หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ (23)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 แต่เพราะยังไม่ได้ราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณีจึงเป็น “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ไปก่อน จนกระทั่งเสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 8 และทรงราชาภิเษกสมรสกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร โหรจึงได้คำนวณพระฤกษ์ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 5 พฤษภาคม 2493

พระราชพิธีนี้มีมาแต่โบราณตามคัมภีร์พราหมณ์ รัชกาลที่ 1 ให้ศึกษาตำราพิธีเก่าแล้วกำหนดขึ้นเป็นคู่มือใช้สืบมา ทั้งยังโปรดให้จัดทำเครื่องใช้ต่าง ๆ ในพิธีอีกด้วย เช่น พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ไชยศรี พระราชบัลลังก์


รัชกาลที่ 9 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทำพิธีบรมราชาภิเษกในระบอบการปกครองใหม่นับแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้โปรดฯ ให้ยึดการทำพิธีครั้งสุดท้ายสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นหลัก แต่ให้ย่อลงเหลือเท่าที่จำเป็น และให้ผสมผสานกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้มาก

วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 เสด็จออกสรงน้ำมูรธาภิเษกซึ่งเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งน้ำทุกจังหวัดในประเทศไทย แต่ละจังหวัดควรปักป้ายบอกว่าที่ตรงนี้เคยส่งน้ำเข้าไปในพิธีบรมราชาภิเษก หลายแห่งตื้นเขินสกปรกควรขุดลอกและจัดการให้สะอาด
เสร็จแล้วเปลี่ยนฉลองพระองค์เสด็จเข้าไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับเหนือพระแท่นไม้มะเดื่อ 8 เหลี่ยม (หมายถึงทิศทั้ง 8)

ชื่อพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ทรงเลือกหันหน้าสู่ทิศบูรพาตามที่โหรให้ทรงเลือก


มีคำอธิบายว่าถ้าเลือกทิศนี้ประโยชน์สุขจะตกแก่ราษฎร แล้วทรงขยับไปทีละเหลี่ยมทีละทิศ เดิมพราหมณ์และราชบัณฑิตจะเข้าไปถวายน้ำอภิเษก แต่คราวนี้โปรดฯ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเป็นผู้ถวายน้ำในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย

พระแท่นอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ปักเศวตฉัตรนี้ต่อมาเป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำรัชกาล และโปรดฯ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งหลายใช้เป็นตรามหาวิทยาลัย

ต่อจากนั้นเสด็จขึ้นประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ซึ่งเป็นเก้าอี้เงินมีพนักสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 4 หัวหน้าพราหมณ์เข้าไปร่ายมนต์เชิญพระผู้เป็นเจ้าลงมาสถิตในพระองค์ และถวายราชสมบัติได้แก่เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภค สิบสองท้องพระคลัง ทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาสวม บัดนั้นทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยบริบูรณ์

หัวหน้าพราหมณ์กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการซึ่งตรัสตอบว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” แล้วเสด็จออกมหาสมาคมให้พระบรมวงศานุวงศ์

คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการเข้าเฝ้าฯ เสด็จไปทรงปฏิญาณพระองค์ที่วัดพระแก้วแสดงความเป็นพุทธมามกะ

พิธีอื่น ๆ ที่ตามมาคือการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี การให้ทูตานุทูตเฝ้าฯ และการประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน 1 ราตรี เอาฤกษ์ว่าขึ้นบ้านใหม่แล้ว

หลังจากนั้นพระราชกรณียกิจและพระราชภาระต่าง ๆ ก็ตามมาไม่รู้หมดรู้สิ้น แม้จนวันที่ยังประชวรเช่นในขณะนี้

การเมืองของประเทศในช่วงนั้นมิได้เรียบร้อยนัก ก่อนหน้านั้นมีขบถวังหลวงเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ศิษย์ของนายปรีดี พนมยงค์รวมตัวกันเข้ายึดบางส่วนของพระบรมมหาราชวัง รัฐบาลเข้าปราบปราม ยิงปืนเข้าไปจนประตูวังเสียหาย มีผู้บาดเจ็บล้มตาย ราษฎรในละแวกนั้นต้องอพยพจ้าละหวั่น รัฐบาลชนะ

ช่วงนั้นเราได้รัฐธรรมนูญที่ทันสมัยมากมาฉบับหนึ่งใน พ.ศ. 2492 สาเหตุเกิดจากประชาชนไม่พอใจรัฐบาลหาว่าเป็นมรดกมาจากการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2490 และเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลจึงแก้รัฐธรรมนูญให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใน พ.ศ. 2491 เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นอันพอคลายวิกฤติไปได้

วิธีแก้ปัญหาแบบนี้เคยย้อนกลับมาใช้อีกหนใน พ.ศ. 2538
เมื่อประชาชนหาว่ารัฐธรรมนูญเป็นมรดก ร.ส.ช. และเรียกร้องการปฏิรูปการเมือง รัฐบาลนายกฯ บรรหารจึงแก้รัฐธรรมนูญให้มีการจัดตั้งสภาร่าง
รัฐธรรมนูญจนได้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 มา ดู ๆ ไปแล้วการเมืองก็วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้แหละครับ

เรื่องใหญ่อีกเรื่องในคราวนั้นคือขบถแมนฮัตตัน ทหารเรือจำนวนหนึ่งจี้และจับนายกฯ จอมพล ป.พิบูลสงครามในขณะทำพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตันจากสหรัฐอเมริกา แล้วนำตัวท่านลงเรือรบศรีอยุธยาแล่นออกไป รัฐบาลให้เครื่องบินกองทัพอากาศถล่มจนเรือศรีอยุธยาล่ม จอมพล ป.ว่ายน้ำขึ้นบกได้ไม่มีอันตรายใด ๆ ท่านจอมพลนี่ก็กระดูกเหล็ก จริง ๆ เคยถูกลอบยิง ลอบวางยาพิษ และถล่มเรือจนล่ม แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง

จอมพล ป.เป็นนายกฯ หนนั้นอยู่ยาวร่วมสิบปีจน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเขียนเรื่องสามก๊กตอนโจโฉ นายกฯ ตลอดกาล ใครได้อ่านเป็นอันต้องยิ้มเพราะโจโฉเวอร์ชั่นหม่อมน้องดูยังไงก็เหมือนจอมพลแปลก!

ปี 2500 มีการเลือกตั้งกึ่งพุทธกาลซึ่งมีเรื่องทุจริตฉาวโฉ่เกิดขึ้นมากมาย แม้พรรครัฐบาลของจอมพล ป.จะชนะแต่คนก็ประท้วงจนจอมพลสฤษดิ์เข้ายึดอำนาจ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ อีกสองปีต่อมา จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจอีกหนแล้วเข้าเป็นนายกฯ เสียเองจนถึงอสัญกรรมในตำแหน่ง



ชั่วดีมีจนอย่างไรจอมพลสฤษดิ์ก็ทำประโยชน์ไว้หลายอย่างโดยเฉพาะการ กระจายความเจริญจากกรุงเทพมหานครไปสู่จังหวัดอื่น ๆ เช่น พัฒนาเชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ในภาคเหนือ ขอนแก่นเป็นเมืองใหญ่ในอีสาน สงขลาเป็นเมืองใหญ่ในภาคใต้ มีการตัดถนนหนทาง สร้างมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด พัฒนาทั้งแรงงานคนและวัตถุ อาชญากรรมก็ลดลงเพราะรัฐบาลปราบปรามเด็ดขาด

จุดอ่อนของจอมพลสฤษดิ์คือไม่ให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ และรัฐบาลสามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จลงโทษคนโดยไม่ต้องขึ้นศาลอันขัดต่อหลักนิติธรรม หลังอสัญกรรมยังมีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริต และการใช้ชีวิตส่วนตัวเป็นจอมพลนักรักอีกด้วย

เมืองไทยมักเป็นอย่างนี้เสมอ พอได้คนที่ทำงานดี มีวิสัยทัศน์ มีภาวะผู้นำ ก็จะเจอข้อหาเผด็จการและทุจริต พอสัตย์ซื่อจิตใจเป็นประชาธิปไตยก็ทำงานไม่เป็น หรือเป็นก็ไม่ได้ดังใจประชาชน หรือมีเวลาน้อยไป



จอมพลถนอมเป็นนายกฯ คนต่อมา การร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จลง มีการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 12 ปี ครั้งนั้นแหละที่หนุ่มเอวบางจากเมืองตรังชื่อชวน หลีกภัยเดินเข้าสภาได้เป็น ส.ส.ครั้งแรก

ปี 2514 จอมพลถนอมยึดอำนาจแล้วใช้อำนาจปกครองประเทศอยู่ร่วมปี หลังจากนั้นก็เริ่มร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยยังไม่ให้มีการเลือกตั้ง พ.ศ. 2515 มีการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ที่ 3 ของไทย ปี 2516 มีการประท้วงรัฐบาลเรียกร้องรัฐธรรมนูญจนฝ่ายรัฐบาลเข้าปราบปรามรุนแรง ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก เรียกว่าเหตุการณ์ 14 ตุลามหาวิปโยค รัฐบาลลาออก นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีและอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานศาลฎีกาฉายาเปาบุ้นจิ้นของไทยได้เป็นนายกรัฐมนตรี ภารกิจคือเร่งร่างรัฐธรรมนูญ และฟื้นฟูความสงบของประเทศ

สงครามอุดมการณ์ระหว่างประชา ธิปไตยกับสังคมนิยมตั้งแต่ระดับอ่อนจนแก่ขนาดคอมมิวนิสต์มีมาก่อนนั้นร่วม 40 ปีแล้วจนเกิดเป็นสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามในเขมร ลาว และยุโรปตะวันออกแต่ชัยชนะของฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ลาว เขมรในเวลานั้นทำให้เกิดความประหวั่นพรั่นพรึงว่าฤๅจะเป็นอย่างทฤษฎีโดมิโนที่ว่าไพ่ตัวหนึ่งล้มจะผลักให้ไพ่ตัวต่อ ๆ ไปล้มตามจนหมดสำรับ



หลังใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2517 การเมืองไทยยุ่งยากด้วยเสรีภาพ การประท้วง และการก่อความไม่สงบจากหลายฝ่าย มีการเปลี่ยนรัฐบาลจากชุด ม.ร.ว.เสนีย์ เป็น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แล้วกลับมาเป็น ม.ร.ว.เสนีย์อีกหน ในที่สุดก็เกิดการยึดอำนาจในวันที่ 6 ตุลาคม 2519

นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่อีก 1 ปีต่อมาก็มีการยึดอำนาจอีกและได้พลเอกเกรียกศักดิ์เป็น นายกฯ หลังเลือกตั้งท่านยังเป็นนายกฯ ต่อแล้วจึงลาออก พลเอกเปรม นายทหารผู้มีประวัติความซื่อสัตย์ สมถะ และจงรักภักดีได้เป็นนายกฯ ต่อมาอีกนานจนผ่านการยุบสภาถึง 3 ครั้ง พลเอกชาติชาย ทายาทจอมพลผิน หัวหน้าคณะรัฐประหารครั้ง พ.ศ. 2490 ได้เป็นนายกฯ คนถัดไป

เมื่อมีการยึดอำนาจใน พ.ศ. 2534 โดยคณะ ร.ส.ช. นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนักการทูตหัวก้าวหน้าผู้ผันมาเป็นนักธุรกิจได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังเลือกตั้งได้พลเอกสุจินดา อดีต ผบ.ทบ.เป็นนายกฯ แต่เผชิญกับการต่อต้านจนเกิดการปะทะกับประชาชนถึงขั้นล้มตายกลายเป็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อท่านลาออก นายกฯ อานันท์ได้กลับมาอีกครั้ง

เมื่อเลือกตั้งใหม่เราก็ได้นายชวน หลีกภัย นายบรรหาร ศิลปอาชา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และนายกฯ ชวนอีกหน ทยอยมาเป็นนายกฯ หลังจากนั้นเป็นยุคของเศรษฐีหมื่นล้านชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทำลายสถิติว่าเป็นหัวหน้าพรรคใหม่แต่โตเร็ว อยู่จนครบวาระและยังจะได้รับเลือกตั้งอีกรอบจนเสียงท่วมท้นกว่าเดิม กระทั่งเกิดการยึดอำนาจในปี 2549

ปี 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวครองราชย์ได้ 60 ปี นานที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน พระราชาธิบดีหรือผู้แทนทั่วโลกมาร่วมงาน

ชื่อกรุงเทพมหานคร อมรรัตน โกสินทร์เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นในโลกนับแต่นั้น และยังเป็นที่รู้จักติดริมฝีปากผู้คนต่อมาอีกหลายปีด้วยวิกฤติการเมืองที่เกิดแทบทุกวันจนวันนี้ก็ยังหาทางออกไม่ได้.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยิปซี​พยากรณ์​ ​วัน​ที่​ 24 ​กรกฎาคม​ 2554​

ยิปซีพยากรณ์ พยากรณ์ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 2554

ราศีมังกร (16 ม.ค.-12 ก.พ.)  
สติ แตก โวยวาย เลือดร้อน ช่วงต้นมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเขาไปทั่ว ระวังอุบัติเหตุจากการเดินทาง การขับขี่ การงานเจอมรสุม งานล้นมือมีปัญหาร้อยแปด ส่วนใหญ่ต้องเร่งรีบ อย่าเชื่อมั่นตนเองจนลืมนึกถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่น ช่วงปลายมีดวงได้งานเสริม มีหัวคิดเฉลียวฉลาด ทำให้ผลงานออกมาดี มีคนชื่นชมชื่นชอบ “ไพ่ ราชินีเหรียญ” การเงินหากให้ใครหยิบยืมไปแล้ว มีอันต้องทะเลาะ ผิดใจกัน ช่วงกลางลงมาสภาพคล่องดี ได้รับข้อมูลข่าวสารถูกต้อง เก็งกำไร เล่นหุ้นผ่านฉลุย ความรักต้องปรับปรุงตัวเอง ให้ร่าเริงแจ่มใส เปลี่ยนการแต่งตัวจะมีคนเข้ามาสนใจ ช่วงปลายมีประสบการณ์รักหอมหวาน น่าประทับใจ ส่วนคนมีแฟนช่วงต้นระวังมีปากเสียง นอกนั้นแจ่ม

 
ราศีกุมภ์ (13 ก.พ.-13 มี.ค.)
เริ่ม รู้สึกท้อกับสิ่งที่ทำไป ถึงตอนนี้อาจยังไม่เห็นผลชัดเจน แต่ในระยะยาวบอกได้เลยว่ายอดเยี่ยม การงานช่วงต้นถ้ามีปัญหาอุปสรรคเข้ามา สามารถเอาตัวรอดได้ มีผลงานน่าพอใจ แต่ช่วงกลางไปแล้วต้องอดทน เจอเหตุการณ์บีบบังคับ บางสิ่งบางอย่างที่ทุ่มเทจะดูเหมือนสูญเปล่า ไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่ความดีไม่มีวันสูญหาย ให้ขยันอดทนต่อไป การเงินน่าเบื่อหน่ายต้องคอยปฏิเสธคนที่มาขอหยิบยืม ทนอึดอัดไปสักพัก เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น ช่วงนี้ไม่เหมาะช่วยเหลือใครจะทำให้คุณเดือดร้อน “ไพ่ 8 ถ้วย” ความรักอกหัก รักคุดสุดบรรยาย ถ้ากำลังแอบรักแอบชอบใครอยู่ต้องทำใจ มีเรื่องเศร้า ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนคนมีแฟนแล้วแง่งอน ไม่มีเวลาให้กัน ต้องแบ่งเวลาทำความเข้าใจกัน
 
ราศีมีน (14 มี.ค.-12 เม.ย.)
ความ คิดยาวไกล วางแผนอนาคตไว้เต็มที่ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ มีความกระตือรือร้นอย่างต่อเนื่อง ช่วงปลายมีดวงเดินทางไกล การงานพุ่งพรวด เป็นจุดสนใจที่ใคร ๆ ก็หมายตาเอาไว้ หากยังคงรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลาย คุณมีโอกาสได้รับการโปรโมชั่น เลื่อนขั้นปรับตำแหน่ง ช่วงปลายงานก้าวหน้า มีการปรับเปลี่ยนดีขึ้น ถ้ามองหางานเสริม งานใหม่มีข่าวดี การเงินไม่มีปัญหา หยิบใช้จ่ายสะดวก ช่วงต้นมีโชคลาภจากความเสน่หา ได้ของที่อยากได้ ช่วงปลายมีลาภจากการเดินทาง “ไพ่ 7 ถ้วย” ความรักคนโสดสดใสซาบซ่า มีคนมาแจกขนมจีบ ทำให้รู้สึกสดชื่นมีความสุข ส่วนคนมีแฟนแล้วหวานวันละนิดจิตแจ่มใส ช่วงปลายมีดวงได้พากันไปเที่ยว
 
ราศีเมษ (13 เม.ย.-13 พ.ค.)
ครุ่น คิดอยู่กับเรื่องของงาน มีทั้งการสอบแข่งขันต้องพิสูจน์ฝีมือ พิสูจน์เนื้องาน คุณจะได้ที่ปรึกษาดีพาให้ไปได้ไกล “ไพ่ 7 คทา” การงานต้องสู้ถึงจะชนะ คุณกำลังถูกจับตามอง มีการเปรียบเทียบ จึงต้องแสดงความสามารถให้มากขึ้น ช่วงกลางงานหนักล้นมือ แต่ถ้าพยายามเอาชนะ คุณจะประสบผลสำเร็จ สุดท้ายจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ การเงินหมุนคล่อง แต่หนักใจกับการมาขอหยิบขอยืมจากคนอื่น เพราะลำพังตัวเองอาจรอด แต่ถ้าช่วยเหลือใครอาจย่ำแย่ได้  ความรักคนโสดถ้าอยากมีใครสักคน คงต้องลงทุนลงแรงมากหน่อย ถ้าไม่ใช่พ่อบุญทุ่มก็ต้องครองโสดกันต่อไป ส่วนคนมีแฟนแล้วต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กัน รักจึงดูชืด ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังเข้าอกเข้าใจกันเหมือนเดิม
 
ราศีพฤษภ (14 พ.ค.-13 มิ.ย.)
“ไพ่ เดอะ ฟูล” ทะลึ่งทะเล้น กำลังอยากเที่ยวเตร่ ออกนอกกรอบอยู่เสมอ ถ้าทำเกี่ยวกับงานอิสระ งานท่องเที่ยว บันเทิงไปได้ไกลแน่นอน การงานไม่น่าห่วง ใช้คำพูดดี ๆ เอาตัวรอดได้เสมอ แต่ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยเน้นงานหลัก รักผจญภัย อยากหยิบจับงานใหม่ดู มีวี่แววได้เริ่มต้นงานใหม่ มีงานเสริมเข้ามาหา ถ้าตอบรับก็จะทำได้ดี การเงินมือเติบแบบสุด ๆ ใช้จ่ายเก่ง อยากได้อะไรเป็นต้องหามาจนได้ แต่ไม่ขัดสน เพราะมีรายรับเข้ามาตลอดทั้งจากรายได้หลักและเสริม  ความรักไม่อยากมีพันธะ จีบคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย มีรักแบบเฮฮา สนุกสนาน คนโสดรื่นเริงได้เจอได้คบหาคนใหม่ ๆ ส่วนคนมีแฟนแล้วแอบนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่สุดท้ายก็ตายรัง คนรักทำตัวดี น่ารักเอาใจใส่
 
ราศีเมถุน (14 มิ.ย.-14 ก.ค.)
เหมือน พายเรือในอ่าง ความคิดวนเวียนอยู่ที่จุด ๆ เดิม เป็นเพราะมีห่วงเยอะ ต้องค่อย ๆ ปลดออกทีละเล็กทีละน้อย การงานเริ่มท้อ เพราะถูกบีบให้ทำนั่นทำนี่มากขึ้น มีภาระรับผิดชอบเพิ่ม ต้องบอกตัวเองให้อดทน การย้ายงาน เปลี่ยนงานช่วงนี้ยังไม่เหมาะ คุณอาจหนีเสือปะจระเข้ หรืออาจคว้างเพราะหางานใหม่ไม่ได้ “ไพ่ 4 เหรียญ” การเงินชักหน้าไม่ค่อยถึงหลัง ต้องประหยัดมากขึ้น ช่วงปลายมีดวงเสียเงินเพราะคนใกล้ชิด ลูกน้อง บริวารหาเรื่องเดือดร้อนให้ตลอด ความรักมีเรื่องหึงหวงกวนใจ คนรักมีแนวโน้มแตกแถว ทำให้คิดมากกังวลใจ ส่วนคนโสดมีคนมาตามจีบแต่ดันไม่ชอบ ทำให้รู้สึกอึดอัด เพราะไม่คุ้นกับการปฏิเสธ
 
ราศีกรกฎ (15 ก.ค.-16 ส.ค.)
จะ หยิบจับทำอะไรมักสะดุด มีอุปสรรคมากมาย แต่ไม่ต้องห่วง เพราะปัญหาเหล่านี้จะคลี่คลายลงได้เอง “ไพ่ 6 ดาบ” การงานช่วงต้นเหนื่อยหน่าย น่าหนักใจ อยากทำอะไรก็มักทำไม่ได้ตามความตั้งใจ มีอุปสรรคเล็กน้อยมาคอยกั้นขวาง ให้อดทนและใจเย็น แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางได้เอง ให้ขยันขันแข็งทำผลงาน ทำคะแนนจะได้มีผลงานไม่น้อยหน้าใคร  การเงินมีรายจ่ายจุกจิก หนักไปในเรื่องรถ ที่พักอาศัย แต่สุดท้ายก็เอาตัวรอดได้ไม่มีปัญหา ช่วงนี้พึ่งโชคไม่ได้ เงินจะมาจากน้ำพักน้ำแรงความขยัน ความรักคนโสดต้องหาเรื่องเดินทางเกี่ยวข้องกับน้ำ จะเจอคนถูกใจ แต่ต้องรู้จักรุกด้วยไม่ใช่รออย่างเดียว ส่วนคนมีแฟนแล้วท่องไว้ รักคือ การให้ ช่วงนี้ต้องทำใจให้มากกว่ารอรับ
 
ราศีสิงห์ (17 ส.ค.-16 ก.ย.)

หวาน ชื่นแบบสุด ๆ กำลังอยู่ในภวังค์แห่งรัก อยากอยู่ใกล้ชิดคนรักตลอดเวลา สมาธิแตกซ่าน ใจจดจ่ออยู่เรื่องเดียว  การงานได้เพื่อนดีคอยช่วยเหลือ ไม่ว่าจะงานหนักงานเบาเพื่อนฝูงร่วมแรงร่วมใจหาทางออกให้ แต่ช่วงปลายระวังผิดพลาดจากคำพูด และงานเอกสาร มีเหตุให้ต้องแก้อยู่บ่อย ๆ  ระวังปากเสียงกับผู้ใหญ่ หรือเพื่อนร่วมงาน การเงินรู้จักเก็บออมมากขึ้น แต่ก็มีเหตุให้ต้องควักอยู่เสมอ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนรัก คนใกล้ชิด ช่วงปลายจะขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ “ไพ่ เดอะ เลิฟเวอร์” ความรักหอมหวาน หายใจเข้าหายใจออกก็คิดถึง ระวังรักมากจะหน่ายเร็ว ช่วงปลายมีปากเสียงกันจุกจิก ห้ามประชดประชัน ส่วนคนโสดไม่เหงา มีคนห้อมล้อม ได้รู้จักเพื่อนใหม่
 
ราศีกันย์ (17 ก.ย.-16 ต.ค.)
ไอ เดียกระฉูด มีโอกาสได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ มีดวงเดินทาง เฮฮา ท่องเที่ยว แต่ก็พลอยทำให้เงินกระเป๋าลดน้อยลงไปด้วย  “ไพ่ 1 คทา” การงานไม่เบื่อเซ็ง ได้หยิบจับงานใหม่ ท้าทาย มีคนชักชวนร่วมหุ้น ลงทุน ช่วงนี้เหมาะกับการเปิดตัวเองลองของลองทำสิ่งแปลกใหม่ดูบ้าง ช่วงปลายมีงานเสริม ทำให้ไม่ค่อยได้อยู่ติดที่ การเงินมีเข้าเยอะก็ใช้เยอะ สภาพคล่องดีในช่วงต้น แต่ช่วงปลายเริ่มหมุนมากขึ้น เพราะใช้จ่ายตามใจ แผนที่วางเอาไว้ทำไม่ค่อยสำเร็จ ความรักเจ้ากี้เจ้าการ ขี้หึงขี้หวง ทำให้มีเรื่องกันทุกวัน ช่วงนี้จึงเริ่มเบื่ออยากหาอยากเจอของใหม่ นอกลู่นอกทางไปบ้าง ส่วนคนโสดอย่าพึ่งหวังเจอรักแท้ เอาแค่หอมปากหอมคอ ให้ได้ฝันหวานเป็นคืน ๆ ก็พอ
 
ราศีตุลย์ (17 ต.ค.-16 พ.ย.)
ช่วง ต้นตะกุกตะกักกับการเดินทาง หงุดหงิดง่าย ใจร้อน ต้องคอยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ความคิดความฝันจะเริ่มเป็นจริงในช่วงกลางลงมา การงานสะดุดเป็นประจำ คุณอาจต้องเดินทางบ่อยขึ้น มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน งานหลักเหนื่อยใจ ปัญหาเยอะ แต่งานเสริมกลับรุ่ง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก “ไพ่ 2 เหรียญ” การเงินจ่ายเยอะกับเรื่องรถ เดี๋ยวซ่อมเดี๋ยวเข้าอู่ เผลอ ๆ มีเฉี่ยวชน เป็นเหตุให้ช่วงปลายชักหน้าไม่ถึงหลัง อย่าลงทุนทำอะไรเกินตัว ความรักมีปากเสียงกันบ่อย ไม่เจอก็คิดถึง พอเจอกันก็แง่งอน ลองหาเวลาชวนกันไปพักตากอากาศจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ระวังมือที่สามที่เข้ามาแทรก ต้องคุยกันให้เข้าใจ คนโสดมีลุ้นได้เจอคนถูกใจจากการเดินทาง
 
ราศีพิจิก (17 พ.ย.-15 ธ.ค.)
ปกติ เก็บอารมณ์ เก็บตัว แต่ช่วงนี้กลับตาลปัตร มีคนเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยเยอะ ได้เจอมิตรภาพใหม่ ๆ ทำให้คุณได้เปิดใจมากขึ้น  การงานวิ่งฉิว ไอเดียกระฉูด เป็นจุดสนใจ ผู้ใหญ่กำลังจับตามองในการเลื่อนขั้นปรับตำแหน่ง ช่วงนี้จึงต้องทำให้สุดฝีมือ ช่วงปลายคิดอยากทำอะไรทำทันทีไม่ต้องรอ โอกาสกำลังเข้ามาหา การเริ่มต้นงานเสริมงานใหม่ดี  “ไพ่ 3 เหรียญ” การเงินนึกอยากได้อะไรเป็นต้องได้ มีโชคลาภทำให้สิ่งที่คิดหวังเป็นจริงอยู่เสมอ ช่วงปลายเหมาะในการเสี่ยงโชค เล่นหุ้น กำลังมีโชค  ความรักกำลังสมหวังสมปอง คนโสดที่แอบเล็งใครไว้จะมีโอกาสให้ได้สานสัมพันธ์ต่อ ส่วนคนมีแฟนแล้วรักหวานชื่น กุ๊กกิ๊กมีความสุข อยากได้อะไรขอ คนรักจัดให้

ราศีธนู (16 ธ.ค.-15 ม.ค.)

หาก กำลังมีปัญหากับใคร ช่วงนี้จะได้เคลียร์กลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิม มีดวงเดินทางไกล “ไพ่ จัดกีเมนต์” การงานกำลังจะมีข่าวดี ถ้ากำลังเคว้งคว้าง หางานทำจะได้รับข้อเสนอ มีคนหยิบยื่นโอกาส ที่ส่งใบสมัครไปจะได้รับการตอบรับ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ส่วนคนที่มีงานมั่นคงอยู่แล้ว มีแนวโน้มได้งานเสริม เหมาะกับการลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจมานาน การเงินไม่มีปัญหา มีทั้งรายรับจากงานหลักงานเสริมหมุนคล่อง ที่เคยช่วยเหลือใครไปจะได้รับการตอบแทนคุณ  ความรักคนโสดได้เพื่อนฝูง คนใกล้ชิดคอยเป็นพ่อสื่อแม่ชัก สมหวังแน่นอน มีแนวโน้มลมพัดหวน คนรักเก่าขอ กลับมาคืนดี ส่วนคนมีคู่หวานชื่นกันไป ถ้าแง่งอนกันอยู่จะคืนดีกันได้.

อ.คฑา ชินบัญชร

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ (22)

กรุงเทพมหานครยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ “โพสต์ วอร์” ผ่านมาถึงบัดนี้ (พ.ศ.2554) 65 ปีแล้ว จัดว่าเป็นยุคใหม่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในทุก ๆ ด้าน ชนิดที่คนรุ่นเก่าครั้งรัชกาลที่ 1-8 นึกไม่ถึง

กรุงเทพมหานครเองเปลี่ยนจากสภาพการเป็นบางกอก เรือกสวนไร่นาริมน้ำท้องทุ่งเวิ้งว้างป่าช้าและดงสารพัดสัตว์ ครั้งอยุธยาและธนบุรีกลายมาเป็นกรุงใหม่มีค่ายคูประตูหอรบ มีคลองคูเมือง (หน้ากระทรวงมหาดไทย) เป็นแนวกั้นกรุงชั้นใน คลองรอบกรุง (ตรงสะพานผ่านฟ้า) เป็นแนวกั้นกรุงชั้นนอก ในสมัยต้นกรุงเทพฯ มีกำแพงพระนครเปิดเช้าปิดเย็น ภายในกรุงมีคลองขุดเชื่อมกันเป็นตาราง มีวัง วัด และชุมชนต่าง ๆ ตามเผ่าพันธุ์ เช่น บ้านญวน บ้านเขมร บ้านมอญ สำเพ็ง และชุมชนตามอาชีพ เช่น บ้านหม้อ บ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านโอ่งอ่าง





ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการตัดถนน ขุดคลองเพิ่มเพื่อขยายแนวกั้นกรุงให้กว้างออกไป เช่น คลองผดุงกรุงเกษม และสร้างถนน สะพานเพิ่มในสมัยรัชกาลที่ 5 กำแพงเมืองบางส่วนถูกทลายเป็นเหตุให้เมืองขยายออกไปถึงทุ่งวัวลำพอง (หัวลำโพง) ทุ่งส้มป่อย (สวนดุสิต) บ้านอีเลิ้ง (นางเลิ้ง) ทุ่งศาลาแดง (ราชดำริ) ตึกรามบ้านช่องแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นทั่วไป ชาวบ้านนิยมย้ายออกไปอยู่นอกเขตพระนครเดิมเพราะที่ดินราคาถูก อากาศดี ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ใครจะไปอยู่ไกลเพียงใดการคมนาคมก็ไม่เป็นปัญหา





รถเมล์ เรือเมล์ และรถยนต์เริ่มเปิดบริการและมีใช้ทั่วไป คูคลองต่าง ๆ ก็ยังใช้สัญจรได้ราวกับ “เวนิสแห่งตะวันออก” วันนี้กำแพงพระนครไม่เหลือร่องรอยให้เห็น ถนนหนทางตัดเชื่อมและทะลุแทบทุกแห่ง ตรอกซอกซอยเข้าไปถึงแทบทุกย่าน คลองถูกถมจนคนรุ่นใหม่เดาไม่ถูกว่าถนนสายนี้เคยเป็นคลองออกแม่น้ำเจ้าพระยาได้

คหบดีที่เคยไปซื้อที่ดินนอกกรุงไว้ผืนละร้อย ๆ ไร่ในราคาแสนถูกร่ำรวยไปตาม ๆ กันเมื่อถนนสุขุมวิท รัชดาภิเษก วิภาวดีฯ บรมราชชนนี เกษตร-นวมินทร์ เพชรเกษม พหลโยธินตัดผ่าน




นายเลิศหรือพระยาภักดีนรเศรษฐผู้เริ่มกิจการโรงน้ำแข็ง ห้างสรรพสินค้า รถเมล์ขาว เรือเมล์ขาว ซื้อที่ดินกลางทุ่งไว้ผืนใหญ่ ปลูกต้นไม้ทำเป็นปาร์คสมัยรัชกาลที่ 6 เรียกว่า “ปาร์คนายเลิศ” ให้ฝรั่งและคนไทยมามอร์นิ่งวอล์ก ชมนกชมไม้ คราวแบ่งที่ดินตอนหน้าขายให้สถานทูตอังกฤษก็ขายเพียงตารางวาละ “บาท” จนลือกันลั่นว่าเจ้าคุณภักดีฯ ได้ไปหลาย รวยนักหนา ต่อมาถนนสุขุมวิทตัดผ่าน วันนี้สถานทูตอังกฤษแบ่งขายอีกทีให้ทำห้างสรรพสินค้าได้ราคาตารางวาละ “หลายแสนบาท”

ผู้คนในกรุงเทพมหานครสมัยรัชกาลที่ 1 มีเป็นหลักหมื่น มาเพิ่มเป็นหลักแสนในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อต่างเชื่อมั่นว่าเมืองนี้ “อมร” คืออยู่ยืนไม่ล่มอีกแล้ว ชาวต่างชาติโดยเฉพาะแรงงานจีนก็เข้ามามากขึ้นเพื่อรับจ้างขุดคลอง ทำโรงงาน เป็นช่าง และค้าขาย หลายคนตั้งตัวได้มีหลานเหลนเจ้าสัวมาจนทุกวันนี้

สมัยรัชกาลที่ 5-6 ราษฎรเพิ่มเป็นหลักล้าน เพราะกรุงเทพฯ เป็นชุมทางการติดต่อกับราชการ ชุมทางการค้าขายทุกชนิด และชุมทางคมนาคม การสร้างสถานีรถไฟหัวลำโพง การมีรถไฟ การขุดอุโมงค์ลอดถ้ำขุนตาลในภาคเหนือ การเปิดเดินรถไฟสายใต้ การเริ่มกิจการไปรษณีย์ โทรเลข ท่าอากาศยาน ทำให้พระมหานครแผ่กว้างไกลไปมาถึงกันได้สะดวก



สมัยรัชกาลที่ 7-8 จำนวนราษฎรยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองลงเพราะภัยสงครามและเศรษฐกิจโลก คนยากจนเริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองพร้อม ๆ กับที่คนเมืองอพยพหนีภัยออกไปอยู่ต่างจังหวัด สลัมหรือชุมชนแออัดเริ่มเกิดขึ้นตามที่วัด ที่ของทางราชการ ที่รกร้างว่างเปล่าและเกิดการรุกล้ำลำคลอง

หลังสงคราม ความเจริญเติบโตของเมืองเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ไร้ระเบียบ ใครใคร่สร้างก็สร้าง โรงงานที่ส่งเสียงหนวกหูปล่อยควันและน้ำเสียผุดขึ้นกลางกรุงและริมแม่น้ำ อาคารเก่าแก่ถูกรื้อถอนเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินให้คุ้มค่า วังเจ้านายและบ้านเศรษฐีถ้าไม่ขายยกหลังก็ตัดที่ติดถนนแบ่งขายหรือให้เช่าโดยก่อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ แม้วัดเองก็ต้องทำอย่างเดียวกันเพื่อความอยู่รอด ถนนที่ตัดครั้งรัชกาลที่ 4 และร้องกันว่ากว้างนักหนาจะเอารถที่ไหนมาวิ่งเริ่มคับแคบจนต้องรื้อและเลิกรถราง ทุบวงเวียน รื้อสะพาน ขยายช่องทางจราจร โค่นต้นไม้ ถมคลอง




กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองเจริญมากแห่งหนึ่งในเอเชีย แต่รถติด น้ำเสีย ยุงชุม อาชญากรรมมาก เรียกว่าโตน่ะโตอยู่หรอก แต่โตแบบข้ามาคนเดียว ไม่มีชานเมืองหรือเมืองบริวารมาแบ่งรับไปบ้าง เมืองอื่นในราชอาณาจักร เช่น เชียงใหม่ โคราช ภูเก็ต หาดใหญ่ก็ไม่โตอย่างนี้

วันนี้ราษฎรเพิ่มขึ้นเป็น 6-8 ล้านคน ทั้งยังมีประชากรแฝงคือทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัด แต่เข้ามาทำงานแบบเช้าไปเย็นกลับบ้าง กลับอาทิตย์ละหนบ้าง ไม่มีทะเบียนบ้านบ้างอีกเกือบเท่าตัว ยังจะมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอีกไม่รู้เท่าไร คนเหล่านี้ใช้บริการสาธารณะพวกรถเมล์ เรือเมล์ โรงเรียน โรงพยาบาลในกรุงร่วมกัน

สิ่งที่ตามมาติด ๆ คือเรื่องการทรุดตัวของแผ่นดิน การตื้นเขินของคูคลองต่าง ๆ ปัญหาน้ำท่วมขัง พอเจอฝนพันปีเข้าบ้านเมืองก็เป็นอัมพาต ความสกปรก รกรุงรังของอาคารบ้านเรือน แผ่นป้ายโฆษณา การเกิดอัคคีภัย การขาดความเขียวขจีของต้นหมากรากไม้จนไม่มีใครเชื่อว่าที่นี่เคยเป็น “บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน” และความสกปรกของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งครั้งหนึ่งใสจนเห็นปลาแหวกว่ายและสะอาดดุจจะดื่มกินได้



สภาพเช่นนี้เป็นธรรมดาของการที่เมืองหลวง เมืองท่า เมืองพาณิชย์ เมืองราชการ เมืองการศึกษามาอยู่รวมกันจากกรุงเทพมหานครก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 จนเป็นมณฑลกรุงเทพพระมหานครมีอาณาเขตครอบคลุมธนบุรีและบางส่วนของนนทบุรี สมุทรปราการ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีกระทรวงนครบาลรับผิดชอบแยกต่างหากจากกระทรวงมหาดไทย แล้วกลับมาเป็นจังหวัดพระนครอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 6-7-8 ในขณะที่ธนบุรีแยกไปเป็นอีกจังหวัด มาถึงสมัยหลังได้เป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี แล้วเปลี่ยนเป็นกรุงเทพมหานครในบัดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง

การพัฒนากรุงเทพมหานครที่เกิดในระยะ 50 ปีมานี้จึงเป็นการกระจายความเจริญออกไปสู่ภูมิภาคไม่ให้กรุงเทพ มหานคร ชายชราอายุร่วม 230 ปีนี้ต้องแบกรับทั้งปัญหาการจราจร ภัยธรรมชาติ อาชญากรรม โรคภัยไข้เจ็บ โรงงาน บ้านจัดสรรแต่ผู้เดียว จอมพลสฤษดิ์ เริ่มด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นในส่วนภูมิภาค ต่อมามีการสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่สมุทรปราการ ขยายท่าเรือไปอยู่ที่แหลมฉบัง มีการตัดถนนวงแหวนรอบกรุง สร้างสะพานลอย รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ทางด่วน โทลล์เวย์ กำหนดพื้นที่ให้มีต้นไม้แซมบ้าง

ตลาดนัดสนามหลวงก็ถูกย้ายออกไปอยู่สวนจตุจักรและพัฒนาเป็นตลาดสี่มุมเมือง มีการสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของชาวกรุงเทพมหานครหลายแห่ง นอกเหนือจากสวนลุมพินีสมัยรัชกาลที่ 6 และมีการย้ายส่วนราชการออกไปอยู่ที่ชานเมือง

ที่สำคัญคือมีการตั้งคณะกรรมการโครงการกรุงรัตนโกสินทร์เพื่อดูแลการใช้พื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นในหรือที่เคยเรียกว่าเกาะรัตนโกสินทร์ แต่คงเป็นเพราะคณะกรรมการที่มีอำนาจดูแลเฉพาะการใช้พื้นที่ของส่วนราชการจึงติดขัดอำนาจทางกฎหมายที่จะดำเนินการต่อภาคเอกชน ขณะเดียวกันความคิดจะให้บริเวณนี้เป็น “โอลด์ ทาวน์” อย่างในเมืองนอกเป็นพื้นที่สีเขียว ไม่มีอาคารร้านค้าของราษฎรทำให้เกิดการต่อต้าน

ความคิดใหม่จึงมีว่าที่ดินทุกวันนี้ราคาแพง ทั้งที่ดินก็มีน้อยลง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรจึงน่าจะระคนปนไปกับเมืองเก่าหรือโอลด์ ทาวน์ได้ ยังจะดูเป็นสีสันแต่งแต้มให้เมืองเก่ามีชีวิตชีวาอีกด้วย เช่น มีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายหนังสือปนไปกับวัด วัง คลอง เมืองเก่าไม่จำเป็นจะต้องมีแค่วัด วัง กำแพงพังๆ โบสถ์ทึมๆ เท่านั้น ปัญหาคือจะผสมผสานให้เข้ากันอย่างไร

การฉลองกรุงเทพมหานครครบ 200 ปี เมื่อ พ.ศ. 2525 เป็นจุดเปลี่ยนแปลงหนึ่งของกรุงเทพมหานคร มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามครั้งใหญ่ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นประธาน บูรณะศาลหลักเมืองโดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเป็นประธาน มีการรื้อโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทยที่ผ่านฟ้า เปิดให้ผู้คนได้เห็นโลหะปราสาทวัดราชนัดดารามอันตระการตา

คำว่า “กรุงรัตนโกสินทร์” เริ่มใช้ติดปากมานับแต่การฉลองกรุงคราวนั้นบรรพชนของเราคงปลื้มปีติหาน้อยไม่ถ้ารู้ว่านับแต่วันที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกรับราชสมบัติปราบดาภิเษกเป็นรัชกาลที่ 1 และทรงย้ายเมืองหลวงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาอยู่ที่ฝั่งกรุงเทพฯ ทรงลงหลักเมืองและเริ่มพระมหาราชธานีใหม่ใน พ.ศ. 2325 นั้น เจริญอายุมาได้ถึง 100 ปี ได้ทันฉลองกันในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 200 ปีได้ทันฉลองในสมัยรัชกาลที่ 9

หลัง พ.ศ. 2489 นอกจากความเปลี่ยนแปลงดังว่ามาแล้ว การเมืองการปกครองก็เปลี่ยนไปมาก เราเริ่มมีรัฐธรรมนูญใช้ถี่ขึ้น เปลี่ยนรัฐบาลบ่อยขึ้น คนไทยต้องคุ้นกับคำว่า “รัฐประหาร” “ปฏิวัติ” “การรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” “การปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” และ “แอ่นแอ๊น”

ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทำให้สภาพจิตใจคนว้าเหว่ สลดหดหู่ และเหมือนขาดที่พึ่งพา รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่โดยตรงก็เปลี่ยนบ่อย มาเร็วไปเร็ว การเอารัดเอาเปรียบทุจริต คดโกงชักจะมีมากขึ้นในแทบทุกวงการ ค่านิยมที่เคยเห็นเป็นของไม่ดีกลับกลายเป็นความนิยมทำกัน แถมภัยจากการเมืองนอกประเทศและลัทธิบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในท่ามกลางช่องว่างเหล่านี้อีกด้วย จนคิดกันว่าเราอาจล้มครืนตามกันไปเหมือนเกมโดมิโน ผลักนิดเดียวก็ล้ม

คนจะจมน้ำจึงคว้าทั้งนั้นไม่ว่าหยวกกล้วยหรือเรือแพคราวนี้ก็อยู่ที่บทบาทของพระมหากษัตริย์ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ประกาศกันว่าทรงอยู่ใต้กฎหมายและไม่ต้องทรงรับผิดชอบปัญหาบ้านเมืองอีกต่อไป แต่เมื่อความทุกข์ของผู้คนที่รอความช่วยเหลือเป็นที่ประจักษ์อยู่ดังนี้ จะทรงทำสถานใดในเมื่อราษฎรร้องตะโกนจนเสียงลอดเข้าไปถึงในรถยนต์พระที่นั่งว่า

“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”.

“ผู้คนในกรุงเทพมหานครสมัยรัชกาลที่ 1 มีเป็นหลักหมื่น มาเพิ่มเป็นหลักแสนในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อต่างเชื่อมั่นว่าเมืองนี้ “อมร” คืออยู่ยืนไม่ล่มอีกแล้ว ชาวต่างชาติโดยเฉพาะแรงงานจีนก็เข้ามามากขึ้นเพื่อรับจ้างขุดคลอง ทำโรงงาน เป็นช่าง และค้าขาย หลายคนตั้งตัวได้มีหลานเหลนเจ้าสัวมาจนทุกวันนี้”

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการตรวจลงตราประเภทต่าง ๆ

1. การตรวจลงตราประเภทคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (Transit Visa)

2. การตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa)

3. การตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa)

4. การตรวจลงตราประเภททูต (Diplomatic Visa)

5. การตรวจลงตราประเภทราชการ (Official Visa)

6. การตรวจลงตราประเภทอัธยาศัยไมตรี (Courtesy Visa)



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


การตรวจลงตราประเภทคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (Transit Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทนี้จะออกให้แก่คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อการใดการหนึ่งดังต่อไปนี้

- เพื่อเดินทางผ่านราชอาณาจักร (รหัส TS )
- เพื่อเล่นกีฬา (รหัส S )
- เป็นผู้ควบคุมพาหนะหรือเป็นคนประจำพาหนะที่เข้ามายังท่า สถานี หรือท้องที่ในราชอาณาจักร
(รหัส C)

2. อายุวีซ่า 3 เดือน

3. ค่าธรรมเนียม 800 บาท ต่อครั้ง

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 30 วัน

5. จำนวนเงินที่คนต่างด้าวต้องมีติดตัวขณะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรคือ ต้องมีเงินหรือเอกสารที่จะพึงจ่ายหรือแลกเปลี่ยนได้เป็นมูลค่าเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยคนละไม่น้อยกว่า 10,000 บาท ครอบครัวละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท

6. เอกสารที่ใช้ยื่นประกอบในการขอรับการตรวจลงตรา
- หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง อายุใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- แบบฟอร์มวีซ่าที่กรอกข้อความสมบูรณ์
- รูปถ่ายขนาด 2 ½ นิ้ว จำนวน 2 รูป (ถ่ายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน /ไม่สวมหมวก และแว่นตาดำ)
- บัตรโดยสารเครื่องบิน ไป-กลับ หรือที่จะเดินทางไปยังประเทศที่สาม
- วีซ่าของประเทศที่สามในหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง (รหัส TS)
- หนังสือเชิญให้เข้าร่วมในการแข่งขันกีฬา (รหัส S)
- หนังสือรับรองว่าเป็นผู้ควบคุมพาหนะหรือเป็นคนประจำพาหนะที่เข้ามายังท่า สถานี หรือท้องที่ในราชอาณาจักร (รหัส C)
- ทั้งนี้ อาจขอให้แสดงเอกสารเพิ่มเติมหรือสัมภาษณ์ผู้ขอรับการตรวจลงตราด้วย

7. คนต่างด้าวที่ประสงค์จะขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยหรือเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่า ต้องยื่นคำร้อง ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โทร. 02-141-9889 เว็บไซต์ http://www.immigration.go.th/ การพิจารณาอนุมัติขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง


การตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยว (Tourist Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทนี้จะออกให้แก่คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว (รหัส TR)

2. อายุวีซ่า 3 เดือน หรือ 6 เดือน

3. ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท ต่อครั้ง

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 30 หรือ 60 วัน

หากผู้ได้รับการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวมีสัญชาติของประเทศที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว หรือมีสัญชาติของประเทศที่มีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรากับไทย จะได้รับอนุญาตให้พำนักครั้งละไม่เกิน 60 วัน หากเป็นผู้ที่มีสัญชาติอื่นจะได้รับอนุญาตให้พำนักครั้งละไม่เกิน 30 วัน

5. จำนวนเงินที่คนต่างด้าวต้องมีติดตัวขณะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรคือต้องมีเงินหรือเอกสารที่จะพึงจ่ายหรือแลกเปลี่ยนได้เป็นมูลค่าเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยคนละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท ครอบครัวละไม่น้อยกว่า 40,000 บาท

6. เอกสารที่ใช้ยื่นประกอบในการขอรับการตรวจลงตรา
- หนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง อายุใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- แบบฟอร์มขอวีซ่าที่กรอกข้อความสมบูรณ์
- รูปถ่ายขนาด 2 ½ นิ้ว จำนวน 2 รูป (ถ่ายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน / ไม่สวมหมวกและแว่นตาดำ)
- หลักฐานที่แสดงว่าจะเดินทางออกจากประเทศไทยหลังจากสิ้นสุดการท่องเที่ยว เช่น บัตรโดยสารเครื่องบินไป-กลับ หรือที่จะเดินทางไปยังประเทศที่สาม
- เอกสารจากบริษัทท่องเที่ยว (กรณีที่เดินทางมากับบริษัททัวร์)
- ทั้งนี้ อาจขอให้แสดงเอกสารเพิ่มเติมหรือสัมภาษณ์ผู้ขอรับการตรวจลงตราด้วย

7. คนต่างด้าวที่ประสงค์จะขยายระยะเวลาพำนักในประเทศไทยหรือเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่า ต้องยื่นคำร้อง ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โทร. 02-141-9889 เว็บไซต์ http://www.immigration.go.th/ การพิจารณาอนุมัติขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง


การตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทนี้จะออกให้แก่คนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- การปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ (รหัส F)

- การติดต่อหรือประกอบธุรกิจ และการทำงาน (ฺรหัส B)

- การลงทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง (รหัส IM)

- การลงทุนหรือการอื่นภายใต้ข้อบังคับกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (รหัส IB)

- การศึกษา ดูงาน และฝึกอบรมต่างๆ (รหัส ED)

- การปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน (รหัส M)

- การเผยแผ่ศาสนาที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (รหัส R)

- การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์หรือฝึกสอนในสถาบันการค้นคว้า หรือสถาบันการศึกษาในราชอาณาจักร (รหัส RS)

- การปฏิบัติงานด้านช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ (รหัส EX)

- การอื่น (รหัส O) ได้แก่

1) การเข้ามาใช้ชีวิตในบั้นปลายในฐานะผู้สูงอายุ

2) การเข้ามาในฐานะคู่ความหรือพยานสำหรับการพิจารณาดำเนินคดี

3) การปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจในครอบครัวคนต่างด้าว ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทางการทูต กงสุลหรือปฏิบัติภารกิจอื่น โดยเป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร ซึ่งอยู่ในความอุปการะและเป็นส่วนแห่งครัวเรือนของบุคคลดังกล่าว

4) การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคนรับใช้ส่วนตัวซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อมาทำงานตามปกติ ณ ที่พักอาศัยของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต หรือบุคคลซึ่งมีเอกสิทธิ์เท่าเทียมกัน กับบุคคลซึ่งมีตำแหน่งทางการทูตตามความตกลงที่รัฐบาลไทยได้ทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ หรือกับองค์การ หรือทบวงการระหว่างประเทศ

5) การให้ความอุปการะแก่หรือรับความอุปการะจากบุคคลสัญชาติไทย หรือบุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร โดยเป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร ซึ่งอยู่ในความอุปการะและเป็นส่วนแห่งครัวเรือนของบุคคลดังกล่าว

6) การปฏิบัติหน้าที่ให้แก่รัฐวิสาหกิจ หรือองค์การกุศลสาธารณะ

7) การเข้ามาในราชอาณาจักรของผู้เคยมีสัญชาติไทย เพื่อเยี่ยมญาติ หรือขอกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร

8) การเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อการรักษาพยาบาล

9) การเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อเป็นผู้ฝึกสอนนักกีฬาตามความต้องการของทางราชการ

2. อายุวีซ่า
- 3 เดือน สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรได้ครั้งเดียว (single entry)
- 1 ปี สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรได้หลายครั้ง (multiple entries)

3. ค่าธรรมเนียม 2,000 บาท (single entry) และ 5,000 บาท (multiple entries)

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 90 วัน

5. จำนวนเงินที่คนต่างด้าวต้องมีติดตัวขณะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร คือ ต้องมีเงินหรือเอกสารที่จะพึงจ่ายหรือแลกเปลี่ยนได้เป็นมูลค่าเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยคนละไม่น้อยกว่า 20,000 บาท ครอบครัวละไม่น้อยกว่า 40,000 บาท

6. การขยายระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร คนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาพำนักให้อยู่ต่อไปในราชอาณาจักรเป็นระยะเวลาครั้งละไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ คนต่างด้าวสามารถยื่นคำร้องได้ ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โทร. 02-141-9889 เว็บไซต์ http://www.immigration.go.th/ การพิจารณาอนุมัติขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง

7. เอกสารที่ใช้ยื่นประกอบในการขอรับการตรวจลงตรา
เนื่องจากการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการเดินทางเข้าประเทศไทยหลายประการ เอกสารหลักฐานที่ใช้ยื่นประกอบในการขอรับการตรวจลงตราจึงแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการเดินทาง และสถานทูตสถานกงสุลอาจขอให้แสดงเอกสารเพิ่มเติมหรือสัมภาษณ์ผู้ขอรับการตรวจลงตราด้วย

เอกสารที่ต้องนำไปแสดง ได้แก่
- หนังสือเดินทางที่มีอายุใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- แบบฟอร์มวีซ่าที่กรอกข้อความสมบูรณ์
- รูปถ่ายขนาด 2 ½ นิ้ว จำนวน 2 รูป (ถ่ายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน /ไม่สวมหมวกและแว่นตาดำ)

เอกสารประกอบตามวัตถุประสงค์ของการเดินทาง เช่น
การเข้ามาในฐานะเป็นบุคคลในครัวเรือนหรือในความอุปการะ (รหัส O)
- หลักฐานการเป็นบิดา มารดา บุตร / สูติบัตร / ใบสำคัญการสมรส
- หนังสือรับรองการทำงาน ใบอนุญาตทำงานที่ยังมีอายุใช้งาน ของผู้ที่ทำงานในประเทศไทย
- หลักฐานแสดงว่าคู่สมรสเป็นคนสัญชาติไทย หรือเป็นผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หลักฐานแสดงฐานะทางการเงิน
- หนังสือจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ แล้วแต่กรณี

เข้ามาเพื่อรับการรักษาพยาบาล (รหัส O)
- หนังสือตอบรับจากสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของรัฐในประเทศไทย

คู่ความหรือพยานในศาล (รหัส O)
- หนังสือหรือหมายจากศาลของไทย

การเข้ามาเพื่อใช้ชีวิตในฐานะผู้สูงอายุ (รหัส O)
- ผู้ร้องต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ระบุวัตถุประสงค์ว่าจะขอเข้ามาใช้ชีวิตในฐานะผู้สูงอายุหรือเกษียณ และจะไม่ทำงานในระหว่างพำนักในไทย
- หลักฐานแสดงฐานะทางการเงินหรือหลักฐานการได้รับเงินบำนาญ
(ต้องมีเงินฝากไม่น้อยกว่า 200,000 บาท หรือมีรายได้/บำนาญไม่น้อยกว่าเดือนละ 65,000 บาท)
(หมายเหตุ
1. เมื่อคนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศไทย เจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะพิจารณาอนุญาตให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 90 วัน การขยายระยะเวลาพำนัก จะต้องติดต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
2. หากเป็นการขอขยายระยะเวลาพำนักระยะยาว คือ 1 ปี สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะพิจารณาโดยใช้หลักเกณฑ์การเข้าเมืองของคนต่างด้าวซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปีบริบูรณ์ ซึ่งประสงค์จะขอรับการตรวจลงตราเพื่อเข้ามาพำนักในราชอาณาจักรคราวละไม่เกิน 1 ปี รหัส O-A โดยใช้หลักเกณฑ์ว่าผู้ร้องต้องมีหลักทรัพย์เป็นเงินฝาก 800,000 บาท หรือมีรายได้/บำนาญเดือนละ 65,000 บาท หรือมีเงินฝากและรายได้รวมกันไม่น้อยกว่า 800,000 บาท)

นักเรียน / นักศึกษา (รหัส ED)
- หนังสือตอบรับจากสถานศึกษา
- หนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (กรณีเป็นโรงเรียนเอกชน)

นักบวชที่จะเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา (รหัส ED)
- หนังสืออนุญาตจากสำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ

การปฏิบัติหน้าที่ราชการ (รหัส F ) การปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจ (รหัส B) การฝึกอบรม ดูงาน (รหัส ED)
- หนังสือจากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานรัฐบาล ที่เกี่ยวข้อง

การทำงาน (รหัส B)
- หนังสือกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน แจ้งผลการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในบริษัทฯ ที่ขอได้ (ในการขอรับหนังสือกรมการจัดหางานดังกล่าว นายจ้างที่จะจ้างคนต่างด้าวต้องไปยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตทำงานหรือ แบบ ตท.3 ณ กองงานคนต่างด้าว กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กท 10400 โทร. 245-2745 / 617-6578 / 617-6584 โทรสาร 617-6576 หรือที่สำนักงานแรงงานจังหวัด ซึ่งหากอนุญาตให้คนต่างด้าวดังกล่าวมาทำงานได้ตามที่ขอ กระทรวงแรงงานจะมีหนังสือแจ้งผลการอนุญาต ให้นายจ้างส่งหนังสือกรมการจัดหางานดังกล่าวให้คนต่างด้าวใช้เป็นเอกสารประกอบการขอวีซ่า)
- หนังสือจากบริษัทในประเทศไทยที่จะจ้างงานบุคคลต่างด้าวดังกล่าวชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการจ้างงาน พร้อมทั้งแนบเอกสารของบริษัท เช่น ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทฯ หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดจากกระทรวงพาณิชย์ / บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น / ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ถ้ามี) / ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม / งบการเงินปีล่าสุด ฯลฯ
[ หมายเหตุ
1. เมื่อคนต่างด้าวได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa “B”) จากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่แล้ว เมื่อเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ให้ไปติดต่อกองงานคนต่างด้าว เพื่อยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) และเมื่อได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว จึงจะสามารถทำงานได้
2. ในกรณีของคนต่างด้าวที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานและพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 1 ปี นายจ้างจะต้องยื่นคำร้องต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมื่อได้รับพิจารณาอนุมัติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะแจ้งให้สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ทราบโดยผ่านกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอให้ตรวจลงตรา Non-Immigrant Visa รหัส B-A ซึ่งพำนักได้ 1 ปี ให้แก่คนต่างด้าวนั้นต่อไป ]

การติดต่อธุรกิจ (รหัส B)
- หนังสือรับรองการทำงานของบริษัทที่ผู้ร้องทำงานอยู่ รวมทั้งระบุวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปประเทศไทย ชื่อบริษัท ห้างร้าน หรือหน่วยงานที่จะไปติดต่อ
- หลักฐานแสดงฐานะทางการเงินหรือการทำธุรกิจของผู้ร้อง (กรณีไม่ได้ทำงานกับริษัทหรือหน่วยงานใดๆ)
- หลักฐานแสดงสถานะทางการเงิน/โครงการที่จะเข้ามาประกอบในประเทศไทย (กรณีประสงค์จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบกิจการในประเทศไทย)
- หนังสือเชิญของบริษัทในประเทศไทยให้ผู้ร้องเดินทางไปประเทศไทยเพื่อติดต่อธุรกิจ (โดยต้องแนบเอกสารของบริษัท เช่น ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทฯ หรือห้างหุ้นส่วนจำกัดจากกระทรวงพาณิชย์ / บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น / ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ถ้ามี) / ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม / งบการเงินปีล่าสุด ฯลฯ)
- กรณีผู้ร้องอ้างว่าเป็นที่ปรึกษาของบริษัท ต้องมีสำเนาหนังสือแต่งตั้งบุคคลของบริษัทยื่นประกอบด้วย
( หมายเหตุ
1. สำเนาเอกสารของบริษัทฯ จะต้องให้กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทหรือหุ้นส่วนผู้จัดการลงนามและประทับตรารับรอง โดยต้องแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ลงนามด้วย
2. กรณีหนังสือของบริษัท ควรได้รับการรับรองจากสำนักงานทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์ อายุไม่เกิน 6 เดือน – 1 ปี เนื่องจากบริษัทหลายแห่งมิได้ดำเนินธุรกรรมใดๆ ในปัจจุบัน แต่นำเอกสารบริษัทเดิมไปใช้ในการรับรอง )

ครู / อาจารย์ในสถาบันการศึกษาเอกชน (รหัส B)
- หนังสือตอบรับการจ้างจากสถาบันการศึกษา
- หนังสืออนุมัติให้จ้างบุคคลดังกล่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช) หรือจากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ส่วนภูมิภาค)
- หลักฐานวุฒิการศึกษา
- หนังสือรับรองว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม


การตรวจลงตราประเภททูต (Diplomatic Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทนี้จำกัดเฉพาะการขอรับการตรวจลงตราเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตหรือกงสุล หรือการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และผู้ร้องจะต้องถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางสหประชาชาติ (UN Laissez-Passer) ซึ่งเทียบเท่าหนังสือเดินทางทูตเท่านั้น

2. ผู้ร้องจะต้องแสดงหนังสือนำจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือจากสถานเอกอัครราชทูตของประเทศผู้ขอ หรือจากหน่วยงานหรือองค์กรของสหประชาชาติที่ผู้ร้องสังกัดอยู่ โดยหนังสือรับรองจะต้องระบุชื่อ ตำแหน่ง และวัตถุประสงค์การเดินทางให้ชัดเจน

3. ยกเว้นค่าธรรมเนียม

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 90 วัน


การตรวจลงตราประเภทราชการ (Official Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทนี้จำกัดเฉพาะการขอรับการตรวจลงตราเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ และผู้ร้องจะต้องถือหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางสหประชาชาติ (UN Laissez-Passer) ซึ่งเทียบเท่าหนังสือเดินทางราชการเท่านั้น

2. ผู้ร้องจะต้องแสดงหนังสือนำจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือจากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุล/หน่วยราชการ ของประเทศผู้ขอ หรือจากหน่วยงาน หรือองค์กรของสหประชาชาติที่ผู้ร้องสังกัดอยู่ หรือจากหน่วยราชการของไทย โดยหนังสือรับรองจะต้องระบุชื่อ ตำแหน่ง และวัตถุประสงค์การเดินทางให้ชัดเจน

3. ยกเว้นค่าธรรมเนียม

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 90 วัน


การตรวจลงตราประเภทอัธยาศัยไมตรี (Courtesy Visa)

1. การตรวจลงตราประเภทอัธยาศัยไมตรีจำกัดเฉพาะการขอรับการตรวจลงตราเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

- การขอรับการตรวจลงตราของผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการ หรือหนังสือเดินทางสหประชาชาติที่เทียบเท่าหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการ เพื่อการอื่นนอกจากการเข้ามาประจำการในราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติหน้าที่การทูต หรือกงสุล หรือราชการ

- การขอรับการตรวจลงตราของผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ซึ่งประสงค์จะเข้ามาในราชอาณาจักรในฐานะเป็นพระราชอาคันตุกะ ราชอาคันตุกะ แขกของรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ

2. เอกสารประกอบในการขอรับการตรวจลงตรา
- หนังสือเดินทาง
- แบบฟอร์มคำร้องขอรับการตรวจลงตราที่กรอกข้อความสมบูรณ์ พร้อมรูปถ่าย
- หนังสือนำจากสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุล/หน่วยราชการ ของประเทศผู้ร้อง หรือจากหน่วยงานหรือองค์กรของสหประชาชาติที่ผู้ร้องสังกัดอยู่ หรือจากหน่วยราชการของไทย โดยหนังสือรับรองจะต้องระบุชื่อ ตำแหน่ง และวัตถุประสงค์การเดินทางให้ชัดเจน

3. อายุวีซ่า 3 เดือน หรือ 6 เดือน สามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรได้หลายครั้ง (multiple entries)

4. ระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน 30 วัน

5. ไม่เก็บค่าธรรมเนียม

6. การขยายระยะเวลาพำนัก เมื่อครบกำหนดตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว โดยทั่วไปสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะไม่อนุญาตให้อยู่ต่อไป เว้นแต่มีเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัยไม่สามารถเดินทางออกไปได้ โดยในการขอยื่นคำร้องขออยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะต้องมีหนังสือรับรองจากกระทรวงการต่างประเทศแจ้งขอเป็นรายๆ ไป เพื่อนำเรื่องเสนอผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งการ และต้องเสียค่าธรรมเนียมการขออยู่ต่อตามปกติ

วีซ่า

ข้อมูลทั่วไป

1. คนต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทยจะต้องขอรับการตรวจลงตราหรือขอวีซ่าจากสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยซึ่งตั้งอยู่ในประเทศที่ตนมีถิ่นพำนัก หรือจากสถานเอกอัครราชทูตไทยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลประเทศที่คนต่างชาติดังกล่าวมีถิ่นพำนัก หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานที่ขอวีซ่า กรุณาสอบถามได้จากสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยทุกแห่ง


สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่และที่ติดต่อของสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทย สามารถดูได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศที่ http://www.thaiembassy.org

2. คนต่างชาติบางสัญชาติสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งมี 2 กลุ่มดังนี้
(1) ประเทศที่ได้รับยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว และสามารถพำนักอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน ดูรายละเอียดได้ที่ รายชื่อประเทศที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว และสามารถพำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ประเทศที่มีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรากับประเทศไทย ดูรายละเอียดได้ที่ รายชื่อประเทศที่ได้ทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูต ราชการ และธรรมดา กับประเทศไทย

3. คนต่างชาติบางสัญชาติสามารถมาขอรับการตรวจลงตราที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทยบางแห่งที่กำหนดไว้ เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยได้ (visa on arrival) ดูรายละเอียดได้ที่ รายชื่อประเทศที่สามารถขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) และพำนักอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 15 วัน

4. คนต่างด้าวที่เดินทางมาจากประเทศเขตติดโรคไข้เหลืองจะต้องแสดง “เอกสารระหว่างประเทศรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลือง” (International Health Certificate on Yellow Fever Vaccination) ในการยื่นคำร้องขอรับการตรวจลงตรา ณ สถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ รวมทั้งจะต้องแสดงเอกสารดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศได้ ดูรายละเอียดได้ที่ หลักเกณฑ์การตรวจลงตราแก่คนต่างด้าวที่เดินทางมาจากประเทศที่เป็นเขตติดโรคไข้เหลือง

5. คุณสมบัติโดยทั่วไปของผู้ที่จะยื่นขอวีซ่าเข้าไทยได้มีดังนี้
- ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางที่ถูกต้องสมบูรณ์ และมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- มีหลักฐานแสดงว่าจะเดินทางออกจากประเทศไทยหลังจากสิ้นสุดการพำนักในไทย เช่น ตั๋วเครื่องบิน และมีวีซ่าหรือหลักฐานว่าสามารถเดินทางกลับประเทศที่มีถิ่นพำนัก หรือเดินทางต่อไปยังประเทศอื่นได้ (ในกรณีขอเดินทางผ่าน)
- ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เช่น เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลไทยหรือคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน หรือเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีเงินค่าใช้จ่ายเพียงพอในขณะพำนักในไทยตามระเบียบกำหนดคืออย่างน้อยคนละ 20,000 บาท เป็นต้น

6. ในการขอวีซ่านั้น คนต่างชาติจะต้องขอรับการตรวจลงตราให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ การอนุมัติวีซ่าอยู่ในดุลพินิจของสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ และในการตรวจลงตราให้แก่คนต่างชาติบางสัญชาติ ได้มีการกำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์การพิจารณาเป็นพิเศษ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทุกแห่ง

7. เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการเดินทาง คนต่างชาติที่จะขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าประเทศไทยควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับอายุของวีซ่า (visa validity) และระยะเวลาพำนัก (period of stay) อายุของวีซ่าหมายถึงระยะเวลาที่ผู้ได้รับวีซ่าสามารถใช้เดินทางมาประเทศไทยได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กงสุลจะเป็นผู้กำหนดอายุของวีซ่าและจะปรากฏอยู่ในวีซ่าสติ๊กเกอร์หรือตราประทับวีซ่าของสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ โดยทั่วไปอายุของวีซ่าคือ 3 เดือนนับจากวันที่ออกวีซ่า แต่ในบางกรณีและสำหรับวีซ่าบางประเภทอายุของวีซ่าอาจเป็น 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือ 3 ปี

ส่วนระยะเวลาพำนักหมายถึงระยะเวลาที่ผู้เดินทางได้รับอนุญาตให้พำนักในประเทศไทยได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาพำนักเมื่อคนต่างชาติเดินทางมาถึง และจะปรากฏอยู่ในตราประทับขาเข้า ระยะเวลาพำนักขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่า เช่น transit visa จะได้รับอนุญาตให้พำนักได้ไม่เกิน 30 วัน tourist visa ไม่เกิน 30 วันหรือ 60 วัน และ non-immigrant visa ไม่เกิน 90 วัน หากมีความจำเป็นต้องอยู่เกินกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตดังกล่าว คนต่างชาติต้องไปยื่นคำร้องขออนุญาตอยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (มีสำนักงานทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด) มิฉะนั้น หากอยู่เกินกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต จะถูกปรับวันละ 500 บาทรายละเอียดเกี่ยวกับการขออนุญาตอยู่ต่อ สอบถามได้จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โทร. 0-2141-9889 หรือดูที่เว็บไซต์ www.immigration.go.th

8. คนต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยด้วยวีซ่าประเภทใด ๆ ก็ตาม ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตทำงาน ดังนั้น คนต่างชาติที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยจะต้องขอรับการตรวจลงตราประเภทที่ถูกต้องคือ Non-Immigrant Visa “B” เพื่อที่จะสามารถยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานได้ รายละเอียดเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตทำงานดูได้ที่เว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ที่ www.doe.go.th/workpermit/index.html

9. สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยมีอำนาจหน้าที่ในการให้วีซ่าแก่คนต่างชาติเพื่ออนุญาตให้เดินทางมาประเทศไทยได้ อย่างไรก็ดี การอนุญาตให้เข้าประเทศไทย รวมทั้งการกำหนดระยะเวลาที่จะอนุญาตให้พำนักในประเทศไทย เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ดังนั้น คนต่างชาติที่ได้รับวีซ่าแล้วบางรายอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศได้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาแล้วเห็นว่าบุคคลดังกล่าวมีลักษณะหรือพฤติการณ์เป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522


ประเภทของการตรวจลงตรา

1. การตรวจลงตราประเภทคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (Transit Visa)

2. การตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa)

3. การตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa)

4. การตรวจลงตราประเภททูต (Diplomatic Visa)

5. การตรวจลงตราประเภทราชการ (Official Visa)

6. การตรวจลงตราประเภทอัธยาศัยไมตรี (Courtesy Visa)

-------------------------
วีซ่า คืออะไร?



วีซ่าในที่นี้มาจากคำภาษาอังกฤษว่า "VISA" ซึ่งหมายถึงหลักฐานการอนุญาตให้เข้าประเทศที่ทำเป็นรอยตราประทับ หรือเป็นแผ่นกระดาษสติกเกอร์ติด อยู่ในหนังสือเดินทาง โดยเป็นหลักการเดียวกันของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่ได้ถือปฏิบัติว่า ก่อนที่คนของประเทศหนึ่งจะเดินทางเข้าไปอีกประเทศหนึ่ง ประเทศใด ก็จะต้องไปขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศจากกงสุลของประเทศที่จะเดินทางไปเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็จะได้รับการประทับตราวีซ่า หรือติดเป็นสติกเกอร์ที่เป็นวีซ่าให้ในหนังสือเดินทาง



ตามปกติโดยทั่วไปแล้วถึงแม้ว่าการเดินทางระหว่างประเทศ จะต้องขอวีซ่าสำหรับเดินทาง เข้าประเทศนั้นๆ เสียก่อนก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบางประเทศที่ได้ทำความตกลงไม่ต้องขอวีซ่าระหว่างกันก็ได้ หรือบางประเทศอาจยกเว้นโดย การอนุญาตให้คนบางสัญชาติเดินทางเข้าไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเลยก็ได้

สำหรับในส่วนของประเทศไทยนั้น เป็นลักษณะผสม 3 อย่าง คือ
ต้องขอวีซ่าจากต่างประเทศก่อนเดินทางเข้ามา โดยขอวีซ่าที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า VISA ON ARRIVAL ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบางด่านหรือที่สนามบินนานาชาติในประเทศไทย บางกรณีมีการยกเว้นสำหรับคนที่มีสัญชาติของบางประเทศ ไม่ต้องขอวีซ่าเลยก็สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ แต่ว่า พวกที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีวีซ่านี้ ก็จำกัดเพียงเฉพาะคนสัญชาติของประเทศที่มีความเจริญ และมีฐานะค่อนข้างดี ที่มีความประสงค์จะเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยวในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 30 วัน เท่านั้น

การตรวจลงตรา (วีซ่า) มีอยู่หลายประเภท บางประเภทจะออกให้สำหรับบุคคลที่ถือหนังสือเดินทางฑูต หรือหนังสือเดินทางราชการเท่านั้น บางประเภทจะออกให้กับคนต่างด้าวทั่วไปที่ต้องการจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว และบางประเภทจะเป็นวีซ่าเกี่ยวกับผู้ที่จะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งวีซ่าในแต่ละประเภทนี้ จะมีสิทธิแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของระยะเวลาที่จะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็น ระยะเวลายาวนานไม่เท่ากัน และค่าธรรมเนียมวีซ่าก็แตกต่างกันด้วย ดังต่อไปนี้


วีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการฑูต (DIPLOMATIC VISA)


วีซ่าชนิดนี้จะออกให้สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางฑูต เพื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมวิธีการขอกระทำได้โดยการยื่นคำขอวีซ่าที่สถานฑูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ แต่หากผู้ถือหนังสือเดินทางฑูตของประเทศนั้นเป็นประเทศที่มีความตกลงกับประเทศไทยว่าด้วย การยกเว้นการตรวจลงตราระหว่างกัน ก็จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า คนต่างด้าวประเภทนี้เมื่อเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรจะได้รับการอนุญาตให้อยู่ต่อในขั้นต้น ณ ด่านตรวจ เป็นเวลา 90 วัน

วีซ่าสำหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นทางการ (OFFICIAL VISA)

วีซ่าชนิดนี้ออกให้กับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการเพื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ซึ่งมีวิธีการขอวีซ่าหรือมีการยกเว้น ไม่ต้องมีวีซ่าสำหรับบางประเทศที่มีข้อตกลงระหว่างกัน ในทำนองเดียวกันกับวีซ่าสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการฑูต ผู้ถือวีซ่าชนิดนี้เมื่อเดินทางเข้ามาใน ราชอาณาจักรจะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา 90 วัน ณ ด่านตรวจเช่นกัน

วีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (NON-IMMIGRANT VISA)

วีซ่าชนิดนี้คนต่างชาติจะต้องไปยื่นคำขอที่สถานเอกอัครราชฑูต หรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ โดยต้องระบุแจ้งเหตุผลลงในแบบคำขอวีซ่าด้วยว่าต้องการจะเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยความมุ่งหมายใด วีซ่าชนิดนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราวชนิดเดียวเท่านั้น ที่สามารถใช้ยื่นขอรับใบอนุญาตทำงานได้ และการจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้นั้น ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าที่ขอเข้ามาในประเทศไทยว่า ต้องไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน คนต่างด้าวผู้ใด

ในปัจจุบันจะเป็นสติกเกอร์ติดลงไปในหนังสือเดินทาง แต่อาจมีกงสุลไทยบางแห่งซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ที่ยังใช้เป็นตราประทับอยู่ แต่ก็ใช้ได้เหมือนกัน โดยสติกเกอร์หรือรอยตราประทับดังกล่าวจะมีข้อความระบุบอกว่าเป็นวีซ่าประเภทอะไร มีรหัสว่าอะไร เช่น ถ้าขอเพื่อไปทำงานในวีซ่าก็จะระบุว่า NON-IMMIGRANT VISA class B ถ้าขอเพื่อเข้ามาศึกษาก็จะเป็น class ED หรือถ้าเป็น O ก็หมายถึง OTHER คือพวกที่อยู่ใน (10) ดังกล่าวข้างต้น และในวีซ่านั้นจะระบุกำหนดระยะเวลาให้ใช้วีซ่าว่าให้ใช้ตั้งแต่วันที่ออกให้ จนถึงเมื่อใด ระยะเวลาตรงนี้มีผู้เข้าใจผิดกันมาก โดยมักจะเข้าใจว่าเป็นระยะเวลาที่อนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เช่นนั้น เพราะว่าระยะเวลาที่ระบุไว้นั้น เป็นเพียงกำหนดระยะเวลาที่ให้ใช้วีซ่าเดินทาง เข้าประเทศไทยเท่านั้นเอง และเมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยในระหว่างเวลาที่กำหนดให้ใช้วีซ่า ก็จะได้รับการประทับตราอนุญาตให้อยู่ได้เป็นเวลา 90 วัน ณ ด่านตรวจ แม้ว่าจะเดินทางเข้า ประเทศไทยในวันสุดท้ายของระยะเวลาให้ใช้วีซ่าที่ระบุไว้นั้นก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกำหนดระยะเวลาการอนุญาตในขั้นต้นสำหรับวีซ่าประเภทนี้

นอกจากนั้นแล้ว หากเห็นว่ามีถ้อยคำเป็นภาษาอังกฤษว่า NO EXTENSION OF STAY (ไม่อนุญาตให้อยู่ต่อ) ที่ปรากฏอยู่ในวีซ่า หากการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตามวีซ่าที่ได้รับไว้ตั้งแต่แรกขณะที่เดินทางเข้ามาจะสิ้นสุดลง คนต่างด้าวนั้นก็มีสิทธิที่จะยื่นคำขออยู่ต่อได้ตามเหตุผล และความจำเป็นของตน ถ้าหากผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นว่า มีเหตุผล หรือความจำเป็นจริง ก็จะอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปได้ หรือหากว่าคนต่างด้าวผู้นั้นมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การอนุญาตให้อยู่ต่อของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กำหนดไว้ ก็จะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ต่อได้

วีซ่าประเภทนักท่องเที่ยว (TOURIST VISA)


วีซ่าประเภทนักท่องเที่ยว ต้องยื่นคำขอจากนอกประเทศไทยเช่นเดียวกับ NON-IMMIGRANT VISA เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทยจะได้รับอนุญาต ณ ด่านตรวจ ให้อยู่เป็นเวลา 60 วัน และขออยู่ต่อได้อีก 30 วัน (เฉพาะประเทศศรีลังกา บังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล อิหร่าน ไนจีเรีย โตโก ยูกันดา จะขอเลื่อนการเดินทางออกไปได้อีกเพียง 7 วัน ตามนโยบายของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) วีซ่าชนิดนี้สามารถขออยู่ต่อในระยะยาวได้เช่นกันหากมีความจำเป็น เพราะกฎหมายให้อำนาจอธิบดีกรมตำรวจ (ปัจจุบันคือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) เป็นผู้พิจารณาอนุญาตให้อยู่ต่อได้ครั้งละไม่เกิน 1 ปี เพียงแต่ว่าวีซ่าชนิดนี้ไม่สามารถ ใช้ขออนุญาตทำงานได้เท่านั้นเอง อนึ่ง คนต่างด้าวผู้ที่ถือ TOURIST VISA หากเขาต้องการจะขออนุญาตทำงานในประเทศไทย หรือเกรงว่าถ้าไม่มี NON-IMMIGRANT VISA ตามที่ได้รับคำบอกเล่าของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว จะไม่สามารถขออยู่ต่อระยะยาวได้ ก็มีสิทธิยื่นคำขอเปลี่ยนวีซ่าประเภทเป็น NON-IMMIGRANT VISA ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่ว่าจะได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนประเภทวีซ่าหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


วีซ่าประเภทคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (TRANSIT VISA)

วีซ่าสำหรับคนเดินทางผ่าน การยื่นคำขอวีซ่าชนิดนี้ก็เหมือนกับ การขอ Tourist Visa ทุกประการ คงมีข้อต่างกันเฉพาะชื่อวีซ่า และเรื่องระยะเวลาการอนุญาตให้พำนัก อยู่ในประเทศไทยขณะเมื่อผ่านด่านตรวจ กับจำนวนเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าเท่านั้น วีซ่าชนิดนี้เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย จะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่เป็นเวลา 30 วัน ณ ด่านตรวจ และสามารถยื่นคำขออยู่ต่อได้อีก 30 วัน (เฉพาะประเทศศรีลังกา บังคลาเทศ อินเดีย ปากีสถาน เนปาล อิหร่าน ไนจีเรีย โตโก ยูกันดา จะขอเลื่อนการเดินทางออกไปได้อีกเพียง 7 วัน เช่นเดียวกับพวกที่มี Tourist Visa) แต่ในกรณีจำเป็นก็อาจคำขออยู่ต่อได้ เช่นเดียวกับ Tourist Visa ดังได้กล่าวมาแล้ว วีซ่าชนิดนี้ไม่สามารถใช้ขอใบอนุญาตทำงานได้ แต่อาจขอเปลี่ยนเป็น NON-IMMIGRANT VISA เช่นเดียวกับ TOURIST VISA

วีซ่าประเภทคนเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา41 (IMMIGRANT VISA UNDER SECTION 41)


วีซ่าชนิดนี้เป็นวีซ่าสำหรับออกให้แก่คนต่างด้าว ที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยจากคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันไม่มีการออก วีซ่าชนิดนี้ เนื่องจากไม่มีระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการยื่นคำขอเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยผ่านสถานฑูต หรือสถานกงสุลในต่างประเทศแต่อย่างใด คงมีแต่การเข้ามายื่นคำขอมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย เท่านั้น

วีซ่าประเภทคนเข้าเมืองนอกกำหนด จำนวนคนต่างด้าว ซึ่งจะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี (NON-QUOTA IMMIGRANT VISA)



วีซ่าชนิดนี้จะออกให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยแล้ว แต่ประสงค์จะเดินทางไปต่างประเทศ และจะกลับเข้ามามีถิ่นที่อยู่ตามเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น Re-Entry Visa ของผู้มีถิ่นที่อยู่ โดยทำเป็นตราประทับลงไปในหนังสือเดินทาง และต้องใช้คู่กันกับใบสำคัญถิ่นที่อยู่ ซึ่งต้องมีการสลักหลัง (Endorsement) ด้วยทุกครั้งที่เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร ค่าธรรมเนียมของวีซ่าชนิดนี้เป็นเงินจำนวน 1,900 บาท สำหรับการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร 1 ครั้ง และจำนวน 3,800 บาท สำหรับการเดินทางกลับเข้ามาหลายครั้ง โดยจะมีกำหนดอายุการใช้ตามอายุของสลักหลังในใบสำคัญถิ่นที่อยู่

วีซ่าประเภทอัธยาศัยไมตรี (COURTESY VISA)

วีซ่าชนิดนี้เป็นวีซ่าที่ออกให้แก่ผู้ที่ถือหนังสือทางราชการ เพื่อจะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม

http://www.imageholiday.com/wizContent.asp?wizConID=320&txtmMenu_ID=7

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยิปซี​พยากรณ์​ ​วัน​ที่​ 17 ​กรกฎาคม​ 2554​

ราศีมังกร (16 ม.ค. - 12 ก.พ.)
รู้สึกท้อแท้ อยากหนีอยากปลีกตัวเองออกจากโลกภายนอก ขาดกำลังใจอย่างมาก ให้หาเวลาไปพักผ่อนเติมพลังให้ชีวิตแล้วกลับมาสู้กันใหม่ การงานเบื่อหน่าย เจอปัญหารุมเร้า ทั้งจากคนร่วมงานและงานที่ได้รับมอบหมายไม่ลงตัว ช่วงกลางลงมามีแนวโน้มขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน บริวารก่อปัญหา ให้พึ่งพาตัวเองเป็นดีที่สุด “ไพ่ 5 เหรียญ” การเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง รายจ่ายมากมายทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ห้ามรับปาก อย่าเพิ่งสงสารเห็นใจใครเอาตัวเองให้รอดก่อนจะดีกว่า ความรักรู้สึกเหงาอย่างแรง คนโสดยิ่งพยายามตามหายิ่งเหมือนอยู่ห่างไกล ทำให้รู้สึกเดียวดาย ส่วนคนมีแฟนแล้วไม่ค่อยมีเวลาให้กัน ไม่หวานกันเหมือนเดิม ต้องหากิจกรรมแปลกใหม่ทำร่วมกันจะสานสัมพันธ์รักดีขึ้น

ราศีกุมภ์ (13 ก.พ. - 13 มี.ค.)  
คิด จนหัวแทบระเบิดก็ยังตัดสินใจไม่ถูก แนะนำให้ปรึกษาผู้ใหญ่ หรือผู้รู้จะทำให้คุณเจอทางออกแบบไม่ลังเล การงานมีแนวโน้มได้เปลี่ยนงาน ได้เริ่มต้นงานใหม่ หรืออาจมีงานเสริมเพิ่ม ช่วงนี้มีแต่คนต้องการตัว และตัวคุณเองก็มีโครงการร้อยแปดที่อยากสานต่อ ทำให้มีการเริ่มต้นอยู่เสมอ ๆ ช่วงปลายอย่ารอช้าหากมีข้อเสนอตกปากรับคำได้ “ไพ่ ราชาเหรียญ” การเงินไหลลื่น หยิบจับลงทุนทำอะไรก็ได้ผลตอบแทนที่ดี เป็นช่วงเวลาของการตักตวง ช่วงต้นถึงกลางมีโชคลาภทั้งจากคนสูงวัยและอายุน้อยกว่า ความรักหอมหวาน กำลังวางแผนอนาคตร่วมกัน ส่วนคนโสดเล็งไว้หลายคนจนเลือกไม่ถูก จะมีคนอายุมากกว่ามาเกี่ยวพัน และให้ข้าวของด้วยความเสน่หา

ราศีมีน (14 มี.ค. - 12 เม.ย.)  
จู่ๆ ก็เลือดร้อนบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่คิด ทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย ช่วงกลางหากเดินทางไกลต้องไม่ประมาท มีดวงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การงานช่วงต้นผลงานดีโดดเด่น ได้รับคำชมจากผู้บังคับบัญชา แต่ช่วงกลางลงมาเริ่มแผ่วหลงตัวเองทำให้มีปัญหาจุกจิกบ้าง แต่เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาช่วยแก้ไข พยายามทำใจให้สบายแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น การเงินหมุนเวียนคล่อง ถ้าไม่พลาดหลวมตัวถูกใครหลอก ไม่ควรให้ใครหยิบยืมหรือลงทุนเสี่ยง ๆ จะได้ไม่คุ้มเสีย “ไพ่ 2 ถ้วย” ความรักหากกำลังมีปากเสียง ไม่เข้าใจกันขอให้สงบไว้ ช่วงปลายจะเข้าอกเข้าใจคืนดีกันได้ ส่วนคนโสดจะเริ่มต้นด้วยความมิตรภาพความเป็นเพื่อน ก่อตัวขึ้นเป็นความรักตามลำดับ

ราศีเมษ (13 เม.ย. - 13 พ.ค.)  
ปัญหา ที่มีเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี “ไพ่ เดอะ สตาร์ ” แสงแห่งความหวังทอประกาย สิ่งที่คาดหวังเอาไว้จะประสบความสำเร็จ การงานผ่อนคลายจากงานที่หนักหนาถาโถมก็เริ่มลดน้อยลง ไม่เจอเรื่องรีบเร่ง เพื่อนร่วมงานสามัคคีช่วยเหลือทำให้งานไหลลื่น ช่วงกลางมีดวงได้เริ่มต้นในสิ่งที่อยากทำ มีงานเสริม ขอแค่เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง การเงินกำลังมีข่าวดี หากกำลังรอลุ้นผลตอบแทนอยู่จะได้สมหวัง ช่วงต้นและกลางเหมาะในการลงทุน การขยับขยายมีโชคลาภเข้ามาบ้าง ความรักคนโสดหน้าบานมีความสุข ช่วงนี้เสน่ห์เข้าตาโดนใจมีทั้งเพศเดียวกัน เพศตรงข้ามมาแจกขนมจีบเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว ส่วนคนมีแฟนแล้วหวานชื่น ได้ไปพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศด้วยกัน

ราศีพฤษภ (14 พ.ค. - 13 มิ.ย.)  
จิต ใจหมกมุ่นแต่เรื่องรักใคร่ เรื่องอื่นไม่ค่อยสนใจ ช่วงปลายระวังปัญหาขัดแย้งเพราะความเข้าใจผิด มีมือที่สามมายุแหย่ การงานวิ่งวุ่น เพราะคุณรับงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ช่วงต้นถึงกลางจึงหัวปั่นไม่ค่อยได้อยู่นิ่ง แต่ก็ได้มิตรภาพใหม่ ๆเพิ่มขึ้น ช่วงปลายงานไม่รุ่ง มีอุปสรรคร้อยแปด ขอให้อดทน หากใช้อารมณ์ตัดสินปัญหาจะบานปลาย การเงินใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หมดเปลืองไปกับเรื่องรัก เฮฮา ท่องเที่ยว ช่วงปลายระวังทำของหาย ถูกหลอกถูกโกงจะลงทุนอะไรต้องคิดให้รอบคอบ “ไพ่ 9 ถ้วย” ความรักเจอเรื่องแปลกใหม่ น่าตื่นเต้น เนื้อหอมกับคนมีเจ้าของแล้ว คนโสดได้คู่ควงแน่แต่ยังอาจไม่ใช่รักแท้ ส่วนคนมีแฟนแล้วต้นหวาน ปลายขม ระวังเรื่องทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นเลิกรา

ราศีเมถุน (14 มิ.ย. - 14 ก.ค.)  
“ไพ่ 9 ดาบ” สุขภาพเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด อยู่เฉย ๆ ก็อาจมีคนเอาเชื้อมาเผยแพร่ ต้องดูแลตัวเองให้ฟิตปั๋งอยู่เสมอ หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ การงานมีดวงในการโยกย้าย เปลี่ยนงาน ได้รับข่าวดีจากงานที่สมัครไว้ หากงานหนักจะมีผู้ช่วยมาผ่อนแรง ช่วงปลายตรงข้ามเหนื่อยเพิ่มเป็น 2 เท่า อาจต้องรับผิดชอบงานแทนผู้อื่น งานเพิ่มพูน และมักเจองานเร่งด่วน การเงินมีโชคลาภจากการเดินทาง แต่มีแนวโน้มต้องเสียไปกับค่ารักษา และปัญหาที่ผู้อื่นหามาให้ ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ให้ดี ความรักมีแนวโน้มได้พบรักกับคนอายุน้อยกว่า หากชอบเด็กอยู่แล้วคงยิ้มออก ส่วนคนมีแฟนแล้วรักมั่นคง แต่ต้องดูแลกันและกันให้ดี จะมีข่าวซุบซิบนินทาให้คิดมาก

ราศีกรกฎ (15 ก.ค. - 16 ส.ค.)  
อึด อัดเจอคนคอยจ้องจับผิด ต้องเร่งทำผลงานอยู่เสมอ และต้องไม่ออกนอกลู่นอกทาง การงานล้นมือ เจอแต่งานเร่งรีบที่มีกำหนดเวลา คุณต้องเร่งตัวเองให้ทันเพื่อนมิฉะนั้นจะเป็นเป้านิ่งที่ถูกจับตามอง แต่ไม่น่าห่วงมาก เพราะผลงานเดิมจะยังกู้หน้าให้คุณได้อยู่ ช่วงปลายมีปัญหาจุกจิกกับเพื่อนร่วมงาน บริวาร ต้องให้ผู้ใหญ่ช่วยเคลียร์ถึงจะเรียบร้อย “ไพ่ 4 เหรียญ” การเงินต้องใช้จ่ายประหยัดขึ้น รายจ่ายเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย หากคิดลงทุนกว่าจะได้ทุนคืนต้องรอยาว ระวังเดือดร้อนเพราะคนอายุน้อยกว่า ความรักหนีไม่พ้นเรื่องหึงหวง มีปากเสียงจุกจิกตลอด อย่าพยายามขุดคุ้ยเรื่องเดิม ความไว้วางใจจะนำความหวานชื่นมาสู่ชีวิตคู่ ส่วนคนโสดมีคนที่ไม่ชอบมาติดพัน

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. - 16 ก.ย.)  
ต้อง แบกภาระของใครต่อใครไว้มากมายทำให้รู้สึกเหนื่อย ท้อ ช่วงนี้อย่าไปรับปากใคร ความหน้าใหญ่ใจโตจะนำความเดือดร้อนมาให้ “ไพ่ 10 คทา” การงานเหนื่อยแบบสุด ๆ คิดหาใครมาช่วยแบ่งเบาคงต้องผิดหวัง พึ่งพาตัวเองไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ช่วงกลางมีดวงได้เริ่มต้น ได้หยิบจับงานใหม่ มีงานเสริมมาเพิ่มความก้าวหน้า การเงินน้ำท่วมปาก ตัวเองจะเอาตัวไม่รอด ยังต้องแบกรับปัญหาของคนอื่น หากปฏิเสธได้ให้รีบบอกปัดไป ช่วงกลางพอมีลาภลอยออกแนวลาภปากได้กินฟรี ความรักคนโสดเล็ง ๆ ใครไว้เป็นต้องอด ดันไปแอบชอบคนมีเจ้าของ ช่วงปลายลองหาจังหวะไปเที่ยวพักผ่อนมีดวงได้เจอคนถูกใจ ส่วนคนมีแฟนแล้วเวลาและระยะทางเป็นอุปสรรค แต่รักยังหวานอยู่

ราศีกันย์ (17 ก.ย. - 16 ต.ค.)  
ไม่ ค่อยพออกพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ จึงต้องขวนขวายหาสิ่งที่ต้องการ จึงไม่ค่อยได้อยู่นิ่ง ๆ มีดวงเดินทางไกล ย้ายที่อยู่ การงานกำลังเบื่อสิ่งเดิม ๆ อยากเปลี่ยนอยากย้ายซึ่งก็มีโอกาสดี ช่วงนี้ให้รีบร่อนใบสมัคร มีแววได้เรียกสัมภาษณ์ คุณอาจเปลี่ยนรูปแบบไปทำในงานที่ไม่เคยทำมาก่อน ช่วงปลายระวังความหุนหันจะเป็นเหตุให้คุณเดือดร้อน การเงินมีลาภจากการเดินทาง หรือคนที่มาจากที่ไกลนำมาให้ หากกำลังรอลุ้นมรดกจะมีข่าวดี ช่วงปลายระวังถูกหลอกถูกโกง ปฏิเสธการลงทุนและการขอหยิบยืมให้หมด “ไพ่ เจ้าชายถ้วย” ความรักคนโสดกำลังโหยหาแบบสุด ๆ ช่วงกลางมีคนอายุน้อยกว่าเข้ามาพัวพัน มีรักกุ๊กกิ๊ก ส่วนคนมีแฟนแล้วรู้สึกเหงา ๆ คนรักไม่ค่อยเข้าใจ

ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 16 พ.ย.)  
ช่วง ต้นดี ช่วงปลายร้าย ต้องระวังความขัดแย้ง ถึงแม้จะอยู่เฉยก็มีคนคอยพาลหาเรื่องตลอด ต้องใช้ความอดทนเข้าช่วย “ไพ่ เดอะ เดวิล” การงานช่วงต้นผ่านฉลุย งานที่ได้รับมอบหมายเสร็จทันกำหนด ได้งานเสริมเพิ่ม คุณกำลังเป็นที่ต้องการ ช่วงปลายระวังงานผิดพลาด ศัตรูคู่แข่งคอยจ้องจับผิด ใส่ร้ายให้เสียชื่อเสียง อย่าไว้วางใจใครมากเกินไป การเงินหากชอบลุ้นเสี่ยงช่วงต้นเหมาะสุด ๆ ถ้าให้ใครหยิบยืมไปจะได้ผลตอบแทนกลับคืน แต่ช่วงปลายระวังรายจ่ายมาก โดยเฉพาะอุบัติเหตุ การซ่อมแซม ความรักคนโสดช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อยู่เฉย ๆ จะมีคนมาสะดุดรักคุณเอง แต่ต้องระวังพวกเจ้าชู้ อย่าวางใจใครง่าย ส่วนคนมีแฟนแล้วหอมหวาน แต่พอบทจะร้ายก็พูดกันไม่รู้เรื่อง

ราศีพิจิก (17 พ.ย. - 15 ธ.ค.)  
เน้น มิตรภาพกับคนรอบข้าง ช่วงนี้คุณได้เพื่อนใหม่ ได้เรียนรู้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น “ไพ่ 5 คทา” การงานช่วงต้นดีไม่มีสะดุด มีผู้ช่วยมาแบ่งเบางาน เจรจาติดต่อราบรื่น หากคิดอยากเสนออะไรให้รีบพูด ช่วงนี้ราศีจับที่ปากขออะไรใครมักไม่พลาด ส่วนช่วงปลายงานสะดุดบ่อย เจองานเร่งรีบไม่ถนัด ไหว้วานใครไม่ค่อยมีคนช่วย ระวังปัญหาขัดแย้งขัดใจ การเงินมีดวงได้ลาภจากความเสน่หา ต้องทำตัวดีเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ช่วงต้นถึงกลางเหมาะในการทำเรื่องขอกู้ยืม ความรักคนโสดได้สมรักสมปอง ได้เจอคนถูกใจ มีรักหอมหวาน ส่วนคนมีแฟนแล้วช่วงต้นถึงกลางหวานชื่น หากกำลังมีปัญหาขัดแย้งคาใจจะเข้าใจกันได้ แต่ถ้าทำธุรกิจร่วมกันความคิดเห็นจะคนละแนวมีปัญหาจุกจิก

ราศีธนู (16 ธ.ค. - 15 ม.ค.)
กำลัง คิดถึงเพื่อนเก่า นึกถึงอดีต ทำให้คุณพยายามตามหาสิ่งที่ผ่านมาแล้ว มีดวงได้เลี้ยงสังสรรค์เพื่อนฝูง ได้พูดคุยถึงอดีต เจอคนรักเก่า กลับบ้านเยี่ยมเยียนพ่อแม่ การงานได้รับข้อเสนอใหม่ ๆ ผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดู หากคิดลงทุนทำธุรกิจกับครอบครัว คนสนิทจะประสบความสำเร็จอย่างมาก “ไพ่ วีล ออฟ ฟอร์ทูน” โอกาสดีกำลังวิ่งเข้ามา โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง กำลังมีดวงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ขายที่ดิน โชคลาภต่าง ๆ หากกำลังอยากลองเสี่ยงลองลุ้นไม่ผิดหวัง จะได้รับข้อเสนอ และมีรายรับเสริมเพิ่ม ความรักถ่านไฟเก่ากำลังคุกรุ่น คนรักเก่ามีแนวโน้มจะกลับมาคืนดีกัน คู่ที่ห่างกันไปจะได้เจอกันให้หายคิดถึง บรรยากาศรักเต็มไปด้วยความอบอุ่นทั้งคนโสดและไม่โสด.

อ.คฑา ชินบัญชร

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ห่านคู่

ห่านคู่...สู่ออนไลน์ เก๋า แต่ ไม่แก่

ถ้าลองคลิกหาคำว่า "เสื้อห่านคู่" หรือใช้คำที่ใกล้เคียงกันนี้ในอินเทอร์เน็ต จะพบว่าห่านคู่มีเรื่องราวบอกเล่าความเป็นมาและความผูกพันร่วมกับผู้รักเสื้อห่านคู่อยู่ไม่น้อย แม้กระทั่งในสังคมออนไลน์สุดฮิตอย่างเฟซบุ๊กก็ยังมีการสร้างหน้าเพจ "เสื้อยืดตราห่านคู่" ให้แฟนคลับกดไลต์เข้ากลุ่มกันเลยทีเดียว

นี่จึงเป็นความน่าสนใจไม่น้อยว่า เหตุใดเสื้อห่านคู่ที่จะเรียกว่าเป็นเสื้อยืดสีขาวธรรมดา ๆ ยังสามารถครองใจผู้สวมใส่ และยืนหยัดอยู่ในตลาดมาได้ยาวนานจนก้าวเข้าใกล้วัย 60 ปีอย่างนี้

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ (21)

ระหว่างสงคราม ผู้ใหญ่สมัยนั้นหลายคนดูเหตุบ้านการเมืองแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับเอาจริง ๆ เกรงว่าฤๅถึงทีกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์จะมาถึงกาลอวสานเสียแล้วหรือไร

ไหนจะความแตกแยกร้าวฉานทางการเมือง ขนาดผู้นำในคณะราษฎรเองก็ยังขัดแย้งกัน ไหนจะวิกฤติเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง ไหนเครื่องบินสัมพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิด เสียง “หวอ” เตือนภัยให้คนรีบหลบลงหลุมหลบภัยมันกรีดหัวใจนัก โรงเรียนต้องปิด ผู้ปกครอง ครู นักเรียนต้องอพยพไปอยู่ต่างจังหวัด ยิ่งถ้าสงครามยุติแล้วหากเราอยู่ในฝ่ายแพ้จะทำอย่างไร

อะไรก็ไม่เท่ากับการเสียขวัญและกำลังใจ เราไม่เคยเห็นพระเจ้าแผ่นดินสละราชสมบัติแล้วไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจนสวรรคตที่นั่น ในหลวงพระองค์ใหม่ก็ทรงพระเยาว์นัก ครั้นเสด็จกลับมาให้พอได้ชื่นใจก็มาด่วนสวรรคตลงอีกอย่างกะทันหัน พอสงครามยุติ เราอยู่ในฝ่ายแพ้จริง ๆ ด้วย และเคยเห็นมาแล้วว่าหลายฝ่ายที่ชนะสงครามทำอย่างไรกับฝ่ายแพ้สงคราม




แต่อะไรที่ว่าร้ายคงไม่ร้ายตลอดไปถ้าใช้สติ ปัญญา และความสามัคคีทั้งของผู้นำและคนในชาติ สามอย่างนี้แหละที่รวมกันเป็นพระสยามเทวาธิราชที่ช่วยคุ้มภัยหรือปัดเป่าจนเหตุร้ายกลายเป็นปกติ ครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก เราก็เคยนึกว่าจะเสียบ้านสูญเมืองโงหัวไม่ขึ้นแล้ว กลับมีคนกล้าอย่างพระยาตากขึ้นมากู้บ้านเมืองได้ ครั้งรัชกาลที่ 1 พม่ายกทัพใหญ่มาถึง 9 ทัพ เรามีกำลังแค่หยิบมือ เขามีเป็นแสน แต่เราก็รอดมาได้



ครั้งรัชกาลที่ 5 ยุโรปต้องการจะมายึดบ้านยึดเมืองเราจริง ๆ เพราะเขายึดมาแล้วตั้งแต่จีน อินเดีย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มลายู จนถึงฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จนเราคิดว่าคงเสียเมืองแน่แล้ว แต่เราก็รอดมาได้

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติในคราวนั้น เราแปลงวิกฤติหลายอย่างให้เป็นโอกาส เริ่มจากการกราบบังคมทูลเชิญรัชกาลที่ 8 เสด็จกลับมาร่วมในการปลดอาวุธซึ่งกลายเป็นว่ากองทหารนานาชาติต้องสวนสนามถวายความเคารพที่ถนนราชดำเนิน การประกาศว่าสถานะสงครามระหว่างไทยกับอังกฤษและอเมริกาเป็นโมฆะ การเจรจาคืนดินแดนที่ยึดมาครั้งสงคราม การจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามบางส่วน การดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดฐานอาชญากรรมสงคราม และการใช้ประโยชน์จากขบวนการเสรีไทยว่าคนไทยไม่ได้ฝักใฝ่สงครามไปเสียหมด รวมความคือในที่สุดเราก็รอดมาได้ไม่ถึงขนาดเสียบ้านสูญเมือง

อ้อ! ในระหว่างสงคราม เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ขนาดหน้าพระรูปน้ำยังแค่อก ชาวบ้านต้องลอยเรือกัน อีกคราว รัฐบาลคิดจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่เพชรบูรณ์จนเริ่มขนย้ายกันไปแล้ว แต่ลงท้ายสภาไม่อนุมัติ รัฐบาลต้องลาออก ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย และมาลานำไทยไปสู่อำนาจ รัฐบาลส่งเสริมให้ไทยเป็นอารยะด้วยการยกเลิกบรรดาศักดิ์ ให้ผัวจูบเมียก่อนไปทำงาน ให้ผู้หญิงสวมหมวก ให้เลิกกินหมากขนาดโค่นต้นหมากต้นพลูทิ้ง



ชื่อคนต้องให้รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง อาจารย์ผมชื่อ ดร.สายหยุด แสงอุทัย ต้องเปลี่ยนเป็นหยุด แสงอุทัย ชื่อประเทศ เพลงชาติ วันขึ้นปีใหม่ก็เปลี่ยน สรรพนามให้ใช้ฉัน-เธอหรือท่านให้หมด นิยายสมัยนั้นตอนเมียโกรธผัวต้องชี้หน้าว่า “ท่านจงออกจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” ดูเหมือนพอผัวจะขนของย้ายไปต้องเข้ามาหอมแก้มเมียตามรัฐนิยมด้วย!

เมื่อรัชกาลที่ 8 เสด็จกลับเมืองไทยในปี 2488 นายปรีดี พนมยงค์ ก็พ้นจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐบาลเสนอให้ทรงแต่งตั้งเป็นรัฐบุรุษมีหน้าที่ให้คำปรึกษาราชการแผ่นดินทั่วไป และต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีแต่เมื่อเกิดกรณีสวรรคตก็ได้ขอลาออก ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2489 ซึ่งเพิ่งร่างใหม่และเสร็จลงพอดี พระราชกรณียกิจสำคัญประการหนึ่งคือการเสด็จเยี่ยมชุมชนชาวจีนที่สำเพ็ง



สำเพ็งเป็นย่านชาวจีนมาตั้งแต่ต้นกรุงเทพฯ ยังเถียงกันว่าทำไมจึงเรียกสำเพ็ง บางคนว่ามาจากภาษาจีนว่า “ซาเพ้ง” แต่ที่แน่คือตั้งตามชื่อวัดสำเพ็งซึ่งอยู่แถวนั้น (วัดปทุมคงคา) เป็นแหล่งทำมาค้าขายของสดของแห้ง เมื่อมีตลาดชาวจีนอีกแห่งแถวหัวลำโพง สำเพ็งจึงมีชื่อว่าตลาดใหญ่ ส่วนอีกแห่งชื่อตลาดน้อยหลังสงครามจีนเป็นฝ่ายชนะญี่ปุ่น พ่อค้าชาวจีนดีใจและ “คึกคัก” เห็นได้ชัด แทบทุกบ้านแขวนรูปผู้นำจีน ยิ่งไทยกลายเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงคราม ชาวจีนหลายคนก็ชักไม่ค่อยฟังรัฐบาล จนเกิดขบวนการกระด้างกระเดื่อง รัชกาลที่ 8 และสมเด็จพระราชอนุชาจึงเสด็จฯ เยี่ยมชาวจีนที่สำเพ็งซึ่งเป็นครั้งแรกที่ในหลวงไทยเสด็จฯสำเพ็งไปตามตรอกแคบๆ ภาพอัศจรรย์คือชาวจีนทุกร้านรวงตั้งแถวรับเสด็จและตั้งโต๊ะหมู่บูชาหน้าร้าน หลายบ้านปูผ้า โรยทรายรองพระบาทแล้วเก็บขึ้นหิ้งบูชา ไทยจีนกลับมาสามัคคีกันใหม่ตั้งแต่นั้o

เร็ว ๆ นี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ช่างเข้าไปวาดภาพฝาผนังที่พุทธรัตนสถานในพระบรมมหาราชวัง ทรงกำหนดให้วาดภาพหนึ่งเป็นเหตุการณ์คราวเสด็จฯ สำเพ็ง ช่างวาดไปตามภาพถ่ายแต่ทรงให้แก้ไขรายละเอียดใหม่ตามที่ทรงจำได้และยังประทับพระราชหฤทัย ทรงแนะแม้กระทั่งว่าใครแต่งตัวอย่างไรสีอะไร ร้านนั้นชื่ออะไรขายอะไร ส่วนใดที่ไม่ทรง แน่พระทัยก็รับสั่งว่า “ให้ไปถามคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ เพราะยืนอยู่ตรงนั้น” ตอนนั้นคุณอุเทนยังมีชีวิตอยู่ หลังสวรรคต รัฐบาลได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระราชอนุชา สมเด็จเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาลและตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัชกาลที่ 8 ยังไม่อภิเษกสมรส เมื่อทรงรับแล้วรัฐบาลได้เสนอรัฐสภาลงมติเห็นชอบ เป็นอันว่าเริ่มรัชกาลที่ 9 ในวันที่ 9 มิถุนายน 2489



เคยทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า สถาน การณ์ในประเทศเวลานั้นน่าวิตก แต่แรกทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะรับราชสมบัติเพื่อให้เกิดความกระจ่างในคดีสวรรคตจนถึงการถวายพระเพลิงพระบรมศพ แต่เมื่อวันจะเสด็จฯ จากประเทศไทยกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ มีชาวบ้านตะโกนที่ท้องสนามหลวงขณะที่รถพระที่นั่งผ่านไปว่า “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน” จึงได้ทรงคิดว่าภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งยังรอพระองค์อยู่ คนไทยยังต้องการในหลวงโปรดให้เครื่องบินพระที่นั่งวนรอบกรุง เพื่อทอดพระเนตรบ้านเมืองของพระองค์ ชาวไทยที่อยู่ข้างล่างโบกมือส่งเสด็จ หลายคนน้ำตาอาบแก้ม ไม่มีใคร รู้ว่าจะได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาอีกหรือไม่



รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบ สวนกรณีสวรรคต โดยตั้งประเด็นว่าอาจเป็นการปลงพระชนม์เองหรืออุบัติเหตุหรือมีผู้ปลงพระชนม์ ต่อมาได้จับตัวผู้ต้องรับผิดชอบได้ 3 คน และดำเนินคดีจนศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิต

แม้รัชกาลที่ 8 ยังมิได้ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี แต่ในทางกฎหมายถือว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ ครั้งแรกทางการให้ออกพระนามาภิไธยว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล บัดนี้รัชกาลปัจจุบันได้ถวายพระนามาภิไธยใหม่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระอัฐมรามาธิบดินทรฯ

รัชกาลที่ 9 เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.2489 แต่ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีบรมราชาภิเษกเพราะต้องเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ เดิมเคยทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ แต่เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงเปลี่ยนไปศึกษาวิชาการปกครองและกฎหมายต่อมาได้ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร พระธิดา ม.จ.นักขัตรมงคล และม.ล.บัว ราชทูตไทยในฝรั่งเศสได้มาถวายพยาบาล ม.จ.นักขัตร มงคลเป็นพระโอรสของกรมพระจันทบุรี นฤนาถ อดีตเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์ พระราชโอรสรัชกาลที่ 5 ส่วนม.ล.บัว เกิดในราชสกุลสนิทวงศ์ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 2 พระนามภูมิพลอดุลยเดชนั้น รัชกาลที่ 7 ทรงตั้งพระราชทานแปลว่า “กำลังของแผ่นดิน” ครั้งแรกสะกดภูมิพลอดุลเดช แต่อยู่มาก็สะกดเป็น “อดุลยเดช” ม.จ.นักขัตรมงคล เคยเป็นราชองครักษ์รัชกาลที่ 7 ม.ล.บัว เคยเป็นนางพระกำนัลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี

เมื่อรักษาพระองค์เป็นปกติแล้ว พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงหมั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์และได้เสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำพิธีบรมราชาภิเษกและราชาภิเษกสมรสกับพระคู่หมั้น ม.ร.ว. สิริกิติ์ ใน พ.ศ. 2493 หลังจากนั้นได้เสด็จกลับไปสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้ง
คงจำสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาได้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นพระอัครมเหสีชั้นพระบรมราชเทวี ในสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 ทรงเป็นพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า (ป้า) ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 8 และ 9 ทรงเป็นพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ย่า) ประทับที่วังสระปทุม ทรงมีพระคุณูปการหลายอย่างต่อการสาธารณสุข การศึกษา และการสังคมสงเคราะห์ ปีนี้รัฐบาลเสนอพระนามต่อยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านเหล่านี้ ได้สวรรคตลงใน พ.ศ. 2498 พระชนมายุ 93 พรรษา จัดว่าเป็นเจ้านายพระชนมายุยืนพระองค์หนึ่งในพระราชวงศ์ คือ เป็นสมเด็จ 6แผ่นดิน มีการถวายพระเพลิงที่พระเมรุท้องสนามหลวง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชใน พ.ศ. 2499 หลังจากนั้นจึงได้เริ่ม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ต่อเนื่องมาตลอดเป็นผลให้ประเทศไทยก้าวหน้าต่อ ยอดไปจากที่พระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้ทรงเริ่มไว้ในอดีตตามควรแก่พระราชสถานะในระบอบการปกครองใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่อง ร่วมสมัยจึงน่าจะได้ยินกันบ่อยและรู้กันดีอยู่แล้ว แต่เมื่อว่ามามากแล้วก็ต้องว่าต่อไปให้สมบูรณ์ เพราะกรุงเทพมหานครจะ “อมรรัตนโกสินทร์” หรือไม่ ก็อยู่ที่บ้านเมือง รัฐบาล และผู้คนร่วมสมัยทุกวันนี้แหละครับ!.

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวชใน พ.ศ.2499 หลังจากนั้นจึงได้เริ่ม พระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ต่อเนื่องมาตลอดเป็นผลให้ประเทศไทยก้าวหน้าต่อยอดไปจากที่พระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้ทรงเริ่มไว้ในอดีต”

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ยิปซี​พยากรณ์​ ​วัน​ที่​ 10 ​กรกฎาคม​ 2554​

ราศีมังกร (16 ม.ค. - 12 ก.พ.)
ลำบากใจในการที่ต้อง เลือก คุณต้องตกเป็นคนกลางในสถานการณ์ที่ร้อนรนทุกครั้ง เดินทางไกลระวังอุบัติเหตุ การงานพอเอาตัวรอดได้ แต่ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร ตกที่นั่งลำบากมีแต่คนมาใช้ไหว้วานในสิ่งที่คุณไม่ถนัด แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ ช่วงปลายทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ให้ขยันขันแข็งจะเรียกคะแนนคืนจากผู้ใหญ่ได้สำเร็จ การเงินใช้จ่ายกับเรื่องกินเที่ยวเป็นส่วนใหญ่  ไม่ควรให้ใครหยิบยืมจะเป็นภาระผูกพันทำให้คุณร้อนใจไปตลอด โชคลาภยังไม่มี ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง “ไพ่ เจ้าชายถ้วย” ความรักมีรักกุ๊กกิ๊กใสๆคนโสดมีดวงได้ปิ๊งรักกับเด็กอายุน้อยกว่า แต่อย่าเพิ่งคาดหวังต้องดูๆกันไป ส่วนคนมีแฟนแล้วแง่งอนกันบ่อยให้เชื่อกันใจแล้วรักจะหอมหวาน


ราศีกุมภ์ (13 ก.พ. - 13 มี.ค.)
อารมณ์ แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย กลายเป็นการก่อศัตรูแบบไม่รู้ตัว ต้องลดความอารมณ์ร้ายไว้บ้าง เดี๋ยวไม่มีคนคบ การงานสะดุดมีอุปสรรคตลอด ผู้ใหญ่ที่เคยสนับสนุนเริ่มเอาใจออกห่าง เพราะมีคนยุยง ช่วงปลายให้รีบทำคะแนน มีดวงได้เจอคนมีชื่อเสียง ได้คำแนะนำที่ดี หากคิดนัดหมายเจรจาช่วงปลายเหมาะที่สุด การเงินท่าจะแย่ ใช้เงินมือเติบ ไม่สบายใจก็หาเรื่องใช้จ่าย อย่าค้ำประกันหรือรับปากให้ใครหยิบยืม มีดวงถูกโกง เล่นไม่ซื่อ  “ไพ่ เดอะ เดวิล” ความรักหากรักสนุกไม่คิดจริงจัง จะมีประสบการณ์แปลกใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ถ้ารักจริงหวังแต่งอาจมีปัญหา เพราะคนที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นคนเจ้าชู้ ส่วนคนมีแฟนแล้วระวังไขว้เขวเพราะสิ่งยั่วยุ ต้องหนักแน่นเข้าไว้

ราศีมีน (14 มี.ค. - 12 เม.ย.)
รู้สึก ผ่อนคลาย งานด่วนงานรีบเร่งได้รับการสะสางเรียบร้อย หากกำลังรอคำตอบจะได้ข่าวดี การงานผ่านฉลุย ได้ผู้ช่วยคอยผ่อนแรง การเจรจาติดต่อราบรื่น มีผู้ใหญ่ให้ความเมตตาสนับสนุน หากขยันขันแข็งเพิ่มจะได้รับการสนับสนุน มีดวงได้รับการโปรโมชั่นให้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ถ้าเคว้งคว้างรองานจะมีข่าวดี  การเงินตั้งอกตั้งใจหา ขยันขันแข็งทำให้มีเงินเก็บออม สภาพคล่องดี มีทั้งลาภปากและลาภจากการเสี่ยง เพศตรงข้ามผิวขาวจะนำลาภมาให้ “ไพ่ เดอะ เอ็มเพรส” ความรักหอมหวาน คนรักเอาอกเอาใจคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ คนโสดต้องเร่งมือ หากอยากมีใครสักคนคงต้องเปิดตัวเปิดใจให้กว้าง มีคนแอบมองแอบชอบคุณอยู่แล้ว

ราศีเมษ (13 เม.ย. - 13 พ.ค.)  
อึด อัดน้ำท่วมปาก ทำอะไรยังมีคนจ้องจับผิด ต้องระวังรอบคอบ เพราะคนที่คุณทำเขาไว้เยอะเขาจะกลับมาเอาคืน ถ้ามีเวลาควรไหว้พระสวดมนต์ทำบุญบ้าง การงานเอาแน่เอานอนไม่ได้ ผู้ใหญ่ที่เคยเอ็นดูอาจมีเรื่องผิดใจกัน อย่าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาจะเป็นภัยกับตัว พฤติกรรมบางอย่างที่ออกนอกลู่นอกทางควรงดไว้บ้าง “ไพ่ 3 เหรียญ” การเงินมือเติบ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หาเรื่องใช้เงินระบายความเครียดตลอด ระวังถูกหลอกถูกโกง หรือทำของหาย ยังดีที่ช่วงปลายพอมีลาภลอยเข้ามาบ้าง  ความรักคนโสดมีคนมารุมล้อม ประสบการณ์เพียบแต่ถ้าจะหาดีๆ คงต้องหานานหน่อย ส่วนคนมีแฟนแล้วมีแนวไขว้เขวเพราะมือที่สามต้องหนักแน่นเข้าไว้

ราศีพฤษภ (14 พ.ค. - 13 มิ.ย.)  
ตัดสิน ใจอะไรไม่ค่อยถูก แต่กลับต้องเป็นคนกลางอยู่ตลอด ทำให้อึดอัดใจ ให้มั่นใจในตัวเองจะได้ไม่กลุ้มใจ การงานช่วงต้นไม่มีปัญหา ผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน หยิบจับทำอะไรเจริญก้าวหน้า แต่ช่วงปลายต้องระวังความผิดพลาด หากพลาดพลั้งจะถูกตำหนิ มีคนคอยซ้ำเติม หากต้องเจรจาคุยงานสำคัญให้ทำช่วงต้นๆ จะสำเร็จง่ายกว่า “ไพ่ 5 เหรียญ” การเงินขึ้นๆ ลงๆ ช่วงต้นเก็บเกี่ยวดอกผลได้มากมาย คนที่เคยช่วยเหลือจะกลับมาตอบแทน แต่ช่วงปลายมีเรื่องต้องใช้จ่ายเยอะ ปัญหารุมเร้าต้องวางแผนให้ดี ความรักคนโสดสนิทต้องหาผู้ช่วย หากครอบครัวเพื่อนฝูงเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้มีแววสมหวัง ส่วนคนมีแฟนแล้วอบอุ่น แต่ต้องแบ่งเวลาให้กันเพิ่มมากขึ้นอีกนิด

ราศีเมถุน (14 มิ.ย. - 14 ก.ค.)  
มี แวววูบจากที่เคยเป็นดาวเจิดจรัส หากทำอะไรไม่ระวังมีดวงร่วงหล่นได้ “ไพ่ 10 ดาบ” มีคนคอยหาเรื่องจิ้มแทง อย่าไว้วางใจใครง่ายจนเกินไปจะนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวเอง การงานมีแต่คนคอยจ้องเลื่อยขาเก้าอี้ ต้องทำอะไรด้วยความรอบคอบแบบสุดๆ ใครที่คุณเคยร้ายใส่ ช่วงนี้มีถูกเอาคืน อย่าเพิ่งหาเรื่องทำอะไรแปลกใหม่ อุปสรรคยังมีมาก การเงินห่วงหน้าพะวงหลัง จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่มีความสุข ภาระที่ต้องรับผิดชอบมีเพิ่มขึ้น อย่าหวังพึ่งโชคลาภ น้ำพักน้ำแรงตัวเองดีที่สุด ความรักไม่ค่อยเข้าใจกัน ต่างคนต่างไม่พูด หลบหน้ากันไปก็ไม่เกิดประโยชน์ หาเวลาคุยกันจะทำให้สบายใจมากกว่า ส่วนคนโสดไร้วี่แวว ช่วงนี้เจอแต่คนหลอกลวง อย่าปักใจเชื่อใครง่ายๆ

ราศีกรกฎ (15 ก.ค. - 16 ส.ค.)  
เตรียม พร้อมรับกับอุปสรรคปัญหาหลากหลายรูปแบบได้เลย โดยเฉพาะความขัดแย้งกับผู้ใหญ่  การงานกลุ้มอกกลุ้มใจกับความยากของงาน และความโหดขี้จุกจิกของหัวหน้างาน เป็นเวลาที่คุณต้องฝึกความอดทน มิฉะนั้นจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ช่วงปลายระวังงานเอกสารผิดพลาด ถูกตำหนิ หัวหน้าของคุณอารมณ์ขึ้นลงเอาใจยาก  การเงินกัดฟันยิ้ม ต้องจับจ่ายแบบประหยัด มีคนคอยตอดเล็กตอดน้อย รวมถึงภาษีสังคมที่คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมวางแผนแบ่งออมไว้ส่วนหนึ่งด้วยนะครับ “ไพ่ 10 ถ้วย” ความรักบ่มกันจนสุกงอม มีดวงได้บอกรัก หาฤกษ์แต่งงาน แต่ก็มีอุปสรรคควบคู่ อย่าใจร้อน ส่วนคนโสดมีคนแวะเวียนเข้ามาแต่ยังไม่ถูกอกถูกใจ

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. - 16 ก.ย.)  
“ไพ่ เดอะ เวิลด์” เฮงแบบสุดๆ ไม่ว่าจะคิดทำอะไรก็มีคนเออออให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริมอยู่ตลอด ทำให้งานยากกลายเป็นเรื่องง่าย  การงานเริ่มมีผลงานเข้าตาผู้ใหญ่ ได้รับความเมตตาอยู่เสมอ หากอยากได้อะไรให้รีบหาจังหวะเหมาะพูดคุยจะสมหวัง ช่วงปลายเหมาะกับการลงทุน ถ้ากำลังเบื่ออยากเปลี่ยนงานจะมีคนเสนอช่องทางให้ การเงินอุดมสมบูรณ์ งอกเงยจากสิ่งที่ลงทุนไป มีโชคลาภจากความเสน่หา มีคนพาไปเลี้ยง มีลาภปากตลอดทำให้กระเป๋าเริ่มตุง เก็บเงินได้บ้าง ความรักสุขสมหวัง หากกำลังแง่งอนกันอยู่จะเข้าอกเข้าใจกันได้ คนรักเปิดใจกว้างมากขึ้น ส่วนคนโสดช่วงกลางมีแนวโน้มได้พบรักโดยบังเอิญ อย่ารอช้าให้รีบจู่โจม

ราศีกันย์ (17 ก.ย. - 16 ต.ค.)  
ต้อง พบกับการปรับเปลี่ยนโกลาหลวุ่นวายคุณเองจับจุดไม่ถูกว่าควรทำตัวอย่างไร มีดวงเดินทางบ่อยขึ้น “ไพ่ 9 คทา” การงานมีดวงถูกจับโยกย้าย มีปัญหาจุกจิกกับเพื่อนร่วมงาน อย่าไปโวยวายให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่โต คุณจะถูกมองในแง่ลบ  ต้องพยายามผูกมิตรไมตรีกันไว้ เผื่อมีปัญหาจะได้มีพรรคมีพวกคอยช่วยเหลือ  การเงินช่วงต้นใช้จ่ายสบายมือ มีรายรับไหลเข้าทั้งจากงานหลักและงานเสริม แต่ต้องระวังคบหาคนอายุน้อยกว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนมาให้ มีดวงเสียเงินกับยานพาหนะ ความรักขึ้นลง คบหาหลายคนตกลงปลงใจไม่ถูก เพราะยังไม่มีวี่แววว่าจะจริงจังกับใครได้  ส่วนคนมีแฟนแล้วไม่ค่อยมีเวลาให้กัน และเริ่มคิดเล็กคิดน้อย ต้องหาเวลาพากันไปเที่ยวบ้าง

ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 16 พ.ย.)  
สัมผัส ที่หกแรงกล้า ให้เชื่อในสิ่งที่คุณรู้สึกจะพาให้คุณพบกับความสำเร็จ ช่วงกลางดูแลสุขภาพทั้งตัวเองและคนรักให้มาก มีดวงจะล้มป่วย  การงานหากแข็งทื่อ ตรงไปตรงมาอาจมีเรื่องเดือดร้อน ช่วงนี้ต้องรู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม เข้าหาผู้ใหญ่บ้างเป็นครั้งคราวจะทำให้งานคุณก้าวหน้า ช่วงปลายได้รับคำชม ผู้ใหญ่เห็นความสามารถ การเงินมีรายจ่ายเกี่ยวกับการรักษา ซ่อมแซม ห้ามให้ใครหยิบยืมหรือค้ำประกันจะมีเรื่องเดือดร้อนถึงตัว มีดวงทำของหาย ถูกหักหลัง  “ไพ่ ราชินีพระจันทร์” ความรักออกแนวชู้รัก แอบรักคนมีเจ้าของ รักแบบซ่อนเร้น ไม่อาจบอกให้ใครรู้ มีทั้งสุขและเศร้า รสชาติของชีวิต ส่วนคนมีแฟนแล้วออกอาการเจ้าชู้ มีคนมายั่วยุให้เขว

ราศีพิจิก (17 พ.ย. - 15 ธ.ค.)  
ถึง แม้การเริ่มต้นทุกครั้งของคุณจะมีอุปสรรค แต่สรุปสุดท้ายก็จบแบบสวยงาม จึงไม่ควรท้อในสิ่งที่ตั้งเป้าเอาไว้ “ไพ่ 1 ดาบ”การงานมีโอกาสได้หยิบจับทำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งทำให้คุณหงุดหงิด วุ่นวายในช่วงต้น แต่พอปรับตัวได้ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง และมีแนวโน้มไปในทางที่ดีกว่าเดิมเสียด้วย ช่วงปลายได้ผู้รู้ชี้แนะ มีดวงได้งานเสริม เริ่มใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกที  การเงินอย่าไปหวังโชคลาภ จะมีเข้ามาได้จากน้ำพักน้ำแรง ยิ่งขยันหาก็ยิ่งมีเข้ามามาก ช่วงปลายมีลาภปาก ได้ไปกินฟรีงานเลี้ยงฉลอง ความรักตั้งตัวเป็นที่ปรึกษา มีเพื่อนฝูงมาขอคำชี้แนะ แต่พอเจอเข้ากับตัวเองถึงกับงง ตัดสินใจไม่ถูก  รักโดยรวมหวานชื่น จุดอ่อนอยู่ที่ความไม่เด็ดขาด ไม่กล้าตัดสินใจ

ราศีธนู (16 ธ.ค. - 15 ม.ค.)  
อารมณ์ นี้อยากลอง อยาก เสี่ยง ชอบความท้าทาย คุณจึงได้เรียนรู้ของแปลกของใหม่อยู่ตลอดเวลา การงานมีแนวโน้มสูงในการลงหลักปักฐานด้วยตัวเอง มีความพยายามไขว่คว้าในสิ่งที่ต้องการ หากคิดจะลงทุนทำกิจการส่วนตัวให้รีบทำได้เลย ความเจริญรุ่งเรืองเริ่มมาเยือนคุณแล้ว ช่วงปลายขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ดี ได้รับความเอ็นดู “ไพ่ ราชาเหรียญ” การเงินลาภลอยวิ่งเข้าใส่ สภาพคล่องดี แต่ต้องไม่ประมาท ในช่วงนี้อาจมีคนคิดร้ายปะปนเข้ามาคบหา อย่าเชื่อคนง่ายนะครับ ความรักนอกลู่นอกทาง ชอบของแปลกใหม่ แต่ต้องระวังความแตก รู้ไปถึงคนรักอาจเสียการปกครอง ส่วนคนโสดสนิทมีรักแบบแปลกๆ เข้ามาแต่ยังคงช่างเลือกเหมือนเคย.

อ.คฑา  ชินบัญชร

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

'เสม พริ้งพวงแก้ว'เสียชีวิตด้วยโรคชรา

'เสม พริ้งพวงแก้ว' เสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคชรา เตรียมเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 18 วัดธาตุทอง วันที่ 9 ก.ค. สวดอภิธรรม 7 วัน

นายชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว บุตรชาย นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว เปิดเผยว่า บิดาได้สิ้นลมเมื่อเวลาประมาณ 04.50 น. วันที่ 8 กรกฎาคม ด้วยโรคชราภาพ หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ มีกำหนดพิธีรดน้ำศพที่โรงพยาบาลราชวิถี เวลา 15.00 น. และจะเคลื่อนศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 18 วัดธาตุทองในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ โดยกำหนดสวดพระอภิธรรม 7 วัน

เลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันความฝันกับความจริง

นโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเกี่ยวกับราคาพลังงาน โดยยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการชั่วคราว ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน 91 รวมทั้งน้ำมันดีเซลนั้น

แม้จะเป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถอนุมัติได้เลย แต่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแผนพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศ ในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานทดแทนและศูนย์กลางเอทานอลในภูมิภาค อาเซียน

แหล่งข่าวจากระทรวงพลังงาน ระบุว่า การยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของเบนซิน 91 และ เบนซิน 95 จะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ลดลงประมาณ 6.70 บาท จากราคาในปัจจุบันอยู่ที่ 42.64 บาท ลดลงเหลือ 35.94 บาท และเบนซิน 95 ลดลงประมาณ 7.50 บาท จากราคาในปัจจุบัน 48.44 บาท ลดลงเหลือ 40.95 บาท ขณะที่ในส่วนของดีเซล กองทุนน้ำมันฯ เข้าไปตรึงราคาอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร หากยกเลิกจะส่งผลให้ดีเซลลดลง 1.80 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาปรับลงมาอยู่ที่ประมาณ 28.19 บาทต่อลิตร

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พายุทราย อริโซน่า


พายุทรายจำนวนมหาศาลที่พัดเข้ามายังบริเวณ ตัวเมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา คืน 05-07-2011  ทำให้ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มเป็นจำนวนมาก ในบางจุด กำแพงฝุ่นกว้างถึง 80 กิโลเมตร

พายุทรายอริโซน่า


พายุทรายจำนวนมหาศาลที่พัดเข้ามายังบริเวณ ตัวเมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซนา คืน 05-07-2011  ทำให้ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มเป็นจำนวนมาก ในบางจุด กำแพงฝุ่นกว้างถึง 80 กิโลเมตร


ที่มา : pranot@twitter


“พายุฝุ่นยักษ์” กลืนเมืองในสหรัฐฯ!!
7 กรกฎาคม 2554


เอเอฟพี/เดลิเมล์ - พายุฝุ่นลูกมหึมากลืนเมืองฟีนิกซ์ มลรัฐแอริโซนา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯเมื่อวันอังคาร (5) ตามเวลาท้องถิ่น บดบังท้องฟ้าจนมืดมิดหักโค่นต้นไม้และเสาไฟฟ้าระเนระนาด


สำนักข่าวเอบีซีนิวส์รายงานว่า พายุหมุนดำทะมึนขนาดกว้าง 60 ไมล์ สูง 10,000 ฟุต พัดด้วยความแรงลม 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติเปิดเผยว่า มันเริ่มก่อตัวเป็นพายุในพื้นที่ทูซอนในช่วงบ่าย จากนั้นเคลื่อนพายุฝุ่นขนาดยักษ์ก็เคลื่อนมาทางเหนือและข้ามทะเลทรายก่อนโหมกระหน่ำเมืองฟีนิกซ์


ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ ยืนยันว่า พายุลูกดังกล่าวเป็นพายุฝุ่นขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคลื่อนผ่านพื้นที่นี้


ขณะที่พายุฝั่นลูกดังกล่าวพัดโค่นต้นไม้ล้มระเนระนาด เสาไฟฟ้าหักโค่นทำประชาชนหลายพันคนไม่มีไฟฟ้าใช้ นอกจากนี้ เที่ยวบินที่มุ่งหน้าสู่เมืองฟีนิกซ์ก็ต้องเลื่อนกำหนดการบินออกไปก่อน เนื่องจากพายุฝุ่นบดบังทัศนวิสัย


“พายุฝุ่นยักษ์” กลืนแอริโซนาระลอกสอง
20 กรกฎาคม 2554


เดลิเมล์ - มลรัฐแอริโซนาของสหรัฐฯ ถูกพายุฝุ่นลูกมหึมาโจมตีเป็นลูกที่สองในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เมื่อวันจันทร์ (18) ตามเวลาท้องถิ่น อิทธิพลของมันแแปรเปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีน้ำตาล ต้องดีเลย์เที่ยวบินจำนวนมาก ก่อความโกลาหลแก่ผู้ขับขี่ และด้วยทัศนวิสัยที่เลวร้ายทำให้รถบรรทุกหลายคันประสบอุบัติเหตุ


พายุฝุ่นลูกนี้ก่อตั้งที่ปินัล เคาน์ตี และมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อนพัดเข้ากลืนเมืองฟินิกซ์ ณ เวลาประมาณ 17.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 07.30 น.เช้าวันอังคาร) โดยกำแพงฝุ่นยักษ์นี้มีความสูงราว 3,000 ฟุต พัดด้วยความแรงลม 40 ถึง 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ออสติน จามิสัน นักพยากรณ์อากาศจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าว


“คุณได้เจอกับทัศนวิสัยเลวร้ายอย่างกะทันหันซึ่งมาพร้อมๆ กับฝุ่นที่หนาทึบในอากาศ” เขากล่าว “ด้วยทัศนวิสัยที่เลวร้าย จึงเป็นอันตรายต่อการขับขี่”


รายงานข่าวระบุว่า ทัศนวิสัยที่เลวร้ายเป็นสาเหตุให้รถบรรทุก 8 คนประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันบนถนนสายอินเตอร์เสตท8 โดยคนขับ 3 รายถูกนำตัวขึ้นรถฉุกเฉินส่งสถานพยาบาลแห่งหนึ่งในฟินิกซ์ ขณะที่คนอื่นๆอีก 7 คนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปิดเลนฝั่งตะวันตกเพื่อเปิดทางให้หน่วยกู้ภัยเคลียร์รถออกจากถนน


ขณะเดียวกัน มีรายงานพายุฝุ่นยังทำให้เที่ยวบินจำนวนหนึ่ง ณ ท่าอากาศยานฟินิกซ์ สกาย ฮาร์เบอร์ ต้องเดินทางล่าช้า โดยทางโฆษกของสนามบินบอกว่าเที่ยวบินขาเข้าจากเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงรวมไปถึงลอสแองเจลินถูกระงับไว้จนกว่าพายุจะคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ระบุถึงจำนวนเที่ยวบินที่ต้องดีเลย์หรือถูกยกเลิก


ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา พายุฝุ่นลูกมหึมากลืนเมืองฟีนิกซ์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ไปแล้วรอบหนึ่ง โดยคราวนั้นมันดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกได้อย่างมาก


พายุฝุ่นลูกดังกล่าวบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด หักโค่นต้นไม้และเสาไฟฟ้าระเนระนาด ทำประชาชนหลายร้อยคนต้องอยู่โดยปราศจากไฟฟ้า สระว่ายน้ำเต็มกลายเป็นบ่อโคลนและต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายเที่ยว


อย่างไรก็ตาม จามิสันบอกว่า พายุฝุ่นลูกล่าสุดนี้ไม่รุนแรงและมีขนาดใหญ่เท่าลูกแรก แถมมันยังใช้เวลาดูดกลืนเมืองสั้นกว่าด้วย ขณะที่โฆษกสนามบินบอกว่าทัศนวิสัย ณ ท่าอากาศยานในวันจันทร์ (18) ดีกว่าเมื่อเหตุการณ์วันที่ 5 กรกฎาคม โดยหนนั้นพายุฝุ่นสูงกว่า 5,000 ฟุต ส่งผลกระทบให้ต้องระงับเที่ยวบินนานกว่า 45 นาที หักโค่นต้นไม้ เสาไฟฟ้าระเนระนาดและบดบังวิสัยทัศน์ครอบคลุมพื้นที่กว่า 50 ไมล์เลยทีเดียว

เมืองฟีนิกซ์เผชิญพายุทรายใหญ่เป็นครั้งที่ 3
วันเสาร์ ที่ 20 สิงหาคม 2554

สภาพอากาศโลกแปรปรวน ส่งผลให้เกิดพายุทรายขนาดใหญ่เข้าถล่มเมืองฟีนิกซ์ ประเทศสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 สัปดาห์


เมื่อวันที่ 20 ส.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองฟีนิกซ์ รัฐอาริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่างฟีนิกซ์ รัฐอาริโซน่า ต้องพบกับความอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง หลังจากพายุทรายขนาดใหญ่พัดเข้าถล่มเมืองเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ในรอบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทั่วท้องฟ้าซึ่งปกคลุมด้วยละอองทรายกลายเป็นสีน้ำตาล และทุกสิ่งในเมืองถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นทราย สำหรับพายุทรายลูกนี้มีความสูง 300 เมตร เคลื่อนตัวเป็นระยะทางประมาณ 80 กม.เข้ามาสู่เขตใจกลางเมือง และเขตพินัล ที่อยู่ใกล้กันตั้งแต่เย็นวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก่อนที่จะอ่อนกำลัง และสลายตัวลงในที่สุด

นายเคน วอเตอร์ส เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า พื้นที่แถบนี้เคยเผชิญกับพายุทรายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับปีนี้ต่างกับช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งขนาด และความรุนแรง โดยพายุทรายลูกแรกของปีที่พัดถล่มเมืองฟีนิกซ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา มีความสูงถึง 1.6 กิโลเมตร ส่งผลให้กระแสไฟฟ้าขัดข้อง ประชาชน 10,000 คน ไม่มีไฟฟ้าใช้ และต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายเที่ยวบิน เพื่อความปลอดภัย ส่วนพายุทรายลูกที่สองนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา มีความสูง 1.2 กิโลเมตร ทำให้ต้องเลื่อนเที่ยวบิน และประชาชน 2,000 คน ไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน.