเหล้าที่ทำงมาจากมันเทศ แต่แท้ที่จริงแล้วส่วนใหญ่มักจะทำมาจากธัญญชาติ พวกข้าวสาลี ข้าวโพด หรือข้าวไรตยื ซึ่งจะใช้กรรมวิธีการกลั่นแบบต่อเนื่อง เพื่อให้ได้นิวทราลสปิริตที่บริสุทธิ์ที่สุดของ แอลกอฮอล์ที่สามารถกลั่นได้จากธรรมชาติถึงขนาดเมื่อกลั่นเสร็จแล้วยังต้อง ผ่านการกรองอีกครั้งหนึ่ง โดยกรรมวิธีการกรองในระยะหลัง ๆ ได้เปลี่ยนจากถ่านหินบริสุทธิ์ตั้งแต่นักเคมีชาวรัสเซียค้นพบวิธีเมื่อปี 1810 จนกระทั่งในปัจจุบันยังมีการใช้ทรายควอตซ์และถ่านไม้เบิร์ช เป็นตัวกรอง

และเมื่อผ่านขั้นตอนทั้งการกลั่น การกรองจนได้แอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์แล้ว ก็จะเติมน้ำให้ดีกรีเจอจางลงตามเกณฑ์ที่กำหนด

หาก ดูจากกฎหมายที่ระบุความเป้นเหล้าวอดก้าแล้ว อาจทำให้รูสึกไม่อยากจะดื่มเสียด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะวอดก้าจะต้องเป็นเหล้าที่ มีบุคลิคไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่มีรส แต่ทว่าเอกลักษณ์อันนี้ทำให้วอดก้า เป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จะเป็นตัวช่วยเน้นรสชาติของสิ่งที่ผสมลงไปให้เกิด ความหอมหวนยิ่งขึ้น และที่สำคัญวอดก้าสามารถใช้ผสมกับเหล้าอื่น ๆ ได้ทุกชนิด นอกจากนี้วอดก้ายังได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนทำให้เกิดอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นได้น้อยที่สุดในบรรดาเหล้าทุกชนิด

ขับรถอย่างไรเมื่อเจอน้ำท่วม?

ช่วงนี้ทั่วทุกภาคของประเทศกำลังรับมือกับฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ส่งผลให้บางพื้นที่มีน้ำท่วมสูงจนสร้างปัญหาให้หลายครัวเรือน ขณะเดียวกันความช่วยเหลือจากหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงคนไทยทั่วประเทศพร้อมส่งกำลังใจ และให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ



สำหรับ“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง”ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้ทุกคนสู้ๆกันต่อไป และหวังว่าอุทกภัยครั้งนี้จะคลี่คลายไปโดยเร็วที่สุด...ส่วนใครมีธุระต้อง ใช้รถเดินทางช่วงน้ำท่วม วันนี้เรามีข้อแนะนำดีๆมาฝากเช่นเคย

ก่อนอื่นถ้าต้องลุยน้ำจริงๆ เราควรคะเนระดับน้ำคร่าวๆ และพิจารณาความสูงของรถคุณเองว่าน่าจะฝ่าไปได้ไหม ซึ่งถ้าเป็นรถเก๋งบ้านๆทั่วไป แล้วน้ำสูงประมาณ 5 - 10 ซม. ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าสูงกว่านั้นหรือเริ่มปิ่มๆท่อไอเสียก็ต้องระวังแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกคือปิดแอร์ เพราะถ้าพัดลมแอร์ทำงานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ ขณะเดียวกันช่วงน้ำท่วมมักมีเศษขยะต่างๆลอยน้ำมา แล้วอาจเข้าไปพันติดกับมอเตอร์พัดลม หรือเกี่ยวใบพัดจนเสียหาย ส่งผลต่อระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์ได้เช่นกัน





ที่สำคัญควรขับช้าๆ ใช้เกียร์ต่ำ หรือถ้ารถเป็นเกียร์อัตโนมัติก็เลื่อนไปที่เกียร์ L และต้องเลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุดประมาณ 1,500 รอบต่อนาที ส่วนบางคนที่กลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย แล้วยิ่งเร่งเครื่องยนต์เพราะกลัวเครื่องดับนั้นต้องบอกว่าอย่าเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นพวกคลื่นน้ำที่เราดันไปข้างหน้า อาจทะลักกลับมายังห้องเครื่องได้ ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าน้ำทะลักเข้าไปยังท่อไอเสียบ้างเครื่องยนต์ยังไม่ดับ เพราะที่รอบเดินเบา ท่อไอเสียจะมีแรงดันให้น้ำออกมาได้สบาย แต่ถ้าท่วมมิดหรือระดับน้ำสูงถึงเครื่องยนต์หรือฝากระโปรงอย่างนั้นไม่รอด แน่นอน

ขณะเดียวกันหากขับรถผ่านน้ำท่วมจนถึงจุดหมายแล้ว ก็ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำที่อาจจะค้างอยู่ในหม้อพักไอเสียระเหยออกให้หมด นอกจากนั้นควรย้ำเบรก (สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ) เพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก และย้ำคลัทซ์(ในรถเกียร์ธรรมดา)เพื่อป้องกันคลัทซ์ลื่น

ส่วนใครที่นำรถไปลุยน้ำ แล้วรุ่งเช้าพบอาการเบรกติด ก็ให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่ง เดินหน้าไปเล็กน้อย จากนั้นกระทืบเบรกให้แรงที่สุด จากนั้นก็ทำแบบนี้อีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนอาการหาย แต่ถ้าไม่หายหรือมีอาการผิดสังเกต ก็รีบนำเข้าศูนย์บริการโลด!

เอาเป็นว่าถ้าเจอน้ำท่วมเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าต้องลุยก็นำวิธีการข้างต้นไปลองใช้ พร้อมหมั่นตรวจเช็ครถอย่างสม่ำเสมอแล้วกัน

ที่มา : Mortoring Manager Online

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เบอร์เบิ้น (Bourbon)

เบอร์เบิ้น เป็นวิสกี้ต้นตำรับที่มาจากอเมริกา โดยเริ่มจากนักกลั่นเหล้าในรัฐเคนตั๊กกี้ ได้ดัดแปลงกรรมวิธี ในการผลิกโดยใช้หม้อทองแดง อย่างชาวสก็อตซ์ แต่เนื่องจากไม่มีไม้พีตใช้รมควัน จึงอาศัยแหล่งน้ำพื้อนเมืองซึ่งไหลผ่านหินปูนทำให้มีรสชาติหวาน โดยธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งมีผลทำให้วิสกี้มีรสชาดเป็นเอกลักษณ์ของตัวมันเอง

ต่อมาเกิดความขาดแคลนข้าวไรย์ซึ่งเป็นธัญชาติหลักในการหมัก ทำให้ชาวเคนตั๊กกี้ ในมณฑลเบอร์เบิ้นหันมาใช้ข้าวโพดแทน จนเกิดเป็นลักษณะใหม่ของตัวเหล้าเบอร์เบิ้นขึ้นมาแทน โดยการผลิตในรูปแบบใหม่นี้จะใช้ ข้าวโพดอย่างต่ำ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้ข้าวไรย์ หรือข้าวบาเลย์เป็นตัวเพิ่มความเข้มข้นตามต้องการ ชาวเคนตั๊กกี้คนแรกที่หันมาใช้ข้าวโพดแทนข้าวไรย์

ยังเป็นที่ถกเดียวกันว่า เป็น นายจอห์น ริตชี่ แห่งเมืองบาร์ดทาวน์ ในปี 1777 หรือ บาทหลวง เอลีจา เครก แห่งเมืองยอร์ชทาวน์ในปี 1789 หรือปู่ของนายเจมส์ เปปเปอร์ แห่งเมืองเล็กซิงตัน ในปี 1780 กันแน่ อย่างไรก็ตามบุคคลทั้งสามล้วนแต่เป็นคนจากรัฐเคนตั๊กกี้ทั้งสิ้น

กรรมวิธีในการผลิตเบอร์เบิ้นนั้น จะใช้ธัญพืชหมักในถังไม้โอ๊คเผา โดยเติมยีสต์ลงไประหว่างการหมัก (Sweet-Mash-Process) หรือจะอาศัยเชื้อยีสต์จากการหมักครั้งที่แล้วที่เหลืออยู่เป็นตัวเร่งก็ได้ (Sour-Mash-Process) แต่วิธีหลังนี้จะเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานกว่า แต่จะคุ้มค่าสมกับการรอคอย เพราะสามารถให้เบอร์เบิ้นทีมีรสชาดหอมและราคาสูงกว่าเหล้าเบอร์เบิ้นราคาปานกลางทั่วไป ซึ่งมักจะใช้กรรมวิธีในการผลิตแบบแรก

ถึงกระนั้นก็ตาม จาก กรรมวิธีการผลิตเหล้าเบอร์เบิ้นทั้งสองวิธี จะต้องเริ่มด้วยการบดข้าวโพดที่ล้างสะอาดแล้วให้เป็นแป้ง จากนั้นจึงใส่น้ำร้อนในมาตราส่วน 18-20 แกลลอนต่อข้าวโพดหนึ่งหาบ (30 กิโลกรัม) แล้วค่อย ๆ ทำให้เย็นลงด้วยวิธีสุญญากาศ เพื่อที่จะเติมข้าวบาร์เลย์ ข่าวไรย์ต่อไป ซึ่งข้าวทั้งสองชนิดนี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแป้งเป็นแอลกอฮอล์ใน ที่สุด จากนั้นจึงนำไปผ่านกระบวนการกลั่นเพื่อให้ได้เหล้าเบอร์เบิ้นที่สมบูรณ์

ทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิด-รถตกน้ำ

"อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวินาที" เป็นประโยคที่เตือนให้ผู้ขับขี่ทั้งหลายพึงสังวรณ์เอาไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ก็สามารถเกิดได้ รวมถึงบนท้องถนนด้วยขณะขับรถอยู่ก็ตามที ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็ควรหาทางป้องกันเท่าที่จะทำได้เพราะทุกวันนี้อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของไทยเลยก็ว่าได้ หากเรามีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมรถยนต์และการปฏิบัติตนในขณะเกิด อุบัติเหตุเช่นนี้สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดทุกคนก็ต้องมีสติถึงจะปลอดภัย



กรณี ที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับ รถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้

1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
5.ห้าม เหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะ ทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7.เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อนแล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกทีสลับกันไปมาและในทำนองตรงกันข้ามหากระเบิดด้านขวา อาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม

อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือหากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความ เร็วสูงมากๆพอยางระเบิดขึ้นมารถก็ จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้เพื่อ เป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในขณะขับรถจึงไม่ควรขับรถเร็ว (ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)



กรณีที่ 2เมื่อรถตกน้ำ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำลำคลองใดๆก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำแต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงพื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ควรตั้งสติให้ดีและ ปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคนรวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆเพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิ ฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออกเพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6.เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุดแล้วท่านก็ออก จากห้องโดยสารของรถได้
7.จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติหรือจะว่ายน้ำขึ้น มาก็ได้ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า
ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำเพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ

กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติหรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศ ลอยไปในทิศทางใดให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไปก็จะไม่มีอาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆนั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน

ที่มา : Mortoring Manager Online

ยิน(Gin)

ยิน เป็นเหล้าที่มีชื่อเสียงมาจากประเทศอังกฤษ แต่ต้นกำเนิดนั้นมาจากเนเธอร์แลน โดยมีนักเคมีชาวดัชต์ ชื่อฟรานซิสคัส เดอลาโบ ซึ่งได้ดัดแปลง นำเอาลูกจูนิเป้อร์เปอร์รี่ที่ฝรั่งเศสใช้เพิ่มรสไวน์นำมาเติรมสให้กับ นัวทรัล สปิริต หรือแอลกอฮอล์ที่กลั่นจากธัญชาติ โดยตั้งใจจะขายเป็นยาจิบแก้โรคสารพัด ในช่วงแรกจึงมีวางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป โดยใช้ชื่อว่า Genie'vre(เป็นภาษาฝรั่งเศสของคำว่า จูนิเปอร์) และต่อมาถึงได้แผลงเป็น Gin เมื่อเหล้านี้มีฮิตและแพี่หลายในประเทศอังกฤษ

ควีน อลิซาเบธส่งทหารอังกฤษไปรบกับสเปนแถวฮอลันดา(เนเธอร์แลนด์) ในปี 1585 ซึ่งเป็นชาวอังกฤษชุดแรกที่ได้ล้มรสของ ยาววิเศษ ขนานแท้ และได้นำกลับมาเผยแพร่ในอังกฤษ แต่กว่ายินจะเป็นที่นิยมมากในอังกฤษจนแทบจะเป็นเหล้าประจำชาติก็ในอีกราว 100 ปีต่อมา

ครั้น เมื่ออังกฤษเกิดสงครามกับฝรั่งเศสกษัตริย์วิลเลี่ยม ออฟ ออเร้นจ์ จึงสั่งห้ามนำบรั่นดีจากศตรูเข้ามาจำหน่าย พร้อมกับส่งเสมให้เปิดโรงกลั่นเหล้าขึ้นเพื่อดื่มกันเอง ยินจึงกลายมาเป็นที่นิยมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และความนิยมนี่เองทำให้ยินได้ระบาดไปถึงอเมริกา เมื่อชาวดัตช์ไปเปิดโรงกลั่นเหล้ายินขึ้นในนิวอัมสเตอร์ดัมในปี 1640 (เมื่ออังกฤษเข้าครองเมืองนี้ ได้เปลี่ยนชื่เป็นนิวยอร์ค) ซึ่งนับเป็นโรงกลั่นเหล้าแห่งแรกของอเมริกาดด้วย

นิวทรัล สปิริต ที่นำมาทำเป็นยินจะใช้สูตรข้าวโพด 75 % บาร์เลย์ 15 % และธัญชาติอื่น ๆ อีก 10 % ตัวแอลกอฮอล์ที่ได้จะถูกปรุงแต่งด้วยลูกจูนิเปอร์ เบอร์รี่ หรือผู้ผลิตบางแห่งอาจใช้พฤกษชาติอื่น ๆ ตามสูตรลับของตัวเองก็ได้ เช่น เปลือกต้นแคสเซีย เมล็ดโคเรียนเดอร์ รากแองเจอลิกา และแม้กระทั่งเปลือกส้ม โดยให้ไอเหล้าที่กำลังกลั่นนั้นไหลผ่านลูกจูนิเปอร์และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อกลั่นเป็นหยดเหล้าแล้ว จะเก็บกลิ่มและรสของเครื่องปรุงเหล้านั้นไว้

เหล้ายินโดยทั่วไปจะไม่มีสี และไม่ต้องบ่มเลย แต่มียินชนิดหนึ่งเรียกว่า Yellow Gin ซึ่งบ่มไว้ในถังไม้โอ๊คจออกสีเหลืองเล็กน้อย

เหล้ายินมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเหมาะกับการผสมเป็นเหล้าค็อกเทล โดยเฉพาะกับน้ำโทนิกหรือกับเวอร์มุธ ซึ่งสูตรหลังคือ มาร์ตินี่นั่นเอง

ครั้งหนึ่งที่ยากจะลืมเลือนในฮัมปิ

โดย : เอื้อพันธ์ ชำนาญเอื้อ @กรุงเทพธุรกิจ


ลืมไม่ลงจริงๆ ค่ะ กับเส้นทางสุดทรหดจาก 'มายซอร์' มา 'ฮอสเปก' เป้าหมายจริงๆ อยู่ที่ราชอาณาจักรโบราณในเมือง ฮัมปิ

รถออกช้ากว่ากำหนดและสับสนหมายเลขที่นั่ง ก็คุณพี่ที่รับจองตั๋ว ออกเลขให้เหมือนกัน 2 คน จนคุณพี่ประจำรถต้องมาจัดแจงให้ใหม่ ระยะทาง 350 กิโลเมตรค่ะจากมายซอร์ไปฮอสเปก แต่ถนนเสีย เป็นหลุมเป็นบ่อเกือบตลอดทางค่ะ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง แต่ในความรู้สึกเหมือนชั่วกัลป์ อีกเส้นทางหนึ่งคือนั่งรถไฟไปลงบังคาลอร์และนั่งรถย้อนมาอีกที ใช้เวลานานขึ้น แต่น่าจะสบายกว่าค่ะ


ถึงฮอสเปกเช้าตรู่ งัวเงียลงจากรถ อากาศหนาวกำลังสบายค่ะ ฉันจำกระเป๋าตัวเองแทบไม่ได้ ฝุ่นจับแดงทั้งใบ

จากสถานีรถโดยสาร ฉันเรียกสามล้อไปส่งที่สถานีรถไฟเพื่อจัดแจงจองตั๋วเผื่อเที่ยวกลับ เป็นไปตามคาดว่า...ตั๋วเต็มหมด เพราะจะตรงกับช่วงฉลองคริสต์มาส เจรจาต่อรองจนได้ตั๋วนอนชั้นสามในอีก 3 วัน ฉันรีบตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข

ระหว่างรอที่สถานีรถไฟ เจอกับ แก๊งเด็กรถไฟ ฉันเรียกทโมน 5-6 คนนี้ว่าแก๊งเด็กรถไฟ เพราะจับกลุ่มเล่นกันอยู่แถวนั้น อายุ 10-15 คนไหนแก่สุดก็เป็นหัวโจก จากที่ตรงเข้ามารุมขอปากกา เปลี่ยนมาขอเงิน ฉันไม่มีเงินให้หรอก แต่มีส้มเหลืออยู่ 1 ลูก เลยปอกแบ่งกันกินคนละกลีบ สักพักหันมาชวนฉันตีคริกเกต กลายเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ และอีกส่วนไม่ไปโรงเรียน พอถามถึงตรงนี้ วิ่งหนีฉันไปเลย

เสร็จสรรพเรื่องตั๋วรถไฟเที่ยวกลับ ฉันจ้างรถสามล้อมุ่งหน้าเข้าเมืองฮัมปิ มีโอกาสชมเมืองฮอสเปกสองข้างทาง บอกได้ว่า ฮอสเปกเป็นเพียงทางผ่านและเป็นจุดต่อรถของนักเดินทางที่ล้วนมุ่งหน้าไปยังฮัมปิ สภาพบ้านเมืองบ่งบอกถึงความฝืดเคืองของเศรษฐกิจ มีกระโจมของคนเร่ร่อนให้เห็นเป็นระยะ เมืองหลับใหลอย่างฮอสเปกจะตื่นอีกทีเมื่อมีเทศกาลงานบุญตามวันทางศาสนา รถวิ่งมาได้หนึ่งชั่วโมงพอดี ผ่านด่านจ่ายเงินเข้าเมืองฮัมปิ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นค่าบรรณาการในสมัยก่อน

ฉันเลือกที่พักชนิดติดขอบกำแพงเมืองโบราณ นักเดินทางทุกคนได้รับการร้องขอให้ไปลงทะเบียนแสดงตัวที่ สถานีตำรวจ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยหากเกิดกรณีชาวต่างชาติหายตัวไป ด้วยความที่ฮัมปิเป็น เมืองโบราณ มีอาณาบริเวณร้างกว้างใหญ่ไพศาล หลายแห่งเปลี่ยว ปลอดคน จึงอาจเป็นโอกาสของคนร้ายดักปล้นทรัพย์สิน ก็ต้องป้องกันไว้ก่อนค่ะ แต่โดยรวมฮัมปิเป็นสถานที่ปลอดภัยนะคะ เป็นอีกแห่งสำหรับผู้รักและหลงใหลในซากศิลปะของโบราณสถาน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


ราชอาณาจักรโบราณ วิชัยนครา ซึ่งมี 'ฮัมปิ' เป็นเมืองหลวงในอดีตนั้น เป็นจุดหมายของฉันในครั้งนี้ ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาจักรฮินดูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของอินเดีย โดยมีเจ้าชาย 2 องค์พี่น้องเป็นผู้ก่อตั้ง ในศตวรรษที่ 13 หลังจากเสด็จออกล่าสัตว์และทอดพระเนตรกระต่ายป่าตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่สุนัข ล่าเนื้อของพระองค์ ปราชญ์ทางจิตวิญญาณแปลความว่า เป็นนิมิตอันเป็นมงคลให้ก่อร่างสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ราชอาณาจักรวิชัยนครา อันหมายถึงนครแห่งชัยชนะจึงก่อกำเนิดขึ้น และรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ด้วยไพร่ฟ้าประชาชนในปกครองถึง 500,000 คน ควบคุมการค้าเครื่องเทศและฝ้ายในภูมิภาค และยังเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศของคนในยุคต่อๆ มา


วิชัยนครารุ่งเรืองถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 16 และความเจริญรุ่งเรืองนี้เองที่ล่อตาล่อใจบรรดาเจ้าผู้ปกครองชาวมุสลิมทั้ง ใกล้ไกล ได้รวมตัวกันบุกเข้ามาปล้นทำลายจนอาณาจักรล่มสลาย เหลือให้เห็นเพียงเค้าโครงของความรุ่งเรืองในอดีต

เส้นทางการสำรวจความยิ่งใหญ่ของวิชัยนคราทำได้หลายวิธีค่ะ เดิน เช่าจักรยาน เช่ามอเตอร์ไซค์ หรือจ้างรถสามล้อ แล้วแต่กำลังกายแต่ละบุคคลเลยค่ะ สำหรับฉันเลือกเดิน และนั่งสามล้อ เหมาชั่วโมงไปเลยค่ะสะดวกกว่า ถ้าจะดูให้ครบถ้วนทั้งในเขตราชวังเก่า และวัดต่างๆ ใช้เวลา 2 วันได้ค่ะ เริ่มจากเช้าตรู่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 250 รูปีส์ แต่จ่ายเป็นดอลลาร์ได้ค่ะ 4 ดอลลาร์ ถูกกว่าจ่ายเป็นรูปีส์หลายสิบบาท ฉันแวะคุยกับยามด้านหน้าวังได้เงินเดือนเกือบ 5,000 บาทนะคะ ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เป็นรายได้ที่ดีมากเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ของเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นหลัก และฤดูท่องเที่ยวของฮัมปิ ที่มีไม่กี่เดือนในแต่ละปี

ฉันเริ่มตระเวนจากเขตพระราชวังเก่าที่หลงเหลือฐานหินพระตำหนักของพระ ราชา ซึ่งอยู่สูงกว่าฐานตำหนักของพระราชินี มีป้อมปราการเฝ้าระวังภัยอยู่ไม่ไกลในทุกมุมจากฐานตำหนักราชินี ป้อมปราการเหล่านี้ ใช่ว่ามีไว้สำหรับยามเมืองอย่างเดียว แต่บางป้อมยังเป็นถังเก็บกักน้ำสำหรับใช้ในเขตพระราชฐานด้วย เดินต่อไปหน่อยเป็นหอประชุมสภา 2 ชั้นที่เรียกว่า โลตัส มาฮาล เป็นโดมพีระมิดรูปดอกบัว 9 แฉกในศิลปะแบบอาหรับ รอยหยักโค้งบวกกับประติมากรรมชั้นยอดที่สลักเสลาในแผ่นหินแกรนิตสีชมพู ชวนให้นั่งดูไม่รู้เบื่อ


นักท่องเที่ยวหน้าตาแปลกๆ อย่างฉันอาจไปดึงดูดนักเรียนหนูๆ ตัวน้อยเข้าให้ กลุ่มครูและนักเรียนจากหลายโรงเรียนร่วมร้อยคน ผลัดกันเข้ามาทักในรูปแบบเดียวกันว่า มาจากไหน ชื่ออะไร และพ่อชื่ออะไร แน้!!...บอกไม่ได้หรอกค่ะ ปิดท้ายด้วยการขอจับมือและถ่ายรูป เป็นอย่างนี้ตลอดระหว่างที่อยู่ในฮัมปิ นักเรียนเยอะค่ะที่นี่ เพราะใช้เป็นพื้นที่ให้นักเรียนลงศึกษาประวัติศาสตร์ บางกลุ่มใช่ว่าเฉพาะนักเรียนนะคะ คุณครูด้วยค่ะ ที่มาถามชื่อพ่อ...อืมม

เขตพระราชวังเก่านี้ องค์การยูเนสโกประกาศให้เป็น มรดกโลก จึงมีเงินมาอุดหนุนและบูรณะซ่อมแซม เดินทะลุกำแพงออกไปเป็นคอกขนาดใหญ่สำหรับช้างหลวงค่ะ ลานกว้างด้านหน้าสำหรับงานมหรสพ การแสดงของทหาร และสัตว์ และศิลปะการต่อสู้ รวมทั้ง มวยปล้ำค่ะ เป็นที่นิยมมาก โดยมีราชา ราชินี และข้าราชการ นางในทั้งหลาย นั่งประจำที่ทางของตัว ทอดพระเนตร และชมการแสดง นึกแล้วเพลิดเพลินดีนะคะ


ไปถึงช่วงสายพอดี เห็นสาวๆ อินเดียใส่ส่าหรีสีสันสดใส หิ้วปิ่นโตกันคนละเถา เล็กบ้างใหญ่บ้าง ไปทำงานกันค่ะ สาวๆ เหล่านี้เป็นคนงานก่อสร้าง เข้ามาขุด ถางดิน ปรับภูมิทัศน์ แบกดินเทินใส่หัวกันคนละกระจาด ด้วยค่าแรงถูกแสนถูก จึงนิยมจ้างคนแทนการซื้อเครื่องทุ่นแรงมาใช้ และจะไม่ค่อยเห็นสาวๆ ตามร้านอาหารนะคะ เพราะนั่นเป็นงานของพี่ๆ ผู้ชาย

ฉันไปต่อยังที่ สรงน้ำพระราชินี ค่ะ อยากรู้ว่าท่านจะแสนสราญเพียงใดที่สรงน้ำอยู่นอกเขตพระราชฐานนะคะ นึกถึงสมัยโบราณเมื่อ 4-500 ปีก่อน ระยะทางไกลโขเลยค่ะ และทางเป็นหินทั้งนั้น ภูมิประเทศของฮัมปิเป็น ภูเขาหินแกรนิตให้เฉดสีทั้งเทา เหลืองอมน้ำตาล และสีชมพู รูปบูชาเทวา เทวี และเทวาลัยทั้งหลายจึงให้สีมลังเมลือง ยิ่งเมื่อต้องกับแสงแดดแล้ว สวยจนอาจลืมหายใจเลยค่ะ วิธีการที่เขาสกัดเอาหินแกรนิตใหญ่ยักษ์เหล่านี้มาแกะเป็นงานศิลปะชั้นยอด นี้ อึ้งทึ่งไปเลยเหมือนกัน โดยคนงานจะขึ้นรูปไว้ที่หิน และตอกลิ่มไม้เป็นแนวถี่ๆ ตามร่องหินเล็กๆ และหมั่นรดน้ำ ตามธรรมชาติเมื่อไม้เปียกจะขยายตัว และหินจะกะเทาะออก รอยกะเทาะนี้ยังมีให้เห็นตามหินผาสูงชันอยู่เลยค่ะ

ที่สรงน้ำพระราชินีเป็นเรือนหินชั้นเดียว มีระเบียงทางเดินล้อมรอบ สระสรงน้ำทรงสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ลึก 1 เมตรกว่า ในอดีตตามโถงทางเดินมีภาพสีน้ำประดับ แต่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ไม่มีน้ำให้เห็นหรอกนะคะ มีเพียงทางส่งน้ำ สมัยก่อนเขาอาบน้ำอบปรุง และสงวนไว้เป็นที่สำหรับเจ้านายฝ่ายชายและนางในของพระองค์เท่านั้น


ฉันเลยไป วัดวิทลา ไปดูรถม้าพระที่นั่งหินของพระวิษณุค่ะ ระหว่างทางผ่านตลาดของชาววิชัยนครา ตลาดนี้ไม่ได้ขายผักผลไม้ แพะหรือไก่หรอกนะคะ เขาขาย เพชร และ ทอง กันค่ะ เหลือให้เห็นแต่โครงเสาหินยาวตลอดแนวหลายกิโลเมตร มีบางช่วงเป็นศาลาหินสี่เสา สำหรับให้ชาวบ้านแลกม้ากันในสมัยโบราณ ฉันโดนน้องๆ นักเรียนรุมอีกรอบค่ะที่วัดนี้ ถ่ายรูปคู่กันประหนึ่งเป็นดาราเลยค่ะ ท่าจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวหน้าแปลกอย่างฉันแวะเวียนไปที่ฮัมปิจริงๆ

วัดวิทลา ถือว่า เป็นวัดมาสเตอร์พีชของวิชัยนครา และงานแกะสลักที่วัดนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่า 'สุดยอด' ในสมัยวิชัยนคราเลยทีเดียวค่ะ วัดวิทลาสร้างขึ้นในภายหลังช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ในสมัยของ กฤษณะเทวราช รถม้าพระที่นั่งของพระวิษณุอยู่ด้านหน้าก่อนถึงทางเข้าแท่นบูชาใหญ่ เป็นจุดฮอตฮิตของนักท่องเที่ยวที่ต้องถ่ายรูปคู่กับรถพระนั่ง งานแกะสลักละเอียดและวิจิตรมาก มีแท่นบูชาครุฑขนาดเล็ก อยู่ด้านบนของรถพระที่นั่ง สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ นะคะ แม้จะเหมือนจริงมาก แต่ล้อหินนั้นวิ่งไม่ได้จริงหรอกนะคะ เพราะสำหรับเคารพบูชา เดินเลยขึ้นไปบนมณฑปทรงพีระมิด ให้ลองเคาะเสาที่หอดนตรีที่มีภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นรูปนักดนตรี เคาะเบาๆ ที่เสา จะได้ยินเสียงดังก้องไปทั้งโถง คนเลยเคาะกันใหญ่ มีทั้งเคาะทั้งลูบเสาเป็นเงาวับเชียวค่ะ

แดดเริ่มคล้อย ฉันออกจากวัดวิทลา เจอเด็กวัยเริ่มจะรุ่นอีกกลุ่มใหญ่ เข้ามารุมทักทายและถ่ายรูป เป็นการเริ่มต้นมิตรภาพในอีกรูปแบบ จนมัคคุเทศก์ชาวอินเดียเข้ามาขอโทษขอโพยว่า เด็กพวกนี้รุ่มร่ามกับนักท่องเที่ยว ฉันรีบอธิบายว่า ไม่เป็นอะไรเลย เพราะฉันเองก็เจาะถ่ายรูปคนอินเดียซะเยอะเหมือนกัน บางทีอาจไปรุ่มร่ามโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

จากวัดวิทลา ฉันกลับเข้าเมืองเพื่อหาอะไรรองท้อง ก่อนใช้เวลาช่วงแดดร่มลมตกขึ้นเขา เหมคูตา สถานที่บูชาต่างๆ บนเขานี้เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของสถาปัตยกรรมในยุคก่อนและต้นรัชสมัยวิชัย นครา และอนุสาวรีย์ที่กระจายอยู่ได้สร้างขึ้นในแต่ละยุคตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เรื่อยมา ช่วงพระอาทิตย์ตกดินจะมีคนอินเดีย ซึ่งน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า นำกลองมาตีสร้างบรรยากาศ บนนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่แนะนำให้อ้อยอิ่งอยู่นานหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะเป็นที่ลับสายตาคน

ฉันเดินเรื่อยไปยัง แท่นบูชาพระพิฆเนศประทับนั่ง ขนาดใหญ่เกือบ 5 เมตร มีผู้นำขนมหวานมาบูชาไม่ขาด วัดกฤษณะ เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด เดินเลยไปดู นารายสิงห์ อีกหนึ่งอวตารของพระวิษณุ ตัวเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงโต คนไทยเราอาจรู้จักในชื่อ 'ฤๅษีหน้าเสือ' เป็นภาคที่พระวิษณุฆ่าปิศาจ Hiranyakashipu ใกล้ๆ กันเป็นศิวลึงค์ขนาดใหญ่มากสูง 3 เมตรเห็นจะได้ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในแท่นบูชาค่ะ

โบราณสถานบริเวณนี้อยู่ใกล้กับตัวเมืองค่ะ เดินเล่นได้สบาย หากขยันเดินไกลอีกนิด มีวัดใต้ดินค่ะ ขุดเจอตอนบูรณะพื้นที่ใกล้เคียง ตามหลักฐานเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม เชื่อว่าเป็นวัดที่ใช้ในกิจการศาสนาของสมาชิกราชวงศ์

เดินต่ออีกนิดเป็นปราการเมือง อยู่ภายในเขตวัด หัสราม มีร่องรอยภาพแกะสลักแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับชาวยุโรป มีชาวมุสลิมจำนวนมากในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอินเดียฮินดูที่เปลี่ยนความเชื่อ และผู้อพยพจากตะวันออกกลางและเอเชียกลางที่ผู้ปกครองวิชัยนคราว่าจ้างเข้ามา ค้าแรงงาน ไม่นับรวมทาสตุรกี ในระหว่างศตวรรษที่ 14-15 ที่ถูกกวาดต้อนจากเอเชียกลาง เข้ามาเป็นทั้งเจ้าพนักงาน เป็นยามรักษาการณ์ และเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ หรือผู้สร้างความบันเทิงให้กับสมาชิกราชวงศ์ ร่องรอยของชุมชนชาวมุสลิม สุเหร่า และสุสานยังมีให้เห็นอยู่เลยค่ะ ขณะที่มีการดูดกลืนวัฒนธรรมการแต่งกายบางส่วนอย่างเสื้อคลุม และหมวกทรงแหลมสูงที่พวกกษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงนำมาใช้ด้วย ไม่รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้อิทธิพลจากมุสลิม และอาหรับมาเต็มๆ อย่างที่เราเห็น

ฉันฝากท้องมื้อเย็นกับร้านอาหารโฮมเมดที่รอนานมาก เจ้าของร้านออกไปซื้อของสดเข้ามาทำทีละอย่าง เดินหลายเที่ยวมาก เดี๋ยวซื้อไข่เป็ด เดี๋ยวออกไปซื้อน้ำมัน ซื้อผัก

แต่ก็อร่อยคุ้ม... อย่างน้อยฉันกลับเข้าไปกินตลอด 3 วันที่อยู่ในฮัมปิ


หมายเหตุการเดินทาง: ฮัมปิ เป็นเมืองหลวงของวิชัยนครา มีรถโดยสารจากกัว และบังคาลอร์ ระยะทาง 325 กิโลเมตร หรือนั่งรถประจำทางจาก 'มาดูไร' 1 คืน มาลงที่เมืองฮอสเปก และนั่งประจำทางต่อไปยังฮัมปิ มีรถออกทุกชั่วโมง หรือ จ้างสามล้อประมาณ 100 บาท

เตรียมรถเมื่อฝนมาเยือน

"การเตรียมพร้อมในรถยนต์ยามที่ฝนมาเยือน ท่านควรเตรียมตัวอะไรบ้าง?"

เพราะปัญหาที่คุณคาดไม่ถึงอาจจะเกิดในช่วงฝนตกก็เป็นได้ อย่างเช่นปัญหาที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน บางคันพอปัดได้พักเดียว ทั้งก้านทั้งใบปัดหลุดกระเด็นไปคนละทิศละทาง หรือเครื่องดับในขณะวิ่ง
จะลงมาเข็นก็กลัวเปียก ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่คุณจะสตาร์ทรถออกจากบ้านในหน้าฝน จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย"ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" มีการดูแลเบื้อต้นรับหน้าฝนมาเยือน
อย่างแรกที่เจ้าของรถควรคำนึงถึงคือ

1.อุปกรณ์ปัดน้ำฝน ใบปัดน้ำฝนนั้นควรจะเป็นใบปัดที่ค่อนข้างใหม่สักหน่อย เวลาปัดใบปัดจะกวาดน้ำฝนได้สะอาดดี ไม่เป็นเส้นหรือมัว และต้องไม่ทำลายกระจก ก้านปัดน้ำฝนจะต้องมียางรีดน้ำที่สมบูรณ์ ก้านจะต้องมีแรงกดกระจก ถ้าไม่มีแรงกดใบปัดก็ไม่สะอาด

ประการสำคัญ ต้องขันก้านให้แน่นถ้าหากปล่อยให้ก้านหลวม นอกจากจะหลุดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาแล้ว ยังเป็นผลทำให้เกิดการสึกหรอหรือก่อให้เกิดผลเสียต่อมอเตอร์ส่งกำลัง (มอเตอร์ปัดน้ำฝน)
เพราะมอเตอร์ปัดน้ำฝนจะต้องมีกำลังดีไม่ใช่หมุนแบบไม่มีแรงสปีด ซึ่งมอเตอร์ใบปัดน้ำฝนที่ติดรถนี้ควรจะมี 3 จังหวะ คือ 1.ช้า 5 วินาทีต่อ 1 ครั้ง 2.ช้าต่อเนื่องแบบ 1 ครั้งต่อ 2 วินาที และ 3.
จังหวะเร็วที่สุด

อุปกรณ์ฉีดน้ำ กระป๋องกับหัวฉีดต้องพร้อมเสมอ น้ำที่ใช้ฉีดควรจะใส่น้ำยาเช็ดกระจกไปนิดหน่อยหรือแชมพูสระผมก็ได้ ใส่นิดเดียวอย่ามาก ซึ่งทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่าทุกอย่างควรพร้อมและถ้าพร้อมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึง ก็จะดีมาก (แต่ถ้ากรณีที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงานแต่จำเป็นต้องขับต่อ ให้เอาน้ำสบู่ล้างกระจกให้สะอาด เพราะจะช่วยให้น้ำไม่เกาะกระจก)

2.อุปกรณ์ประจำรถ ภายในห้องโดยสารหรือภายใต้ฝากระโปรงหลัง ควรมีหมวกหรือร่ม ไฟฉายฉุกเฉินชนิดใช้ถ่าน เสื้อกันฝนและถ้าจะให้ทันสมัยขึ้นมาหน่อยก็ควรจะมีเจ้าคอมฟอร์ต 100
(อุปกรณ์ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบของคนกรุงเทพฯ) อุปกรณ์ที่กล่าวมานี้ ถ้าเป็นรถแบบห้องโดยสารเปิดทะลุถึงห้องเก็บสัมภาระได้ก็จะเป็นการดี เพราะจะช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้น
ส่วนอุปกรณ์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงท้ายจริงๆ คือยางอะไหล่ ซึ่งต้องพร้อมเสมอ หมายถึงยางอะไหล่ต้องมีลมยางที่เหมาะสม แม่แรงสำหรับขึ้นรถ เวลาเปลี่ยนยางต้องไม่ขึ้นสนิมหรือฝืดจนหมุนไม่ได้ ตัวถอดล้อหัวกุญแจเบอร์ต่างๆ เครื่องมือประจำรถที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมาให้

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือน้ำมันเบรกสำรอง ถังน้ำแกลลอนชนิดปิดฝาได้สนิท ท่อยางหม้อน้ำ สายพานไดชาร์จ สองรายการหลังนี้ควรซื้อให้ตรงกับเบอร์ที่ใช้ สายพ่วงแบตเตอรี่ เพื่อเอาไว้พ่วงกับแบตเตอรี่จากลูกอื่นๆ เวลาไฟรถของท่านหมด เชือกลากจูงรถทั่วไป ก็มีขายตามห้างสรรพสินค้า ควรเลือกให้มีความหนาและเหนียวเพื่อป้องกันการขาดขณะลากจูง สรุปได้ว่าทุกอย่างที่เตรียมพร้อมมาแล้วนั้น นอกเหนือจากที่จะไว้ใช้กับรถของเราเองแล้วยังสามารถช่วยเหลือรถผู้อื่นได้ อีกด้วย

3.ยางทั้ง 4 ล้อ ต้องมีดอกยางไม่ใช่ยางหัวโล้น ยางถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ประเภทยางแกะดอก ยางหัวโล้น ห้ามใช้โดยเด็ดขาด คำว่าฝนตกถนนลื่นมีความสำคัญเป็นอย่างมากหากยางไม่ค่อยดี
โอกาสที่จะหงายท้องตีลังกาก็มีสูง ควรเปลี่ยนของใหม่ดีกว่า การใช้ควรใช้แค่ 60-70% ก็พอ และที่สำคัญควรเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน

4.ช่วงล่างและเบรก ช่วงล่างกับเบรกนี่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน ในยามที่ขับรถตะลุยฝนอยู่ หากช่วงล่างไม่ค่อยดีการบังคับทิศทางก็จะผิดเพี้ยน รวมทั้งเบรกก็เช่นกัน หากชำรุดโอกาสที่จะเสยท้ายรถคันอื่นก็มีมาก หรือถ้าเบรกดีมากเกินไปโอกาสที่จะหมุนก็มีเยอะ

ฉะนั้นเวลาเบรกในขณะฝนตกหรือถนนลื่นควรค่อยๆ เบรกแล้วปล่อยทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ารถชะลอความเร็ว ทั้งนี้ควรกระทำแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าเบรกอย่างกระทันหันโอกาสที่จะเอาสีข้างฟาดกับรถคนอื่นก็มีได้ ดังนั้นยางทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งช่วงล่างทั้งหมด เบรกทุกระบบ โช้กอัพทั้งหมด ควรจะต้องมีสภาพที่พร้อมใช้งานได้ทุกๆ ฤดูกาล

ที่มา : Motoring ManagerOnline