หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมืองเก่าสุดคลาสสิก...เคมบริดจ์

โดย : มัสแตงค์
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


สำหรับนักท่องโลกพิเรนทร์ ๆ อย่างมัสแตงค์แล้ว เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งจากจักรยานรอบเมืองเป็นเสน่ห์หาน่าหลงใหลเหลือเกิน


ใช่ว่า เคมบริดจ์ จะโดดเด่นในฐานะที่เป็นเมืองการศึกษาและมีสุดยอดมหาวิทยาลัยของโลก สำหรับนักท่องโลกพิเรนทร์ ๆ อย่างมัสแตงค์แล้ว เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งจากจักรยานรอบเมืองเป็นเสน่ห์หาน่าหลงใหลเหลือเกิน นี่ยังไม่นับสาวๆ นุ่งกระโปรงสั้นๆ ยาวๆ โชว์น่องขาวยาวเรียว และหนุ่มกล้ามโตยืนถ่อเรือ โอ้ว..




มาเข้าเรื่องวิชาการสักหน่อย ก่อนจะต่อด้วยทัวร์เคมบริดจ์แบบทะเล้น ๆ แน่นอนใครมาเมืองนี้ก็ต้องไปชมมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ติดอันดับท็อปเท็นของโลก ข่าวว่าปีนี้ครองอันดับที่หกตกจากปีก่อน สถานศึกษาแห่งนี้วิวสวยจัดเพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแคม (River Cam) ซึ่งกลายเป็นเมืองการศึกษาและมีนักศึกษาเข้ามาตั้งแต่ปีค.ศ. 1209 จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งระหว่างนักศึกษาและชาวเมือง เนื่องจากชาวเมืองรู้สึกว่านักศึกษาเหล่านี้ได้รับอภิสิทธิ์ ทำให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำ ต้นศตวรรษที่ 19 สิทธิพิเศษของนักศึกษาจึงถูกถอดถอนไป


อย่างไรก็ดี การก่อสร้างทางรถไฟในปี 1845 ช่วยประสานรอยร้าวได้ดี เคมบริดจ์กลายเป็นเมืองการศึกษาอย่างเต็มตัวในปี 1951 โดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ บริษัทวิทยาศาสตร์กว่าร้อยแห่งก่อตั้งขึ้นที่นี่และลิงค์กับมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ ระดับโลก ค้นพบสิ่งต่างๆ ณ ที่แห่งนี้

เช่น ไอแซค นิวตัน คิดค้นกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเชื่อกันว่าเขาพบลูกแอปเปิลหล่นจากต้น ที่ทรินิตี้ คอลเลจ (Trinity College) ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของมหาวิทยาลัยมีต้นแอปเปิลมาปลูกเมื่อปี 1954 ยังมี ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ริเริ่มแนวคิดนี้ตอนมาเรียนที่นี่ นอกจากนี้ ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ถือเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ที่ให้แนวคิดเรื่องเครื่องคำนวนที่สามารถตั้งโปรแกรม อีกทั้ง แฟรงค์ วิตเติล ที่มีแนวคิดพัฒนาเครื่องยนต์ไอพ่นมาใช้กับเครื่องบิน และอื่น ๆ

อันที่จริงเมืองนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยโรมันซึ่งชาวโรมันสร้างป้อมปราการเพื่อคุ้มกันภัยทำให้เกิดเป็นเมืองเล็ก ๆ ในเวลาต่อมา ชาวแซกซ์ซอนส์ (Saxons) ชนเผ่าเยอรมันโบราณที่เข้ามาขยายดินแดนที่อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 5-6 ได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำแกรนตา ( River Granta) ซึ่งต่อมาคือแม่น้ำแคมนั่นเอง


เล่าถึงแม่น้ำแคมมาเยอะ แน่นอนไฮไลท์ครั้งนี้อยู่ที่การล่องเรือชมวิวแม่น้ำแคม หรือเรียกว่าพันติ้ง (Punting) เป็นเอกลักษณ์ของเคมบริดจ์และเมืองออกซ์ฟอร์ด เรียกกันว่ากินกันไม่ลง เป็นเรือโดยสารลำไม่ใหญ่นั่งได้ประมาณหกคน มีหนุ่มถ่อเรือกล้ามใหญ่ยืนใช้ไม้ค้ำถ่อไปตามแม่น้ำ ราคาคนละ 15 ปอนด์ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดลงครึ่งราคาเหลือ 7.50 ปอนด์ เฮมิน-สาวเกาหลีที่มุ่งมั่นจะมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของพันติ้ง ถึงกับบอกว่าจะตั้งตารอจนกว่าจะเจอเจ้าชายสุดหล่อที่มารับจ็อบถ่อเรือ ส่วนใหญ่หนุ่มถ่อเรือคือนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่รอแล้วรอเล่า เฝ้าอยู่เกือบชั่วโมงก็ยังไม่เห็นหนุ่มหล่อกล้ามโตสักคน สุดท้ายก็เลยเลือกใช้บริการหนุ่มอวบอ้วนใจดี หนุ่มอวบไม่ได้ถ่อเรืออย่างเดียว ยังเป็นไกด์นำเที่ยวเล่าประวัตินี่นั่น นักท่องเที่ยวหลายคนใจกล้าสามารถเช่าเหมาลำไปพายเรือเอง ซึ่งไกด์อวบของเราบอกว่าหลายรายก็ไปลอยตุ๊บป่องอยู่กลางแม่น้ำแคม

ล่องเรือชมวิว 40 นาที เป็นนาทีทองที่คุ้มค่ามาก ๆ อากาศสดชื่น วิวสวยจัดราวกับอยู่ในเทพนิยาย ใครอยากขอใครแต่งงานควรมาขอทีนี่ บรรยากาศโรแมนติกเอื้อให้เกิดความรัก หลงกันได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหมดเวลาพันติ้งแล้วก็ตัวใครตัวมัน

จุดถ่ายรูประหว่างพันติ้งคือสะพานคณิตศาสตร์ (Mathematics bridge) ตั้งอยู่ที่ Queen College อันโด่งดังเพราะก่อสร้างด้วยไม้ล้วน ๆ ไม่มีตะปูเกี่ยวข้อง แต่มีนักศึกษาคณิตศาสตร์มือบอนผู้หนึ่งอยากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือคำลือ จัดแจงถอดชิ้นส่วนสะพานเพื่อตรวจดู แต่ไม่สามารถต่อกลับคืนแบบเดิมได้ จำต้องใช้ตะปูยึด เออ..เรื่องแบบนี้ก็มี

แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่สุดอย่าง King's College และTrinity College เป็นจุดไฮไลท์ อาคารเก่าแก่สง่างามที่สวยจนอยากหยุดเวลาเพื่อชื่นชมให้สมใจ แต่ไกด์อวบจำเป็นต้องถ่อเรือไปเรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นจะโดนเรือลำอื่นต่อว่า ตอนนี้การจราจรทางน้ำเริ่มติดขัดเล็กน้อย คำถามหนึ่งที่ไกด์อวบคลี่คลายได้ดีคือ คิงส์ คอลเลจไม่ใช่สถาบันเดียวกันที่วิจัยซุปไก่สกัดที่เราเคยได้ยินตามโฆษณาทีวี สถาบันที่ว่าชื่อคล้ายกันคือ คิงค์ คอลเลจ ตั้งอยู่ที่ลอนดอนในเครือ University of London ส่วนมหาวิทยาลัยสุดท้ายที่เห็นตรงหน้าคือ St.John's College ซึ่งมีสะพาน Bridge of Sighs ทรงโรมัน ที่เป็นงานสลักหินอันวิจิตรตระการตาของช่างฝีมือโบราณ


อิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้อง มุ่งหน้าไปยังร้านเกาหลีที่โด่งดังไปทั่วโลก ชาวเกาหลีบินข้ามฟ้ามาชิมอาหารถึงที่นี่ ลอนดอนเนอร์ขับรถมุ่งมาดินเนอร์แล้วก็ขับกลับ แต่เฮมินพาแวะไปร้านโปรดของเธอที่ถนน St Andrews เลขที่ 21 เป็นร้านช็อกโกแลตเล็ก ๆ คูหาเดียวชื่อ Chocolat Chocolate ที่มีฮ็อตช็อกโกแลตแก้วน้อยราคา 1.2 ปอนด์ ร้านนี้พิเศษตรงที่มีช็อกโกแลตให้ชิมหมดทุกรส ชิมอิ่มไปกว่าครึ่งท้อง

ต่อจากนั้นเดินหน้าไปยังเลขที่ 108 ถนน Regent ร้านอยู่หัวมุมชื่อว่า Little Seoul ดูจากภายนอกร้านเล็กมากแต่พอเข้าไปภายในกลับมีพื้นที่พอเพียง พิซซ่าเกาหลี ราคา 5.50 ปอนด์ สุดยอดบุลโกกิและบิบิมบับ 6.9 และ 5.90 ปอนด์ รู้แน่ว่าร้านนี้เจ๋งจริงก็ต้องพิสูจน์ด้วยกิมจิโฮมเมด สั่งรวมมิตร (ผักกาด แตงกวา และหัวไชเท้า) 5.7 ปอนด์ ขอบอกเลยว่าร้านนี้เลิศเลอจริง ๆ ลูกค้าหลายคนอ้อนเจ้าของให้ไปเปิดสาขาที่ลอนดอนหรือที่อื่นบ้าง แต่เจ้าของยืนยันขอเปิดเพียงสาขาเดียว จะได้ดูแลความอร่อยและคุณภาพได้ทั่วถึง เอ..แล้วเงินไม่สำคัญหรืออย่างไร เจ้าของบอกว่าความสุขที่ได้มาตอนนี้ มีเงินเป็นล้านก็ซื้อไม่ได้ นี่ล่ะชีวิตพอเพียงของแท้

คราวนี้มองหาที่สลายไขมันด้วยการเดินเที่ยวรอบเมือง เลือกไปต่อคิวเข้าชมด้านในของ King's College ก่อตั้งโดยกษัตริย์เฮนรี่ที่ 6 เมื่อปีค.ศ.1441 ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 19 ชันษา มีพระราชดำริจะสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเรียนดีที่ยากไร้ คณะทัวร์เคมบริดจ์เดินตามหาโบสถ์เล็ก ๆ ซึ่งอยู่ด้านในคิงส์ คอลเลจ ที่ถือเป็นสุดยอดสิ่งก่อสร้างของโลก King's College Chapel ที่ตั้งโดดเด่นท้าทายสายตาทุกผู้คนคือหลังคาโค้งรูปพัดที่ถือว่าใหญ่สุดในโลก อย่าลืมหายใจเวลาแหงนคอชม แล้วยังมีหน้าต่าง 26 บาน ที่สวยหมดจด แล้วยังมีเสาสูงยอดแหลมประดับลวดลายอันละเอียด ด้านหน้าเป็นหน้าต่างกระจกสีโค้งบานใหญ่

ช็อตไฮไลท์แบบกวน ๆ คือถ่ายรูปคู่กับเจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดครุยสีม่วง-ดำ ที่มักยืนอยู่หน้าประตู เกือบลืมก่อนเข้าคิงส์ คอลเลจ ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5 ปอนด์ และควรเข้าชมก่อนบ่ายสอง แต่ถ้าปิดภาคเรียนมีเวลาชมจนถึง 4-5 โมงเย็น

แน่นอนว่าเราจะเดินกันต่อไปชมวิวเคมบริดจ์จากด้านบนที่โบสถ์เกรท เซนต์แมรี่ (Great St Mary's) สไตล์โกธิค ขอให้เก็บเรี่ยวแรงไว้ดี ๆ เพราะถ้าอยากชมวิวพานอราม่าด้านบนโบสถ์ ต้องขึ้นบันได 123 ขั้น ตรงข้ามโบสถ์ มีร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ชื่อก้องโลก Cambridge University Press ถ้ามาช่วงวันหยุด ร้านแน่นมาก ซื้อไม่ซื้อไม่สน แต่ขอดั้นด้นเข้าไปชมด้านในเพราะเป็นหนึ่งในร้านหนังสือเก่าแก่ของอังกฤษ เปิดมาตั้งแต่ปี 1581

เอาล่ะ... ถึงเวลาส่องผู้คน เดินไปยังมาร์เก็ต สแควร์ ใกล้ๆ โบสถ์ ถ้ามาวันอาทิตย์ก่อน 4 โมงเย็น มีตลาดนัดที่รวมเหล่าศิลปินมืออาชีพและสมัครเล่นมาขายมากมาย


ถึงเคมบริดจ์จะเป็นเมืองเล็ก ๆ เดินไปเดินมาก็เที่ยวทั่วเมือง แต่ก็เล็กพริกขี้หนูที่หลายคนติดใจหลงใหลกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสูดกลิ่นอายความเก่าแก่ของเมือง ที่ตอนนี้อายุของเมืองปาเข้าไป 801 ปีแล้ว ไหนจะฟังเสียงกระดิ่งจักรยานจนเพลินและมองดูชีวิตนักศึกษาไปพลาง ทัวร์เมืองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ นอกจากได้เปิดหูเปิดตาแล้วอย่าลืมเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตด้วย

*************

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟจากลอนดอนไปเคมบริดจ์ที่สถานีรถไฟ King Cross, Liverpool Street เลือกชั้นสอง (ชั้นประหยัด) ราว ๆ 18 ปอนด์ ไปกลับ เดินทาง 45 นาที หรือจะซื้อตั๋วหนึ่งวัน £7หรือมีตั๋วรถบัสรวม Punting ประมาณ 20 ปอนด์ ควรจองล่องหน้าอาจได้ราคาถูก แต่ถ้าอยากได้ราคาประหยัดกว่านั้น เลือกนั่งรถโค้ช Nationalexpress จากสถานีวิคตอเรียที่ลอนดอน ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (แล้วแต่การจราจร)

ถ้าจองตั๋วล่วงหน้าจะได้ตั๋วราคาถูกอีกเช่นกัน ราคาตั๋วไปกลับราว ๆ 11 ปอนด์ รถจะจอดตรงถนน Parker ซึ่งขากลับจะต้องมาขึ้นรถที่นี่ ส่วนในตัวเมืองเคมบริดจ์ รถเที่ยวสุดท้ายประมาณสอง-สามทุ่ม มีรถเมล์สีเขียวเรียกว่า City Circle ให้บริการฟรีตามจุดต่าง ๆ ของเมือง ชมได้ทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 9.00-17.00 น.

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

EPL แอสตัน วิลล่า 2-4 อาร์เซน่อล

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2553
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
สนามวิลล่าพาร์ค


"สิงห์ผยอง" แอสตัน วิลล่า เปิดสนามวิลล่า พาร์ค รับการมาเยือนของ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล โดยเจ้าถิ่นส่งโรแบร์ ปิแรส อดีตกองกลางอาร์เซน่อลปั้นเกมรุกวางยอห์น คาริว ยืนหิกเดี่ยว

ฝั่งทีมเยือนขาดเชส ฟาเบรกาสที่เจ็บส่งทมัส โรซิคกี้ ลงมารับบทกัปตันทีมปั้นเกมแดนกลางร่วมกับ ซามีร์ นาสรี่ และ แจ็ค วิลเชียร์ แทน


น.3 ปืนโตหวิดได้เมื่อโทมัส โรซิคกี้ ซัดด้วยขวาในกรอบฝั่งขวาแบอลพุ่งผ่านมือแบร็ด ฟรีเดล ไปแล้วแต่หลุดเสาไกลออกหลังไป

น.25 เป็นโอกาสของวิลล่าบ้างเมื่อสจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ที่โยกมาอยู่ฝั่งขวาเปิดบอลเข้าไปหน้าประตูโรแบร์ ปิแรส ทรอดเข้าไปฆม่งแต่โดนไม่เต็มบอลกระดอนไปที่เสาไกลแอชลี่ย์ ยัง วิ่งเข้ากระโดดแปด้วยซ้ายแต่ยิงไม่ถนัดข้ามคานออกหลังไป

น.39 อาร์เซน่อลขึ้นนำ 1-0 เมื่อกองหลังวิลล่าพลาดกั๊กกันสกัดบอลเลยไปเข้าทางอังเดร อาร์ชาวิน พาจากกลางสนามขึ้นไปทางฝั่งซ้ายแล้วเลี้ยงตัดเข้าไปในกรอบก่อนซัดด้วยขวา เต็มข้อแม้แบร็ด ฟรีเดล จะปัดได้แต่โดนแค่ปลายมือก่อนบอลเข้าไปกองก้นตาข่าย

นาทีต่อมาปืนหวิดได้อีก อังเดร อาร์ชาวิน แทงบอลทะลุให้ซามีร์ นาสรี่ หลุดเข้าไปในกรอบฝั่งซ้ายแล้วแตะหนีแบร็ด ฟรีเดล ไปได้แล้วแต่กองกลางเฟร้นช์แมนยิงเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

ก่อนหมดครึ่งแรกนาทีเดียวปืนนำ 2-0 อังเดร อาร์ชาวิน เปิดมุมจากฝั่งซ้ายไปตรงกรอบโทษฝั่งขวาซามีร์ นาสรี่ วอลเลย์ด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับบอลพุ่งเบียดเสาแรกตุงตาข่ายอย่างสวยงามและจบ ครึ่งแรกอาร์เซน่อลนำ2-0

ครึ่งหลังวิลล่าส่งนาธาน เดลฟูเนโซ่ กองหน้าดาวรุ่งลงสนามแทน โรแบร์ ปิแรสและมาได้ประตูตีไข่แตก1-2 น.52 เมื่อกองหลังปืนโตโหม่งสกัดบอลไม่ขาดไปเข้าทางเคียแรน คล้าร์ก พักอกเอาบอลลงตรงกรอบโทษแล้วซัดด้วยซ้ายเต็มๆบอลพุ่งตุงตาข่าย

น.56 ปืนโตนำ 3-1 โทมัส โรซิคกี้ แทงบอลเข้ากรอบโทษให้มารูอาน ชามัค สลัดหนีริชาร์ด ดันน์ เข้าไปในกรอบโทษแล้วจิ้มสวนตัว แบร็ด ฟรีเดล ตุงตาข่าย

น.70 วิลล่าไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 เมื่อแอชลี่ย์ ยังเปิดมุมฝั่งขวาให้ริชาร์ด ดันน์ โหม่งจากกรอบโทษเสาไกลบอลย้อยกลับไปที่เสาแรกเคียแรน คล้าร์ก ถอยหลังโหม่งเช็ดบอลไปเช็ดคานเข้าประตูไป

จากนั้นวิลล่าโหมบุกหนักแต่ก็ยิงตีเสมอไม่แถมยังเกือบโดนจังหวะโต้กลับของทีมเยือนเล่นงานหลายหนแต่รอดตัวไป

กระทั่งช่วงทดเจ็บแจ็ค วิลเชียร์ โหม่งให้ปืนโตปิดกล่องเป็นลูกที่ 4 ทำให้จบเกมอาร์เซน่อล บุกชนะ แอสตัน วิลล่า 4-2

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

แอสตัน วิลล่า : แบร็ด ฟรีเดล,ลุค ยัง,ริชาร์ด ดันน์,เจมส์ คอลลินส์,สตีเฟ่น วอร์น็อค,สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง,เคียแรน คล้าร์ก,แบร์รี่ แบนแนน,โรแบร์ ปิแรส,แอชลี่ย์ ยัง,ยอห์น คาริว


อาร์เซน่อล : ลูคัส ฟาเบียนสกี้,บาการี่ ซานญ่า,โลร็องต์ กอสซิแอลนี่,เซบาสเตียง สกิลลาชี่,กาแอล กลิชี่,ซามีร์ นาสรี่,อเล็กซ์ ซง, แจ็ค วิลเชียร์,โทมัส โรซิคกี้,อังเดร อาร์ชาวิน,มารูอาน ชามัค


สรุปผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

- แอสตัน วิลล่า แพ้ อาร์เซน่อล 2-4

- โบลตัน เสมอ แบล็คพูล 2-2

- เอฟเวอร์ตัน แพ้ เวสต์บรอมวิช 1-4

- ฟูแล่ม เสมอ เบอร์มิงแฮม 1-1

- แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 7-1

- สโต๊ค ซิตี้ เสมอ แมนฯ ซิตี้ 1-1

- เวสต์แฮม ชนะ วีแกน 3-1

- วูล์ฟแฮมป์ตัน ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-2

ที่มา : สยามสปอร์ต

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทรงพระเจริญดังกึกก้องรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

พระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯเปิดประตูคลองลัดโพธิ์-สะพานภูมิพล1-2โดยเรือพระที่นั่งพสกนิกรเปล่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้อง


วันนี้ 25 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.32 น. วันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็ญพระที่นั่งพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิน หัวหน้าสำนักงานศูนย์โรคหัวใจสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นผู้ถวายการเข็นรถพระที่นั่ง จากอาคารเฉลิมพระเกียรติผ่านยังตึกอนันทราช ตึกกายวิภาคศาสตร์ หอสมุดศิริราช ไปยังท่าเทียบเรือสมาคมศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราช พร้อม ศ.คลีนิค นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

'ในหลวง'เสด็จฯทรงลอยพระประทีป


ในหลวงทรงแย้มพระสรวล โบกพระหัตถ์ให้พสกนิกร ในโอกาสเสด็จฯทรงลอยพระประทีปเนื่องในวันลอยกระทง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ "หลวงพ่อคูณ" อวยพรวันลอยกระทง ให้คนไทยสามัคคี อยู่อย่างสันติ มีเมตตาธรรมให้แก่กัน งานสีสันแห่งสายน้ำพระราม8คึกคัก

“ลิเวอร์พูล” ปลายทางของความรื่นรมย์

โดย : กาญจนา หงษ์ทอง
เที่ยวนี้ขอเล่า @คมชัดลึก


คงเหมือนกับแมนเชส เตอร์ ที่ไม่ได้มีดีแค่เรื่องฟุตบอล แต่ ลิเวอร์พูล (Liverpool) โดดเด่นทั้งเรื่องศิลปะ ดนตรี และประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูลจึงเป็นเมืองที่ปลายทางมีความรื่นรมย์รอทุกคนอยู่ที่นั่น
มุมช็อปปิ้งใจกลางเมือง

จากกรุงเทพฯ บินไปลงที่เมืองแมนเชสเตอร์ด้วยสายการบินเอทิฮัด (0-2253-0099) จากนั้นนั่งรถไฟ (www.raileurope.fr) ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงลิเวอร์พูล เพราะใช้เวลาไม่นาน แต่ละวันจึงมีรถไฟวิ่งไปมาวันละหลายเที่ยว

สถานีรถไฟประจำเมือง

จะว่าไปแล้ว ลิเวอร์พูล ก็ไม่ใช่เมืองประเภทโนเนม ไล่มาตั้งแต่ปี 2004 ก็ได้ป้ายเมืองมรดกโลกมาประดับเมือง พอปี 2007 ก็ฉลองครบรอบ 800 ปีอย่างเอิกเกริก แต่สำหรับคอศิลปวัฒนธรรม เป็นอันรู้กันว่า ที่นี่ถูกเชิดชูให้เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมของยุโรปประจำปี 2008 หลังจากนั้นมา ลิเวอร์พูลยิ่งเนื้อหอมหนักกว่าเดิม

ที่จริงลิเวอร์พูลก็ เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งเมืองวัฒนธรรม เพราะเป็นเมืองที่ทั้งโรงละคร พิพิธภัณฑ์ และหอศิลป์ตั้งเรียงรายอยู่แน่นเมือง ทั้งคนรักสุนทรีย์และรักกีฬาลูกหนัง จึงเดินปะปนกันในลิเวอร์พูล ไม่น้อยไปกว่ากัน นอกจากสนามแอนด์ฟิลด์ที่เป็นมุมเนื้อหอมประจำเมือง ลิเวอร์พูลยัง มีอีกหลายมุมที่น่าสนใจ หนึ่งในมุมที่อัดแน่นไปด้วยสุนทรีย์ คือ แถวท่าเรืออัลเบิร์ต ด็อก ท่าเรือเก่าแก่ที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้อย่างดีจนกลายเป็นแหล่งมรดกโลก

ในอาณาบริเวณของท่าเรือที่เป็นกลุ่มอาคารอิฐสีแดง เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์และร้านอาหาร ร้านขายของ ไปจนถึงมุมแฮงก์เอาท์ของคนหนุ่มสาว นี่อาจเป็นมุมหนึ่งของลิเวอร์พูลที่ ทำให้คุณลืมเรื่องฟุตบอลไปชั่วคราว อาจจะมีหลายมุมในท่าเรืออัลเบิร์ต ด็อกที่น่าสนใจ แต่ที่นักท่องเที่ยวพากันมุ่งหน้าไปหา ก็คงจะเป็น บีทเทิลส์ สตอรี
ละแวกอัลเบิร์ต ด็อก

ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงลิเวอร์พูล เพราะด้านในจะพาคุณย้อนไปตามรอยดูชีวิตของบอยแบนด์วงแรกของโลก ที่กลายเป็นวงดนตรีระดับอภิมหานิรันด์กาลอย่างวงสี่เต่าทอง ที่นี่จะทำให้คุณรู้ว่า เดอะบีทเทิลส์ เป็นอะไรมากกว่าวงดนตรี เพราะพวกเขาคือตำนานแห่งวงการเพลง

เพราะไม่รีบร้อนไปไหน จึงไปเดินเล่นแถวท่าเรือเยลโลว์ ดั๊ก มารีน ท่าเรือเก่าแก่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลาอากาศดีๆ จะเห็นคนออกมาปั่นจักรยานกันบนถนนเลียบทะเล หรือไม่ก็มีหนุ่มสาวมานั่งจิบอากาศดีๆ ด้วยกันบนม้านั่งริมทาง และอีกไม่น้อยที่หาโอกาสนั่งเรือออกไปล่องแม่น้ำเมอร์ซีย์
ลิเวอร์พูลก็มีชิงช้าสวรรค์

หรือใครจะนั่งชิงช้าสวรรค์ของเมืองสูง 60 เมตร ที่เรียกว่า The Echo Wheel of Liverpool ก็ได้ เขามีอยู่ 42 กระเช้า คิดค่าขึ้นคนละ 6 ปอนด์ นี่เป็นของเล่นชิ้นใหม่ของชาวลิเวอร์พูล เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อต้นปี 2010 ที่ผ่านมานี่เอง อยู่ใกล้กับ Echo Arena เขาว่า วันไหนอากาศดีๆ ขึ้นไปแล้วก็จะเห็นวิวได้ทั้งเมือง รวมถึงแม่น้ำเมอร์ซีย์และเทือกเขาเวลช์ หลายคนที่เคยขึ้นบอกว่าขึ้นกลางคืนจะสวยกว่ากลางวัน

ในอัลเบิร์ต ด็อกก็มีร้านรวงให้ช็อปอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าใครยังไม่จุใจ จะไปเดินช็อปในย่านใจกลางเมืองก็ได้ โดยเฉพาะในย่าน Queen Square ที่มีร้านค้าให้เลือกช็อปมากหน้าหลายตา รวมถึงห้างดังอย่าง Liverpool One ช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ที่ภายในบรรจุแบรนด์เนมชื่อดังเอาไว้อย่างคับคั่ง อีกย่านหนึ่งที่สาวนักช็อปไม่ควรพลาดคือ ย่าน Met Quarter แหล่งช็อปปิ้งที่จะทำให้สาวๆ ขลุกอยู่ได้ทั้งวัน เวลาเดินช็อปแถวนี้ก็จะมองเห็นหอวิทยุ St’John Beacon ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
ย่านกินดื่มใจกลางเมือง

ลิเวอร์พูลนี่ ครบเครื่องจริงๆ เขามีทั้งถนนสายช็อปปิ้ง ถนนสายบันเทิงที่เรียงรายไปด้วยผับ บาร์ คาเฟ่ และถนนสายโบสถ์ ที่นั่นคือ ถนนโฮป (Hope Street) นักท่องเที่ยวหลายคนอาจใช้ถนนสายนี้เป็นจุดเริ่มต้นการเดินเท้าทำความรู้จัก กับลิเวอร์พูล เพราะเป็นถนนมีวิหารสำคัญของเมืองถึง 2 แห่งตั้งอยู่ สถานที่แรกที่แวะไปชมคือ วิหารเมโทรโปลิทัน ออฟ ไครส์ เดอะ คิง ซึ่งเป็นอาคารที่มีความโดดเด่นและมีหลังคาประดับด้วยกระจกสี

อีกด้านหนึ่งของถนนโฮปเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารลิเวอร์พูล ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะเป็นมหาวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ที่นี่จัดว่าเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ยิ่งใหญ่และอลังการมาก

วิหารทั้งสองแห่ง ทำให้ถนนโฮปกลายเป็นถนนน่าเดิน เพื่อทอดสายตามองความอลังการและความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมของศาสนสถานทั้ง 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีถนนอีกหลายสายในลิเวอร์พูล ที่ล้วนแต่มีความน่าสนใจอยู่ในตัวแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นถนนแมธธิว และถนนวู้ด ที่เป็นแหล่งบันเทิงเริงใจของชาวเมือง
หนุ่มสาวหน้าป้ายเมือง

เป็นวันที่ได้เห็นลิเวอร์พูลที่แปลกไป ด้านที่ไม่ใช่ลูกกลมๆ กลิ้งไปมา แต่เป็นด้านฉ่ำสุนทรีย์ที่ห่มคลุมอากาศเหนือท้องฟ้าเมืองหงส์แดงเอาไว้

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ท่องเมืองตูลูส...ถิ่นเครื่องบิน ยลมนเสน่ห์สถาปัตยกรรม


ไม่เพียงความโดดเด่นทางด้านแฟชั่นชั้นนำเป็นเมืองศูนย์รวมดีไซเนอร์ที่มี ชื่อ ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนน้ำหอมแห่งนี้ยังมีมนต์เสน่ห์สีสันทางการท่องเที่ยวหลากหลายทั้ง ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมรวมทั้งสถาปัตยกรรมงดงาม

   

  
ตูลูส เมืองทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสใกล้กับ ประเทศสเปนแห่งนี้เป็นอีกสถานที่ที่มีเอกลักษณ์ความโดดเด่นเป็นอีกจุดหมาย ปลายทางของนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนพักผ่อน นอกจากอาคารวิหารเก่าแก่ถ่ายทอดความงามทางสถาปัตยกรรมปรากฏให้ สัมผัสเพลิดเพลิน
   
เมืองที่มีประวัติศาสตร์แห่งนี้ยังเป็นแหล่งการศึกษา ซึ่งมีหลากหลายสาขาทั้งทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย วิศวกรรมการบินและอวกาศ ฯลฯ รวมทั้งยังเป็นที่รู้จักกล่าวขานกันถึง ถิ่นกำเนิดเครื่องบินแอร์บัส และจากที่ได้ร่วมเดินทางไปรับ เครื่องบินลำใหม่ป้ายแดงแอร์บัส A320 ของสายการบินไทยแอร์เอเชียโดยลำดังกล่าวเป็นลำที่ 19 ในจำนวน 40 ลำ ซึ่งทยอยรับมอบโดยเครื่องใหม่ป้ายแดง เหล่านี้พร้อมบริการแก่ผู้โดยสาร ให้ได้รับความสะดวกสบายไปกับการเดินทางในทุกเส้นทางของสายการบิน


ก่อนเครื่องใหม่ป้ายแดงลำนี้จะเหินฟ้าบินกลับมาถึงเมืองไทย ไม่เพียงแวะเยือนสำนักงานใหญ่แอร์บัสซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองตูลูส ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของโรงประกอบเครื่องบินแอร์บัสที่ทันสมัยมีระบบการผลิต ทรงประสิทธิภาพ
   
โรงประกอบเครื่องบินที่นี่กว้างใหญ่แบ่งออกเป็นหลายส่วนด้วยกันซึ่งการผลิต ในขั้นสุดท้าย จะถูกขนย้ายนำมาประกอบ รวมกันที่นี่ เช่นเดียวกับเจ้านกเหล็กยักษ์ลำนี้โดยทุกขั้นตอนนั้นละเอียด เคร่งครัดให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูง
   
นอกจากจะได้เห็นเครื่องบินลำใหม่ของแอร์เอเชียที่พร้อมบินร่วมฝูงบินให้ บริการแก่ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายยังได้ชมเครื่องบิน A380 สะดุดตากับความน่ารักของเครื่องบิน เบลูกา รูปร่างคล้ายกับวาฬซึ่งเครื่องบินพิเศษนี้ใช้สำหรับขนย้ายชิ้นส่วนใหญ่ ๆของเครื่องบินมาที่โรงประกอบเครื่องบินที่นี่
   
ตูลูส นอกจากจะเป็นที่ตั้งของโรงประกอบเครื่องบินเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางการบิน การอวกาศ ฯลฯ เมืองแห่งนี้ยังเป็นที่รู้จักบอกเล่ากันในชื่อของ เมืองสีชมพู ซึ่งไม่ว่าจะเป็น สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ทั้งอาคาร สถานที่สำคัญต่าง ๆ จะเป็นอิฐดินเผาสีแดงชมพูซึ่งมีมนต์เสน่ห์ ปรากฏโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยี่ยมเยือน
   
  

ด้วยการเดินทางที่สะดวก สามารถเดินเที่ยวชมเมืองได้โดยรอบ ในเขตตัวเมืองก็มีหลากหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์ วิหารเก่าแก่หลายแห่งที่งดงามด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมพร้อมให้เลือกแวะชมเก็บ ภาพ บรรยากาศประทับใจ
   
จัตุรัสใหญ่ (Place du capitole) สถานที่นี้เมื่อมาถึงมักไม่พลาดไปเยือนกัน ที่นี่  โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม  ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ด้านหน้าตัวอาคารมีความยาว อีกทั้งมีลานโล่งกว้าง ซึ่งในความมีสีสันชีวิตชีวาสัมผัสได้ทั้งในบรรยา กาศช่วงเวลากลางวันและยามค่ำคืน

   



วิหารแซง แซร์แนง เป็นอีกสถานที่มีมนต์ขลังเป็นที่รู้จักกล่าวขานมายาวนาน จากข้อมูลกล่าวถึงการสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 11-12 สถาปัตย กรรมผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันและโกธิคสะดุดตาด้วยยอดโดม หอระฆังทรงสูง ฯลฯ
   
นอกจากนี้หากชื่นชอบสนใจในประวัติศาสตร์ ศิลปะประติมากรรม จิตรกรรมความเป็นมาของเมืองแห่งนี้ยังสามารถเติมต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว ได้ที่ พิพิธภัณฑ์ ซึ่งที่  ตูลูสนั้นมีหลายแห่งให้เลือก เข้าชม แต่ถ้าชื่นชอบการชอปปิง มาที่ตูลูสก็ไม่น่าจะผิดหวังมีหลากหลายสิ่งละอันพันละ น้อยทั้งแฟชั่น ของตกแต่งงาน ดีไซน์ต่าง ๆ ให้เลือกซื้อหา
    
อีกทั้งในเขตเมืองยังมีความงดงามของธรรมชาติให้สัมผัสโดยเฉพาะช่วงเวลานี้ ซึ่งมีสีสันอากาศหนาวมีความงามของต้นไม้จากใบเขียวถูกแซมด้วย ใบสีเหลืองซึ่งยามแสงสาดส่องผ่านใบไม้ยิ่งมีเสน่ห์ อย่างที่ริมฝั่ง แม่น้ำกาโรน (la Garonne) แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองตูลูส บริเวณนี้นอกจากจะมองเห็นสะพานเป็นอีกจุดชมวิวมองทิวทัศน์ได้กว้างไกล สองฝั่งแม่น้ำยังมีชีวิตชีวาบอกเล่าสีสันเมืองตูลูส วิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบันและความทรงจำวันวานให้สัมผัส

   

ด้วยการเดินทางที่สะดวกไม่ไกลไปจากเมืองตูลูสยังมีอีกหลายสถานที่น่าสนใจ อย่างที่เมืองอัลบี เมืองมรดกโลกซึ่งไม่เพียง มหาวิหารอัลบี หรือมหาวิหารแซงต์เซซีลแห่งอัลบี ซึ่งสง่างามทรงคุณค่าทางสถา ปัตยกรรมโดยศิลปะสถาปัตย กรรมที่ปรากฏปัจจุบันเป็นแบบโกธิค มหาวิหารเก่าแก่แห่งนี้จากเสียงบอกเล่ารวมทั้งตามที่มีบันทึกกล่าวถึงการ สร้างขึ้นนับแต่ศตวรรษที่ 4 จากนั้นถูกเพลิงไหม้และมีการสร้างขึ้นอีกและที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างระหว่าง ปี ค.ศ. 1282-1480 ในความโดดเด่นและสง่างามของมหาวิหารแห่งนี้ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ด้านนอกอาคารสะดุดตาด้วยรูปทรงคล้ายดั่งป้อมปราการหลังใหญ่
   
ด้านหน้ามีลวดลายสลักอ่อนช้อยยิ่งเมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านในนั้น อลังการด้วยประติมากรรม สถาปัตยกรรมภายในที่ผ่านการเวลามายาวนาน  นอกจากนี้ที่นี่ยังมีภาพจิตรกรรม ฝาผนังงดงาม เช่นเดียวกับ บนเพดานปรากฏภาพจิตรกรรมเก่าแก่ทรงคุณค่า ฯลฯ

   

นอกเหนือจากนี้ที่ เมืองเก่าอัลบี ของประเทศฝรั่งเศสยังได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมซึ่งหาก ได้เดินเที่ยวชมเมืองยิ่งเพิ่มความประทับใจด้วยเมืองแห่งนี้มีมนต์เสน่ห์ ทั้งในการปลูกสร้างซึ่งลดหลั่นไปตามสภาพพื้นที่ ความสงบเงียบเรียบง่าย อีกทั้งทั่วเมืองยังมีจุดชมวิวมุมถ่ายภาพหลายแห่ง อย่างเช่น สะพานเก่าแก่ข้ามแม่น้ำเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่อง เที่ยว ฯลฯ
    
เมืองเก่ามีเสน่ห์แห่งนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานของ อองรี เดอ ตูลูส-โลแตร็ก ศิลปินที่ได้รับการกล่าวขานในแวดวงศิลปะโดยผลงานหลากหลายของศิลปินได้จัด แสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์ให้ศึกษาเพลิดเพลินเป็นอีกสีสันการมาเยือนอัลบีเมือง เก่าที่มีเสน่ห์ อีกจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบศิลปะสถาปัตยกรรม.

ที่มา : วาไรตี้ เดลินิวส์

อาร์เซน่อล 2-3 สเปอร์ส

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2553
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สนาม เอมิเรตส์สเตเดี้ยม


เกมลอนดอนดาร์บี้ ระหว่าง "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล และ "ไก่เดือยทอง" สเปอร์สที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม โดย วิลเลี่ยม กัลลาส กลับมาเยือนถิ่นเก่าของตัวเองเป็นครั้งแรก พร้อมเผชิญหน้ากับ ซามีร์ นาสซรี่ รุ่นน้องชาวฝรั่งเศสที่มีปัญหาผิดใจกันในช่วงฟุตบอลยูโร 2008 โดยทั้งสองไม่ได้แตะมือทักทายกันก่อนเริ่มเกมแต่อย่างใด


นาทีที่ 8 อาร์เซน่อลออกนำ 1-0 เมื่อ เชส ฟราเบกาส วางบอลยาวจากแดนตัวเอง ไปให้ ซารมีร์ นาสซรี่ ที่เอาชนะแนวรับของ สเปอร์ส ที่ขึ้นมาดักล้ำหน้าพลาด หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่จะแตะบอลหนี เฮเรลโญ่ โกเมส จนเกือบจะไม่มีมุมยิง แต่มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสยังตามไปหักบอลให้เข้ากรอบทัน บอลค่อยๆไหลผ่าน เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ ที่วิ่งตามมาสกัด เข้าประตูไป

นาที 21 อาร์เซน่อล ถ่ายบอลอยู่หน้ากรอบเขตโทษสเปอร์ส อเล็กซ์ ซง เบิ้ลเร็วให้ เชส ฟราเบกาส หนีตัวประกบหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ กดด้วยขวา บอลพุ่งหลุดเสาแรกออกไป

นาที 26 เจ้าบ้านได้ประตูขึ้นนำ 2-0 จากจังหวะที่ สเปอร์ส บุกเพลินหวังยิงประตูตีเสมอ ฟาเบรกาส พาบอลขึ้นมากลางสนาม ก่อนป้ายให้กับ อังเดร อาร์ชาร์วิน ทางกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนดาวเตะชาวรัสเซียจะครอสเข้ามาในกรอบ 8 หลา และเป็น มารูอาน ชามัค ที่วิ่งเบียดมากับ ยูเนส กาบุล เข้าถึงบอลก่อน ชาร์จบอลเข้าไประตูไป

เกมดำเนินมาถึงครึ่งชั่วโมง ทีมเยือนมีโอกาสลุ้นประตูบ้าง อเล็กซ์ ซง จ่ายบอลเสีย หน้ากรอบเขตโทษ ลูก้า โมดริชวิ่งเข้ามาซัดเต็มแรง แต่ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ นายประตูเจ้าบ้านพุ่งปัดเอาไว้ได้สวย

สเปอร์ส พยายามเปิดเกมแลก หลังโดนนำห่างสองลูกก่อนครึ่งชั่วโมงแรก แต่กลับโดนเจ้าบ้านใช้การเล่นบอลจังหวะเดียว สวนกลับมาได้เสียวหลายครั้ง แต่ไม่สามารถบวกประตูเพิ่มได้ จบเกมในครึ่งแรก อาร์เซน่อล นำ สเปอร์ส 2-0

ครึ่งหลังสเปอร์สส่งเจอร์เมน เดโฟ ลงแทน อารอน เลนน่อน และนาที 50 ก็มาได้ประตูตีตื้น1-2 เมื่อราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ดีดบอลให้แกเร็ธ เบล แตะเข้าไปในกรอบฝั่งขวาแล้วดีดด้วยซ้ายบอลหนีมือลูคัส ฟาเบียนสกี้ เสียบเสาไกลตุงตาข่าย

นาที67 ไก่เดือยทองได้กระต๊ากตีเสมอ 2-2 เมื่อราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ซัดฟรีคิกไปโดนแขนมารูยาน ชามัคห์ที่โดนฟาเบรกาสยกขึ้นไปผู้ตัดสิน ฟิล ดาวด์เป่าเป็นจุดโทษทันทีและเป็นฟาน เดอร์ ฟาร์ท รับหน้าที่สังการไม่พลาด

นาที 71 เดอะ กันเนอร์สต้องเฮเก้อเมื่อซามีร์ นาสรี่เปิดฟรีคิกจากฝั่งขวาเข้าไปในกรอบบอลหลุดไปถึงเชส ฟาเบรกาสที่เสาไกลโหม่งชงต่อให้เซบาสเตียง สกิลลาชี่ ซัดโล่งๆกลางประตูตุงตาข่ายแต่โดนจับเป็นลูกล้ำหน้าของเชสไปก่อนแล้วชวดได้ ประตูไปตามระเบียบ

นาที 85 ทีมเยือนแซงนำ 3-2 เมื่อได้ฟรีคิกตรงริมเส้นฝั่งขวาเกือบครึ่งสนามราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท เปิดเข้าไปหน้าประตูยูเนส กาบุล ขึ้นโหม่งเช็ดบอลเสียบเสาไกลตุงตาข่ายและเป็นประตูชัยให้สเปอร์สบุกชนะอาร์ เซน่อลสุดแสบ 3-2

รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม

อาร์เซน่อล : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ - บาการี่ ซาญ่า, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ เซบาสเตียง สกิลลาชี่, กาแอล กลิชี่ - เดนิลสัน, อเล็กซ์ ซง - ซามีร์ นาสรี่, เชส ฟาเบรกาส, อังเดร อาร์ชาวิน - มารูอาน ชามัค

สเปอร์ส : เอเรลโญ่ โกเมส - อลัน ฮัตตัน , ยูเนส กาบุล, วิลเลี่ยม กัลลาส, เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ - อารอน เลนน่อน, เจอร์เมน จีนัส, ลูก้า โมดริช, แกเร็ธ เบล - ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท - โรมัน พาฟลิวเชนโก้

ที่มา : สยามสปอร์ต 
--------------------------------------
นัดนี้โคตระช็อก  นำครึ่งแรก 2-0 หูยยย ครึ่งหลังหนังคนละม้วนซะอย่างนั้น เฮ้อออ ... ถ้าแพ้แบบธรรมดาจะไม่รู้สึกเท่าไร แต่แพ้แบบนี้ทำใจลำบาก  คาบ้านทั้ง ๆ ที่นำมาก่อนด้วยซ้ำ

วันลอยกระทง

โลโก้อากู๋วันลอยกระทงสวยมากกก

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เอฟเวอร์ตัน 1 - 2 อาร์เซน่อล

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2553
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สนาม : กูดิสัน พาร์ค


ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ไม่มี มารูอาน เฟลไลนี่ ที่ติดโทษแบน แต่ได้ จอห์นนี่ ไฮติงก้า ฟิตกลับคืนสนาม ขณะที่ เชมัส โคลแมน กลับคืนตัวจริง และแดนหน้ายังเลือก หลุยส์ ซาฮา เล่นตั้งแต่ต้นเกมเหมือนเดิม

ทางฝั่งปืนใหญ่ปรับทัพตำแหน่งเดียว ซามีร์ นาสรี่ กลับมาเป็นตัวจริงแทน โทมัส โรซิชกี้ ส่วนแนวรับยังไม่มี โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ติดโทษแบน ทำให้ โยฮัน ฌูรู ยังต้องยืนเซนเตอร์คู่ เซบาสเตียง สกิลลาชี่

เริ่มเกมขึ้นมา ทั้งสองทีมไม่รอช้า เปิดเกมรุกแลกหมัดกันทันที นาทีที่ 10 เป็นโอกาสของอาร์เซน่อล ก่อน ซามีร์ นาสรี่ หลุดขึ้นทางกราบขวา ลากจี้ ซิลแว็ง ดิสแต็ง จนถึงเขตโทษ แต่สุดท้ายมิดฟิลด์เฟร้นช์ซัดไปติดบล็อกกองหลังรุ่นพี่ชาติเดียวกัน


ให้หลังนาทีเดียว เป็นโอกาสทองที่เอฟเวอร์ตันน่าจะใส่สกอร์ แต่กลับพลาดเป้า จากจังหวะที่ เชมัส โคลแมน ลากบอลหนี เชส ฟาเบรกาส จากครึ่งสนาม ก่อนชิพไปหน้าประตูให้ ทิม เคฮิลล์ ที่รออยู่โล่งๆ แต่กลับโหม่งข้ามคานออกไปเหลือเชื่อ

รูปเกมของทั้งสองทีมค่อนข้างเคลื่อนที่เร็วทุกจังหวะ นาทีที่ 16 ปืนใหญ่มีเสียวจังหวะเข้าทำ แจ็ค วิลเชียร์ พักบอลคืนหลังให้ อังเดร อาร์ชาวิน วิ่งเข้ามาวอลเล่ย์ด้วยเท้าซ้ายจากระยะ 25 หลา บอลติดไซด์ก้อยเลี้ยวหนีเสาสอง

นาทีที่ 21 เป็นจังหวะประสานงานสวยๆ ของทีมเยือนอีกครั้ง ชามัคป้ายบอลเข้าเขตโทษให้นาสรี่ไขว้หลังไปถึง แจ็ค วิลเชียร์ ที่สอดขึ้นมาพอดี พยายามลากหนีดิสแต็งในเขตโทษ แต่สุดท้ายก็ยังซัดด้วยขวาแฉลบออกหลัง

แม้เอฟเวอร์ตันรูปเกมเริ่มจะเป็นรองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังหาจังหวะจบสกอร์ได้ นาทีที่ 27 สตีเว่น พีนาร์ ไหลบอลไปให้ ทิม เคฮิลล์ ครองบอลไม่ได้ แต่ทะลักมาเข้าทาง หลุยส์ ซาฮา ซัดด้วยซ้ายหน้ากรอบข้ามคาน

ประตูแรกก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 36 และเป็นอาร์เซน่อลที่ขึ้นนำ 1-0 เริ่มจากนาสรี่ยิงไกลด้วยเท้าซ้าย ฮาวเวิร์ดพุ่งปัดออกมาอาร์ชาวินเก็บได้ตรงสุดเส้นหลังด้านขวาแล้วจ่ายสั้นๆ ให้ บาการี่ ซาญ่า แบ็กขวาที่เติมขึ้นมาในกรอบโทษ จับแล้วยิงเท้าขวามุมแคบ บอลพุ่งแสกหน้าฮาวเวิร์ดยัดเสาแรกเสียบเพดานตาข่ายเข้าไปอย่างสุดสวย

ช่วงทดเจ็บครึ่งแรกออกไป 1 นาที เจ้าบ้านมีลุ้นจากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย มิเคล อาร์เตต้า โยนลึกโค้งไปที่เสาสอง หลุยส์ ซาฮา พยายามโหม่งกลับเข้ามาแต่บอลไปชนเสา ซึ่งผู้ช่วยผู้ตัดสินสะบัดธงว่าออกไปแล้ว ทั้งที่บอลยังออกไปไม่เต็มใบ จบครึ่งแรก อาร์เซน่อล นำ 1-0

ครึ่งหลัง เอฟเวอร์ตันส่ง แจ็ค ร็อดเวลล์ ลงแทน จอห์นนี่ ไฮติงก้า ที่โดนใบเหลืองไปแล้ว ขณะที่อาร์เซน่อลก็ส่ง เดนิลสัน ลงแทน แจ็ค วิลเชียร์ กลับมาเล่นแค่ 3 นาที อาร์เซน่อลก็มาได้ประตูหนีห่าง 2-0 จากจังหวะต่อบอลสวยๆ ตามแบบฉบับ เดอะ กันเนอร์ส เริ่มจากเดนิลสันไหลเรียดเข้าเขตโทษให้ฟาเบรกาส ตวัดต่อจังหวะเดียวให้ชามัค แล้วชามัคก็ป้ายกลับให้ฟาเบรกาส ตวัดยิงด้วยเท้าขวาแบบไม่ต้องแต่ง บอลพุ่งเข้าเสียบเสาสองแบบหมดจด

ถัดมานาทีเดียว แฟนบอลทอฟฟี่เรียกร้องจะให้ไล่ เซบาสเตียง สกิลลาชี่ ออกจากสนาม หลังไปทำฟาวล์ หลุยส์ ซาฮา ในจังหวะพลิกหลุด แต่ก็ยังมี กาแอล กลิชี่ ประคองอยู่อีกตัว ผู้ตัดสินเลยแจกแค่ใบเหลือง และจากฟรีคิก เลห์ตัน เบนส์ ก็ปั่นด้วยซ้ายไปตรงฟาเบียนสกี้ เอฟเวอร์ตันน่าได้ประตูไล่ขึ้นมาในนาทีที่ 57 เซมัส โคลแมน ไหลบอลให้ สตีเว่น พีนาร์ หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาแล้วผ่านเรียดให้ แจ็ค ร็อดเวลล์ ตัวสำรอง แปด้วยขวากลางประตูข้ามคานอย่างน่าเสียดาย

โอกาสทำประตูที่สามของปืนใหญ่ ก็มีเหมือนกันในนาทีที่ 61 ซามีร์ นาสรี่ โชว์สปีดลากบอลแซง ดิสแต็ง เข้าเขตโทษไปดวลกับฮาวเวิร์ดแล้ว แต่ยิงไปติดบล็อกนายทวารอเมริกัน นาทีถัดมา เจ้าถิ่นขึ้นเกมรุกคล้ายๆ แบบเดิม พีนาร์เปิดเรียดจากด้านขวาให้ หลุยส์ ซาฮา ตวัดยิงเท้าขวาไปติดบล็อก อเล็กซ์ ซง ที่ทำท่าเหมือนยกแขนขึ้นมากัน แต่ผู้ตัดสินไม่ให้จุดโทษแก่เจ้าบ้าน 10 นาทีสุดท้าย เป็นเอฟเวอร์ตันที่เดินหน้าบุกแหลก นาที 81 เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด จับบอลแล้วพลิกตัวยิงในเขตโทษ ฟาเบียนสกี้ต้องพุ่งปัดออกหลัง ถัดจากนั้น 3 นาที พีนาร์รับบอลหน้ากรอบแต่ซัดไปตรงฟาเบียนสกี้

นาทีที่ 88 ทอฟฟี่สีน้ำเงิน น่าได้ประตูอีกครั้ง เริ่มจาก แจ็ค ร็อดเวลล์ ยิงไกลไปติดบล็อกเข้าทาง หลุยส์ ซาฮา ตั้งป้อมปั่นด้วยเท้าซ้ายเต็มแรง ฟาเบียนสกี้ยังพุ่งปัดออกหลังได้อีก เจ้าถิ่นไล่มาเป็น 1-2 จนได้ในนาทีที่ 89 พีนาร์หยอดบอลลึกไปที่เสาสอง หลุยส์ ซาฮา เทกตัวโหม่งตั้งกลับเข้ากลางให้ ทิม เคฮิลล์ ตวัดยิงเท้าขวาเข้าไปซุกก้นตาข่ายจนได้

จบเกม อาร์เซน่อล บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 2-1 ทำให้ปืนใหญ่เก็บสามแต้มแซงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับขึ้นไปเป็นรองจ่าฝูงอีกครั้ง

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เอฟเวอร์ตัน : ทิม ฮาวเวิร์ด , ฟิล เนวิลล์ , ฟิล จากีลก้า, ซิลแว็ง ดิสแต็ง, เลห์ตัน เบนส์ , เชมัส โคลแมน, จอห์นนี่ ไฮติงก้า, มิเคล อาร์เตต้า, ทิม เคฮิลล์ , สตีเว่น พีนาร์ , หลุยส์ ซาฮา

อาร์เซน่อล : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ , บาการี่ ซาญ่า , โยฮัน ฌูรู , เซบาสเตียง สกิลลาชี่ , กาแอล กลิชี่ , ซามีร์ นาสรี่ , อเล็กซ์ ซง , แจ็ค วิลเชียร์ , เชส ฟาเบรกาส , อังเดร อาร์ชาวิน , มารูอาน ชามัค

ที่มา : สยามสปอร์ต

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วูลฟ์แฮมป์ตัน 0 - อาร์เซน่อล 2

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2553 (ดึก)
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สนาม : โมลินิวซ์ กราวด์


หมาป่า ปรับเปลี่ยนทีมตำแหน่งเดียวจากนัดก่อน ไมเคิ่ล มานเซียนน์ ได้ลงเล่นตัวจริงแทน สตีเฟ่น ฮันท์ ที่ถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง แดนหน้ายังใช้ เควิน ดอยล์ ยืนตัวเป้าคนเดียว


ด้าน ปืนใหญ่ ต้องขาด โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ที่ติดโทษแบน ทำให้ โยฮัน ฌูรู ต้องลงเล่นแทน ตำแหน่งอื่นๆ อังเดร อาร์ชาวิน, โทมัส โรซิชกี้ ได้ลงตัวจริงแทน ซามีร์ นาสรี่ กับ ธีโอ วัลค็อตต์



เริ่มเกมขึ้นมาแค่ 37 วินาที อาร์เซน่อล ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ชนิดนักเตะยังโดนบอลกันไม่ครบทุกคน โทมัส โรซิชกี้ เปิดบอลจากริมเส้นให้ มารูอาน ชามัค ยืนโหม่งแบบไร้ตัวประกบเข้าไปง่ายๆ


ปืนใหญ่ เครื่องร้อนเร็ว และน่าได้ประตูที่สองสุดๆ ในนาทีที่ 6 อังเดร อาร์ชาวิน พลิกหลุดตัวประกบไปแล้ว ก่อนกดด้วยเท้าซ้ายเต็มเหนี่ยว แต่ถูกปฏิเสธโดย มาร์คัส ฮาห์นีมันน์


นาทีที่ 8 วูลฟ์แฮมป์ตัน ต้องเสีย เดวิด เอ็ดเวิร์ดส์ ที่บาดเจ็บ ทำให้ต้องส่ง สตีเฟ่น ฮันท์ ลงเล่นแดนกลางแทน


เกมรุกของ เดอะ กันเนอร์ส ยังไหลลื่นกว่ามาก นาทีที่ 18 อาร์ชาวิน ไหลบอลกลับหลังให้ เชส ฟาเบรกาส กดในกรอบโทษเหน่งๆ ไปตรงตัว ฮาห์นีมันน์


หมาป่า เพิ่งมีโอกาสลุ้นจะจะครั้งแรกในนาทีที่ 27 สตีเฟ่น ฮันท์ เปิดฟรีคิกไปให้ เควิน ดอยล์ ขึ้นโหม่งลูกถนัดแล้ว แต่บอลข้ามคาน จบครึ่งแรก อาร์เซน่อล นำ 1-0


ครึ่งหลัง รูปเกมของ วูลฟ์แฮมป์ตัน ดีขึ้นมาก ตั้งแต่นาทีแรก แจ็ค วิลเชียร์ ไปลื่น ปล่อยให้ แม็ทธิว จาร์วิส เปิดบอลเกือบถึง เนนาด มิลิยาส ได้ยิง แต่ถูก บาการี่ ซานย่า บล็อคเอาไว้ได้หวุดหวิด


นาทีที่ 57 เจ้าบ้านมีโอกาสอีกครั้ง เควิน ดอยล์ ตะบันด้วยเท้าซ้ายระยะ 20 หลา ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ต้องพุ่งปัดข้ามคานออกไป และจากลูกเตะมุมของ เนนาด มิลิยาส ไปให้ ริชาร์ด สเตียร์แมน ซัดไปติด โรซิชกี้ เตะสกัดได้ออกจากเส้นประตู


หมาป่า มีโอกาสหลายครั้งแต่ทำไม่ได้ นาทีที่ 64 แม็ทธิว จาร์วิส เปิดบอลให้ สตีเฟ่น ฮันท์ ขึ้นโหม่งหลุดเสาออกไป


นาทีที่ 65 ปืนใหญ่ น่าได้เม็ดสองมากกว่า อังเดร อาร์ชาวิน ลากบอลตัดเข้ากลางแล้วซัดเท้าขวาเต็มเหนี่ยว บอลพุ่งไปชนเสากระดอนออกมาเต็มๆ


หลังจากนั้นทีมเยือนประคองเกมเอาไว้ได้ กระทั่งช่วงทดเจ็บ อาร์เซน่อล ได้ประตูฝัง 2-0 ฟาเบรกาส ไหลบอลให้ ชามัค หลุดแผงหลังหมาป่าเข้าไปซัดผ่าน ฮาห์นีมันน์ นิ่มๆ เป็นประตูที่สองของดาวยิงโมร็อกโกในเกมนี้


จบเกม อาร์เซน่อล บุกชนะ วูลฟ์แฮมป์ตัน 2-0 แก้ตัวเก็บสามแต้มได้สำเร็จ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
วูลฟ์แฮมป์ตัน : มาร์คัส ฮาห์นีมันน์, เควิน โฟลี่ย์, ริชาร์ด สเตียร์แมน, คริสตอฟ เบอร์ร่า, สตีเฟ่น วอร์ด, เดวิด เอ็ดเวิร์ดส์, ไมเคิ่ล มานเซียนน์, คาร์ล เฮนรี่, เนนาด มิลิยาส, แม็ทธิว จาร์วิส, เควิน ดอยล์
สำรอง : เวย์น เฮนเนสซี่ย์, จอร์จ เอโลโคบี้, สตีเว่น มูโยโคโล่, เยลเล่ ฟาน ดัมม์, สตีเฟ่น ฮันท์, สตีเว่น เฟล็ทเชอร์, ซิลแว็ง อีแบงค์ส-เบล๊ค

อาร์เซน่อล : ลูคัส ฟาเบียนสกี้, บาการี่ ซานย่า, โยฮัน ฌูรู, เซบาสเตียง สกิลลาชี่, กาแอล กลิชี่, อเล็กซ์ ซง, แจ็ค วิลเชียร์, โทมัส โรซิชกี้, เชส ฟาเบรกาส, อังเดร อาร์ชาวิน, มารูอาน ชามัค
สำรอง : วอยเช็ก เซสนี่, เอ็มมานูเอล เอบูเอ้, เดนิลสัน, ซามีร์ นาสรี่, ธีโอ วัลค็อตต์, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่, นิคลาส เบนท์เนอร์

ผู้ตัดสิน : มาร์ค ฮัลซี่ย์

ที่มา : สยามสปอร์ต

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หาดใหญ่กับโรคที่ไม่มียารักษา

โดย : ดาวเรือง รัตนะ
Life Style/กรุงเทพธุรกิจ


แม้น้ำสูงกว่า 3 เมตรจะอันตรธานไปแล้ว แต่ชาวหาดใหญ่ยังคงหวาดผวาถึงการมาของอุทกภัยครั้งใหม่ ตรวจอาการป่วยไข้น่าจะเข้าข่าย "โรคกลัวน้ำ"

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อาร์เซน่อล 0 - นิวคาสเซิ่ล 1

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2553
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สนาม : เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม


อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือเดอะ กันเนอร์ส ปรับแนวรุกเล็กน้อยส่ง ธีโอ วัลค็อตต์ ลงเล่นแทน อังเดร อาร์ชาวิน มี มารูอาน ชามัค ยืนค้ำแดนหน้า ส่วน นิวคาสเซิ่ล ยังใว้ใจในคู่หัวหอก แอนดรูว์ คาร์โรลล์ กับ โชล่า อเมโอบี้

น.12 อาร์เซน่อลพลาดได้ประตูขึ้นนำจากลูกยิงฟรีคิก 30 หลาของเชส ฟาเบรกาส ปั่นไปแฉลบกำแพงผ่านมือ ทิม ครูล ไปแล้วแต่บอลชนคานอย่างน่าเสียดาย


น.18 เดอะ กันเนอร์สมีลุ้นต่อเนื่อง ฟาเบรกาส อาศัยความสามารถเฉพาะพาบอลเข้าเขตโทษก่อนพลิกตัวยิงระยะ 15 หลาบอลพุ่งตรงกรอบแต่ไปติดบล็อกออกหลัง

น.39 ทีมเยือนพลาดเสียบอลในแดนตัวเองเกือบทำให้ตามหลัง เมื่อ ซามีร์ นาสรี่ ไหลเข้าช่องให้ เชส ฟาเบรกาส หลุดเข้าเขตโทษด้านขวายิงยัดเสาแรกติดเซฟ ทิม ครูล

น.40 จังหวะต่อเนื่อง ฟาเบรกาสเล่นเตะมุมสั้นรับบอลคืนกลับมาก่อนบรรจงไหลใส่พานให้ นาสรี่ ตวัดยิงแถวเส้นโทษบอลกำลังเสียบใต้คานแต่ ครูล พุ่งปัดได้ปลายมืออย่างยอดเยี่ยม

นาทีสุดท้ายเป็นนิวคาสเซิ่ลที่บุกมานำ 1-0 จากจังหวะที่ โจอี้ บาร์ตัน เปิดฟรีคิกกลางสนามไปหน้าประตู แอนดรูว์ คาร์โรลล์ ขึ้นโหม่งตัดหน้า ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ตุงตาข่ายโล่งๆ เข้าไป

ครึ่งหลังนาที 48 แจ็ค วิลเชียร์ แทงบอลทะลุแนวรับทีมเยือนเข้าไปในกรอบโทษฝั่งขวาธีโอ วัลค็อตต์ แตะบอลหนึ่งจังหวะแล้วซัดด้วยขวาเต็มๆบอลพุ่งชนคานกระดอนอย่างจัง

น.67 ทีมเยือนได้ลุ้นเมื่อกองหลังเจ้าถิ่นโหม่งเคลียร์ลูกเตะมุมไม่ขาดแอนดี้ แคร์โรลล์ ได้ซัดในกรอบแต่บอลแฉบลนักเตะอาร์เซน่อลออกหลังไป

น.81 อังเดร อาร์ชาวิน แตะบอลหนีกูเตียร์เรซพาเข้าไปในกรอบแล้วบรรจงเปิดให้เชส ฟาเบรกาส พุ่งโหม่งตรงจุดโทษแต่บอลตรงตัว ทิม ครูล

น.83 นิวคาสเซิ่ลได้ลุ้นจากจังหวะฟรีคิกราว 30 หลาโจอี้ บาร์ตัน วิ่งเข้าซัดด้วยขวาบอลทะลุกำแพงแต่ตรงตัวลูคัส ฟาเบียนสกี้ ล้มตัวรับเข้าซองหนึบ

ช่วงทดเจ็บโลร็องต์ กอสซิแอลนี่ไปเหนี่ยวเรนเจอร์สที่กำลังจะแตะบอลหลุดเดี่ยวล้มลง ไมค์ ดีน เป่าฟาวล์พร้อมควักใบแดงไล่กอสซิแอลนี่ออกจากสนามไปจากนั้นไม่มีประตูเพิ่ม จบเกมอาร์เซน่อล พ่าย นิวคาสเซิ่ลคาบ้าน0-1

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

อาร์เซน่อล : ลูคัส ฟาเบียนสกี้,บาการี่ ซานย่า, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, เซบาสเตียง สกิลลาชี่, กาแอล กลิชี่,ธีโอ วัลค็อตต์, อเล็กซ์ ซง, แจ็ค วิลเชียร์, เชส ฟาเบรกาส,ซามีร์ นาสรี่,มารูอาน ชามัค

นิวคาสเซิ่ล : ทิม ครูล,แดนนี่ ซิมพ์สัน, ไมค์ วิลเลียมสัน, ฟาบริซิโอ โกลอชชินี่, โฆเซ่ เอ็นริเก้,โจอี้ บาร์ตัน, ชีค ติโอเต้, เควิน โนแลน, โฮนาส กูเตียร์เรซ ,โชล่า อเมโอบี้, แอนดรูว์ แคร์โรลล์

ที่มา : สยามสปอร์ต

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ธรรมชาติ


ปีนี้อากาศหนาวรีบร้อนมาพบกับชาวไทยโดยไม่ยอมรอให้น้ำท่วมหายหน้าหายตาไปก่อน

กรมอุตุฯรายงานว่า ปีนี้ฝนตกชุก เป็นเหตุให้ความหนาวป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองไทยนานกว่าทุกปีที่ผ่านมา

ฝนกับหนาว หรือน้ำกับอากาศ ทำไมจึงมาสัมพันธ์กันด้วยก็ไม่รู้

หนาวยาว ยิ่งยาวเท่าใดคนไทยชอบ แต่ต้องหมายถึงหนาวแบบธรรมดา ๆ

ถ้าเป็นการหนาวจัด คงไม่มีผู้ใดชอบ ยกเว้นคนขายเสื้อหนาว และคนที่หากินกับความหนาว

นับว่าเมืองไทยโชคดี ที่บริเวณส่วนใหญ่มีอากาศหนาวพอดิบพอดี

ภารกิจล่าฝัน 4,095.2 เมตร คินาบาลู


“คินาบาลู” ชื่อนี้เข้ามาในหัวครั้งแรกเมื่อราว 6 เดือนก่อนตอนได้รับมอบหมายว่า จะต้องไปปีนเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้อมูลเกี่ยวกับคินาบาลูก็หลั่งไหลเข้ามาในสมอง กลายเป็นภารกิจพิชิตฝันที่ต้องมุ่งมั่นฟันฝ่าทำให้สำเร็จ 


คินาบาลู เป็นอุทยานแห่งชาติของมาเลเซียอยู่ในรัฐซาบาห์ และยังเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของมาเลเซียอีกด้วย ที่นี่มีพืชพรรณ 5,000 -6,000 สายพันธุ์ หลายชนิดพบได้เฉพาะที่นี่ด้วย อย่าง บัวผุดราฟเฟิลเซีย, หม้อข้าวหม้อแกงลิงขนาดใหญ่ และ กล้วยไม้รองเท้านารีบางสายพันธุ์

การจะไปปีนเขาคินาบาลูไม่ ใช่ว่าคิดจะไปก็เดินทางไปได้ทันที ต้องวางแผนกันล่วงหน้า 3-4 เดือนต้องจองที่พักกันก่อน เพราะมีการจำกัดนักปีนเขาได้วันละ 200 คน เนื่องจากบ้านพักบนยอดเขามีจำกัด

อุทยานแห่งชาติคินาบาลูอยู่ห่างจากเมืองโคตา คินาบาลู เมืองเอกของรัฐซาบาห์ราว 90 กิโลเมตร เราไปรายงานตัวแสดงความจำนงว่าจะปีนเขา ก็จะได้บัตรประจำตัวที่มีชื่อและรหัสมาเพื่อแขวนติดตัวตลอดการขึ้นเขา




เรานอนพักที่บ้านพักอุทยานก่อนในคืนแรก ที่นี่เอกชนประมูลเข้ามาบริหารจึงหรูหราสะดวกสบายราวกับโรงแรม ตื่นกันแต่เช้าเพราะไกด์บอกว่า เดินทางเช้าที่สุดจะดีกว่า เพราะเราเดินไปถ่ายทำรายการไปคงใช้เวลาตลอดวัน ความสูงของคินาบาลู 4,095.2 เมตร เส้นทางเดินระยะทาง 8.7 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่วง วันแรกเดิน 6 กิโลเมตรขึ้นไปนอนที่บ้านพักลาบานราตา ก่อนจะตื่นตีหนึ่งครึ่งเดินต่อให้ถึงยอดเขาอีก 2 กิโลเมตรกว่าๆ เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น

เส้นทางขึ้นเขามีให้เลือก 2 ทางคือผ่านประตูทิมโปฮอน ซึ่งสั้นกว่าและเดินง่ายกว่า กับทางประตูเมซิลัว แน่นอนเราเลือกทางสั้นกว่าอยู่แล้ว ที่นี่เราต้องตรวจบัตรลงเวลาการขึ้นเขา ช่วงแรกก็ยังร่าเริงมีกำลังแรงดีอยู่ เดินไปชมนกชมไม้กันไป สัก 200 เมตรกว่าๆ ยังเจอน้ำตกเย็นฉ่ำอีกด้วย แต่หลังจากนั้นเส้นทางของเราก็มีแต่ขึ้น กับขึ้น และขึ้นอย่างเดียวเลย

ผู้รู้แนะนำว่า เคล็ดลับการขึ้นเขาให้เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะยิ่งสูงอากาศยิ่งเบาบางจะเหนื่อยง่าย ยิ่งระดับความสูง 3,000 เมตรอาจแพ้ความสูงแล้วหน้ามืด อาเจียนได้ เราก็เลยยึดถือคำแนะนำเคร่งครัด เดินไปพักไป ตลอดเส้นทางก็มีศาลาที่พักให้เป็นระยะๆ ห่างกันสัก 1 กิโลเมตร มีห้องน้ำและแท็งก์น้ำดื่มบริการ

ระยะทาง 6 กิโลเมตรแรกถึงที่พักลาบานราตา เราใช้เวลาเดิน 9 ชั่วโมงครึ่ง ห้องพักที่นี่เป็นห้องนอนรวมเตียง 2 ชั้น มีห้องอาหารให้บริการเป็นเวลา มาไม่ทันก็อดกิน กลุ่มที่ปีนเขาไปพร้อมกับเราวันนี้มีแต่ฝรั่งเลยทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่สกี รีสอร์ตแถวยุโรปเลยเชียว

ตีหนึ่งครึ่งตื่นมากินอาหารเช้ารองท้อง เตรียมพร้อมทั้งเสื้อกันหนาวกันลม, ถุงมือ, ไฟฉาย ก่อนออกเดินทางฝ่าความหนาว 7 องศาขึ้นไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขา ช่วง 2.7 กิโลเมตรสุดท้าย เป็นยอดเขาหินผา แบ่งเป็น 3 ช่วง ที่ขอตั้งชื่อให้สมกับความสมบุกสมบันว่า ด่านบันไดมฤตยู ที่เป็นบันไดไม้ไต่ไปตามริมหน้าผา, ด่านเชือกผามหาภัย ที่ต้องสาวเชือกดึงตัวเองขึ้นไป และด่านหินเลี่ยนโล่ง ที่เป็นหินผาลาดเอียงมีเพียงเชือกให้ไต่ขึ้น มองขึ้นไปเห็นแสงไฟจากไฟฉายไต่ขึ้นไปเป็นสาย สูงขึ้นไปเรื่อยๆ มองตามไปก็เกือบจะถอดใจหลายรอบ


ถึงกิโลเมตร 7 แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าแล้ว หมดหวังที่จะได้เห็นแสงแรกของวันที่จุดสูงสุดของยอดเขา แต่ไม่เป็นไร ให้คนอื่นขึ้นไปกันให้หมด เราขอแค่ให้ได้ถึงยอดก็พอไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร และแล้วเราก็ได้ถึงยอด Low’s Peak ยอดสูงสุด 4,095.2 เมตร เมื่อเวลา 8 โมงครึ่ง คนอื่นลงกันไปหมดแล้ว เราก็ยึดยอดเขาเป็นของเราแต่เพียงกลุ่มเดียว ถ่ายรูปเก็บภาพกันสบายไม่ต้องติดหัวติดหน้าใครเข้ามาในเฟรม นี่แหละข้อดีของการไม่แข่งขันกับใคร


นอกจากยอด Low’s Peak ที่สูงสุดจุดหมายปลายทางแล้ว ยอด South Peak ยังเป็นยอดเขาที่ดูจะคุ้นตาผู้คนมากที่สุด เพราะไม่ว่าใครที่มาก็มักจะถ่ายรูปยอดนี้ไปอวดเพื่อนเสมอๆ และยังเป็นภาพที่อยู่หลังธนบัตร 1 ริงกิตของมาเลเซียอีกด้วย

อยากจะนั่งชมวิวนานๆ ให้คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยที่อุตส่าห์ตะเกียกตะกายฝ่าฟันขึ้นมา แต่อากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก อุณหภูมิบนนั้นราว 5 องศาเซลเซียส ยิ่งมีลมพัดมาก็ยิ่งหนาวไปอีก แม้จะมีเสื้อกันหนาวกับถุงมือก็ไม่ช่วยคลายเท่าไรนัก นี่เองที่เขาว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว


เมื่อมีขึ้นแล้ว ก็ต้องมีลง ตอนขึ้นมายังมืดๆ มองไม่เห็นว่าหน้าผามันสูงแค่ไหน แต่ขาลงมันสว่างคาตาแล้ว มองไปเห็นหน้าผาสูงมาก ให้ขึ้นกลางวันคงจะมีถอดใจแน่ๆ เราต้องลงให้ถึงที่ทำการอุทยานในวันนี้รวดเดียว ขาลงทำให้เราเข้าใจผู้สูงอายุที่เดินแล้วปวดเข่าได้เป็นอย่างดี เพราะแต่ละย่างก้าวของเรามันปวดและทรมานอย่างบอกไม่ถูก ขาลงเราก็ใช้เวลารวมแล้ว 8-9 ชั่วโมงเหมือนกัน

แล้วภารกิจพิชิตฝันของเรา ก็สำเร็จลงได้ด้วยดี

http://www.oknation.net/blog/twin
ไลฟ์สไตล์/คมชัดลึก

 

"เบอร์มิวดา" สามเหลี่ยมปริศนา

ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิว ดา ยังคงเป็นปริศนาที่ต้องหา คำตอบ เรือหลายลำต้องอับปางและสาบสูญไปตลอดกาล เครื่องบินที่บินผ่านน่านฟ้าในแถบนั้นจู่ ๆ ก็หายไปจากจอเรดาร์ สามเหลี่ยมนี้มีจุดยอดอยู่ที่เปอร์โตริโก ไมอามี และเบอร์มิวดา

ด้วยอุปกรณ์สมัยใหม่อย่างโซนาร์แบบกวาดด้านข้าง และการสำรวจด้วยดาวเทียม แผนที่สามมิติกำลังถูกสร้างขึ้น และทำให้เราสามารถสืบค้นสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจากก้นทะเล ใต้ท้องทะเลที่อยู่รอบ ๆ เบอร์มิวดาดูเหมือนภูเขาไฟสงบสูงเท่ากับภูเขาเซนต์เฮเลนก่อนการระเบิดในปี ค.ศ. 1980 มันตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว จากจุดเหนือสุดของสามเหลี่ยมลงมาทางใต้และข้ามที่ราบเวิ้งว้างที่กว้างเท่า กับรัฐอลาสกา ปกคลุมไปด้วยเลนและตะกอน

เหวมหาสมุทรที่ลึกกว่า 8 กิโลเมตร นี่คือศูนย์กลางแผ่นดินไหวของสามเหลี่ยมแห่งนี้ ใต้สุดของสามเหลี่ยมคือเปอร์โตริโก เรือหรือเครื่องบินใด ๆ ก็ตามที่จมลงในบริเวณนี้จะไม่มีทางหาเจอ ทางด้านตะวันตกตามแนวหมู่เกาะแคริบเบียน ที่ตั้งตระหง่านเหมือนที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ก็คือหน้าผาเบลค หน้าผาสูงชันที่สุดในสามเหลี่ยมแห่งนี้ มันสูงเกือบ 20 เท่าของตึกเอ็มไพร์สเตท และเป็นไหล่ทวีป ทรายที่ค่อย ๆ ลาดลงเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรถูกแบ่งครึ่งด้วยกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่ไหล เชี่ยว

ไม่นานมานี้ซากอับปางของเรือปริศนาลำหนึ่งถูกค้นพบห่างจากไมอามีเพียง 320 กิโลเมตร โซนาร์บ่งบอกว่ามันอาจมีขนาดเทียบเคียงกับเรือยูเอสเอส ไซคลอปส์ หนึ่งในการหายไปที่ดังที่สุด ซากอับปางนี้อยู่ลึกราว 300 ฟุต นักดำน้ำวัดขนาดและค้นหาเครื่องหมาย ต่าง ๆ จนพบแร่โลหะหลอมละลายซึ่งบ่งบอกว่าเคยมีไฟไหม้อย่างรุนแรง และปืนดาดฟ้าเรือแบบกระบอกเดี่ยวซึ่งติดตั้งอยู่ที่ท้ายเรือ

ปืนที่พบนี้เองเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ไซคลอปส์อย่างที่คิดไว้ แต่มันอาจเป็นเรือ อุมตาตา เรือสินค้าอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตกเป็นเหยื่อเรืออูของเยอรมนีที่นอกชายฝั่งไมอามีในปี ค.ศ. 1942 และเป็นที่ทราบกันว่าเรือลำนี้กำลังบรรทุกแร่โลหะช่วงเวลาที่มันจมหายไป แต่เรืออุมตาตาถูกยิงจมห่างจากจุดนี้หลายร้อยกิโลเมตร แล้วซากอับปางนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ความลับอย่างหนึ่งของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา นั่นคืออสูรร้ายของทะเลซึ่งรู้จักกันในนาม “กระแสน้ำกัลฟ์สตรีม” วังน้ำวนมหึมาซึ่งไหลวนทั่วทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและไหลเร็วที่สุด คือหนึ่งในพลังธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด จึงเป็นไปได้ว่าก่อนที่เรืออุมตาตาจะจมลงใต้คลื่นกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมที่ไหล เชี่ยวได้ลากเรือหนัก 8,000 ตัน ลำนี้ไป 320 กิโลเมตร ก่อนที่จะปล่อยให้มันจมลงสู่ก้นทะเลในสามเหลี่ยม เบอร์มิวดา

ตำแหน่งสุดท้ายของเรือ 250 ลำ ที่หายไปในสามเหลี่ยมแห่งนี้ เกือบหนึ่งในสามอยู่ในเส้นทางของกัลฟ์สตรีม พลังนี้ทำให้อุบัติเหตุกลายเป็นปริศนาโดยการเคลื่อนย้ายซากอับปางไปก่อนที่ จะมีคนหาเจอ และหลอกให้เชื่อว่าสามเหลี่ยมนี้เป็นของจริง แต่มันก็ยังไม่สามารถอธิบายการหายไป ทั้งหมดได้

พลังอย่างหนึ่งที่ทั้งเร็วและรุนแรงพอ ที่จะทำลายเรือก่อนที่คนบนเรือจะทำอะไรได้ ก็คือคลื่นยักษ์ คลื่นที่ใหญ่กว่าคลื่นทั่วไปถึงสิบเท่า และโผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและลากเรือจมลงไปภายในชั่วอึดใจ ในปี ค.ศ. 1984 เรือที่มีเสากระโดงสามต้นชื่อมาร์เกซ กำลังแล่นออก จากเบอร์มิวดาแล้วก็โดนซัดด้วยคลื่นแปลกประหลาดที่แรงและใหญ่จนเหลือเชื่อ ภายใน 45 วินาที เรือขนาด 120 ฟุต และลูกเรือ 19 จาก 28 คน ก็จมหายไป

แต่คลื่นยักษ์ก็ไม่อาจไขปริศนาทั้งหมดได้ เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าเครื่องบิน 150 ลำ หายไปได้อย่างไร คำถามนี้หลอกหลอนผู้สืบหาความจริงมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดตอร์ปิโดของกองทัพเรือ 5 ลำ พร้อมกับเครื่องบินที่ไปช่วยเหลือหายไป

ภารกิจของพวกเขาคือบินตรงไปทางตะวันออก 198 กิโลเมตร ทิ้งตอร์ปิโดจำลอง แล้วก็กลับบ้าน ระยะเวลาการบินทั้งหมดควรจะเกิน 2 ชั่วโมงเพียงเล็กน้อย และน่าจะกลับมาถึงก่อนมืดไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง แต่พวกเขาไม่ได้กลับมา ไม่มีใครรอดชีวิต ไม่มีพยานเห็นเหตุ การณ์ แต่บันทึกการถอดเทปวิทยุสื่อสารยัง สับสน เที่ยวบินนี้บินซิกแซ็กไปทั่วมหาสมุทรเพราะอุปกรณ์นำทางล้มเหลว

ฐานที่ฟอร์ทลอเดอร์เดลบังเอิญได้ยินการติดต่อวิทยุ นักบินอีกคนหนึ่งบอกว่าครูการบิน เรือโทซีซี เทย์เลอร์ พาพวกเขาออกนอกเส้นทาง 1 ชั่วโมงหลังจากที่เข้าใจว่าเที่ยวบินที่ 19 ตก เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส โซโล มอนส์รายงานการจับภาพเรดาร์นอกชายฝั่งรัฐฟลอริดา หลังจากนั้น 60 นาที สถานีเรดาร์ก็ตรวจพบเที่ยวบินนิรนามเหนือแผ่นดิน ไม่เคยมีการระบุตัวตนของเครื่องบินกลุ่มนั้น และดูเหมือนเที่ยวบินนี้จะยังคงบินต่อไปทางตะวันตกแล้วจึงตก ตรงกันข้ามกับรายงานของกองทัพเรือ ไม่ใช่ตกในทะเล แต่ตกในหนองบึงทางใต้ของจอร์เจีย

อาจไม่มีใครรอดจากเที่ยวบินที่ 19 และกลับมาไขปริศนาว่าตกลงแล้วเป็นเพราะอะไร แต่เที่ยวบินที่ประสบเหตุในบริเวณเดียวกันหลังจากนั้นเกือบ 25 ปี กลับให้ข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ บรูซ เกอร์นอน นักบินผู้มีประสบการณ์ ยืนยันว่าเขารอดชีวิตมาจากการเผชิญหน้ากับสามเหลี่ยมนี้อย่างแปลกประหลาด เมื่อเขาและผู้โดยสาร 2 คนกำลังบินกลับจากบาฮามาสไปยังฟลอริดาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1970

ไม่นานสภาพอากาศ หมอกบาง ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ห่างจากไมอามี 160 กิโลเมตร พายุฝนเกรี้ยวกราดก่อตัวขึ้นเหนือกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม ทำให้เกอร์นอนต้องบินอ้อมพายุ แต่พายุฝนฟ้าคะนองล้อมกรอบเขา เขาพยายามหนีไปหาท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง และเจอช่องว่างเล็ก ๆ ตรงหน้าซึ่งดูเหมือนอุโมงค์ พอเกอร์นอนเข้าไปในอุโมงค์ในพายุฝนฟ้าคะนอง เมฆก็เริ่มหมุนวนรอบ ๆ เครื่องบิน

ประสบการณ์บิน 15 ปีคือผู้ช่วยที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น ในที่สุดเกอร์นอนก็ฝ่าออกไปถึงท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและปลอดภัย แต่มีบาง อย่างผิดปกติ จะเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้แต่ตอนนั้นเขาอยู่เหนือเมืองไมอามีแล้ว หมายความว่าเขาเดินทาง 160 กิโลเมตรภายใน 3 นาที หรือ 3,186 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

จิบกาแฟ..ช้าช้า ที่โตเกียว

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



“คาเฟ่ สโลว์” (Cafe Slow) ร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเย็นยะเยือกกลางกรุงโตเกียว

กรุงโตเกียว ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่ผู้คนไม่เคยหลับใหลแห่งศตวรรษที่ 21 จึงมีคนญี่ปุ่นหลายคนคาดหวังว่าเมืองหลวงของพวกเขาจะกลายเป็นศูนย์กลางสำ หรับไลฟ์สไตล์ที่เป็นทางเลือกแบบใหม่ที่อุดมไปด้วยอาหารออร์แกนิกส์ ระบบการค้าขายที่ยุติธรรมและหลักการใช้ชีวิตที่กลมกลืนกับโลก


นั่นจึงเป็นที่มาของ “คาเฟ่ สโลว์” (Cafe Slow) ร้านกาแฟที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและเย็นยะเยือกกลางกรุงโตเกียวของ อัตสุชิ โยชิโอกะ ซึ่งรู้สึกสงสารมนุษย์เงินเดือนชาวแดนอาทิตย์อุทัยนับล้านคนที่ต้องเบียด เสียดกันในรถไฟใต้ดินระหว่างเดินทางไปทำงานเพราะเขาก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่า นั้น
“ผมเคยเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบเป็นเวลานาน ผมเคยย้ายที่อยู่ประมาณ 20 ครั้ง เพราะผมต้องการที่ที่ใหญ่และสะดวกสบายขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผมมีรายได้มากขึ้นแต่ก็ใช้หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว” เขากล่าว


ชายวัย 63 ปีคนนี้เคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาและวัฒนธรรมของยูเนสโกถึง 30 ปี หลังจากที่เขาออกจากงานเขาก็ไม่เคยใส่สูทผูกเนกไทหรือต้องไปเบียดเสียดเป็น ปลากระป๋องในรถไฟในช่วงเวลาเร่งรีบอีกเลย

อัตสุชิเป็นสมาชิกของสโมสรความเชื่องช้าแห่งโตเกียว (Tokyo Sloth Club) ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2542 หลังจากเศรษฐกิจฟองสบู่ของญี่ปุ่นแตกเกือบ 10 ปี ซึ่งตอนนั้นประเทศเกิดภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจ


นาโอโกะ บาบะ ผู้อำนวยการทั่วไปของสโมสรความเชื่องช้าแห่งโตเกียวเล่าว่า สโมสรนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อนำเสนอวิถีการดำเนินชีวิตแบบช้าๆ ไม่เร่งรีบ แม้ว่าความเชื่องช้าอาจจะมีภาพลักษณ์ของพวกอยู่ในป่าหรือหลังเขา แต่พวกเขาก็สามารถอยู่รอดมาได้


“คนเหล่านั้นอาศัยอยู่บนต้นไม้และกินใบไม้เป็นอาหารในขณะเดียวกันพวกเขา ก็ดูแลเอาใจใส่ต้นไม้ด้วย ถือเป็นระบบนิเวศวิทยาที่ชาญฉลาดมาก คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดได้ วิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขาช่วยชี้ทางให้เราหาวิธีแก้ปัญหามากมายที่สังคม กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้” นาโอโกะกล่าว

ด้วยแรงบันดาลใจจากปรัชญาการใช้ชีวิตแบบสโลว์ ไลฟ์ หรือ "เนิบช้า" อัตสุชิจึงริเริ่ม “ค่ำคืนแห่งกาแฟในความมืด” ทุกสัปดาห์เมื่อ 9 ปีก่อนที่ร้านกาแฟแห่ง นี้เพื่อให้คนเข้ามานั่งพูดคุยและผ่อนคลายในร้านที่มีบรรยากาศอบอุ่นและ เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีจากเปียโน ร้านนี้ตกแต่งแบบเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์ในร้านทำจากไม้เก่า ไม่ใช้ไฟฟ้า มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากเทียนขี้ผึ้ง


“อารยธรรมของพวกเราพยายามที่จะเปิดไฟทั่วเมืองเพื่อขจัดความมืด แต่ช้าก่อน เมื่อคุณนั่งอยู่ในความมืด คุณจะรู้สึกถึงความเงียบสงบและเยือกเย็นในยามค่ำคืน หรือชื่นชมกับแสงตะวันในเวลากลางวัน และเปิดตัวเองให้กับการสื่อสาร” อัตสุชิกล่าว

รายการอาหารของ “คาเฟ่ สโลว์” มีแต่อาหารท้องถิ่นและออร์แกนิกส์ที่ทุกขั้นตอนของการผลิตจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงรวมถึงผลิตภัณฑ์นำเข้าที่ซื้อขายผ่านระบบการค้าที่เป็นธรรมที่ ช่วยคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนาจากระบบการค้าของเอกชนรายใหญ่ที่ มุ่งหาแต่ผลประโยชน์ อัตสุชิยังพยายามพึ่งพาผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากน้ำมันและพลังงานนิวเคลียร์ให้ น้อยที่สุดด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้


อัตสุชิบอกว่า เหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นการเกิด การแต่งงานและการตายถูกจัดการโดยภาคธุรกิจ เช่น โรงแรมขนาดใหญ่และโรงพยาบาลซึ่งไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นเหมือนเมื่อก่อน เขาจึงต้องการให้ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตแบบช้าๆ


ไอเดียในการก่อกำเนิดร้านกาแฟใน ความมืดเกิดขึ้นหลังจากที่จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นปฏิเสธไม่ยอมรับพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) หรือสนธิสัญญาหรือข้อตกลงอันเป็นผลจากการเจรจาภายใต้กรอบของอนุสัญญาสหประชา ชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ร่างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับภาวะโลก ร้อนที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์


หลังจากนั้นองค์กรหลายแห่งทั่วโลกต่างก็ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อ ต้านโลกร้อน เช่น กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund: WWF) ที่เริ่มโครงการ "Earth Hour" ในปี 2550 ด้วยการรณรงค์ให้ปิดไฟบนตึกในเมืองทั่วโลกเป็นเวลา 60 นาที


ด้วยไอเดียแปลกใหม่ของ “คาเฟ่ สโลว์” คนญี่ปุ่นจำนวนมากจึงเดินตามรอยสโลว์ ไลฟ์ กันมากขึ้น เช่น ชาวนารุ่นใหม่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ก็เริ่มที่จะไม่ใช้บริการของผู้ค้าปลีก อาหารรายใหญ่ ผู้คนเริ่มหันมาปลูกผักบนสวนลอยฟ้าหรือบนดาดฟ้าของบ้านในช่วงวันหยุด

 
ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ผู้คนพากันหัวเราะเยาะอัตสุชิและเรียกเขาว่าคนขี้เกียจหรือพวกเลี่ยงงาน แต่ตอนนี้เขาเห็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะคุณแม่ยังสาวพาลูกน้อยมานั่งผ่อนคลายที่ร้าน ซึ่งเขาคิดว่ามีคนจำนวนมากชื่นชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้


“การมานั่งที่ร้านนี้ ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและสบาย ฉันไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “slow” หรอก ฉันเพียงแค่อยากรู้สึกใกล้ชิดกับพลังของธรรมชาติที่แท้จริง” นามิโกะ โอคุโบะ คุณแม่วัย 32 ปีที่มากับลูกน้อยวัย 1 ขวบกล่าว

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สตอกโฮล์มกับสถานีรถไฟใต้ดินสายศิลปกรรม









ระบบ ขนส่งมวลชนที่ได้รับความนิยมที่สุดของบรรดามหานครต่างๆ เห็นจะหนีไม่พ้นระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟใต้ดิน ที่สามารถขนส่งผู้ใช้บริการได้คราวละหลายร้อยคน และยังสามารถกำหนดเวลาในการเดินทางได้อย่างใกล้เคียงกับความเป็นจริง

ระหว่างการเดินทางที่รีบ ด่วนและวุ่นวาย บรรดาผู้โดยสารมักได้รับความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ จากภาพโฆษณาต่างๆ ที่เรียงรายไปตามผนังของแต่ละสถานี จนการประชาสัมพันธ์เรื่องของสินค้าต่างๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งสถานีเหล่านี้อย่างแยกไม่ออก

แต่ในกรุงสตอกโฮล์ม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน กลับไม่มีการโฆษณาที่ดูรกสายตาเช่นดังในเมืองอื่นๆ เพราะสถานีรถไฟใต้ดินของสตอกโฮล์มได้รับการยกย่องว่าเป็น “The longest art gallery in the world” และ การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในเมืองหลวงแห่งนี้ กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกคนที่ไปยังที่นี่ ต้องยอมซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน เพื่อเดินทางจากสถานีต้นทางไปจนสุดสถานีปลายทาง ให้ครบทุกสายและครบทุกสถานีเสียด้วย

แต่ละสถานีจะถูกตกแต่งด้วย งานอาร์ตลักษณะเฉพาะตัว ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่สถานีเดียว โดยมีการนำเอางานศิลปะต่างๆ ที่ถูกออกแบบโดยศิลปินและจิตรกรชาวสวีดิช มาใช้ตกแต่งแต่ละสถานี จนมีความแปลกแตกต่างกันออกไป กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้บริการ ให้รู้จักงานต่างๆของศิลปินแต่ละคน และผู้ใช้บริการจะซึมซับความเข้าใจในงานศิลปะเหล่านี้ทุกครั้ง ที่ใช้บริการรถไฟใต้ดิน เท่ากับเป็นการให้ความรู้เรื่องศิลป์ทางอ้อมแก่ประชาชนทุกเพศทุกวัย

บางสถานีมีการปล่อยให้ก้อน หินต่างๆที่ฝังอยู่ในบริเวณนั้น กลายเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่ง โดยไม่มีการขุดทำลายทิ้ง เพราะผู้ออกแบบให้เกียรติหินแต่ละก้อนว่าเป็นผู้ที่อยู่มาก่อน ซ้ำยังนำเอาการตกแต่งอื่นๆมาช่วยเชิดชูให้วัสดุเหล่านั้นดูมีค่ายิ่งขึ้น กลายเป็นงานศิลปะที่ไม่ต้องมีการดัดแปลงจนเกินจริง เป็นความงามตามธรรมชาติที่ใช้เพียงแสงสว่างที่เหมาะสม ก็สวยได้ราวกับเนรมิต ทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณที่ต้องใช้ในการตกแต่งได้เป็นจำนวนมหาศาล

แต่สถานีใดที่ต้องมีการ ตกแต่ง ศิลปินที่มีผลงานศิลปะที่น่าชื่นชมกว่า 150 คนได้รับมอบหมายให้ออกแบบและตกแต่งได้ตามที่ตนถนัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทพปกรณัม นิยายพื้นบ้าน ประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ และความคิดในการออกแบบอย่างเสรี เมื่อผู้โดยสารรถไฟเดินทางผ่านแต่ละสถานี ก็จะได้รับความสุนทรีที่ได้จากการชมงานศิลปะทั้งหลาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปชมตามงานแสดงศิลปะต่างๆ เพราะเขาเหล่านั้นได้รับสิ่งที่งดงามเหล่านี้เป็นประจำอยู่แล้ว



รถไฟใต้ดินในกรุงสตอกโฮล์ม เริ่มเปิดให้บริการในปี 1950 และมีการสร้างทางเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 2003 กลายเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินที่ได้รับความชื่นชมมากที่สุด จากประชาชนทุกเพศทุกวัย ทั้งชนชาวสวีดิชเอง และจากผู้สนใจที่ไปเยือนประเทศนี้และได้ใช้บริการรถไฟใต้ดินแทบทุกคน

โดย : ASTVผู้จัดการออนไลน์
lifestyle & travel/art eye view

พรมและการดูแลรักษาด้วยตัวเอง


เจ้าของบ้านที่เบื่อความจำเจ และต้องการปรับเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านใหม่ การเลือกหาพรมปูพื้นที่มีลวดลายและสีสันแตกต่างเข้ามาเสริมเติมแต่งเฉพาะมุม ที่ต้องการ ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนัก อีกทั้งพรมยังเป็นวัสดุที่ให้ความรู้สึกหรูหรา สื่อถึงสัมผัสอันนุ่มนวล มีความสวยงาม แต่ในทางกลับกัน พรมก็ถือเป็นวัสดุที่ดูแลรักษาค่อนข้างยาก และต้องเอาใจใส่ทะนุถนอม เราจึงได้หยิบนำเกร็ดในการเลือกสรรตกแต่งและการดูแลรักษาพรมด้วยตัวเองอย่าง ง่าย ๆ มาฝากคุณผู้อ่านกัน
   
พรมปูพื้นในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดให้ท่านเจ้าของบ้านได้เลือกสรรตามความ ต้องการ ทั้งพรมสีพื้น และพรมที่ถักทอเป็นลวดลาย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะคลาสสิก ลวดลายธรรม ชาติ รวมถึงพรมลวดลายกราฟิกสมัยใหม่ โดยมีทั้งพรมที่ทอด้วยมือ และพรมที่  ทอด้วยเครื่อง ซึ่งจะให้สัมผัสที่แตกต่าง และมีสนนราคาที่หลากหลายตามแต่กำลังทรัพย์และความต้องการของแต่ละท่าน แต่คุณสมบัติที่พรมส่วนใหญ่มีคล้ายคลึงกันก็คือ เป็นวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย จึงเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี อีกทั้งยังยากต่อการทำความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ในการปูพรมจึงควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีกิจกรรมซึ่งทำให้พื้นเลอะเทอะ อย่างเช่น ห้องครัว ห้องน้ำ รวมถึงควรปูเฉพาะจุดเพื่อป้องกันการเป็นเชื้อไฟในกรณีเกิดอัคคีภัย

   
สำหรับการเลือกสีสันของพรมนั้น นอกจากจะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบ ในเรื่องขนาดของพื้นที่แล้ว ยังควรพิจารณา ถึงกิจกรรมในชีวิตประจำวันควบคู่กันไปด้วย เช่น ถ้าบ้านหรือห้องของคุณมีขนาดค่อนข้างเล็ก การเลือกใช้พรมสีอ่อนหรือพรมสีพื้นที่ไม่มีลวดลายจะมีข้อดีคือ ช่วยให้บ้านหรือห้องของคุณแลดูกว้างขวางขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าที่อยู่อาศัยของคุณอยู่ใกล้กับถนนที่ใช้สัญจร และคุณที่ชอบเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ ก็จะยิ่งเป็นช่องทางให้ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกหลุดลอดเข้ามาได้โดยง่าย ซึ่งเมื่อฝุ่นละอองเข้ามาเกาะสะสมอยู่ที่พรมมากเข้า พรมสีอ่อนหรือพรมสีพื้นจะยิ่งเผยให้เห็นรอยเปื้อนได้เด่นชัด วิธีแก้ไขในเบื้องต้นคือ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นละออง
   
ในส่วนของการดูแลรักษาพรมด้วยตัวเองในเบื้องต้นคือ ควรหมั่นทำความสะอาดพรมด้วยการดูดฝุ่นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของฝุ่นละอองและไรฝุ่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ หรือถ้าเกิดรอยเปื้อน เช่น เครื่องดื่มหกรดลงบนพรม อาจทำความสะอาดได้โดยหาผ้ามาซับน้ำออก แล้วใช้น้ำยาล้างจานเล็กน้อยถูซับขจัดความมันและความเหนียวออก จากนั้นนำเกลือป่นมาโรยในบริเวณดังกล่าวทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน แล้วจึงใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก คราบก็จะจางลง นอกจากนี้คุณยังอาจเรียกช่างที่ชำนาญการมาทำความสะอาดพรมแสนรักของคุณอย่าง น้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการยืดอายุการใช้งานให้กับพรมของคุณ.

บ้านในฝัน/เดลินิวส์
บ้านสวยด้วยมือคุณ
6 พฤศจิกายน 2553

เวียงจันทน์ 450 ปี 'Live and Learn'

โดย : อิทธิฤทธิ์ ประคำทอง
http://ittirit.wordpress.com
ไลฟ์สไตล์ @กรุงเทพธุรกิจ



เวียงจันทน์ วันนี้เปลี่ยนไป ด้วยพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ ธุรกิจการค้าคึกคัก ในบรรยากาศความเป็นทุนนิยมนิ่งเงียบตามแบบฉบับของลาว

32 องศาไม่ขาดไม่เกินในตอนนั้น แม้เป็นยามกลางวันที่แดดสดๆ สาดแสงแรงเปรี้ยงลงมาถูกเนื้อต้องตัว แต่ก็ยังรู้สึกสบายตัวและหายใจหายคอได้คล่องจมูกด้วยว่าอากาศสดสะอาดไม่ เหมือนลมหายใจในมหานครแสนคุ้นและวุ่นวายของบ้านเราเมืองเรา


นี่คือ “อากาศ” ของเวียงจันทน์ที่ ทุกคนมีสิทธิสูดเข้าไปเท่าๆ กันในวันที่ผมได้เดินทางกลับไปเยือนนครหลวงบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงแห่ง สปป. ลาวอีกคำรบหนึ่งซึ่งผมรู้สึกได้แม้ขณะเดินอยู่บนถนนกลางเมืองที่เงียบสงบจน ยากจะเชื่อว่า ที่แห่งนี้มีศักดิ์เป็นเมืองหลวงหรือนครหลวงของชาวลาวกว่าหกล้านชีวิต


การเดินทางในเวียงจันทน์คราว นี้ไม่มีประตูชัย เจดีย์ธาตุหรือหอพระแก้ว - หอคำบนถนนล้านช้างอะเวนิวให้เป็นหลักหมายเหมือนครั้งเก่าก่อนหน้า เพราะล้วนเคยไปเห็นไปชมมาหมดแล้ว แต่แม้ปราศจากจงใจการไปเยือนสถานที่สำคัญๆ ผมก็ยังรู้สึกดีว่าการเดินทางในเวียงจันทน์ครั้ง นี้คงมีสิ่งใหม่ๆ รอคอยให้ค้นพบอยู่เสมอ เช่นเดียวกับคอนเซปต์ของการเดินทางที่ควรจะเป็นไปในความคิดของผม คือความหมายของการ ‘อยู่’ ลิ้มลองลิ้มรสในจุดหมายเพื่อที่จะเรียนรู้ (Live and learn) นั่นเอง


โดยที่ไม่โกหกตัวเอง บางครั้งสำหรับคนไทยแล้วการรู้ตื้นลึกหนาบางในความเป็นไปของผู้คนและเมือง หลวงของประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้แสนใกล้สักหน่อยนั้นยังไม่ค่อยจะรู้หรืออยาก จะรับรู้ว่าคนเวียงจันทน์ คนย่างกุ้งหรือคนพนมเปญมีชีวิตและความเป็นอยู่บนความเปลี่ยนแปลงและเป็นไป กันอย่างไร เปรียบแล้วคงเหมือนกับการที่เราก้มลงมองฝ่ามือทั้งมือของตัวเองแล้วสาย ตากลับจดจ้องมองเห็นนิ้วมืออยู่เพียงนิ้วมือเดียวหรือเห็นไปว่านิ้วใดนิ้ว หนึ่งสวยงามหรือสำคัญกว่าอีกสี่นิ้วที่เหลือ ทั้งๆ ที่มือนั้นจะสวยงามเป็นมือที่สมบูรณ์ปกติไม่ได้หากขาดการมองเห็นนิ้วทั้งห้า ให้ครบ


นั่นทำให้บางครั้งจึงเหมือนกับว่าเรารู้จักสิ่งที่ใกล้ตัวหรือเรื่องราวความเคลื่อนไหวใกล้ๆ ตัวเราเองน้อยเกินไป...
เลย เที่ยงวันมาแล้วผมแวะเติมท้องให้อิ่มด้วยการเลือกนั่งลงสั่งเฝอไก่มาชิมตรง ร้านอาหารหัวมุมถนนเซดถาทิลาดไม่ห่างจากถนนเจ้าฟ้างุ่มเลียบริมโขงอันเป็น จุดหมายปลายทางหลักของคนเดินทางที่มาถึงเวียงจันทน์ หลายปีก่อนถนนเส้นนี้มีสภาพร่มครึ้มด้วยทิวต้นมะฮอกกานีอายุร้อยปียาวเกือบ สุดแนวถนน สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ แต่พอถึงปีการท่องเที่ยวของลาว (ราวๆ ปี 2540 -41) กลับมีข่าวว่าทางการลาวต้องการขยายถนนจนอาจจะต้องตัดโค่นต้นไม้เก่าแก่เหล่า นี้ออกไปเสียทำให้ผมพาลที่จะไม่อยากกลับไปเยือนเวียงจันทน์อีก


แต่เมื่อได้กลับมายืนบนถนนเส้นนี้อีกครั้งก็เห็นว่าต้นไม้ใหญ่ยังคงยืน ต้นอยู่ดังเดิมบนถนนที่กลายเป็นทางสัญจรเดินรถทางเดียวเพื่อลดปัญหาจราจรติด ขัดในตัวเมืองโดยเฉพาะยามเช้าเข้างานและตอนเย็นๆ


ต้นไม้ใหญ่บนถนนหลายๆ สายของเวียงจันทน์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม บ่งบอกอายุและที่มาอันยาวนานของเมือง และนี่อาจจะเป็นเรื่องราวหนึ่งที่ทำให้เวียงจันทน์เป็น หนึ่งในเมืองหลวงของอินโดจีนที่แม้จะเรียบง่ายปานใด แต่ก็มีเอกลักษณ์ของเมืองเก่าแตกต่างไปจากเมืองหลวงอื่นๆ ที่มุ่งสู่ทิศทางของการพัฒนาจนเกินตัวและรื้อถอนทำลายรากเหง้าอดีตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจากการตัดถอนต้นไม้ใหญ่หรือการมุ่งปลูกป่าคอนกรีตมากกว่า อนุรักษ์ต้นไม้และตกรามเดิมๆ


ผมเฉเข้าไปหลบเปลวแดดยามกลางวันแถวๆ วงเวียนน้ำพุในร้านกาแฟอารมณ์ใหม่ที่มีมุมให้บริการอินเทอร์เน็ตโอ่โถงสะดวก สบายในห้องปรับอากาศ พบว่าร้านแห่งนี้กลับเป็นร้านกาแฟสัญชาติไทยที่เพิ่งเข้ามาเปิดใหม่ นับรวมแล้วแถวๆ วงเวียนน้ำพุ ถนนริมโขงและถนนเซดถาทิลาดแห่งนี้มีร้านอาหารและร้านกาแฟหลากสัญชาติรองรับ คนเดินทางและคนทำงานต่างถิ่นที่มาอยู่เวียงจันทน์ได้ดี (หรือจนอาจเกินพอ) แต่ทุกครั้งของการกลับไปเที่ยวเวียงจันทน์ผมเป็นได้พบว่ายังคงมีร้านกาแฟสดเปิดขึ้นมาใหม่ตามมุมถนนย่านใจกลางเมืองร้านแล้วร้านเล่าเสมอๆ


มาเวียงจันทน์ครานี้ผมได้รับรู้ว่านครหลวงเวียงจันทน์กำลัง เตรียมการเฉลิมฉลองที่จะมีอายุครบ 450 ปีในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้พร้อมกับการจัดงานขึ้นในงานบุญประจำปีของวัดธาตุ หลวง ซึ่งถือเป็นเทศกาลงานเฉลิมฉลองประจำปีที่ชาวลาวและชาวเวียงจันทน์ตั้ง หน้าตั้งตารอคอย แต่ปีนี้ท่าจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม ตามร้านค้ามินิมาร์ทและโรงแรมย่านริมน้ำโขงมีการขายสายรัดข้อมือสีขาว น้ำเงิน แดง (สีธงชาติของ สปป.ลาว) พิมพ์ข้อความว่า “เฮาฮัก สปป.ลาว นครหลวงเวียงจันทน์ 450 ปี” พร้อมกับมีป้ายผ้าแสดงข้อความเดียวกันขึงไว้บนถนนและตัววิ่งป้ายไฟทันสมัย ตรงมุมตึกของตลาดเช้านับเวลาถอยหลังเข้าสู่วันแห่งการเฉลิมฉลองที่กำลังจะมา ถึง


ที่ร้านกาแฟแห่งนั้นผมกางหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไท ม์ส (Viantiane Times) ออกอ่านดู เริ่มมีข่าวคราวเช่นการตัดถนนวงแหวนรอบนอกเลี่ยงเมืองหกเลนความยาว 20.3 กิโลเมตร (เรียกว่า “ถนน 450 ปี”) เพื่อเชื่อมถนนสาย 13 เหนือกับใต้เข้าด้วยกัน มีการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์สร้างเขื่อนกั้นผนัง สวนสาธารณะและอนุสาวรีย์และสวนเจ้าอานุวง (เจ้าอนุวงศ์) ตรงแม่โขงพรอมเมนาดถือเป็นโปรเจคใหญ่ที่อีกหลายปีถึงจะเสร็จเรียบร้อย


และนั่นเองทำให้ภาพความคุ้นเคยของทิวทัศน์ริมน้ำโขงตรงข้ามวัดจันไปจนถึง หอพระแก้วและหอคำบนถนนเจ้าฟ้างุ่มเปลี่ยนแปลงไปจากความคุ้นเคยเดิมๆ ที่เคยเป็นที่เดินเล่นสบายๆ หาส้มตำไก่ย่างปูเสื่อนั่งชมพระอาทิตย์ตกบนลำน้ำโขงของผู้คนที่นี่และผู้มา เยือนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ไม่ว่าสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไปจะดีขึ้นหรือไม่ วิถีของผู้คนยามฟ้าค่ำตะวันรอนก็ยังคงเรียกร้องให้มารวมตัวกันเดินเล่น หาอะไรกินสนุกๆ อยู่เหมือนเดิม


ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษหัวเดียวประจำประเทศฉบับเดียวกันนั้นยังเล่น ข่าวการปิดถนนสองสายในเมืองไม่ให้รถวิ่งเข้ามาเพื่อรับมือประเพณีแข่งเรือใน เทศกาลออกพรรษาในระหว่างนั้นพอดี ภาพบนปกหน้าหนึ่งเป็นภาพผู้คนกำลังเลือกซื้ออาหารแผงขายไก่ย่างและอาหารพื้น เมืองริมฝั่งโขง พร้อมกับมีบรรยายใต้ภาพว่ามีร้านอาหารพื้นเมืองเปิดมากขึ้นเพื่อเตรียมรับ เทศกาลงานบุญแข่งเรือประจำปี นานเพียงใดแล้วที่ข่าว “ธรรมดาๆ บ้านๆ” อย่างนี้ห่างหายไปหรือหมดสิทธิ์ขึ้นหน้าหนึ่งสื่อเมืองไทยอย่างไม่มีคำ อธิบาย


ผมนึกถึงถ้อยคำสนทนาจากเพื่อนคนไทยที่ไปทำงานที่เวียงจันทน์มาระยะ หนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นมาเมื่อเช้าของวันนั้นซึ่งมีชาวบ้านทั้งเด็กและวัยรุ่น แทบทุกวัยพากันทยอยหลั่งไหลกันรวมตัวตามวัดวาริมแม่น้ำโขงเพื่อดูงานแข่ง เรือว่า “รู้สึกดีที่ยังเห็นผู้คนที่นี่ตื่นเต้นและยังตื่นตัวกับการมีอยู่ของการ แข่งเรือและอยากออกไปเที่ยวชมงาน” ไม่ต้องอธิบายก็น่าจะรู้ว่าในหัวใจของเพื่อนคนไทยคนนี้โหยหาอะไรบางอย่างที่ ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้อีกแล้ว

หน้าหนึ่งของนิตยสารภาษาลาวอีกฉบับที่ผมเปิดอ่านในร้านกาแฟยามเที่ยงวัน นั้น มีคอลัมน์หนึ่งกล่าวถึงประวัติความเป็นมาส่วนหนึ่งของการก่อตั้งเมืองเวียงจันทน์เอาไว้ให้ได้อ่าน สรุปใจความว่า
“นครหลวงเวียงจันทน์อา ยุครบ 450 ปี (1560 - 2010) สร้างขึ้นถัดจากเมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) ในสมัยพระเจ้าไซเสดถาทิลาด กษัตริย์องค์ที่ 10 ของอาณาจักรล้านช้าง เหตุที่เลือกตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ของที่เวียงจันทน์เพราะ อยู่ตอนกลางของประเทศ มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์และที่ราบสำหรับการทำมาหากินของผู้คนที่นับวันจะ เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญยังอยู่ห่างจากอิทธิพลและรุกรานของพวกพม่าและอาณาจักรล้านนาและสยาม พร้อมกับการตั้งนครหลวงแห่งใหม่เจ้าไซเสดถาทิลาดก็ยังทรงให้สร้างเจดีย์ธาตุ หลวงและวัดวาอารามขึ้นอีกหลายแห่งในกำแพงนคร ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ไซเสดถาทิลาดจึงทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่และมี คุณูปการมีต่อเวียงจันทน์เป็นอย่างยิ่ง” (จากคอลัมน์ “สะหวันเมืองลาว”)


จุดเปลี่ยนหนึ่งของเวียงจันทน์น่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25 เดือนธันวาคมปี 2009 ทำให้ตัวเมืองเวียงจันทน์ชั้น ในและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจัดการเมืองได้รับการปรับปรุงและดูแล ขึ้นกว่าเดิม ถนนหนทางมีการตีเส้นจราจรใหม่และถมหลุมบ่อปรับให้สวยงามราบเรียบเหมือนใหม่ น่าใช้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นเพียง “เปลือกนอก” ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงที่เห็น เพราะตามตรอกซอกซอยที่แค่เพียงเดินหรือนั่งรถแยกออกมาจากถนนใหญ่ก็จะพบกับ สภาพทางลูกรังขรุขระเป็นหลุมบ่อเหมือนผิวพระจันทร์อยู่เช่นเดิม

บนถนนและทางสัญจรในตัวเมืองรถรามากขึ้นน่าเหลือเชื่อและที่สำคัญก็คือรถ รุ่นใหม่ๆ และคันใหญ่ๆ ราคาแพงลิบลิ่ววิ่งกันให้เห็นเกลื่อนเมืองทั่วไปไม่ว่าจะเป็นรถยุโรป รถจีน รถเกาหลี รถมาเลย์ล้วนแต่นำเข้าทั้งนั้น ทำให้ยามสายซึ่งใกล้เวลาเข้างานแทบทุกถนนทั้งชั้นนอกและชั้นในเนืองแน่นพลุก พล่านด้วยยวดยานส่วนตัวบนถนน แต่ก็เป็นวิถีที่ผู้คนได้แต่พร่ำบ่น เพราะที่เวียงจันทน์มี เพียงสี่แยกไฟแดงไว้ให้รถติดเท่านั้น ยังไม่มีอุโมงค์ทางลอดหรือสะพานข้ามแยกหรือแม้แต่สะพานลอยสำหรับคนข้ามเอา ไว้แก้ไขปัญหาจราจรแต่อย่างใด มิหนำซ้ำการขนส่งมวลชนก็ไม่ทั่วถึงหรือรถบริการสาธารณะที่พอจะเรียกใช้ก็มัก จะเรียกราคาสูงส่งจนน่าปวดหัว

“สองปีที่ผ่านมาเห็นความเปลี่ยนแปลงว่ามีตึกสูงเกิดมากขึ้น” คนไทยอีกคนที่ไปทำธุรกิจในเวียงจันทน์ที่ผมได้พบตอบคำถามถึงความรู้สึกต่อความเปลี่ยนแปลงของเวียงจันทน์ เธอเล่าว่าจะต้องเช่าห้องพักและเช่าอาคารเพื่อทำสถานที่ทำงานด้วยราคาแพง ระยับจนแทบจะนึกไม่ออกว่าเมืองเล็กๆ นิ่งๆ เงียบๆ เช่นนี้จะต้องมีค่าครองชีพสูงขนาดนั้นไปเพื่ออะไร (ค่าเช่าบ้านและสำนักงานคิดเป็นดอลลาร์)

คำตอบน่าจะอยู่ที่ข้าวของเครื่องใช้ทั้งบนโต๊ะอาหาร จำพวกเครื่องปรุงทั้งหลายไปจนถึงน้ำมันในปั๊มน้ำมัน ผมได้เฉียดๆ เข้าไปชมภาพของความทันสมัยของร้านมินิมาร์ทหลายๆ แห่งทั้งในเมืองย่านถนนเซดถาทิลาดและร้านสีเมืองมินิมาร์ทแถวๆ อนุสาวรีย์เจ้าสีสว่างวงตรงวัดสีเมืองที่มีคนไทยนิยมมากราบไหว้บนบานของพร พบว่าข้าวของทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็น “ของนำเข้า” ไม่จากไทยก็จากเวียดนามหรือจีน


ดินแดนลาวนอกจากจะเป็น “Landlocked Country” ซึ่งไม่มีทางเชื่อมต่อกับทะเลหรือท่าเรือ จำเป็นต้องพึ่งพาการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคด้วยทางรถยนต์ทางด่านชายแดนทั้ง หลาย ความแพงของค่าครองชีพและราคาของค่าใช้จ่ายต่างๆ (ง่ายๆ ว่าข้าวผัดกะเพราตามร้านทั่วไปสนนราคาอยู่ที่จานละ 50 บาทหรือ 12,000 - 13,000 กีบ เช่นเดียวกับก๋วยเตี๋ยวหรือกวยจั๊บญวนสำหรับหนึ่งอิ่ม)


“คนลาวคุ้นเคยดีกับการได้รับความช่วยเหลือ เพราะหลายประเทศหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับเขาจนไม่เป็นอันพึ่งพาตัวเองใน การปลูกผัก หรือทำการเกษตรในเชิงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ในประเทศมีความต้องการ แต่เขาก็เลือกที่จะใช้การซื้อหรือการนำเข้ามากกว่าที่จะหัดพึ่งพาตนเอง ทำให้ข้าวของและอาหารต่างๆ ราคาแพงจนไม่น่าเชื่อ”


บ่ายวันหนึ่งผมนั่งรถจัมโบ้ (สามล้อเครื่องของเวียงจันทน์) โฉบออกไปเที่ยวชมความ “เจริญ” ใหม่ๆ ของตัวอาคารแถวๆ ศูนย์แสดงสินค้าลาว- ไอเต็ก (Lao - ITECC) และสนามไดร์ฟกอล์ฟที่อยู่ข้างๆ ถนนอีกฝั่งหนึ่งด้านหน้ากำลังก่อสร้างตึกตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ (แห่งแรก) ของลาวสูงหลายชั้น


นี่คือบรรยากาศความเป็นทุนนิยมนิ่งเงียบตามแบบฉบับของลาว ดังที่ผมได้เห็นข่าวการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ย่านวัดธาตุหลวงลง ในหน้าธุรกิจ น.ส.พ. เวียงจันทน์ไทม์ สอีกวันถัดมา พร้อมๆ กับอาคารสูงหลายชั้นที่กำลังก่อสร้างใกล้จะเสร็จของมอลล์ใหม่ “ตลาดเซ้า” ซึ่งเกิดขึ้นแทนที่อาคารรูปทรงหน้าจั่วสามเหลี่ยมสองสามหลังที่มักคุ้นกันดี ของตลาดเช้าเดิม


ก่อนออกจากห้องพักย่านหลักสาม บนถนนท่าเดื่อตอนสายวันหนึ่ง ผมเปิดโทรทัศน์ช่องประจำชาติของลาวโดยไร้จุดหมาย พอดีได้ยินการรายงานข่าวเรื่องการซักซ้อมการแสดงในงานฉลอง 450 ปีที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยการซ้อมรำชุดนางแก้วมีการใช้นักแสดงซึ่งเป็นนัก เรียนหญิงจากหลายโรงเรียนกว่า 900 ชีวิตอยู่ที่ลานกว้างแห่งหนึ่งท่ามกลางแสงแดดเที่ยงวัน จนทำให้นักแสดงทั้งหลายต้องห่อหุ้มแขนขาและหน้าตามิดชิดด้วยเครื่องแต่งกาย และหมวก


ผู้ประกาศข่าวชาวลาวรายงานถึงความยิ่งใหญ่ของงานที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่ นอนเมื่อดูจากความพรักพร้อมของการเตรียมงานและความสำเร็จจากการเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ที่ผ่านมา


กว่า 400 ปีผ่านมาเวียงจันทน์ใน วันนี้ก็ยังเป็นจุดหมายของนักเดินทางผู้ซึ่งปรารถนาจะมาเสพเสน่ห์หนึ่งใน กรุงของภูมิภาคอินโดจีนที่หลงเหลือร่างเงาหลังการคลายหายของลัทธิที่แตกต่าง ของสงครามเย็นไม่สิ้นสุด เป็นจุดหมายสำหรับนักการค้าพาณิชย์หลายชาติผู้มองเห็นว่าเส้นแบ่งประเทศชาติ เป็นเพียงความท้าทายสำหรับทุนนิยม และเป็นอีกหลายๆ สิ่งที่พร้อมจะให้ทุกคนได้อยู่ไปดูไปเห็นว่าความแตกต่างตามประสาของเมือง เก่าที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสู่สิ่งใหม่ๆ มีอะไรให้เรียนรู้อยู่เช่นเดิม


และแม้จะเป็นยามเที่ยงวันก็ตาม อากาศตรงกลางเมืองเองก็ยังเบาบางสบายและนิ่งสงบ จนบางทีเรารับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เคลื่อนไหวอยู่ในอกและอดไม่ได้ที่จะรำพึง กับตัวเองว่า นี่คืออากาศของเมืองหลวงไม่กี่แห่งบนโลกนี้ที่เราจะหายใจได้คล่องจมูกและ เต็มไปด้วยนิ่งเงียบจนสัมผัสได้

////////////////////

การเดินทาง - ที่พัก

เส้นทางจากเมืองไทย (กรุงเทพฯ) ข้ามไปเวียงจันทน์นั้น ไม่มีเส้นทางไหนจะใกล้และสะดวกสบายมากเท่ากับการเดินทาง (ไม่ว่าจะทางรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน) ไปถึงหนองคาย จากนั้นเดินทางไปยังด่านสะพานมิตรภาพไทย -ลาวเพื่อทำเรื่องผ่านแดน (หากไม่มีหนังสือเดินทางจะต้องทำใบอนุญาตผ่านแดนหรือ Border Pass เข้าไปได้แค่เวียงจันทน์ใน ช่วงเวลาสามวัน) สำหรับนักเดินทางที่ถือหนังสือเดินทางของไทยสามารถพำนักและท่องเที่ยวในลาว (สปป.ลาว) ได้นานถึง 30 วัน พอข้ามสะพานมิตรภาพถึงด่านทางฝั่งลาวแล้วสามารถนั่งรถโดยสารประจำทาง ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรก็จะถึง “นครหลวงเวียงจันทน์” (นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารระหว่างประเทศให้บริการวิ่งจากอุดรธานี ขอนแก่นและนครราชสีมาตรงไปเวียงจันทน์ด้วย)

ที่พักในเวียงจันทน์มี หลายมาตรฐานทั้งโรงแรมหรูหราหลายๆ ดาวไปจนถึงเกสท์เฮ้าส์สบายกระเป๋า (เรียกขานว่า “เฮือนพัก”) บรรดาเฮือนพักทั้งหลายกระจายตัวอยู่บนถนนเชดถาทิลาดไปจนถึงสามแสนไทและถนน เส้นเลียบริมโขง (ถ.เจ้าฟ้างุ้ม) ราคาที่พักแบบเกสท์เฮ้าส์โดยเฉลี่ยคืนละ 500 บาทขึ้นไป มีให้เลือกพักหลายแห่งและหลากสไตล์หากไม่ใช่ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวอาจใช้วิธี เดินเข้าไปเลือกชมและสอบถามราคาที่พักได้โดยไม่ต้องจองไปล่วงหน้าก็ได้