หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับหนังสือเดินทางทั่วไป

ประเทศที่ได้ทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดา(ไม่ต้องขอวีซ่า)กับประเทศไทย

อยู่ได้ 90 วัน
  • อาร์เจนตินา
  • บราซิล
  • ชิลี
  • เปรู 
  • เกาหลีใต้
อยู่ได้ 30 วัน
  • ฮ่องกง
  • อินโดนีเซีย
  • ลาว
  • มาเก๊า
  • มองโกเลีย
  • มาเลเซีย
  • มัลดีฟส์
  • รัสเซีย
  • สิงคโปร์
  • แอฟริกาใต้
  • เวียดนาม

อยู่ได้ 21 วัน
  • ฟิลิปปินส์


อยู่ได้ 14 วัน
  • บรูไน
  • บาห์เรน


หมายเหตุ 
  • หลายประเทศในอาเซี่ยน  เราไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า ยกเว้น พม่าและกัมพูชา ยังต้องขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศ
  • ระยะเวลาการพำนักในประเทศดังกล่าวมีการตกลงกำหนดช่วงระเวลาในการเข้าโดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่หากอยู่เกินระยะเวลาที่ตกลงก็ต้องขอวีซ่าตามปกติ
  • การที่ไม่ต้องขอวีซ่าหรือขอวีซ่าได้แล้วก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าสามารถที่จะเข้าประเทศดังกล่าวได้เสมอไป ดุลยพินิจการเข้าประเทศนั้น ๆ ขึ้นอยู่กับ ตม. ของประเทศนั้นๆ
  • จำนวนประเทศ จำนวนวันที่สามารถเข้าพำนักได้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ข้อมูลที่ได้ระบุ ณ วันเวลา เมษายน 2551

ที่มาข้อมูลบางส่วน : เอกสารจากเว็บไซต์ กระทรวงการต่างประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หนังสือเดินทาง 5

5.

การทำหนังสือเดินทางธรรมดา

กรณี
  • บุคคลบรรลุนิติภาวะ
  • ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
  • ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์

บุคคลบรรลุนิติภาวะ
เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของบุคคลบรรลุนิติภาวะ
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรข้าราชการ หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง (ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย)
  • หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
.... ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องนำสูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาต้องได้รับการรับรองสำเนาถูกต้องจาก อำเภอ/เขตมาแสดงพร้อมผู้มีอำนาจปกครอง หากผู้มีอำนาจปกครองไม่สามารถมาดำเนินการได้ สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนได้โดยต้องมีหนังสือมอบอำนาจและ หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชน ของบิดามารดาและ/หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริงมาแสดง ทั้งนี้หนังสือมอบอำนาจและหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศต้อง ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต

เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์ อายุต่ำกว่า 15 ปี
  • สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาสูติบัตรต้องได้รับการรับรองจากอำเภอ/เขต
  • บิดาและมารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองนำบัตรประชาชนฉบับจริงมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ของบิดา มารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง หากชื่อนามสกุลบิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ หรือ นามสกุลที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย ในกรณีที่มารดาหย่า และจดทะเบียนสมรสใหม่ และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมา แสดงด้วย
  • หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศและบัตรประจำตัวประชาชนฉบับ จริงของบิดามารดาที่ไม่มา ในกรณีที่บิดา/มารดาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้
    **หนังสือยินยอมของบิดา/มารดา ต้องผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต(ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องมีบิดาหรือมารดา คนใดคนหนึ่งมาแสดงตัวให้ความยินยอม)
  • เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรอง บุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่า ซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดา หรือมารดา เป็นต้น
  • กรณีบิดา มารดาผู้เยาว์เสียชีวิต / บิดาหรือมารดาผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติมิได้จดทะเบียนสมรสและ ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้ /บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครอง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดง
  • ค่า ธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

ผู้เยาว์อายุระหว่าง 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
.....ผู้เยาว์ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่ทำบัตรประชาชนแล้วสามารถติดต่อขอทำ หนังสือเดินทางด้วยตนเอง โดยมีหนังสือยินยอมของบิดาและมารดา หรือ ผู้มีอำนาจปกครองที่ยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรอง จากอำเภอ/เขตมาแสดงประกอบการยื่นคำร้อง หากไม่มีหนังสือยินยอม บิดาและมารดาหรือผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ต้องมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่ใน วันที่ยื่นคำร้อง (หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาไม่ได้ ให้มาลงนามในวันรับเล่ม) หรือ มีหนังสือยินยอม จากฝ่ายที่มาไม่ได้มาแสดง เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องผ่านการ รับรองสำเนาถูกต้อง จากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น

เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์ ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์
  • บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวง มหาดไทย
  • หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครอง พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
  • เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบ
  • สำคัญการสมรส ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดา เป็นต้น
ค่าธรรมเนียม
  • การทำหนังสือเดินทางเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท
ความหมายของผู้มีอำนาจปกครอง
กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้า เจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้งสองฝ่ายหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้องให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง
  • กรณีที่ผู้มีอำนาจปกครองอยู่ในต่างประเทศ ให้ทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยในประเทศที่พำนักอยู่ หากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้ปกครองไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองและประสงค์จะมอบอำนาจให้ผู้อื่น มาดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ และหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ โดยหนังสือทั้ง 2 ฉบับ ต้องผ่านการรับรองจาก สอท./สกญ. (สถานทูต/สถานกงสุล) กรณีบิดามารดาหย่าตามกฎหมาย ให้ผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ตามที่ระบุในบันทึกการหย่าเป็นผู้ลงนามพร้อม แสดงทะเบียนหย่า และบันทึกการหย่า
  • ผู้เยาว์ที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส มารดาสามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดยให้ทำ บันทึกคำให้การจากอำเภอ/เขตยืนยันว่าไม่ได้จดทะเบียนสมรสพร้อมแสดงหลักฐาน บัตรประจำตัวประชาชนที่มีอายุใช้งานเป็น “นางสาว” ต่อเจ้าหน้าที่รับคำร้อง
  • มารดาผู้เยาว์ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ใช้คำนำหน้า “นาง” สามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดย นำหนังสือรับรองการอุปการะบุตรแต่เพียงผู้เดียวจากอำเภอ/เขต มาแสดง
  • ผู้เยาว์เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มารดาต้องมาลงนามให้ความยินยอม บิดา ไม่สามารถลงนามยินยอมให้ผู้เยาว์เพียงฝ่ายเดียวได้ เว้นแต่ว่ามีคำสั่งศาลมาแสดงว่าศาลให้บิดาเป็นผู้อุปการะผู้เยาว์แต่ผู้ เดียว
  • บิดามารดาผู้ให้กำเนิดผู้เยาว์ที่ได้ยกผู้เยาว์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ อื่นแล้ว ไม่สามารถลงนาม แทนบิดามารดาบุญธรรมได้ต้องให้บิดา มารดาบุญธรรมเป็นผู้ลงนาม
  • เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องได้รับ การรับรองสำเนา ถูกต้องจากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น
ข้อควรปฏิบัติในวันมายื่นคำร้อง
... กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรส บิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้าเจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้ง สองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้อง ให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง

ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ

การยื่นคำร้องขอทำหนังสือเดินทาง

ขั้นตอนที่ 1
รับบัตรคิว

ขั้นตอนที่ 2
ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่มีเลข 13 หลักหากไม่มีเลข 13 หลัก ต้องนำสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดง พร้อม เอกสารหลักฐานอื่น ๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูล

ขั้นตอนที่ 3
- เก็บข้อมูลชีวภาพ(วัดส่วนสูง เก็บลายพิมพ์นิ้วมือนิ้วชี้ขวาและนิ้วชี้ซ้ายด้วยเครื่องสแกนข้างละ 2 ครั้ง และถ่ายรูป 2 ครั้ง)
- แจ้งความประสงค์ที่จะขอรับเล่มทางไปรษณีย์

ขั้นตอนที่ 4
ชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท และค่าส่งไปรษณีย์ (35 บาท) รับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม


สถานที่ในการยื่นคำร้องขอหนังสือเดินทาง
1. กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ
- ที่อยู่ 123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
- โทรศัพท์ 0-2981-7171-99 โทรสาร 0-2981-7256


2. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว บางนา
- ที่อยู่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลซิตี้บางนา อาคาร "บางนาฮอลล์"(ด้านข้างศูนย์ การค้า) ชั้น B1
- โทรศัพท์ 0-2383-8402-4 โทรสาร 0-2383-8398

3. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า
- ที่อยู่ อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์(ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม. 10700
- โทรศัพท์ 0-2446-8111-2 โทรสาร 0-2446-8124

4. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว จังหวัดขอนแก่น
- ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 40000
- โทรศัพท์ 0-4324-2707, 0-4324-3462, 0-4324-2655 โทรสาร 0-4324-3441

5. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงใหม่
- ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50000
- โทรศัพท์ 0-5389-1535-6 โทรสาร 0-5389-1534

6. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว จังหวัดสงขลา
- ที่อยู่ ศูนย์ราชการจังหวัดสงขลา อำเภอเมือง จ.สงขลา 90000
- โทรศัพท์ 074-326508-10 โทรสาร 074-326511

7. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว จังหวัดอุบลราชธานี
- ที่อยู่ อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000
- โทรศัพท์ 045-242313-4 โทรสาร 045-242301
- E-mail : passport_ub@hotmail.com

8. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- ที่อยู่ ศาลาประชาคม ถนนหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 84000
- โทรศัพท์ 077-274940, 077-274942-3 โทรสาร 077-274941

9. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดนครราชสีมา แผนที่
- ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ถนนมหาดไทย อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000
- โทร 044-243-132, 044-243-124 โทรสาร 044-243-133

10. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุดรธานี
- ที่อยู่ ศูนย์อเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี(ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง) ถนนอธิบดี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 41000
- โทร 042-212827, 042-212-318 โทรสาร 042-222-810

11. สำนักงานหนังสือเดินทางชัว คราว จังหวัดพิษณุโลก
- ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก ถนนเทพารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000
- โทร 055-258-173, 055-258-155, 055-258-131, โทรสาร 055-258-117

12. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว จังหวัดยะลา
- ที่อยู่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถนนสุขยางค์ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา 95000
- หมายเลขโทรศัพท์ 073-274-526, 073-274-036, 073-274-037 โทรสาร 073-274-527

13. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว ภูเก็ต
- ที่อยู่ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ถนนนริศร อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
- หมายเลขโทรศัพท์ 076-222-083, 076-222-080, 076-222-081 โทรสาร 076-222-082

14. สำนักงานหนังสือเดินทางชั่ว คราว นครสวรรค์
- ที่อยู่ ศูนย์บริการร่วมจังหวัดนครสวรรค์ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ถนนพหลโยธิน อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 60000
- หมายเลขโทรศัพท์ 056-233-453, 056-233-454 โทรสาร 056-233-452

ยื่นคำร้องด้วยตนเอง ระหว่างวันจันทร์ - วันศุกร์
- สำหรับสำนักงานสาขาในกรุงเทพปริมณฑล ยื่นระหว่างเวลาเวลา 8.00 – 15.30 น.
- สำนักงานสาขาในต่างจังหวัด ยื่นระหว่างเวลา 08.30 -16.30 น.
โดยไม่หยุดพักกลางวัน

นอกจากนี้ มีหน่วยบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่ออกไปให้บริการ ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ทุกปี

การรับหนังสือ เดินทาง
- สามารถมารับหนังสือเดินทางด้วยตัวเอง หรือมีหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมารับแทน นับจากยื่นคำร้องแล้ว 2 วันทำการ ไม่นับวันที่ยื่น อาทิยื่นคำร้องวันศุกร์จะได้รับหนังสือเดินทางในวันอังคารเช้า
  • หากมารับด้วยตนเองหรือบุคคลในครอบครัวสามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนพร้อม ใบรับหนังสือเดินทาง
  • หากให้บุคคลอื่นรับแทนต้องแสดงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือ เดินทาง ใบรับหนังสือเดินทางไปแสดง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาของผู้รับแทน
- ใช้บริการการจัดส่งหนังสือเดินทางทางไปรษณีย์ โดยชำระค่าจัดส่ง 35 บาท ผู้รับซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯจะได้รับหนังสือเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ สำหรับผู้รับที่อยู่ต่างจังหวัดจะได้รับหนังสือเดินทางประมาณ 10 วัน (ท่านที่ยื่นคำร้องขอแก้ไขหนังสือเดินทางจะได้รับหนังสือเดินทางภายในวัน เดียวกัน)

หนังสือเดินทาง

หนังสือเดินทางคือ เอกสารสำคัญประจำตัวที่รัฐบาลประเทศหนึ่งออกให้แก่พลเมืองหรือคนชาติของตน เพื่อใช้แสดงตนในการเดินทางไปต่างประเทศ

ครรภ์ในคุก... ชะตากรรมคนมีลูกที่น่าสงสาร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กรกฎาคม 2553 07:38 น.
หลายปีมานี้ ข่าวคราวเกี่ยวกับการขนยาเสพติดโดยใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือมีเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ อาจเป็นเพราะความอ่อนโยน สุภาพ น่ารัก ความยุ่งยากในการค้นตัว หรือตรวจร่างกาย สภาพของร่างกายหญิงที่เหมาะแก่การซุกซ่อนยาเสพติดหรือไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็ตาม ส่งผลให้มีการดำเนินคดีอาญาและลงโทษลงทัณฑ์สาว ๆ สูงขึ้นเป็นลำดับ จนก่อปัญหาเรือนจำมีสภาพที่แออัดไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนของผู้ซึ่งต้องขัง หรือต้องจำคุก และอาจส่งผลต่อการอยู่การกินของบุคคลเหล่านั้น โดยหากจำเลยเป็นหญิงมีครรภ์ซึ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษแล้ว เรือนจำยิ่งไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมกับสภาพของผู้ซึ่งต้องขังหรือต้องจำคุกเหล่า นี้สักเท่าใด

ปกติแล้วเมื่อคดีอาญาถึงที่สุด การบังคับคดีจะเกิดขึ้นทันทีโดยผ่านกระบวนการของกรมราชทัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยเองได้มีการปรับปรุงกฎหมาย ให้มีลักษณะเป็นการทุเลาการบังคับโทษจำคุกหญิงมีครรภ์ และเปลี่ยนโทษประหารชีวิตหญิงมีครรภ์เป็นจำคุกตลอดชีวิต

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำถาม - คำตอบ เกี่ยวกับเอกสารการเดินทาง

การตรวจลงตรา (Visa)
ถาม : visa คืออะไรครับ คนไทยต้องใช้หรือไม่ครับ
ตอบ : เวลาที่จะเดินทางไปต่างประเทศ สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือ (1) หนังสือเดินทาง (2) visa เข้าประเทศนั้นในหนังสือ เดินทาง (3) ตั๋วเครื่องบิน (4) เงินสำหรับใช้จ่าย เป็นเงินสกุลท้องถิ่นหรือเงินสกุลหลักที่ประเทศนั้นๆ ยอมรับค่ะ

สรุปอย่างง่ายๆ visa คือการขออนุญาตเข้าประเทศอื่นค่ะ คนไทย ต้องมี visa ก่อนที่จะเดินทางไปประเทศต่างๆ ค่ะ

ถาม : ทราบมาว่ามีบางประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอ visa ก่อนเข้าประเทศของเขา ใช่ไหมครับ
ตอบ : ถูกต้องค่ะ มีหลายประเทศที่รัฐบาลเราไปทำความตกลงเอาไว้เพื่อให้เดิน ทางไปมากันได้สะดวก และมีอีกหลายประเทศที่เขาอำนวย ความสะดวกให้คนไทยเป็นพิเศษ ปัจจุบัน (เมษายน 2551) มีอยู่ 19 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ที่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยสามารถเดินทางเข้าไป ท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องใช้ visa ได้แก่
1. อาร์เจนตินา (อยู่ได้ 90 วัน)
2. บาห์เรน (อยู่ได้ 14 วัน)
3. บราซิล (90 วัน)
4. บรูไน (14 วัน)
5. ชิลี (90 วัน)
6. ฮ่องกง (30 วัน)
7. อินโดนีเซีย (30 วัน)
8. เกาหลีใต้ (90 วัน)
9. ลาว (30 วัน)
10. มาเก๊า (30 วัน)
11. มองโกเลีย (30 วัน)
12. มาเลเซีย (30 วัน)
13. มัลดีฟส์ (30 วัน)
14. เปรู (90 วัน)
15. ฟิลิปปินส์ (21 วัน)
16. รัสเซีย (30 วัน)
17. สิงคโปร์ (30 วัน)
18. แอฟริกาใต้ (30 วัน)
19. เวียดนาม (30 วัน)

สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยก็มีความตกลงกับ 42 ประเทศ ให้สามารถเดินทางไปราชการได้โดยไม่ต้องใช้ visa ราย ชื่อประเทศดูได้ใน www.consular.go.th ในหน้าของกองตรวจลงตราฯ ค่ะ

ถาม : ตรวจดูรายชื่อประเทศแล้ว การไปหลายๆ ประเทศยังต้องขอ visa ก่อน เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญีปุ่น อังกฤษ จะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้ visa ครับ
ตอบ : ที่ที่เราจะไปขอ visa ก็คือสถานทูตของประเทศที่เราจะไป เช่น จะไปสหรัฐฯ ก็ต้องขอ visa ที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ หรือสถานกงสุลสหรัฐที่เชียงใหม่ เป็นต้น ต้อง ใช้เอกสารหลักฐานอะไรบ้าง ก็ต้องสอบถามกับสถานทูตของประเทศนั้นๆ ค่ะ

ถาม : ไปเที่ยวอย่างเดียวกับไปทำอย่างอื่น visa แตก ต่างกันไหมครับ
ตอบ : วัตถุ ประสงค์ของการเดินทางก็เป็นปัจจัยสำคัญค่ะ เช่น การไปเที่ยวกับการไปเรียน ก็ต้องใช้ visa คนละประเภท และเอกสารหลักฐานในการขอก็ไม่เหมือนกัน ค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน และระยะเวลา ที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ใน ประเทศของเขาก็แตกต่างกันด้วยค่ะ ต้องขอให้จำไว้เสมอนะคะว่า การไปอยู่ในประเทศอื่นนั้น หากไม่ได้พำนักอยู่โดยมีวัตถุประสงค์ แบบเดียวกับที่ตอนที่ขอ visa ไว้ เป็นการผิดกฎหมายนะคะ เช่น ขอ visa ไปเที่ยว แต่จริงๆ ไปทำงาน

ถาม : ผมเป็นนักธุรกิจ ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านและจีน มีคำแนะนำไหมครับ
ตอบ : ไทยเป็นสมาชิกของ APEC (Asia-Pacific Economic Cooperation) ซึ่งในกรอบความร่วมมือนี้ ก็มีการทำความตกลงให้นักธุรกิจเดินทางไปมาภาย ใน APEC ได้ โดยสะดวกค่ะ นักธุรกิจไทยสามารถยื่นคำร้องขอ มี ABTC (APEC Business Travel Card) ซึ่งจะอำนวยความ สะดวกในการเดินทางไปประกอบ ธุรกิจในอีก 17 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ คือ ออสเตรเลีย บรูไน ชิลี จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี สิงคโปร์ ไต้หวัน และเวียดนาม โดยไม่ต้องไปขอ visa กับสถานทูตแต่ละประเทศ
เลยค่ะ

นักธุรกิจที่สนใจสามารถยื่นคำร้องและสอบ ถามรายละเอียดได้จากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ได้ที่หมายเลข 0-2225-5474 หรือ 0-2622-1111 ต่อ 649 ค่ะ

ถาม : เพื่อนผมบอกว่า ถ้าไปยุโรป ขอ visa ครั้งเดียว เข้าได้หลายประเทศ
ตอบ : ประเทศ ในยุโรป จำนวน 24 ประเทศ มีการทำความตกลงกันโดยการออก visa พิเศษ ที่มีชื่อว่า “Schengen Visa” เพื่อ อำนวยความสะดวกให้คนประเทศต่างๆ ค่ะ คนไทยก็มีสิทธิ ขอ visa นี้ค่ะ ผู้ที่มี Schengen Visa สามารถเดินทางเข้าประเทศเหล่านี้โดยไม่ต้องขอ visa กับทุกประเทศอีก : ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอซ์แลนด์ อิตาลี กรีซ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน เช็ค เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย ฮังการี มอลตา โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย

คุณจะสามารถพำนักอยู่ได้รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ขอทราบรายละเอียดและยื่นคำ ร้องขอ Schengen Visa ได้ที่สถานทูตประเทศดังกล่าวค่ะ ทั้งนี้ การยื่นขอ Schengen Visa จะต้องเป็นการขอที่สถานทูต ของประเทศที่คุณจะไปพำนักอยู่นานที่สุด แต่หากไม่สามารถ ระบุได้ชัดเจน ก็ต้องไปขอที่สถานทูตของประเทศแรกที่จะเดินทางเข้าค่ะ

ถาม : ผมถือหนังสือเดินทางราชการ กำลังจะไปประชุมที่กรุงเวียนนา โดยจะไปเปลี่ยนเครื่อง ที่สนามบินกรุงเอเธนส์ ทราบมาว่าถ้าเดินทางผ่านกรีซเพื่อเปลี่ยนเครื่องอย่างเดียว ไม่ต้องขอ visa และไทยก็มีความตกลงกับออสเตรียในการยกเว้นการตรวจลงตรา หนังสือเดินทางทูตและ ราชการ ดังนั้น การเดินทางของผมครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องขอ visa เลยใช่ไหมครับ?
ตอบ : กรณีนี้ ต้องขอ Schengen Visa ก่อนค่ะ แม้ว่าคุณถือหนังสือเดินทางราชการก็ตาม ทางการกรีซแจ้ง ว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยทุกประเภท หากเดินทางผ่านกรีซไปประเทศ Schengen อื่น โดยกรีซเป็นประเทศแรกของ Schengen ที่เดินทางเข้า บุคคลผู้นั้นจะต้องขอ Schengen Visa ก่อนการเดินทาง ไม่ว่าประเทศ Schengen ที่เดินทางเข้าต่อจากนั้น จะมีความตกลง ในการยกเว้นการตรวจลงตรากับไทยหรือไม่ก็ ตามค่ะ ในขณะ เดียวกัน หากเป็นการเดินทางผ่านกรีซเพื่อขึ้นเครื่องบินต่อไปประเทศอื่นที่ไม่ใช่ Schengen โดยไม่ออกไปนอกท่าอากาศยานกรุง เอเธนส์ ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยทุกประเภทไม่จำ เป็นต้องขอ visa เข้า กรีซก่อนการเดินทางค่ะ

ประเทศ Schengen มี 24 ประเทศ : ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอซ์แลนด์ อิตาลี กรีซ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน เช็ค เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิธัวเนีย ฮังการี มอลตา โปแลนด์ สโลวีเนีย และสโลวาเกีย
Ø ประเทศ Schengen ที่มีความตกลง ยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง ทูตและราชการกับไทย 10 ประเทศ : ออสเตรีย เบลเยียม เยอรมนี อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ เช็ค ฮังการี โปแลนด์ และสโลวาเกีย

Ø ประเทศ Schengen ที่ประกาศยกเว้น การตรวจลงตราหนังสือ เดินทางทูต และราชการให้ไทยฝ่ายเดียว 4 ประเทศ : เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน

Ø ประเทศ Schengen ที่ผู้ถือหนังสือทูตและราชการของไทยต้องขอรับการ ตรวจ ลงตรา 10 ประเทศ : ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ กรีซ โปรตุเกส สเปน เอสโตเนีย ลัต เวีย ลิธัวเนีย มอลตา และสโลวีเนีย

ถาม : กองตรวจลงตราฯ ที่กรมการกงสุล มีหน้าที่อะไรเกี่ยวกับ visa ครับ
ตอบ : หน้าที่หลักของกองตรวจลงตราฯ คือการดูแลการออก visa ของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของไทยในต่างประเทศสำหรับ คนต่างชาติที่จะเดินทางเข้าเมืองไทยค่ะ

นอกจากนี้ กองตรวจลงตราฯ ก็มีหน้าที่เกี่ยวกับการอนุญาตให้คนต่างชาติที่เป็นนักการทูต หรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศที่ พำนักอยู่ในเมืองไทย เดินทางกลับเข้าเมืองไทยได้อีก (Re-entry)

หากคนต่างชาติทั่วไปที่อยู่ในเมืองไทย ต้องการติดต่อเรื่อง visa ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนประเภท visa หรือการขอขยายเวลา การพำนักในเมืองไทย ต้องติดต่อที่สำนักงาน ต.ม. ค่ะ โทรศัพท์ ไปสอบถามก่อนได้ค่ะที่หมายเลข 0-2287-3101 ถึง 10

อนึ่ง กองตรวจลงตราฯ ก็สามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับการขอ visa ไปต่างประเทศของคนไทย ได้ค่ะ แต่ข้อมูลในรายละเอียดจะต้องไปสอบถามจากสถานทูตของประเทศนั้นๆ ในเมืองไทย เพราะเป็นอำนาจของแต่ละประเทศ ในการออก visa ให้คนต่างชาติเข้าประเทศของเขา

ถาม : ถ้าอย่างนั้น คนต่างชาติที่จะเข้ามาในเมืองไทย ก็ต้องขอ visa ก่อนใช่ไหมครับ
ตอบ : ใช่แล้วค่ะ คน ต่างชาติที่จะเข้ามาในเมืองไทยก็ต้องขอ visa ที่ สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ ก่อน แต่ ก็มีหลายประเทศค่ะที่สามารถเข้าเมืองไทยได้โดยไม่ต้องขอ visa หรือขอ visa ที่สนามบินก็ได้ สามารถตรวจสอบรายชื่อประเทศดังกล่าวได้ จาก www.consular.go.th หรือ www.mfa.go.th นะคะ

ถาม : เพื่อนผมเป็นคนนิวซีแลนด์มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่นิวซีแลนด์ ชอบเมืองไทยมากเลยเดินทางเข้ามาเที่ยวบ่อย เพราะไม่ต้องใช้ visa ด้วย บางครั้ง ใน 1 ปี เดินทางเข้า-ออกเมืองไทยบ่อยครั้งมากจนนับได้ว่าอยู่ในเมืองไทยมากกว่าอยู่ ในนิวซีแลนด์เสียอีก แต่ตอนนี้ ทราบว่า ต.ม.มี ระเบียบใหม่เกี่ยวกับระยะเวลาที่อนุญาตให้คนต่างชาติพำนักอยู่หากเข้ามาโดย ไม่มี visa ใช่ ไหมครับ?
ตอบ : ถูก ต้องค่ะ เพื่อไม่ให้คนต่างชาติจำนวนหนึ่งอาศัยช่องทางในการได้รับการยกเว้น visa เดินทางเข้าออกหลายครั้งเพื่อลักลอบทำงานในเมือง ไทยอย่างผิดกฎหมาย สำนักงาน ต.ม. จึงออกมาตรการป้องกันไว้ ปัจจุบัน คนต่างชาติ 42 ประเทศ รวมถึงนิวซีแลนด์ สามารถเดินทางเข้าประเทศ ไทยเพื่อการท่องเที่ยวโดยได้ รับการยกเว้น visa (เรียกว่า ผ. 30) ซึ่งเจ้าหน้าที่ ต.ม. จะอนุญาต ให้อยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 90 วันภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เดินทางเข้าครั้งแรกค่ะ

ในกรณีอย่างเพื่อนของคุณนี้ ถ้าประสงค์จะท่องเที่ยวระยะยาวจริงๆ ขอแนะนำให้ขอ visa นักท่องเที่ยว จากสถานทูตไทยที่กรุงเวลลิงตัน หรือสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ที่เมืองโอ๊คแลนด์ ก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองไทย เพราะจะได้รับอนุญาตให้อยู่ได้นานกว่าการเข้ามาโดยไม่มี visa ค่ะ

ถาม : อาจารย์ของผมเป็นคนญี่ปุ่น เข้ามาเที่ยวเมืองไทยโดยได้รับการยกเว้น visa ได้รับอนุญาตจาก ต.ม. ให้อยู่ได้ 30 วัน สัปดาห์ หน้าก็จะครบกำหนดแล้ว แต่บังเอิญว่า ท่านประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่งก่อนจะเดินทางกลับญี่ปุ่นได้ทำอย่างไรดีครับ
ตอบ : ขอแนะนำให้อาจารย์ของคุณขอใบรับรอง แพทย์ไปแสดงกับสำนักงาน ต.ม. ที่ไหนก็ได้ค่ะ แต่ต้องดำเนินการก่อนที่จะครบ 30 วันนะคะ สำนักงาน ต.ม. จะพิจารณาอนุญาตให้อยู่ต่อได้ ตามความจำเป็นค่ะ

การที่คนต่างชาติอยู่เกินกำหนด โดยที่ไม่ขออนุญาตก่อน เมื่อเดินทางออกจากเมืองไทย จะถูกปรับตามจำนวนวันที่อยู่เกินกำหนดค่ะ (ค่าปรับวันละ 500 บาท หรือรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท)

ถาม : ผมทำธุรกิจส่งออก กำลังขยายกิจการ อยากจะจ้างคนจีนไว้ช่วยทำตลาดจีนควรทำอย่างไรบ้างครับ
ตอบ : ขอแนะนำให้ปรึกษากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานก่อนค่ะ เพราะมีกฎหมายและระเบียบต่างๆ กำหนดไว้สำหรับการจ้างคนต่างชาติ (www.doe.go.th) สิ่งที่จำเป็นสำหรับนายจ้างก็คือการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (work permit หรือ ต.ท. 2) ให้คนต่างชาติ นั้นๆ ขอแนะนำให้คุณยื่นขอใบอนุญาตทำงานล่วงหน้า (แบบฟอร์ม ต.ท. 3) หากกรมการจัดหางานพิจารณาแล้วเห็นควร อนุมัติ ก็จะออกหนังสือรับรองให้ ซึ่งคุณก็สามารถ

ส่งเอกสารที่ว่านี้และเอกสารประกอบคำร้องต่างๆ ที่คุณสามารถตรวจสอบได้จาก www.mfa.go.th หรือ www.consular.go.th ให้คนต่างชาตินั้นไปยื่นขอ Non-Immigrant visa ที่ สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทย ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยค่ะ

ถาม : เพื่อนผมเป็นคนอินเดีย มาเที่ยวเมืองไทยแล้วติดใจครับ อยากจะอยู่ทำงานที่นี่มีคำแนะนำไหมครับ
ตอบ : ถ้าอยากจะทำงานในเมืองไทย ก็ต้องมีนายจ้างก่อนนะคะ หน่วยงานที่อนุญาตให้คน ต่างชาติทำ งานในเมืองไทยได้ก็คือกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ส่วน เรื่องการอนุญาตให้พำนัก
อยู่ในเมืองไทยเป็นอำนาจตามกฎหมายของ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ในกรณีนี้ หากเพื่อนของคุณมีนายจ้างแล้ว ก็ควรจะกลับไปขอ visa ทำงาน (เรียกชื่อทางการว่าNon-immigrant “B” visa) จาก สถานทูตหรือสถานกงสุลของไทยในอินเดีย โดยมีเอกสารรับรองต่างๆ จากนายจ้างไปแสดง หรือหากให้นายจ้างยื่นขอใบอนุญาตทำงานให้ล่วงหน้า

(แบบฟอร์ม ต.ท. 3) ก็จะยิ่งทำให้ขอ visa ได้ง่ายมากขึ้นค่ะ และเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไปขอรับใบอนุญาตทำงาน จากนั้น ไปยื่นคำร้องขออนุญาตอยู่ต่อกับสำนักงาน ต.ม. ก่อนที่จะครบกำหนด 90 วันค่ะ

ถ้าเพื่อนของคุณอยู่ต่อในเมืองไทยและทำงานโดยไม่มี visa ที่ถูกต้อง และไม่มีใบอนุญาตทำงาน ถือเป็นการผิดกฎหมายนะคะ อาจถูกปรับและเนรเทศกลับประเทศได้

ถาม : ผมมีแฟนเป็นคนฮ่องกง ตอนนี้อยู่ที่ฮ่องกง อยากจะแต่งงานและพาเธอมาอยู่ ด้วยกันที่ เมืองไทย ต้องทำอะไรบ้างครับ
ตอบ : ก่อนอื่น ต้องจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อนค่ะ สามารถเลือกจดทะเบียนตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายฮ่องกงก็ได้ หลังจากนั้น ก็นำหลักฐานการจดทะเบียนสมรส
ไปยื่นขอ visa คู่สมรสได้ที่สถานกงสุลใหญ่ ของไทยในฮ่องกง (เรียกว่า Non-immigrant “O”)

เมื่อได้ visa แล้ว ก็สามารถอยู่ในเมืองไทยระยะยาวได้ แต่ต้องอย่าลืมไปขอต่ออายุการพำนัก ในเมืองไทยกับสำนักงาน ต.ม. แห่งไหนก็ได้เป็นประจำนะคะ

เรื่องการจดทะเบียนสมรสระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ สามารถขอคำแนะนำจากกองสัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุล ได้ด้วยค่ะ

ถาม : ดิฉันแต่งงานกับคนเยอรมนี จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเยอรมนีแล้วตอนนี้เราอยู่ด้วยกันที่แฟรงก์เฟิร์ต ดิฉัน เคยพาเขามาเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งแล้ว โดย ไม่ได้ใช้ visa แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน อยาก จะพาเขามาอยู่ระยะยาว ต้องทำอย่างไรบ้างคะ
ตอบ : สามีของคุณสามารถยื่นขอ Non-Immigrant “O” Visa ในฐานะคู่สมรสของคนไทยได้ ที่สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ตค่ะ ในการขอ visa นั้น ก็ต้องนำทะเบียนสมรสและหลักฐานไทยของคุณไปแสดงด้วย เมื่อสามีของคุณได้รับ visa แล้ว ก็สามารถเดินทางเข้าเมืองไทย และจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในครั้งแรกไม่เกิน 90 วัน หลัง จากนั้น ก็สามารถขออยู่ต่อที่สำนักงาน ต.ม. แห่งไหนก็ได้ โดยจะได้รับอนุญาตครั้งละไม่เกิน 1 ปีค่ะ

ถาม : ขอความกระจ่างอีกนิดหนึ่งครับ แปลว่า ถ้าคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในเมืองไทยแล้วสถานะเปลี่ยนไป เช่น แต่งงานกับคนไทย หรือเปลี่ยนจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างอื่น ต้องติดต่อเพื่อขออนุญาตกับสำนักงาน ต.ม. ใช่ไหมครับ
ตอบ : ถูก ต้องค่ะ ต.ม. จะพิจารณาตามเอกสารและความจำเป็น ในบางกรณี อาจได้รับคำแนะนำให้กลับไปประเทศของตนเพื่อขอ visa ที่ถูกต้องเข้ามา จะได้ไม่ประสบปัญหาในอนาคตค่ะ

เอกสาร เดินทางคนต่างด้าว (Travel Document for Aliens หรือ TD) และเรื่องอื่นๆ

ถาม : เอกสาร เดินทางคนต่างด้าวคืออะไรครับ ต่างจากหนังสือเดิน ทางอย่างไรครับ

ตอบ : หนังสือเดินทางเป็นเอกสารการเดินทางสำหรับผู้ที่มีสัญชาติไทยค่ะ ส่วนคนต่างด้าว

ที่พำนักอยู่ในเมืองไทย มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ที่ออกให้โดย ต.ม. แต่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทาง

จากประเทศที่ตนเคยมีสัญชาติเดิม สามารถขอเอกสารเดินทางคนต่างด้าว (TD)

ซึ่งมีอายุการใช้งาน 1 ปี และสามารถต่ออายุ ได้ที่กองตรวจลงตราฯ เพื่อใช้เดินทาง

ไปต่างประเทศชั่วคราวได้ค่ะ

นอกจากคนต่างด้าวที่มีใบถิ่นที่อยู่แล้ว บุคคล ไร้สัญชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย

และคนต่างด้าวทีได้รับถิ่นที่อยู่ถาวรภายใต้โครงการลงทุนเป็นกรณี พิเศษ 10 ล้านบาท

ก็มีสิทธิยื่นขอ TD ได้เช่นกันค่ะ

เอกสารประกอบต่างๆ ในการขอ TD ปรากฎใน www.consular.go.th หรือ www.mfa.go.th ค่ะ


ถาม : พอได้รับ TD แล้วต้องทำอะไรบ้างครับ

ตอบ : อย่างแรกที่ต้องทำคือไปยื่นคำร้องขอ Re-entry Permit จากสำนักงาน ต.ม. ค่ะ

สำนักงาน ต.ม. จะออก Re-entry Permit ให้โดยมี อายุเท่ากับ TD จากนั้น ก็นำ TD ไปขอ visa

เข้าประเทศที่คุณจะเดินทางไปจากสถานทูต ของประเทศนั้นๆ ค่ะ


ถาม : คุณแม่ของผมเป็นคนต่างด้าว แต่ตอนนี้มีหนังสือเดินทางจีนอยู่ด้วย จะขอ TD ได้ไหมครับ

ตอบ : กรมการกงสุลไม่สามารถออก TD ให้กับบุคคล ที่มีหนังสือเดินทางของประเทศอื่นค่ะ

ในกรณีเช่นนี้ คุณแม่ของคุณสามารถใช้หนังสือเดินทางจีนเดินทางออกจากเมืองไทยได้ค่ะ

แต่ควรปรึกษากับ ต.ม. ก่อนล่วงหน้าให้แน่ใจว่าต้องดำเนินการอะไรหรือไม่ถึงจะสามารถเดินทาง

กลับเข้ามาเมืองไทยได้อย่างไม่มีปัญหา


ถาม : คุณพ่อผมเป็นคนต่างด้าว อยากให้ท่านได้รับสัญชาติไทย จะได้เปลี่ยนจากถือ TD

เป็น หนังสือเดินทางไทย ต้องทำ อย่างไรบ้างครับ

ตอบ : การได้สัญชาติไทยอยู่ในอำนาจการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยค่ะ คนต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่

ในเมืองไทยและประสงค์จะได้สัญชาติไทย ต้องไปยื่นคำร้องขอที่กองตำรวจสันติบาล

สามารถขอคำแนะนำในเบื้องต้นได้ที่กอง สัญชาติและนิติกรณ์ กรมการกงสุลค่ะ


ถาม : สามารถ ขอต่ออายุ TD ในต่างประเทศได้ ไหมครับ คุณลุงของผมเป็นคนต่างด้าว

ใช้ TD เดินทางไปเยี่ยมญาติที่เกาหลีใต้ แล้วไปล้มป่วยอยู่ที่นั่น เกรงว่า TD จะหมดอายุ

เสีย ก่อนที่ท่านจะหายป่วยและเดินทางกลับได้

ตอบ : ในหลักการแล้ว สถานทูตสถานกงสุลใหญ่ไม่สามารถต่ออายุ TD ให้ได้ค่ะ หากผู้ที่ถือ TD

ไม่เดินทางกลับประเทศไทยระหว่างที่ TD และ Re-entry Permit ยังมีอายุอยู่

สถานะของคนต่างด้าวที่ได้รับใบถิ่นที่ อยู่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยนะคะ

หากเป็นกรณีที่สุดวิสัยจริงๆ เช่น เจ็บป่วยในต่างประเทศ ขอให้ติดต่อสถานทูต/สถานกงสุล ใหญ่ของไทยที่อยู่ใกล้ที่สุด พร้อมแสดงหลักฐานประจำตัวต่างๆ รวมถึงใบรับรองแพทย์ค่ะ

และสถานทูต/สถานกงสุลใหญ่จะหารือกับกอง ตรวจลงตราฯ กรมการกงสุล เพื่อช่วยหาทางออกให้ต่อไปค่ะ


ถาม : นอกจากหนังสือเดินทางและ เอกสารเดินทางคนต่างด้าวแล้ว ผมเคยได้ยินว่า

มีเอกสารที่เรียกว่า Emergency Certificate ด้วย คืออะไรครับ

ตอบ : Emergency Certificate หรือ EC คือเอกสารการเดินทางที่กองตรวจลง ตราฯ กรมการกงสุล

ออกให้กับคนต่างชาติในการเดินทางออกจากเมืองไทยแบบฉุกเฉินค่ะ กลุ่มคนต่างชาติที่มีสิทธิ

ขอ EC เป็นคนกลุ่มพิเศษที่ไม่สามารถยื่นขอหนังสือเดินทางของประเทศใดๆ ในเมืองไทยได้

เช่น (1) คนต่างชาติที่ทำหนังสือเดินทางหาย และไม่มีสถานทูตของตนตั้งอยู่ในเมืองไทย

(2) บุตรของคนต่างชาติที่เกิดในเมืองไทย แต่ไม่ได้รับสัญชาติไทย และไม่มีสถานทูต

ของตนตั้งอยู่ใน เมืองไทย (3) เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในความดูแลของกรมพัฒนาสังคม

และสวัสดิการ (4) คนต่างชาติที่ลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ในเมืองไทย

ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ในเอกสาร April 2008

1

ใบไม้ล่วงฝนหลั่งยังใจหาย
หลับคล้ายตื่นคืนวันฉันว่าฝัน
เหตุใดเล่าเจ้ามาพลัน... จาก
ไป...ไกลลับมิกลับคืน

ไม่ทราบที่มาของกลอนบทนี้

บทกวี

กวีสักกี่วรรคจึงตวงตักเต็มอักษร
ลำนำกี่คำกลอนจึงสะท้อนทุกอ่อนไหว

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาร์เซนอลกับ HG

ทุกสโมสรในพรีเมียร์ลีกต้องส่งรายชื่อนักเตะ 25 คนแรกโดยมีนักเตะนอก HG ได้ 17 คน

นัก เตะ HG ในความหมายของพรีเมียร์ลีก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติหรืออายุ แต่หมายถึงผู้ที่เซ็นสัญญากับสโมสรหนึ่งสโมสรใดในอังกฤษหรือเวลส์มาแล้วไม่ ต่ำกว่า 3 ฤดูกาลหรือ 36 เดือนก่อนอายุ 21 (หมายถึง มาอยู่18-21 : ผู้แปล)

ดังนั้นนักเตะอย่าง Denilson, Gael Clichy, Nicklas Bendtner, Cesc Fabregas,  Alex Song ทั้งหมดนับเป็นนักเตะ HG เช่นเดียวกับ Jack Wilshere, Aaron Ramsey, Kieran Gibbs


นอกเหนือจากนักเตะ 25 คนที่ทุกสโมสรต้องส่งรายชื่อแล้ว ยังสามารถใช้นักเตะที่อายุต่ำกว่า 21 ปีได้เท่าที่ต้องการ ในปีนี้ก็หมายถึงนักเตะที่เกิดหลังวันที่ 1 มกราคม 1989

ดังนั้นนักเตะอย่าง Theo Walcott, Aaron Ramsey จึงไม่ถูกนับเป็นผู้เล่นหลัก สามารถทดแทนนักเตะหลักได้ทันที

ปัจจุบันนักเตะหลักของอาร์เซนอล 26 คน มีถึง 13 คนที่เป็น HG และมี 7 คนในนั้นอายุต่ำกว่า 21

รายชื่อนักเตะ

1 Manuel Almunia (May 19, 1977)
2 Abou Diaby (May 11, 1986)
3 Bacary Sagna (February 14, 1983)
4 Cesc Fabregas (May 4, 1987)
5 Thomas Vermaelen (November 14, 1985)
6 Laurent Koscielny
7 Tomas Rosicky (October 4, 1980)
8 Samir Nasri (June 26, 1987)
11 Robin van Persie (August 6, 1983)
12 Carlos Vela (March 1, 1989)*
14 Theo Walcott (March 16, 1989)*
15 Denilson (February 16, 1988)
16 Aaron Ramsey (December 26, 1990)*
17 Alex Song (September 9, 1987)
19 Jack Wilshere (January 1, 1992)*
20 Johan Djourou (January 18, 1987)

21 Lukasz Fabianski (April 18, 1985)
22 Gael Clichy (July 26, 1985)
23 Andrey Arshavin (May 29, 1981)
24 Vito Mannone (March 2, 1988)
27 Emmanuel Eboue (June 4, 1983)
28 Kieran Gibbs (September 26, 1989)*
29 Marouane Chamakh (January 10, 1984)
30 Armand Traore (October 8, 1989)*
52 Nicklas Bendtner (January 16, 1988)
53 Wojciech Szczesny (April 18, 1990)*


ที่พิมพ์ตัวหนาเป็น HG
* คืออายุต่ำกว่า 21 สำหรับฤดูกาลนี้
(ในวงเล็บคือ เดือน วัน และปีเกิด)

ที่มา : โต๊ะน้ำชาอาร์เซนอล@พันทิป

ผ่ากฏ Home Grown

คอลัมน์ : ลัดสนาม / โดย นินจา Dailyworldtoday


ถือเป็นนิมิตหมายใหม่ทีเดียวสำหรับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลังเพิ่งออกกฎใหม่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกฎเกี่ยวกับโควต้านักเตะที่จะลงแข่งขันในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ ที่กำลังจะมาถึง

โดยกฎดังกล่าวกำหนดให้แต่ละทีมสามารถส่งรายชื่อผู้เล่นที่มีอายุมากกว่า 21 ปี หรือเกิดก่อนวันที่ 1 มกราคมปี 1989 ได้สูงสุดเพียง 25 คน (เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับทีม) โดยที่ 8 จาก 25 คนนั้นจะต้องเป็นนักเตะโฮมโกรว์น (home grown)


ซึ่งคำว่าโฮมโกรว์นนั้นหมายถึง ผู้เล่นที่ตอนอายุ 16-21 ปีได้ฝึกซ้อมร่วมกับทีมที่ได้รับการรับรองโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือสมาคมฟุตบอลของเวลส์อย่างน้อย 36 เดือนหรือ 3 ปี จะอย่างต่อเนื่องหรือไม่ก็ได้จนถึงวันเกิดครบรอบปีที่ 21 ทั้งนี้ นักเตะโฮมโกรว์นไม่ได้หมายถึงเฉพาะนักเตะอังกฤษหรือเวลส์เท่านั้น แต่หมายถึงนักเตะทุกชาติที่มาฝึกซ้อมกับทีมในลีกอังกฤษหรือเวลส์ตั้งแต่อายุ น้อยๆ

ส่วนนักเตะที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 1989 เป็นต้นไปจะมีเชื้อชาติใดก็ตาม สามารถลงเล่นได้โดยไม่มีข้อจำกัดและไม่จำเป็นต้องมีรายชื่ออยู่ใน 25 คนดังกล่าว กฎนี้จึงจำกัดเฉพาะที่ให้แต่ละทีมส่งนักเตะที่ไม่ใช่โฮมโกรว์นและเกิดก่อน วันที่ 1 มกราคมปี 1989 ได้มากที่สุดเพียง 17 คนเท่านั้น แม้ว่านักเตะโฮมโกรว์นจะมีไม่ถึง 8 คนก็ไม่สามารถส่งพวกที่ไม่ใช่โฮมโกรว์นเพิ่มได้

ในกรณีที่มีนักเตะเซ็นสัญญากับทีมไม่ถึง 25 คน ทีมก็สามารถส่งรายชื่อนักเตะเท่าที่มีได้ และเมื่อไรมีนักเตะอิสระไม่มีสัญญากับสโมสรใดหรือที่เรียกว่าฟรีเอเยนต์ ทีมสามารถรับเข้ามาร่วมสังกัดในช่วงปิดตลาดซื้อขายนักเตะได้ แต่ทั้งนี้ยังคงอยู่ในโควต้าไม่ใช่โฮมโกรว์น 17 คนและโฮมโกรว์น 8 คน

ระหว่างปิดตลาดซื้อขายนักเตะหากทีมใดปล่อยนักเตะหนึ่งใน 25 คนที่ลงทะเบียนไว้ไปให้ทีมอื่นยืมตัว จะไม่สามารถหานักเตะมาทดแทนได้ต้องยอมตัดโควต้านั้นทิ้งไป แต่เมื่อนักเตะหมดสัญญายืมตัวก็สามารถกลับเข้ามาอยู่ในโควต้านั้นต่อไปได้ ขณะที่ตำแหน่งผู้รักษาประตูจะมีสิทธิพิเศษตรงที่ หากผู้รักษาประตู 2 ใน 3 คนมีปัญหาการบาดเจ็บ ทีมสามารถยื่นขออนุมัติเพื่อหาผู้รักษาประตูมาเพิ่มในช่วงปิดตลาดได้เป็น กรณีๆ ไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทะเบียนนักเตะทั้ง 25 คนจะต้องอยู่ภายในเวลา 17.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 1 กันยายนนี้ หลังตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปิด 24 ชั่วโมง หรือเวลา 17.00 น.วันที่ 31 สิงหาคม และทุกทีมจะสามารถปรับเปลี่ยนรายชื่อผู้เล่นได้อีกครั้งในช่วงเปิดตลาดซื้อ ขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคม ยกเว้นกรณีผู้รักษาประตูบาดเจ็บดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

กฎนี้นับว่ามีประโยชน์และส่งผลดีกับนักเตะดาวรุ่งรวมถึงผู้เ่ล่นในประเทศ เองด้วย ซึ่งอานิสงส์ก็น่าจะเกิดกับทีมชาติอังกฤษที่จะได้นักเตะดาวรุ่งเก่งๆ เข้ามาสู่ทีมชาติมากขึ้น เพราะเมื่อกำลังหลักทั้ง 25 คนที่ลงทะเบียนไว้บาดเจ็บหรือถูกแบน พวกดาวรุ่งก็จะมีโอกาสได้สอดแทรกขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีม ที่สำคัญยังสอดคล้องกับการลงทะเบียนนักเตะในรายการยุโรปด้วย ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดแต่ก็ถือว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกัน

ที่สำคัญแนวคิดนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้แต่ละทีมเน้นการปั้นนักเตะขึ้นมา เอง การกำหนดโควต้าทำให้การเสริมทัพแต่ละครั้งต้องเป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนหรือจำ เป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ เท่านั้น ทั้งช่วยลดปัญหาการหว่านเงินซื้อนักเตะที่ส่งผลให้หลายสโมสรใช้เงินเกินตัว จนต้องเป็นหนี้เป็นสินมาแล้วมากมาย กฎนี้จึงน่าจะทำให้ทีมที่ทุนน้อยมีโอกาสทำผลงานทัดเทียมกับทีมอดีตเจ้าบุญ ทุ่มทั้งหลายมากขึ้น ซึ่งผลพลอยได้ก็คือน่าจะทำให้เกมการแข่งขันสนุกสูสีมากขึ้นไปด้วย.

“อาหารเป็นยา" ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้ยา

สำหรับคนที่ใส่ใจสุขภาพ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าต่างก็พยายามสรรหาสิ่งของดีๆ เพื่อบำรุงร่างกายเสมอ อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่หลายคนมักประสบก็คือการหลงเชื่อคำโฆษณาอวดอ้างของอาหารเสริมต่า งๆ บ้างก็ไปเจออาหารเสริมปลอมๆ แทนที่กินแล้วสุขภาพจะแข็งแรงกลับทรุดโทรมลงโดยพลัน


แต่ความจริงประการหนึ่งที่หลายคนนึกไม่ถึงก็คือ การที่ประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศที่อำนวยความสะดวกให้พืชพรรณธัญญาหารเติบโต ได้อย่างดีและมีคุณภาพ ทำให้เรามีอาหารที่หลากหลาย และอาหารเหล่านั้นก็เป็นยาที่ช่วยป้องกันจากโรคภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำว่า "อาหารเป็นยา จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่อวดอ้างเกินจริง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะใฝ่รู้และหันมาให้ความสนใจ เพราะเรื่องสุขภาพถ้าไม่เจ็บป่วยถือเป็นความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว

อ.มานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย แนะนำว่าอาหารจากธรรมชาติที่เรารับประทานในทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย จีน หรือในแถบเอเชียเป็นอาหารที่เป็นยาแทบทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราจะทราบหรือไม่ทราบและให้ความสำคัญมากน้อยแค่ไหน



หรับสรรพคุณของผักพื ้นบ้านที่เรารู้จักกันดีที่ช่วยรักษาสมดุล หยิน-หยางในร่างกาย และช่วยรักษาโรคหรือป้องกันโรคมีหลายชนิดด้วยกัน แต่ที่อยากจะแนะนำมีทั้งหมด 11 ชนิดดังนี้

1. ฟัก มีสรรพคุณเป็นยารสเย็น ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวม หรือถ้าบางรายพักผ่อนน้อยเป็นร้อนในจะสามารถช่วยให้สดชื่นได้ และยังสามารถบรรเทาอาการตับอักเสบทั้ง A B และ C แต่ต้องกินอย่างต่อเนื่อง


2.มะระ มีสรรพคุณเป็นยารสเย็น บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ และสำหรับคนที่เป็นงูสวัดสามารถคั้นน้ำมะระผสมน้ำส้มสายชูทาบริเวณที่เป็นอา การจะดีขึ้น ถ้ากินป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่องจะสามารถลดอาการเบาหวานได้

3.ผักชี มีสรรพคุณเป็นยาขับพิษได้ คนที่เป็นหวัดสามารถกระทุ้งไข้หวัดขับพิษได้ ถ้าเรากินยาพาราเซตามอลจะเพียงแค่บรรเทาแต่ถ้ากินน้ำต้มผักชีจะสามารถกระทุ้ งพิษ ขับเหงื่อออกมาและหวัดก็จะหาย สำหรับเด็กที่เป็นหัด อีสุกอีใส ให้คั้นน้ำผักชีมาเช็ดตัวจะทำให้พิษไม่หลบใน

4.กุยช่าย มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต บำรุงกำหนัด จะกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ และถ้าตำผสมเหล้าเล็กน้อยจะสามารถช่วยแก้ช้ำในได้เพราะจะช่วยกระจายเลือดไม่ ให้คั่ง และคนจีนนิยมกินกุยช่ายเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่น

5.ใบขี้เหล็ก มีสรรพคุณเป็นยาเย็น รสขม เป็นยาสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับง่าย คลายเครียด สำหรับคนที่ไม่ต้องการกินยานอนหลับให้นำใบขี้เหล็กมาต้มดื่มน้ำถ้าอยากให้นอ นหลับดี ลองใส่ดอกมะลิลงไปจะทำให้หอมสดชื่น และสำหรับคนที่มีธาตุเย็นอยู่แล้วให้ใส่ขิงสัก 1-2 แว่นเพื่อให้ธาตุสมดุลไม่เย็นเกินไป


6.ใบตำลึง มีสรรพคุณช่วยระบายความร้อน แก้ร้อนใน ขับพิษร้อน สำหรับคนที่อดนอนเสียงแหบดื่มน้ำต้มใบตำลึงจะทำให้สดชื่นขึ้นและยังบรรเทาอา การผิวอักเสบ ถ้าเป็นงูสวัดให้คั้นน้ำนำมาทาบริเวณที่เป็นจะช่วยให้หายได้



7.หอมหัวใหญ่ มีสรรพคุณช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือด ถ้ากินประจำจะสามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ช่วยบรรเทาอาการแผลอักเสบ นำมาตำผสมกับเหล้าเล็กน้อยและนำมาพอกจะสามารถระบายความร้อน กระจายเลือดคั่ง ลดการอักเสบบวมได้

มีสรรพคุณเป็นยาที่ขับพิษได้ดี รวมทั้งขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ถ้ากินอย่างต่อเนื่องจะสามารถป้องกันเนื้อร้ายและต้านมะเร็ง และคนที่มีอาการของโรคลมชักก็จะลดลง ถ้านำมาต้มดื่มน้ำจะช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่นได้

9.ใบกะเพรา มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด แน่น เฟ้อ ถ้านำใบกะเพรา 1-2 กำมาต้มกินจะช่วยลดความดันได้ แต่ถ้าผัดกับพริกจะช่วยขับลม รวมทั้งยังมีผลช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและควบคุมความดันไม่ให้สูงขึ้น


10.ต้นหอม ก้านหัวหอมที่ขาวๆ เป็นอาหารสำคัญที่ขับเหงื่อ ทั้งยังมีคุณสมบัติบำรุงหัวใจและทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ใจไม่สั่น ถ้ากินสดๆ อย่างต่อเนื่องจะสามารถลดไขมันในเส้นเลือดรวมทั้งขับไขมันได้ สำหรับคนที่เป็นหวัดนำต้นหอม 5-6 ก้านต้มกับขิง 2 แว่นกรองน้ำดื่มจะทำให้ขับเหงื่อและลดไข้หวัดได้



11.มะเขือเทศ มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิว ถ้ากินต่อเนื่องจะทำให้ผิวพรรณดีขึ้นช่วยลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน และทำให้เส้นเลือดฝอยในผนังมดลูกสมบูรณ์ขึ้น จะช่วยทำให้ไม่ตกเลือด อีกทั้งยังสามารถทำให้ความดันลดลงเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และสามารถต้านมะเร็งได้แต่สำหรับเคล็ดลับอันดับหนึ่งที่จะทำให้ผิวพรรณสดใสห น้าตาสดชื่นจะต้องมีอารมณ์ที่เบิกบาน แจ่มใส ซึ่งต้องมาจากจิตใจที่ดีด้วยจะได้ผลมากที่สุด

อ.มานพ แนะนำตอนท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจรับประทานอาหารให้เป็นยานั้น ขอให้รู้ว่ายังมีพืชผักอีกหลายชนิดที่สามารถป้องกันและรักษาโรคได้ แต่ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าพืชผักเหล่านั้นมีความเป็นหยินหรือหยาง ต้องดูว่าร่างกายของเราเป็นธาตุร้อนหรือเย็นเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและอา หารที่รับประทาน เมื่อสมดุลกันจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี ไม่อ่อนแอ ไม่เป็นโรคง่าย

ร วมทั้งผัก ผลไม้ อาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปจะต้องสะอาดปลอดสารพิษเพราะไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นย ารักษาป้องกันโรคกลับได้รับพิษสะสมจากยาฆ่าแมลง จากสารเคมี ทำให้เราอ่อนแอ ป่วยง่าย รวมทั้งตายผ่อนส่งอย่างไม่รู้ตัวก็เป็นได้

ที่มา : Manager Online

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ควันหลงฟุตบอลโลก

กระทิงฟันโบนัสต่อหัว 25 ล้าน

ขุนพลลูกหนัง “กระทิงดุ” ถึงคราวรับทรัพย์หลังจากเถลิงบัลลังก์แชมป์ฟุตบอลโลก 2010 เมื่อสหพันธ์ฟุตบอลสเปนประกาศมอบเงินโบนัสพิเศษให้แก่ผู้เล่นทั้ง 23 คน คนละ 25 ล้านบาท


เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทีมชาติสเปน เฉือนชนะ เนเธอร์แลนด์ 1-0 จากการสังหารประตูชัยของ อันเดรส อิเนียสตา กองกลางตัวเก่งในนาทีที่ 116 ผงาดคว้าแชมป์เวิลด์คัพไปครองเป็นสมัยแรก นับตั้งแต่เข้าร่วมรายการหนแรกในฟุตบอลโลก ครั้งที่ 2 ปี 1934

จากความสำเร็จครั้งนี้ที่นำมาซึ่งความสุขของคนทั้งประเทศ ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลสเปนประกาศมอบเงินโบนัสพิเศษให้เหล่านักเตะฮีโร่ทั้ง 23 คน คนละ 600,000 ยูโร หรือ 758,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 25 ล้านบาท) จากการเปิดเผยของ ซันเดย์ ไทม์ส (Sunday Times) หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ

ทั้งนี้ สเปนยังได้เงินรางวัลจากการหยิบถ้วย “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ โทรฟี” มาเชยชมเป็นจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 990 ล้านบาท) ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับแชมป์โลกในทุกครั้งที่ผ่านมา ขณะที่เงินรางวัลรวมของการแข่งขันคราวนี้ก็สูงกว่าในฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ถึง 61 เปอร์เซ็นต์

สรุปเงินรางวัลฟุตบอล โลก 2010
แชมป์ (30 ล้านเหรียญสหรัฐ / 990 ล้านบาท) – สเปน

รองแชมป์ (24 ล้านเหรียญสหรัฐ / 792 ล้านบาท) – เนเธอร์แลนด์ส

รอบรองชนะเลิศ (ทีมละ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ / 660 ล้านบาท) – เยอรมนี, อุรุกวัย

รอบ 8 ทีมสุดท้าย (ทีมละ 18 ล้านเหรียญสหรัฐ / 594 ล้านบาท) – อาร์เจนตินา, บราซิล, กานา, ปารากวัย

รอบ 16 ทีมสุดท้าย (ทีมละ 9 ล้านเหรียญสหรัฐ / 297 ล้านบาท) – ชิลี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, เม็กซิโก, โปรตุเกส, สโลวาเกีย, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา

รอบแรก (ทีมละ 8 ล้านเหรีญสหรัฐ / 264 ล้านบาท) – แอลจีเรีย, ออสเตรเลีย, แคเมอรูน, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, กรีซ, ฮอนดูรัส, อิตาลี, ไอวอรีโคสต์, นิวซีแลนด์, ไนจีเรีย, เกาหลีเหนือ, เซอร์เบีย, สโลวีเนีย, แอฟริกาใต้, สวิตเซอร์แลนด์

ที่มา Manager Online
---------------------------------------

การได้แชมป์โลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกของสเปน และเป็นครั้งแรกที่ทีมจากยุโรปได้แชมป์นอกทวีป ... ก็ดีใจกับสเปนด้วย แต่จขบ. อกหักเพราะเชียร์ฮอลแลนด์ เข้าชิง 3 ครั้ง แห้วตลอด -_-"


ออสติน ถิ่นดนตรี

โดย : มานพ จันทรฯ @กรุงเทพธุรกิจ

ออสติน เป็นเมืองหลวงของรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเคาน์ตีทราวิส มีแม่น้ำโคโลราโดไหลผ่าน และได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงดนตรีของโลก”

ออสตินมองผ่านทะเลสาบเลดี้เบิร์ด

เนื่องจากออสตินเป็นที่พบปะของบุคคลที่อยู่ในอุตสาหกรรมดนตรี อีกทั้งแต่ละปีมีงานเทศกาลดนตรีหลายคราวอีกด้วย


ออสตินนอกจากจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยธุรกิจต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งของอุตสาหกรรมด้านคอมพิวเตอร์ มีคนงานที่เรียกกันว่า “บลู คอลลาร์” อยู่มากมาย และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทเดล ยักษ์ใหญ่คอมพิวเตอร์ของสหรัฐอีกด้วย

ศาลว่าการรัฐเทกซัส

สถานที่สำคัญของออสติน ได้แก่ ศาลาว่าการรัฐเทกซัส เด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง มีสถานศึกษาที่สำคัญ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทกซัส นั่นเอง ซึ่งผู้ที่มาเยือนออสตินนอก จากเยี่ยมชมเมืองทำความรู้จักด้านกายภาพแล้ว สามารถหาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ได้ที่ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รัฐเทกซัส บ็อบ บูลล็อค หากจะชมงานศิลปะก็แวะไปที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ แบลนตัน ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทกซัส มีงานศิลปะภาพเขียน ศิลปินอเมริกัน และจากยุโรป ละตินอเมริกา ทั้งที่เป็นศิลปินรุ่นเก่าและศิลปินร่วมสมัย ให้ชื่นชมอย่างจุใจไม่ต่ำกว่า 18,000 ชิ้นงาน ส่วนผู้ต้องการค้นหาอดีตสามารถเดินทางไปยัง แฮรี่ แรซัม เซ็นเตอร์ สถานที่เก็บไบเบิล วรรณกรรมกว่า 30 ล้านเรื่อง ภาพถ่ายต้นฉบับจากหนัง Gone with the Wind ก็มีแสดงให้ชม

ทะเลสาบทราวิส

เพราะออสตินเป็น เมืองใหญ่ทำให้ต้องมีปอดช่วยหายใจ นั่นคือ สวนสาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ซิลเคอร์ (Zilker Park) มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นที่นิยมของชาวออสตินตั้งอยู่บนถนนบาร์ตัน สปริงส์ ซึ่งสามารถว่ายน้ำได้ ขณะที่ สวนสนุกออสติน เนื้อที่ 22 เอเคอร์ มีกีฬาให้เล่นอย่างหลากหลาย ทั้งโกคาร์ท เรือบัมพ์ ไต่เขาจำลอง สนามกอล์ฟขนาดเล็ก และเกมสนุกๆ อีกมาก ส่วนที่เพลสเบลนด์ พาร์ค (Place Bend Park) ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติมีทะเลสาบทราวิส เป็นสถานที่ชื่นชอบของนักแคมป์ปิ้ง แล่นเรือ และตกปลา ในขณะที่แถบไซเพรส วัลลีย์ (Cypress Valley Canopy) ก็เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัย เดินป่า ปีนป่าย โหนรอก ชมธรรมชาติป่าเขา และธารน้ำต่างๆ เพราะยังมีความเป็นป่าเขาลำเนาไพรหลงเหลืออยู่

บรรยากาศเทศกาลดนตรีในออสติน

กิจกรรมที่โดดเด่นของออสตินก็คือ เทศกาลดนตรี ได้แก่ ออสติน ซิตี้ ลิมิต มิวสิคเฟสติวัส จัดทุกปีในสวนสาธารณะซิลเคอร์ พาร์ค มีดนตรีแนวร็อคชั้นนำมาร่วมไม่ต่ำกว่า 130 วง บน 8 เวทีคอนเสิร์ต, เทศกาลดนตรี เซาท์บายเซาท์เวสท์ และภาพยนตร์ที่จัดมากว่า 20 ปี, เออร์บาน มิวสิค เฟสติวัล เทศกาลดนตรีโดยฝีมือวงดนตรีท้องถิ่น ทุกแนว, ออสติน มิวสิค ดีสทริกส์ การปิดถนนเล่นดนตรีจากถนน 6 จนถึงย่านเรดริเวอร์, เทศกาลดนตรีละติน “ปาชางกา” สมกับการเป็นเมืองหลวงของดนตรีโลก

แถบเทกซัสฮิลล์ เป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์

นักท่องเที่ยวที่จะไปเยือนออสติน ควรหาข้อมูลก่อนการเดินทาง เพื่อจะได้ร่วมแบ่งประสบการณ์กับชาวออสตินได้ตามเทศกาลต่างๆ

สะพานเพนนีแบ็คเคอร์


ในย่านพำนักของคนออสตินห่างออกไปจากใจกลางเมืองออสติน ค่อนไปทางเมืองบาสทรอป (Brastrop) แม้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบแต่ก็มีรอยปริร้าวเกิดขึ้นในครอบครัว “เทเลอร์” ซึ่งมีผู้นำคือ “ชาร์ล” (วิลเลม เดโฟ) อาจารย์ผู้ประสบความสำเร็จในมหาวิทยาลัย เขามีภรรยาสาวสวย “ลิซ่า” (จูเลีย โรเบิร์ตส) ที่ช่วยดูแลครอบครัวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยมีลูกชาย “ไมเคิล” ที่มีแววความเป็นนักคิดนักเขียนตั้งแต่วัยเด็ก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกช่างไม่ราบรื่นเอาเสียเลย

ในวันที่ "ไมเคิล" (ไรอัน เรโนลด์) เดินทางกลับบ้าน เพื่อมาแสดงความยินดีกับแม่ที่จบการศึกษา หลังจากเป็นแม่บ้านมากว่า 20 ปี และเป็นวันที่น้องสาวกำลังจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ในวันนั้นก็เกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝัน หลังเหตุการณ์ผ่านไปความบาดหมาง ระหว่างพ่อกับลูกก็กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง โดยที่สมาชิกครอบครัวทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้

Fireflies in the Garden เขียนบทและกำกับการแสดงโดย เดนนิส ลี บอกเล่าความสัมพันธ์ในครอบครัว พ่อที่ไม่ลงรอยกับลูกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ยอมบอกว่ามีอะไรเป็นสาเหตุ จึงทำให้เนื้อหาขาดน้ำหนักไปไม่น้อย ขณะเดียวกันก็จับดาราระดับแม่เหล็กมารวมกันไว้อย่างมากมาย ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้อย่างเสมอตัว เนื่องจากโครงร่างเนื้อหาไม่เอื้ออำนวยมากนัก

ภาพยนตร์ทิ้งข้อสงสัยให้ผู้ชมอยู่มาก แต่ก็มีส่วนที่ดีปรากฏให้เห็นไม่ว่าการเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสม การถ่ายภาพที่ทำให้เห็นเมืองหลวงของเทกซัส อย่างงดงาม บ้านพักถิ่นที่อยู่อาศัยอันสงบร่มรื่น ในเมืองดนตรีที่มีชื่อว่า “ออสติน”

ช่วงเวลาเกิด บอกลักษณะ

เกิดเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้า
ช่วงเวลานี้เป็นเวลากระต่ายจะทำให้คุณเป็นคนรักสวยรักงาม ทำอะไรละเอียดอ่อน สะอาดสะอ้าน ชอบแต่งตัวให้ดูดีเสมอ บุคลิกของคุณจะค่อนข้างสุภาพ ดูอ่อนโยนพูดจาหวานและนอบน้อมถ่อมตัว มีมารยาท เป็นเลิศ ดูแล้วผู้ดี๊ผู้ดี สงบเงียบเรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่ ด้านนิสัยใจคอแม้จะดูเงียบนุ่มปานนั้น ลึก ๆมั่นใจและทะเยอทะยานไม่น้อย เป็นคนเข้มแข็งข้างใน รู้จักระมัดระวังรอบคอบเป็นนักการฑูต จิตวิทยาสูง มีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นดี ใจกว้าง โกรธง่ายหายไวจิตใจดี ใจอ่อน ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือ รสนิยมดี


เกิดเวลา 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า
เวลานี้เป็นเวลามังกร บุคลิกของคุณจะดูหยิ่งทะนงมาก ท่าทางสง่าผ่าเผยดูหัวสูง ติดหรู ความทะเยอทะยานจะเห็นได้ชัด คุณดูน่าเกรงใจ เข้าถึงยากมีความเป็นผู้นำสูง นิสัยของคุณจริง ๆ แล้วเป็นคนใจกว้างและเด็ดเดี่ยว รักศักดิ์ศรีโมโหร้าย บุ่มบ่าม มุทะลุ ทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่ชอบเรื่องเล่ห์เหลี่ยมในด้านดีอยู่ที่เป็นหลักพึ่งพิงได้ รับผิดชอบสูงและขี้สงสารเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงทีเดียวนะอนาคตของคุณค่อน ข้างแจ่มแจ๋วด้วยความมุ่งมั่นบากบั่นของคุณนั่นแหล่ะ


เกิดเวลา 9 โมงเช้าถึง 11 โมงเช้า
คนที่เกิดสาย ๆเวลานี้ซึ่งเป็นเวลางู โดยมากจะหน้าตาดี แต่งตัวดีเสมอด้วยของหรูหราราคาแพงหรือมียี่ห้อภาพพจน์ของคุณต้องมาก่อนเสมอ บุคลิกของคุณดูเงียบขรึม เรียบร้อยสุภาพนุ่มนวล มายาทดีพูดจาหวานหูชื่นใจ นิสัยข้างในค่อนข้างฉลาดเก็บความรู้สึกและ
ความต้องการได้นิ่งลึกมาก คุณรักการแข่งขันชิงดีชิงเด่นมีความทะเยอทะยานสูง ชอบทำตัวเด่น อยากมีชื่อเสียงเป็นนักวางแผนผู้ชาญ ฉลาดใจแข็งไม่หวั่นไหวอ่อนข้อให้ใครง่าย ๆถ้าจะล้วงความลับจากตัวคุณคงไม่ง่ายนักหรอก


เกิดเวลา 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง
เวลาเกิดช่วงนี้เป็นเวลาม้า ทำให้คุณมีบุคลิกของนักกีฬาแข็งแรง
อดทน ร่าเริงคึกคัก ชอบสนุกสนาน เรื่องตลกโปกฮาล่ะชอบนัก ความที่รักอิสระเสรีกับการเป็นนักผจญภัย ถือเป็นจุดเด่นในตัว คุณมีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบแหกกฎนิสัยของคุณเป็นคนใจกว้างกระตืรือร้นมากแต่รอบคอบไม่เป็น ใจร้อน ชอบทำก่อนคิดกล้าลุยไปข้างหน้า จิตใจเข้มแข็ง มานะบากบั่น มีความจริงใจสูง รักเพื่อนและครอบครัวเวลามีทิฐิจะเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นสุด ๆ เวลาน่ารักจะมีชีวิตชีวาน่าตื่นเต้นเจอมรสุมก็ยังลุกขึ้นสู้ได้ ยิ้มได้ทั้งน้ำตาเลยนะคุณน่ะ


เกิดเวลาบ่ายโมงถึงบ่าย 3 โมง
คุณที่เกิดเวลานี้เป็นเวลาแพะจะเป็นคนใจดีอ่อนโยน
จนถึงขั้นขลาดเขิน บุคลิกท่าทางของคุณจะสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลมีมารยาท ดูสุขุมใจเย็น ไม่มีพิษไม่มีภัย ขี้อายแต่มีความคิดสร้างสรรค์ช่างฝัน มีไอเดียมัน ๆ กับเรื่องตลกจี้เส้น ที่ทำให้หัวเราน้ำหูน้ำตาไหลบางเวลาดูเศร้าซึมเพราะชอบคิดมากเกินเหตุ จิตใจดีทำร้ายใครไม่เป็นถ้าถูกรังแกจะสู้ยิบตา มีความมั่นใจซ่อนไว้ใต้ท่าทางอ่อนโลกติ่ม ๆคุณเป็นคนซื่อตรงรักสงบ เกลียดความรุนแรง อะไร ๆ ก็ดีหมด
ยกเว้นเรื่องดื้อรั้นของคุณ ครองแชมป์ตลอดกาลเลย


เกิดเวลา บ่าย 3 โมงถึง 5 โมงเย็น
คุณที่เกิดเวลาบ่าย ๆซึ่งเป็นเวลาของลิงจะมีอิทธิพลทำให้คุณค่อนช้างแอ็กทีฟไม่อยู่เฉย บุคลิกของคุณดูเปิดเผยใจร้อนและซุ่มซ่าม นิสัยของคุณเหมือนเด็ก ๆ ชอบเล่นพิสดาร คุณเป็นคนฉลาดหัวไวมีไหวพริบกล้าพูดกล้าทำ ตรงไปตรงมา เป็นนักวางแผน และรู้จักเอาตัวรอดมีเล่ห์กล แต่ไม่ทำร้ายใครลับหลัง มีความสามารถรอบตัว ปรับตัวเข้ากับคนได้ทุกระดับทุ่มเทกับการงานมาก ทำงานดีเชื่อมือได้ เสน่ห์ในตัวอยู่ที่ความขี้เล่นมีชีวิตชีวาเฮฮา แม้ท่าทางจะดูคล้ายกะล่อนเล็ก ๆ แต่ก็หนักแน่นจริงใจมากนะ


เกิดเวลา 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม
ช่วงหัวค่ำเป็นเวลาไก่ ส่งผลให้คุณเป็นคนเข้มแข็ง หยิ่งยโส หัวรุนแรง ขวางโลกและหัวโบราณ คุณเป็นคนที่ชอบแต่งตัวใช้แต่ของดีมีราคา บุคลิกขี้อวดไม่ใช่เล่นว่าฉันเนี่ยรสนิยมดีนะ ในส่วนลึกของจิตใจคุณเป็นนักอนุรักษ์นิยม เจ้าระเบียบ จู้จี้ขี้บ่นเก่ง หงุดหงิดง่ายดาย ไม่ยอมเสียเงินแบบไร้ค่ายกเว้นเรื่องภาพพจน์ล่ะก็โอ.เค. คุณมีหัวในการบริหารควบคุมมีความเด็ดขาดละเอียดถี่ถ้วน ต่อสู้กับอุปสรรคไม่มีถอย ยามอารมณ์ดีจะเป็นคนสนุกชอบล้อเล่น ใจกว้าง มีน้ำใจนักกีฬา ไม่ชอบการใช้อำนาจ เกลียดคนอวดเบ่งที่สุด


เกิดเวลา 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม
คุณทีเกิดช่วงเวลานี้เป็นเวลาของหมา ทำให้คุณเป็นคนรักคุณธรรม ความถูกต้องซื้อสัตย์จริงใจมาก จนถึงขั้นยึดมั่นถือมั่นทีเดียว ยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็น คิดและทำอะไรก็ตามตรงทื่อไปหมด ไม่กล้าแหกกฎระบบระเบียบจนเกินไป ชีวิตถึงไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ บางครั้งจึงดูน่าเบื่อและแสนเซ็ง มีความขยัน ฉลาด แต่พลิกแพลงไม่เป็นเอาตัวไม่ค่อยรอด คุณเกิดมาเป็นนักปกป้องคุ้มครองคนอื่น มองโลกแบบตรงไปตรงมาไม่เพ้อฝัน ขาดอารมณ์โรมานซ์ แต่ก็เป็นคนตลกจี้เส้น เพราะมองโลกในแง่ดีเรื่องเสียสละเพื่อคนอื่น คุณเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงในเรื่องนี้เลยล่ะ ซื่อไปนิดเซ็งไปหน่อยแต่จริงใจไม่มีใครเทียบได้เลย


เกิดเวลา 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม
คุณที่เกิดเวลาหมู อันเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ทำให้คุณขี้เกียจนิด ๆเฉื่อยหน่อย ๆ คุณรักความเรียบง่ายไม่มากเรื่อง สุภาพอ่อนโยน ใจดี และอบอุ่นบุคลิกออกจะนุ่ม ๆ คุณมีจิตใจดี จริงใจ มีอารมณ์สุนทรีย์ รักดนตรี ศิลปะสวยงามมีความ โรมานซ์ในหัวใจ แม้จะพูดน้อย แต่เอาอกเอาใจเป็นเลิศคุณชอบแต่งตัวแบบผู้ดี๊ผู้ดี รสนิยมดี ชอบทำอาหารและชอบกินด้วยรูปร่างจึงออกจะแข็งแรงและสมบูรณ์ คุณเป็นคนใจกว้างและชอบให้อภัยหากถูกทำร้ายจะกลายเป็นหมูป่า
สู้ถวายชีวิต ความคิด และการกระทำจะเป็นแบบค่อยๆเป็นค่อย ๆ ไป รอบคอบใจเย็นจนกว่าจะมั่นใจนั่นแหล่ะ ถึงจะลุยไม่ว่าคุณจะหญิง
หรือชาย คุณจะเป็นแม่บ้านพ่อเรือน และรักครอบครัวมาก


เกิดเวลา 5 ทุ่มถึงตี 1
เป็นเวลาของหนูคุณที่เกิดเวลานี้จะมีบุคลิกกระตือรือร้น ร่าเริงปราดเปรียวสดใสแต่มีความระแวดระวัง ฉลาดหัวไว ไหวพริบดี ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมบุคลิกท่าทางดูขรึม พูดน้อย เฉยชาแต่มีมารยาท รักเพื่อน มีความสุขในหมู่เพื่อน ๆชอบช่วยเหลือและมีน้ำใจ จุดเด่นคือความขยันและสะสมเก่งคุณมักมีเงินสำรองช่อนไว้ไม่มีใครรู้หรอก ชอบวางแผนการเงินประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย เป็นคนมีระเบียบ บากบั่นมุ่งมั่นสูง ปรับตัวเก่งมีความรักแบบผู้ให้ รักบ้านรักครอบครัว แต่ก็รักอิสระ ไม่อยากถูกผูกมัดกว่าจะลงเอยกับใครสักคน คิดนาน คิดลึก จนผมหงอก เลยเชียวล่ะ


เกิด เวลาตี 1 ถึงตี 3
เวลานี้เป็นเวลาของวัว ทำให้คุณทำอะไรช้ากว่าชาวบ้านบุคลิกท่าทางแข็งแรงบึกบึน และอึดเป็นบ้าเลย เป็นคนเฉื่อยแบบใจเย็น ๆโกรธยากแต่โกรธทีเหมือนระเบิดลง ข้อดีอยู่ที่มีความบากบั่นมีระเบียบขยันอดทนหนักแน่น อยู่ในจำพวกสมบูรณ์แบบนิยม ทำอะไรตรงไปตรงมา
ไม่รู้จักปรับตัวม่มีเล่ห์เพทุบายกับใครเค้าหรอก คุณน่ะทื่อตรง จนไม่ค่อยทันใคร ขาดอารมณ์ขันตลกก็ตลกแบบฝืด ๆ โดยปกติเป็นคนอดทนมาก ไม่ชอบความรุนแรง การทะเลาะวิวาทเลี่ยงได้จะเลี่ยงถ้า
เลี่ยงไม่ได้คุณจะเปลี่ยนร่างเป็นวัวกระทิงขวิดสุดฤทธิ์ทีเดียว


เกิดเวลาตี 3 ถึงตี 5
คุณที่เกิดเวลานี้จะเป็นคนดวงแข็งเพราะนี่เป็นเวลาเสือ ส่งผลให้คุณหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าวเข้มแข็งและดูมีอำนาจคุณมีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเองสูง แต่ขาดความรอบคอบเพราะอารมณ์อยู่เหนือหัวใจ แต่ก็เป็นคนใจดี ชอบ เสียสละใจกว้างไม่จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ มีความรับผิดชอบ ชอบฉายเดี่ยวไม่อยู่ติดที่คุณมักจะมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ขี้โม้โอ้อวด หลงใหลเรื่องรักใคร่โรแมนติกชอบเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปชั่ววูบ มีความเซ็กซี่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวที่น่าดึงดูดใจข้อเสียมีแค่ไม่รู้จัก ยอมออมชอมบ้าง ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำจะหาสีเทาจากคุณน่ะยากเหลือเกิน

โชคชะตา พยากรณ์

.......