หน้าเว็บ

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เสน่หา...ฮาวานา

โดย : มานพ จันทรฯ
@กรุงเทพธุรกิจ



คิวบา เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมที่เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศ และเป็นประเทศคอมมิวนิสต์สุดท้ายในทวีปอเมริกาเหนือ

มี “ฟิเดล คาสโตร” ผู้นำที่ปกครองประเทศมายาวนานหลังจากยึดอำนาจมาจากการยึดครองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐก็ทำสงครามเอาชนะสเปนมาอีกทอดหนึ่ง



หลังจากประกาศเอกราชตัดสัมพันธ์จากสหรัฐ คิวบาหันไปคบหากับรัสเซียและจีน เพราะสหรัฐเองก็ดูดเอาทรัพยากรและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปมาก และในปัจจุบันคิวบามีความสัมพันธ์อันดีกับเวเนซุเอลา โดยเฉพาะ ฟิเดล คาสโตร นั้นสนิทสนมแนบแน่นกับ ประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ ซึ่งไม่ชอบขี้หน้าสหรัฐเหมือนกัน


ฮาวานา (Havana) เป็นเมืองหลวงของคิวบา มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ อยู่ทางตอนเหนือของเกาะคิวบา เป็นเมืองท่าที่สำคัญริมทะเลแคริบเบียน มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น และต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก


เมืองฮาวานาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1515 และได้กลายมาเป็นหนึ่งในเมืองการค้าของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเป็นทั้งเมืองหลวง และศูนย์รวมการค้าของประเทศคิวบา เมืองฮาวานาประกอบไปด้วย 3 ส่วนด้วยกัน : ได้แก่ย่านเมืองเก่าซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกจาก ยูเนสโก, ย่าน Vedado และย่านเมืองใหม่ทางด้านทิศตะวันตก


ไทยกับคิวบามีความสัมพันธ์กันดีพอสมควร ไทยส่งพวกเครื่องซักผ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางพารา ไปขาย แต่ไทยก็ซื้อบุหรี่ ซิการ์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาบริโภคตามประสาฮาเฮของคนไทย และยังเคยส่งโค้ชมวยสากลฝีมือดี ปั้นนักชกไทยให้ได้เหรียญโอลิมปิกมาแล้ว รวมทั้งส่งโค้ชวอลเลย์บอลมาช่วยสอนด้วย เพราะคิวบาเก่งกาจเรื่องตบลูกยางในระดับโลก แถมยังมีทุนให้ไปเรียนภาษาสเปนที่นั่นด้วย ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างแนบแน่นพอสมควร


ใครมาเยือนฮาวานาย่อมไม่พลาดการขี่รถม้าชมเมือง แต่ถ้าอยากให้รวดเร็วกว่านั้นก็สามารถเรียกแท็กซี่ได้ ซึ่งรถยนต์ที่วิ่งอยู่ส่วนใหญ่เป็นรถรุ่นเก่า เพราะคิวบาค่อนข้างปิดประเทศไม่ค่อยรับอารยธรรมจากโลกเสรีมากนัก สถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยือนก็เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง พิพิธภัณฑ์เหล้ารัม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ อาคารที่มีความสำคัญของชาติหลายแห่งเป็นทั้งจุดชมเมืองและสถานที่ถ่ายภาพยอดนิยม นอกจากนี้ยังมีโรงละคร สถานที่แสดงทางวัฒนธรรม รวมถึงเทศกาลประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่เนืองๆ


ในระยะหลังฮาวานามีสถานที่ชอปปิงมากมาย หลังจากการเปิดตัวของ Tiendas Carlos Tercero ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งแรกเปิดทำการเมืองฮาวานา มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ ทั้งซิการ์, เหล้ารัม, เสื้อสกรีนรูป ”เช กูเวร่า” สหายร่วมอุดมการณ์ของ ฟิเดล คาสโตร, เมล็ดกาแฟ และของที่ระลึกท้องถิ่น


ในยามค่ำคืนฮาวานาไม่เคยหลับใหล มีไนต์คลับชื่อดัง เช่น Tropicana หรือ Casa de la Musica ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวนิยมมาเต้นซัลซ่ากันและยังมีร้านนั่งดื่มเล็กๆ มากมาย พร้อมเพลิดเพลินไปกับดนตรีสไตล์คิวบาแท้ๆ


ความรักในเสียงดนตรีสไตล์คิวบานี้นี่เองทำให้เกิดภาพยนตร์สารคดี Buena Vista Social Club (1999) ขึ้น


สารคดีเรื่องนี้เล่าถึงนักดนตรีชาวคิวบาสูงวัยกลุ่มหนึ่งที่ความสามารถด้านดนตรีของพวกเขากำลังจะเลือนหายไปจากความทรงจำ อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้รับการติดต่อจากนักดนตรี ผู้ประพันธ์เพลงชาวสหรัฐ ไร คูเดอร์ เข้ามาติดตามความสามารถของพวกเขา พร้อมบันทึกเสียงด้วยระบบอะนาล็อกแบบเดิมๆ ขณะเดียวกันหนังก็ได้ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวเยอรมัน วิม เวนเดอร์ ซึ่งเชี่ยวชาญทั้งการทำภาพยนตร์มาอย่างหลากหลาย ทั้งหนังจอใหญ่ มิวสิควีดิโอ และหนังโฆษณา มารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ซ้อนไปพร้อมๆ กันด้วย โดยมี นิค โกลด์ เป็นผู้วางคอนเซปต์ในการดำเนินเรื่อง


ผลที่ได้จากภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ ทำให้ ไร คูเดอร์ ถูกปรับเป็นเงินจำนวนมากจากทางการสหรัฐ ฐานแอบขนอุปกรณ์บันทึกเสียงเข้าไปในประเทศที่ต้องห้าม แต่ภาพยนตร์ก็ได้รับรางวัลในเวทีนานาชาติในเทศกาลภาพยนตร์สหภาพยุโรปในปีเดียวกัน รางวัลในเวทีอื่นๆ และได้เข้าชิงรางวัลสารคดียอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ในปีถัดมา ขณะเดียวกันผลงานดนตรีจากสารคดีเรื่องนี้ก็ยังติดอันดับในบิลบอร์ดชาร์ทอีกด้วย ถือเป็นอัลบั้มดนตรีแนะนำที่นักฟังเพลงตัวจริงต้องมีไว้ในครอบครอง


เสน่ห์ดนตรีของคิวบา ความสนุกสนานที่ปรากฏอยู่ในสารคดี เชื่อมั่นว่าอาจทำให้ใครหลายคนนึกอยากไปเยือนฮาวานาสักครั้งหนึ่ง

…………….
City : Havana
Country : Cuba
Population : 2,135,498
Film : Buena Vista Social Club (1999)
Director : Wim Wenders
Cast : Compay Segundo, Ibrahim Ferrer, Rub?n Gonz?lez, Ry Cooder

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุโขทัย (04)

อาณาจักรสุโขทัยยังคงอยู่และอยู่ต่อมาอีกร่วมร้อยปี ไม่ใช่ว่าอาณาจักรสุโขทัยล่มสลายแล้วจึงเกิดอยุธยา ไม่เหมือนกับที่อยุธยาเสียกรุงแล้วจึงเกิดธนบุรี

ประวัติศาสตร์สมัยก่อนคนโน้นยอมแพ้คนนี้ ยอมถอยทางนี้ทางโน้น เรียกว่าถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เอาเป็นเอาตายกัน ต่อเมื่อบุญมาวาสนาส่งจึงค่อยกลับเข้ามามีอำนาจใหม่

การที่กรุงศรีอยุธยาสมัยพระเจ้าอู่ทองซึ่งเป็นแคว้นเกิดใหม่แท้ ๆ สามารถยกขึ้นไปตีเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ปราการด่านหน้าอันมั่นคงของอาณาจักรสุโขทัยอายุนับร้อยปีได้เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ทำให้อาณาจักรสุโขทัยไม่กล้าแผ่อิทธิพลลงใต้ไปจนถึงกรุงศรีอยุธยา

จะว่าคราวนั้นอยุธยาได้ชายขอบของอาณาจักรสุโขทัยแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ได้เข้าตีกล่องดวงใจคือตัวเมืองสุโขทัยเท่านั้น และการที่แลกเอาตัวพญาลิไทลงไปอยู่เมืองสองแควเป็นตัวประกัน


โดยส่งพระมหาเทวีน้องสาวพญาลิไทซึ่งเป็นเมียขุนหลวงพะงั่วขึ้นไปครองกรุงสุโขทัยแทน เรียกว่าเป็นทั้งการ “สั่ง” และการ “สอน” สุโขทัย ว่าครั้งนี้ยอมให้แค่นี้นะ พระมหาเทวีจึงเป็นเหมือนนอมินีทั้งของพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาและพญาลิไทร่วมกัน

ทั้งหมดนี้แปลว่าขณะตั้งแคว้นอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. 1893 อาณาจักรสุโขทัยยังคงอยู่และอยู่ต่อมาอีกร่วมร้อยปี ไม่ใช่ว่าอาณาจักรสุโขทัยล่มสลายแล้วจึงเกิดอยุธยา ไม่เหมือนกับที่อยุธยาเสียกรุงแล้วจึงเกิดธนบุรี และธนบุรีถูกลดฐานะลงจากราชธานีแล้วจึงเกิดกรุงเทพฯ

เมื่อพระมหาธรรมราชาหรือพญาลิไทตายและพญาลือไทขึ้นครองสุโขทัย ขุนหลวงพะงั่วน้องเขยซึ่งขณะนั้นได้เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช กษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยาแล้วก็หมดความเกรงใจจึงบุกเข้ายึดถึงใจกลางอาณาจักรสุโขทัยจากโอรสของพญาลิไทคือพญาลือไท เจ้าเมืองสุโขทัยองค์ที่ 8 แล้วให้ย้ายลงไปอยู่เมืองสองแควเหมือนครั้งพญาลิไทผู้เป็นพ่อ ทางกรุงสุโขทัยก็คืนให้พระมหาเทวีตั้งรัฐบาลใหม่อีกรอบ เห็นไหมครับ ในที่สุดก็เป็นเรื่องวุ่น ๆ ในครอบครัวพ่อขุนสุโขทัยกับขุนหลวงอยุธยาทั้งนั้น

ในสมัยพญาลือไทนี้เองสุโขทัยทั้งอาณาจักรก็ตกเป็นของอยุธยาโดยราบคาบ แต่ยังให้มีผู้ปกครองได้เองอยู่ต่อไปเรียกว่าเมืองประเทศราช

พระมหาเทวีครองกรุงสุโขทัยรอบสองไม่นานก็ตาย โอรสที่ประสูติจากขุนหลวงพะงั่วชื่อพระศรีเทพาหุราชได้เป็นเจ้าเมืองสุโขทัยองค์ที่ 9 ต่อจากแม่ องค์นี้มีเชื้อสุพรรณทางพ่อเชื้อสุโขทัยทางแม่ ทั้งใกล้ชิดกับอยุธยาทางพ่อและสองแควทางแม่ แต่เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี ขุนหลวงพะงั่วสวรรคต สิ้นที่พึ่งทางอยุธยาพระราเมศวรโอรสพระเจ้าอู่ทองซึ่งเคยเป็นกษัตริย์อยุธยาแล้วรอบหนึ่งยกทัพจากลพบุรีเข้าทวงราชสมบัติจับพระเจ้าทองลัน พระราชโอรสขุนหลวงพะงั่ว (น้องคนละแม่กับพระศรีเทพาหุราช) ฆ่าแล้วขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยาอีกรอบ พระศรีเทพาหุราชกลัวภัยจะมาถึงตัวจึงตัดสินใจยกเมืองสุโขทัยให้และให้หาเจ้านายเชื้อสายสุโขทัยองค์ใหม่ครองกันเอง ส่วนท่านปลีกวิเวกลงไปครองกำแพงเพชร

ประวัติศาสตร์สมัยก่อนคนโน้นยอมแพ้คนนี้ ยอมถอยทางนี้ทางโน้น เรียกว่าถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เอาเป็นเอาตายกัน ต่อเมื่อบุญมาวาสนาส่งจึงค่อยกลับเข้ามามีอำนาจใหม่ เจ้าเมืองหลายคนจึงเป็นกันคนละหลายรอบ เรียกว่ารู้จักสมบัติผลัดกันชม นักการเมืองสมัยนี้น่าจะเอาไปลองคิดดูนะครับ!

เจ้านายเชื้อสายสุโขทัยที่แซงใครต่อใครขึ้นมาครองกรุงสุโขทัยเป็นลำดับที่ 10 คือพญาไสยลือไท ลูกพญาลือไท แต่พอสิ้นพญาไสยลือไทย พญาบาลเมืองเข้าใจว่าเป็นน้องพญาไสยลือไทก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก ในขณะที่น้องชายอีกคนคือพญารามครองเมืองสุโขทัยแบ่งกันเป็นใหญ่ นับเป็นผู้ปกครองแคว้นสุโขทัยรุ่นสุดท้าย ขณะนั้นอยุธยาเข้าสู่รัชกาลที่ 6 คือ พระอินทราชาหรือเจ้านครอินทร์ซึ่งยกทัพจากสุพรรณมาตีอยุธยาจนพระเจ้ารามราชาธิราช พระราชโอรสสมเด็จพระราเมศวรยอมยกราชสมบัติให้แล้วเสด็จออกไปครองชุมชนเล็ก ๆ อยู่ที่บ้านปทาคูจามแถววัดพุทไธศวรรย์

เจ้านครอินทร์ผู้นี้มีชื่อว่าสมเด็จพระนครินทราธิราช มีเชื้อสายสุพรรณภูมิ และพระมารดาเป็นเจ้าทางสุโขทัย พระมเหสีก็เป็นชาวสุโขทัยได้ผนวกเอาอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นของอยุธยาโดยเด็ดขาดเป็นอันสิ้นวงศ์พระร่วงหรือวงศ์สุโขทัย แล้วเกณฑ์เจ้านายขุนนางสุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชรลงมาอยู่อยุธยา สุโขทัย ศรีสัชนาลัย สวรรคโลกแทบจะเป็นหัวเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีความสำคัญทั้งในทางการเมืองและการค้าอีกต่อไป แต่เมืองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นคือเมืองสองแควหรือพิษณุโลก เรียกว่าเป็นเมืองลูกหลวงชั้นเอกของอยุธยา คนจะเป็นรัชทายาทต้องขึ้นไปครองพิษณุโลกก่อนทั้งสิ้น

ความสำคัญของพิษณุโลกคือเป็นเมืองหน้าด่านทางเหนือ และคุมสุโขทัย พิจิตร กำแพงเพชร ตาก อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ไปด้วย ศัตรูของอยุธยาเวลานั้นไม่ใช่อาณาจักรสุโขทัยอีกแล้ว แต่เป็นอาณาจักรล้านนาซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เชียงใหม่ กษัตริย์ล้านนาขณะนั้นคือพญาสามฝั่งแกน และพระราชโอรสคือพระเจ้าติโลกราชซึ่งมีเรื่องกระทบกระทั่งกับอยุธยาตามชายแดนอยู่เนือง ๆ

สมเด็จพระนครินทราธิราชผู้นี้ถูกเรียกขานว่าเป็นพระร่วงพระองค์หนึ่งเพราะทรงมีเชื้อสายสุโขทัยและเป็นผู้แผ่อำนาจไปปกครองสุโขทัยดุจว่าเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของอาณาจักรของสุโขทัย เคยเสด็จไปเมืองจีนนำเครื่องถ้วยชามจีนเข้ามาเผยแพร่ในอยุธยา จีนเรียก “เจียวลกควนอิน” (เจ้านครอินทร์)

เมื่อสิ้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ พระราชโอรสคือเจ้าสามพระยาได้เป็นกษัตริย์หลังจากที่พี่ชายสององค์คือเจ้าอ้ายพญาเจ้ายี่พญาชนช้างแย่งราชสมบัติจนตายทั้งคู่ ต่อมาพระราชโอรสของเจ้าสามพระยาคือพระราเมศวร (เป็นตำแหน่งพระอุปราชสมัยอยุธยาตอนต้น) ซึ่งเคยครองเมืองพิษณุโลกมาก่อนได้ครองอยุธยาแทนชื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ระหว่างอยู่ในราชสมบัติ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนา (โปรดสังเกตว่าอยู่ร่วมสมัยกันแต่ครองคนละอาณาจักร ชื่อคล้ายกัน แปลเหมือนกัน ศรัทธาในพุทธศาสนาเหมือนกัน) ได้แผ่อำนาจลงมาเกือบถึงพิษณุโลก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงขึ้นไปตั้งวอร์รูมรับมืออยู่ที่พิษณุโลก

ระหว่างนั้นพิษณุโลกเป็นดุจราชธานีแห่งที่ 2 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่นั่นและทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนามากมาย

เชื้อสายเจ้านายสุโขทัยอพยพลงมาอยู่อยุธยากันมากจนได้ทำราชการเป็นใหญ่เป็นโต แต่เรื่องเก่า ๆ นั้นใครสะกิดก็เป็นแผลให้เจ็บปวดได้ พระนาม “ธรรมราชา” ที่เคยเรียกเจ้าเมืองอาณาจักรสุโขทัยตั้งแต่ครั้งพระมหาธรรมราชาลิไทลงมาบัดนั้นก็กลายเป็นเพียงบรรดาศักดิ์ขุนนางธรรมดา ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ขุนพิเรนทรเทพ (ในหนังเรื่องสุริโยไทของ

ท่านมุ้ย ฉัตรชัยแสดงเป็นขุนพิเรนทรเทพ) เชื้อสายเจ้าทางสุโขทัยเป็นเจ้ากรมพระตำรวจ ต่อมาถึงสมัยขุนวรวงศาธิราช ได้คบคิดกับขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา และหลวงศรียศจับขุนวรวงศาธิราช ท้าวศรีสุดาจันทร์และลูกฆ่า แล้วเชิญพระเทียรราชา น้องสมเด็จพระไชยราชาสึกจากพระมาครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

ในรัชกาลใหม่นี้ขุนพิเรนทรเทพได้เป็นพระมหาธรรมราชาและโปรดฯ ให้ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก อันเป็นการตอบแทนความดีอย่างสูงสุดเพราะเท่ากับคืนเกียรติยศแก่เจ้านายเชื้อสายสุโขทัยนั่นเอง

ครั้นพม่าสมัยบุเรงนองยกทัพมาตีอยุธยา พระมหาธรรมราชามีเรื่องขัดแย้งกับทางอยุธยาอยู่ก่อนแล้วจึงไปเข้าด้วยกับพม่า บุเรงนองตั้งให้เป็นเจ้าฟ้าสองแควครองเมืองพิษณุโลกไม่ขึ้นต่ออยุธยา แต่เป็นเจ้าเมืองประเทศราชของพม่า

เมื่อพม่าตีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 ได้ตั้งเจ้าฟ้าสองแควเป็นกษัตริย์ครองพระนคร ศรีอยุธยาพระองค์ที่ 18 ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาตามแบบสุโขทัย หรือสมเด็จพระสรรเพชญที่ 1 แต่เป็นพระองค์แรกของราชวงศ์ใหม่ซึ่งนักประวัติศาสตร์เรียกว่าราชวงศ์สุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง พระราชโอรสของพระองค์คือสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ

เป็นอันว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็มีเชื้อสายเจ้านายทางสุโขทัยทางพ่อ อยุธยาทางแม่

คราวที่แล้วตั้งคำถามว่าอาณาจักรสุโขทัยเกิดก่อนอาณาจักรอยุธยา ต่อมาอยุธยาจึงตั้งขึ้นเป็นแคว้นใหม่ทางใต้แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและป่าสักจนพัฒนาไปเป็นอาณาจักรมีเมืองขึ้นเมืองประเทศราชมากมาย ในขณะที่สุโขทัยยังอยู่แต่ก็ค่อย ๆ เสื่อมลงจนรอบแรกตกเป็นเมืองประเทศราชของอยุธยาสมัยพญาลือไท ซึ่งแปลว่าเสียอำนาจแต่ยังจัดการปกครองตนเองได้และสูญอาณาจักรโดยสิ้นเชิงในรอบหลังสมัยพญาบาลเมืองและพญาราม เหตุใดในทางประวัติศาสตร์จึงถือว่าสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของไทยและสัมพันธ์กับอาณาจักรที่สองคือกรุงศรีอยุธยา แล้วอาณาจักรโยนกหรือล้านนาของพ่อขุนเม็งรายมหาราชและอาณาจักรอื่น ๆ หายไปไหน ไม่ใช่บรรพบุรุษของเราด้วยดอกหรือ

ถ้าตอบสั้น ๆ ก็ต้องว่าใช่ทั้งนั้น เราจะ นับแต่พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้ พ่อขุนบานเมือง พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนศรีนาวนำถุม ก็เป็นผู้สร้างบ้านเมืองนี้มาให้เรา แต่ที่เราให้เครดิตสุโขทัยเป็นพิเศษเพราะก่อนหน้านี้เรามีความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรอื่นน้อย แม้แต่สุโขทัยเองก็รู้จักไม่หมดจด สมัยผมยังเด็กครูสอนให้เรียกว่าพ่อขุนนาวนำถม พ่อขุนบางกลางท่าวด้วยซ้ำ เจ้าเมืองสุโขทัยก็รู้จักอยู่ไม่กี่คน ต่อมาเราพบหลักฐานมากขึ้น การอ่านศิลาจารึกก็แตกฉานมากขึ้นตีความได้น่าเชื่อถือขึ้น
จึงเริ่มลำดับความรู้กันใหม่

ถ้าตอบยาว ๆ ก็ต้องว่า พ่อขุนเม็งรายแห่งอาณาจักรโยนกหรือล้านนาท่านก็ใหญ่ของท่านอยู่ทางเหนือสุดแต่เมื่อวันนี้เชียงราย เชียงใหม่ พะเยาของท่านเป็นของไทยท่านก็เป็นบรรพชนของไทยด้วยเช่นเดียวกับพระนางจามเทวีแห่งอาณาจักรหริภุญไชย เมื่อลำพูนเข้ามาอยู่กับไทยท่านก็เป็นบรรพสตรีของไทย แต่ที่เราต้องให้เครดิตแก่อาณาจักรสุโขทัยเป็นพิเศษเพราะมีการผสมปนเปกับอยุธยามากกว่าใคร จากที่เล่ามาก็จะเห็นว่าอยุธยาเคยขึ้นไปครองสุโขทัย (ทางล้านนาเองอยุธยาก็เคยขึ้นไปครอง) ฝ่ายเจ้านายเชื้อสายสุโขทัยก็เคยลงมาครองอยุธยาจึงมีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานและทางสายเลือดต่อกันติดจนแยกออกยากมากกว่าสายพ่อขุนเม็งรายและพระนางจามเทวี

เป็นอันว่าอาณาจักรสุโขทัยครั้งนั้นมีผู้ปกครองดังต่อไปนี้ครับ

ราชวงศ์นาวนำถุม

1.พ่อขุนศรีนาวนำถุม

2.พ่อขุนผาเมือง (ลูกพ่อขุนศรีนาวนำถุม)

ราชวงศ์พระร่วง

1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (ลูกเขยพ่อขุนศรีนาวนำถุม)

2. พ่อขุนบานเมือง (ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์)

3. พ่อขุนรามคำแหง (ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์)

4. พญาเลอไท (ลูกพ่อขุนรามคำแหง)

5. พญางั่วนำถุม (ลูกพ่อขุนบานเมือง)

6. พญาลิไท (ลูกพญาเลอไท) อยุธยาซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นในสมัยนี้ยึดได้พิษณุโลก ท่านได้เป็นเจ้าเมืองสุโขทัยสองรอบ

7. พระมหาเทวี (น้องพญาลิไท เมียขุนหลวงพะงั่ว) ได้เป็นสองรอบ

8. พญาลือไท (ลูกพญาลิไท) กรุงศรีอยุธยายึดได้อาณาจักรสุโขทัยทั้งหมดแต่ให้เป็นประเทศราช

9. พระศรีเทพาหุราช (ลูกพระมหาเทวี) ได้เป็นต่อจากแม่หลังจากแม่เป็นเจ้าเมืองรอบสอง

10. พญาไสยลือไท (ลูกพญาลือไท)

11. พญาบาลเมือง (ลูกพญาลือไท) ครองสองแคว

และ 12. พญาราม (เข้าใจว่าเป็นลูกพญาลือไทเช่นกัน) ครองกรุงสุโขทัย หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยาได้ผนวกรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ามาแล้วส่งคนจากอยุธยาขึ้นไปครองไม่ให้ปกครองตนเองอีก

ความยิ่งใหญ่อลังการดุจพระร่วงหรือการรับรุ่งอรุณยามเช้าของสุโขทัยก็เป็นอันร่วงไปตามอนิจลักษณะที่ว่าด้วยการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสรรพสิ่งด้วยประการฉะนี้แล.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ดูแล'บ้านน้ำท่วม'นานาเคล็ดลับปลอดภัยประหยัดเงิน


การดูแลบ้านก่อนและหลังน้ำท่วมเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้เจ้าของบ้านได้ซ่อมแซมกันได้อย่างถูกวิธี โดย เจือ คุปติทัฬหิ โซลูชั่นแม็กซีไมซ์เซอร์ (หมอบ้าน) บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด ให้ความเห็นว่า บ้านไม้ค่อนข้างมีปัญหาหลังน้ำลดเพราะเนื้อไม้มีการพองตัว ซึ่งควรให้แห้งแล้วทาน้ำยารักษาเนื้อไม้ป้องกันความชื้น สำหรับไม้สักไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่ถ้าไม้แดงเวลาแห้งเนื้อไม้อาจมีการปริแตกได้


สิ่งที่สำคัญเวลาเข้าไปตรวจบ้านที่ประตูและวงกบเป็นไม้ อาจเจอปัญหาปิดประตูไม่ได้ ไม่ควรใช้กบไสไม้เพราะหลังจากไม้แห้งอาจเข้ารูปเหมือนเดิม ซึ่งจะเป็นปัญหาให้ปิดประตูไม่สนิท ขณะเดียวกันตัวโครงสร้างบ้านไม้ถ้ามีปัญหาให้ติดต่อวิศวกรเพราะช่วงน้ำท่วมอาจมีขอนไม้ที่มากับน้ำเชี่ยวพัดมาทำลายโครงสร้างได้


ส่วน บ้านปูน ตัวโครงสร้างมีปัญหาน้อย แต่สำหรับกำแพงที่มีรอยร้าวและน้ำซึมผ่านเข้าไปได้อาจมีฝุ่นผงอยู่ด้านใน ควรทำความสะอาดโดยกวาดฝุ่นไว้กองรวมกันแล้วค่อยตักใส่ถังขยะ เพราะถ้าใช้น้ำจากสายยางฉีดอาจทำให้ฝุ่นต่าง ๆ ไหลไปตามท่อและทำให้อุดตัน กำแพงปูนควรทิ้งให้แห้งประมาณ 7–14 วัน ซึ่ง สีที่เหมาะกับการทนน้ำจะเป็นสีพลาสติก ด้านบ้านที่ปูพื้นจากหินธรรมชาติเมื่อน้ำท่วมนานอาจมีรูพรุน แม้น้ำจะเลิกท่วมแต่ขอบโดยรอบยังมีน้ำซึมควรติดต่อวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ

“เมื่อน้ำแห้งและเข้าบ้านควรเปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อให้ลมเข้า และควรมีถุงมือและไม้ที่ใช้ในการทำความสะอาด หากส่วนใดเป็นมุมอับที่สัตว์มีพิษอาจซ่อนตัวได้ให้ลองฉีดยาฆ่าแมลงนำไปก่อนแล้วค่อยใช้ไม้เขี่ย”

พงศ์เทพ ตั้งประเสริฐกิจ โซลูชั่นพาร์ทเนอร์ (หมอบ้าน) บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด ให้ความรู้ว่าต้องทำความเข้าใจว่า น้ำที่ท่วมนั้นมักไม่ทำความเสียหายในระดับโครงสร้างกับตัวบ้าน แต่มักทำความเสียหายกับวัสดุตกแต่งต่าง ๆ เช่น พื้นผนัง ดังนั้นการดูแลจึงทำอะไรมากไม่ได้ในช่วงเวลาน้ำท่วม และอาจไม่ต้องกังวลมากนัก เนื่องจากทั้งพื้นและผนังคงรื้อออกก่อนขณะน้ำท่วมไม่ได้ ในช่วงเวลาน้ำท่วมจึงควรให้ความสนใจกับชีวิต และทรัพย์สินมีค่าชิ้นเล็ก ๆ จะดีกว่า เช่น เรื่องความปลอดภัยจากไฟช็อต ไฟรั่ว ซึ่งควรตรวจสอบว่าไฟฟ้าได้ตัดดีแล้วหรือไม่

สิ่งอื่น ๆ จะเป็นความเสียหายจากของที่ยกขึ้นสูง หรือของที่ยกหนีน้ำไม่ทัน เช่นตู้เย็น เครื่องซักผ้า สิ่งที่ต้องระวังคือของที่ยกขึ้นสูงนั้นยกไปตั้งไว้บนอะไร มีความแข็งแรงขนาดไหน หลายคนมักวางบนตู้ ชั้น เฟอร์นิเจอร์ หากเฟอร์นิเจอร์นั้นเป็นไม้ก็ต้องระวังการล้มลงมา เนื่องจากไม้ไม่ถูกกับน้ำ โดยเฉพาะไม้อัดเมื่อแช่น้ำนาน ๆ จะพอง เสียหาย แล้วรับน้ำหนักของที่เรายกไปวางไว้ไม่ได้ จะทำให้ของเหล่านั้นล้มตกลงมาเสียหายได้

สำหรับผนังบ้านที่ตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์หากน้ำเพิ่งท่วมเข้ามาใหม่ ๆ หรือท่วมไม่นาน สามารถป้องกันความเสียหายได้ โดยการ กรีดตัดวอลเปเปอร์ในส่วนที่โดนน้ำออก ส่วนที่ยังไม่โดนน้ำก็จะยังไม่เสียหายมากนัก เนื่องจากเป็นกระดาษน้ำสามารถซึมขึ้นสูงกว่าระดับน้ำที่ท่วมได้ การกรีดตัดก่อนจะช่วยเก็บรักษาส่วนที่อยู่เหนือน้ำได้ แต่หากบ้านแช่น้ำหลายวันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำเพราะอาจเสียหายจากน้ำไปแล้ว

หากที่บ้านมีประตูหรือบานกระจกจะต้องระมัดระวัง เพราะอาจเกิดแตกเสียหายได้ เมื่อเกิดแรงดันน้ำมาก ๆ ทั้งมาจากการเปิดปิดใช้งาน การเดินไปจนทำให้เกิดคลื่นไปกระแทกกับกระจก หรือประตูกระจก ก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แตกร้าว หรือประตู หน้าต่าง หลุดออกจากรางได้เช่นกัน

การดูแลบ้านไม้กับบ้านปูนหลังจากน้ำลดจะต่างกันตรงที่ไม้จะเกิดปัญหามากหากเจอน้ำเพราะไม้จะบวมพอง หลังจากน้ำลดจึงอาจต้องรื้อไม้ที่แช่น้ำออกมาทิ้งไว้ให้แห้ง หากไม่เสียหายมาก ก็จะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่สำหรับบ้านปูนนั้นจะไม่ค่อยเกิดปัญหา

ในแง่ของโครงสร้างหากบ้านตั้งอยู่บนเสาเข็มลึก จะไม่ต้องกังวลในเรื่องบ้านทรุดเท่าใดนัก แต่หากบ้านตั้งอยู่บนเสาเข็มสั้น (เสาเข็มยาว 4-12 เมตร) อาจจะเกิดปัญหาการทรุดตัวได้

เมื่อน้ำลดแล้วการดูแลบ้านหลัก ๆ คงจะเป็นเรื่องการทำความสะอาดและตรวจสอบความเสียหาย ใน การทำความสะอาดนั้นสิ่งแรกที่ควรทำคือ ท่อน้ำรอบบ้าน ให้ขุดลอกให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจากน้ำที่ท่วมมักจะนำดินโคลนมาด้วยจะทำให้ท่อน้ำหรือคูระบายน้ำอุดตันตื้นเขินได้

การทำความสะอาดเบื้องต้น อาจทำความสะอาดที่พื้นคร่าว ๆ เพื่อให้เดินได้สะดวก แต่ต้องระวังไม่ให้พื้นลื่น เพราะจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ หลังจากนั้นให้ทำความสะอาดจากส่วนบนลงมาด้านล่าง สิ่งของต่าง ๆ ที่อมน้ำให้ย้ายออกมาไว้นอกบ้าน เช่น เครื่องไม้ โซฟา กระดาษ เพื่อลดปัญหาเรื่องกลิ่นอับชื้นเน่าเหม็น เช่น ผนังติดวอลเปเปอร์ให้ทำการลอกออกแล้วนำไปทิ้งนอกบ้าน ชุดโซฟาเครื่องเรือนต่าง ๆ ให้นำออกไปตากแดด ไล่ความชื้น หากเป็นพื้นไม้ปาร์เกต์ ให้ทำการรื้อไม้ปาร์เกต์ออก นำไปผึ่งตากแดดไว้

หลังจากนั้นพยายามเปิดผิวพื้น และผนังให้ระบายอากาศ ระบายความชื้นออกมาได้สะดวก รอให้พื้นผนังแห้งอย่างน้อย 7 วันหลังน้ำแห้ง แล้วจึงทำการซ่อมแซม

ตรวจสอบงานระบบต่าง ๆ ทั้งไฟฟ้า และประปา การตรวจสอบระบบไฟฟ้าต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะอันตรายถึงชีวิตได้ ควรทำการปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งไม่ต่ำกว่า 7 วัน แล้วทำการสับคัตเอาต์ ปล่อยกระแสไฟเข้า หากยังมีการช็อตอยู่ให้ทิ้งไว้ให้แห้งต่อหรือตามช่างไฟมาทำการตรวจสอบ

ระบบประปาให้ทำการตรวจสอบถังน้ำทั้ง ถังบำบัด ถังเก็บน้ำ และถังดักไขมัน ให้ทำความสะอาดให้เรียบร้อย เอาดินโคลนออกจากถัง สำหรับถังบำบัด ให้นำเชื้อแบคทีเรียเติมลงในระบบฝั่งช่องที่มีลูกบอลพลาสติกเล็ก ๆ ก็จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ถังน้ำหากเป็นบนดินให้ตรวจสอบความเสียหาย และทำความสะอาดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่หากเป็นถังน้ำใต้ดินจะลำบากในการทำความสะอาดเพราะหากทำไม่ถูกต้องอาจทำให้ถังแตกเสียหาย

การเตรียมรับมือน้ำท่วมในอนาคต เนื่องจากเราไม่อาจคาดเดาได้ว่าน้ำจะท่วมอีกเมื่อใด สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือเรื่องของสิ่งของต่าง ๆ ที่จะต้องพร้อมในการใช้งานเมื่อเกิดน้ำท่วม เช่น อาหารสำรอง ไฟฉาย ยารักษาโรค น้ำดื่ม น้ำใช้ หรืออุปกรณ์บำบัดน้ำเพื่อใช้สอยหรือระบายทิ้ง

ขณะเดียวกันอาจทำการตรวจสอบว่าน้ำเข้าบ้านมาจากที่ใดบ้าง พื้นที่ใดของบ้านจะมีน้ำเข้ามาก่อนหลัง แล้วสามารถวางแผนในการป้องกัน หรือชะลอให้น้ำเข้าบ้านเราได้ช้าลง หรือแจ้งเตือนการมาถึงของน้ำเพื่อที่จะเตรียมพร้อมและควรประเมินความยอมรับน้ำที่เข้าท่วมเสียก่อนว่าจะยอมให้เข้ามาได้ขนาดไหน เช่น ยอมให้เข้าได้ในระดับไม่เกิน 1 เมตร แสดงว่า ตั้งแต่ระดับพื้นจนถึง 1 เมตร จะต้องตั้งหรือวางสิ่งของที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ไม่หนัก และเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับดังกล่าวจะต้องคงทนต่อการจมน้ำ และแข็งแรงเพียงพอในการรับน้ำหนัก

พีระพงษ์ บุญรังสี โซลูชั่นพาร์ทเนอร์ (หมอบ้าน) บริษัท เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ จำกัด เล่าว่า บ้านในเขตเมืองส่วนใหญ่มักเป็นบ้านปูน ขณะที่น้ำกำลังจะท่วม สิ่งที่ควรประเมินก่อน คือระดับความสูงของน้ำและความรุนแรงของสถานการณ์ ควรประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ จากนั้นจะได้วางแผนป้องกัน สิ่งที่ตามมาคือ การจัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต และการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์เพื่อสร้างแนวป้องกันน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้น คือวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาป้องกันน้ำท่วมนั้นค่อนข้างหาซื้อยากและมีราคาสูงกว่าปกติ รวมทั้งตัวช่างก็หาได้ยากด้วย ถ้าเป็นไปได้ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ แนวทางในการปฏิบัตินั้นแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ เช่น ถ้าน้ำแค่ไหลผ่านระดับน้ำไม่สูงกว่า 20 เซนติเมตร การทำเพียงแผงกั้นน้ำบริเวณทางเข้าบ้านน่าจะเพียงพอ เพราะแรงดันและน้ำหนักของมวลน้ำนั้นไม่มากพอที่จะสร้างความเสียหาย วัสดุที่นำมาใช้ก็เป็นเพียงวัสดุชั่วคราวรื้อถอนได้ง่าย

แต่ถ้าระดับน้ำสูงประมาณครึ่งเมตรจำเป็นต้องทำแผงกั้นที่แข็งแรงถาวรมากขึ้น อุดปิดท่อระบายน้ำ โถชักโครก เนื่องจากน้ำจะพยายามรักษาระดับแรงดันให้สมดุล และจำเป็นต้องตัดกระแสไฟฟ้าที่ชั้นล่าง เนื่องจากปลั๊กไฟส่วนใหญ่มักติดตั้งสูงจากระดับพื้นชั้นล่างประมาณ 30 เซนติเมตร ในกรณีที่ระดับน้ำสูงเกินกว่าครึ่งเมตรควรจะอพยพออกจากบ้าน

ลองนึกดูว่าน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร มีน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม ถ้าเกิดน้ำท่วมขังที่บ้านเป็นเวลานาน น้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม ที่กดทับลงบนพื้นบ้านขนาด 1 ตารางเมตร หรือซัดกระแทกแนวรั้วบ้านเป็นระยะ ๆ จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านได้มากแค่ไหน นอกจากนี้น้ำยังสามารถดันตัวเองผ่านเข้ามาทางรอยต่อ รอยแยก ตามพื้น ผนัง วงกบ ช่องเปิดซึ่งถ้าบ้านปูนก่อสร้างพื้นด้วยแผ่นพื้นสำเร็จน้ำสามารถซึมขึ้นตามรอยต่อแผ่นได้ ถ้าบ้านปลูกสร้างมานานแล้วน้ำสามารถซึมผ่านรอยต่อผนังกับวงกบ รอยแตกร้าวช่วงต่อพื้นกับผนัง ยาแนวกระเบื้องที่พื้น แม้จะมีการป้องกันน้ำเข้าทางประตูแล้วก็ตาม อาจจะพบน้ำซึมเอ่อบนพื้นบ้านอยู่บ้างก็ถือว่าเป็นปกติ

เมื่อน้ำลดแล้วสิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจซ่อมแซมบ้าน ได้แก่ งบประมาณที่มี และรายการงานซึ่งควรตรวจสอบจากความเสียหายเริ่มจากแนวรั้วภายนอกไล่เข้ามาที่พื้น ผนัง เพดาน งานระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล โครงสร้างเสาคานภายในตัวบ้าน จนถึงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องเรือน ซึ่งควรซ่อมแซมตามลำดับความจำเป็นในการใช้งาน หลังจากล้างทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้วควรรอจนกว่าตัวบ้านจะแห้งสนิทก่อนทำการซ่อมแซมซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์

สำหรับการเตรียมบ้านรับน้ำท่วมในครั้งต่อไป สิ่งที่ควรใส่ใจได้แก่ ระบบท่อระบายน้ำไม่ให้อุดตัน พื้นบ้านชั้นล่างควรปรับเปลี่ยนใช้วัสดุปูพื้นที่ดูแลทำความสะอาดได้ง่าย เช่น กระเบื้องเซรามิก หรือซีเมนต์ขัด ควรจัดให้มีเบรกเกอร์ควบคุมปลั๊กไฟที่ระดับน้ำท่วมถึงแยกออกมาต่างหาก อาจออกแบบวิธีการติดตั้งแผงกั้นน้ำให้สามารถติดตั้งได้โดยสะดวกรวดเร็ว.

ทีมวาไรตี้ @เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลด

วิธีการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำลดนั้น ไล่ตั้งแต่พื้น ผนัง หลังคา ซึ่งแต่ละพื้นที่มีความเสียหายไม่เท่ากัน บางพื้นที่น้ำเข้าท่วมภายในบ้าน บางพื้นที่น้ำไม่เข้า หรือเข้าถึงแล้วอาจมีระดับน้ำสูง-ต่ำไม่เท่ากัน ความเสียหายก็ไม่เท่ากัน โดยเราเริ่มตรวจสอบบ้านจาก ภายนอกบ้าน ก่อน คือ

1. ถนนในบ้าน ถ้าหากเกิดการแตก ต้องลอกหน้าออกแล้วเทพื้นใหม่ แต่ต้องทำตอนที่ถนนและชั้นดินแห้งสนิท เพื่อไม่ให้ทรุดตัว

2. ต้นไม้รอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นหญ้า ต้นไม้ประดับ ต้องรื้อทิ้งแล้วปลูกใหม่ทั้งหมด เพราะต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณที่น้ำเน่าเสียเป็นเวลานานนับเดือน มันจะส่งกลิ่นเหม็นเน่ามาก ยกเว้นในกรณีต้นไม้ที่ทนน้ำได้ เช่น ต้นโมก ต้นหูกระจง ต้นลีลาวดี เป็นต้น (บ้านผู้เขียนแถวแจ้งวัฒนะ 14 ต้นไม้เหล่านี้ยังสวยงามอยู่)


3. อย่าลืมลงน้ำยาฆ่าปลวกใหม่ เพราะน้ำยาเดิมหรือผงหรือโฟมที่ฆ่าปลวกได้สลายไปหลังน้ำลดแล้ว ปลวกต้องกลับมาใหม่แน่นอน

4. งานไฟฟ้านอกตัวบ้าน ควรรื้อและทำใหม่

5. งานสีผนังภายนอก ห้ามทาทันที ต้องล้างบริเวณที่ล้างตะไคร่คราบสกปรก และควรจะขูดออกก่อนและทิ้งไว้ให้แห้ง ก่อนที่จะทารองพื้นปูนเก่าและทาสีจริงทับอีกสองเที่ยว

6. บ่อพักภายนอกต้องดูดน้ำทิ้งออกให้หมด ล้างโคลนออกและกำจัดเศษขยะให้สะอาด

7. ถังบำบัดของเสีย ต้องดูดทิ้งและใส่จุลินทรีย์เพิ่ม

8. ถังเก็บน้ำใต้ดิน ควรจะเลิกใช้และให้ใช้ถังเก็บน้ำบนดินแทน

9. ควรตรวจประตูรั้วด้วย สำหรับที่เป็นเหล็กก็ขูดสนิมออกให้หมด แล้วทาสีใหม่ ส่วนบานพับก็หาน้ำมันหล่อลื่นมาหยอดเพื่อที่จะได้เปิด-ปิดได้สะดวก ถ้าหากเป็นประตูรีโมตรั้ว ต้องควรระวังไฟรั่ว และเรียกช่างมาเปลี่ยนใหม่

ภายในบ้าน

1. พื้นบ้านล้างให้สะอาด ถ้าเป็นพื้นกระเบื้อง หากไม่แตกก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่หากเกิดการแตกของกระเบื้องต้องลอกทิ้งเกือบทั้งหมด หรือทั้งหมด และทิ้งให้พื้นแห้งและลอกหน้า ก่อนปูกระเบื้องใหม่

2. พื้นไม้ปาร์เกต์ ไม้จะหลุดล่อนง่ายเมื่อโดนน้ำท่วม เพราะติดกับพื้นคอนกรีตด้วยกาว วิธีแก้ก็คือ ถ้าแผ่นปาร์เกต์ไม่เสียหายมากก็ผึ่งลมให้แห้งก่อน รวมถึงพื้นคอนกรีตด้วย แล้วจึงทาด้วยกาวลาเท็กซ์ หนา 1-2 มิลลิเมตร ค่อย ๆ กดลงไปที่เดิมให้แน่น ทิ้งไว้อย่างน้อย 15 วันจึงใช้งานได้ ถ้าเสียหายมากจะเปลี่ยนใหม่ต้องใช้ไม้ชนิดเดียวกับของเดิม

3. ผนังแตกร้าวต้องโป๊ว putty หรืออะคริลิก ทาสีใหม่ทั้งหมด แต่ต้องล้างทำความสะอาด ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนเริ่มลงมือทำ

4. วอลเปเปอร์ต้องลอกทิ้ง ติดตั้งใหม่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีเชื้อรา ต้องขูดออกทั้งหมด

5. ผนังเบาที่เกิดอาการปูดบวม ให้เจาะซ่อมและทาสีใหม่

6. หลังคารั่วก็ต้องเช็กความชัน ว่าชันถูกต้องไหม ถ้าน้อยไปให้แก้ที่จันทัน เก้าจันทันได้ ต้องไปรื้อแผ่นที่มีปัญหา แก้ทีละจุด บางที่อาจจะรั่วจากลูกหมุนระบายอากาศ ต้องติดแผ่นรองข้างใต้หลังคา

7. สุขภัณฑ์ ท่อน้ำทิ้งให้หยอดจุลินทรีย์ ล้างท่อและขัดให้สะอาด ถ้าแตกต้องเปลี่ยนใหม่

8. กรณีที่น้ำท่วมถึงฝ้า ถ้าเป็นฝ้าเพดานยิปซัมบอร์ด หรือกระดาษอัด ถ้าเปื่อยยุ่ยมากเพราะอมน้ำ ก็ควรเลาะออกแล้วจึงเปลี่ยนแผ่นใหม่เลย ทิ้งไว้ให้ทั้งหมดแห้งสนิทจริง ๆ แล้วจึงทาสีทับ อย่างเช่น ลำลูกกา บางบัวทอง

9. ประตูภายใน ถ้าเป็นไม้จริงแช่น้ำไม่นานมาก ก็รอให้ไม้หดตัว ขัดลอกสีเก่าแล้วทาสีใหม่แค่นี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว หากประตูเกิดอาการบิดตัวมาก ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ประตูที่ทำจากไม้อัด จะลอกหน้าบิดหมดต้องเปลี่ยนใหม่

10. เช็กระบบงาน ซีซีทีวี งานประตู รีโมต ไฟฟ้าสำรอง ปั๊มน้ำ ต้องตรวจสอบว่าต้องซ่อมแซมหรือซื้อใหม่อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เตาอบ โต๊ะ-เก้าอี้ ฯลฯ เขื่อนกั้นรอบบ้าน ก่อนอื่นต้องทิ้งเอาไว้ให้แห้งสนิทจริง ๆ บางส่วนถึงถอดออกได้ ก็ควรเปิดออกมาตากลมให้แห้งก่อน และถ้าแห้งสนิทแล้ว ก็ลองเปิดเครื่องดู ถ้ามีความผิดปกติก็ควรดับเครื่องทันที หากผุมากจนใช้การไม่ได้ก็ขายซาก ถ้าซ่อมได้ก็ซ่อม แต่ต้องระวังสัตว์ร้ายต่าง ๆ ที่แอบแฝงหรือซ่อนอยู่ตามตู้ตามซอกต่าง ๆ ภายในบ้านด้วย.

ภาณุวัฒน์ สินธวัชต์
ณัฐพล ปิยะตันติ
lifeimage_ar@yahoo.com

via @เดลินิวส์

ซาเลห์สละอำนาจ


ประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ของเยเมน เซ็นลงนามสละอำนาจแล้วเมื่อวันพุธ (23 พ.ย.) เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง การนองเลือดประท้วงขับไล่ ที่ดำเนินติดต่อกันมาตั้งแต่วันที่ 27 ก.พ.

กลายเป็นผู้นำรายที่ 4 และรายล่าสุด ที่ถูกขับจากตำแหน่ง ในรอบ 12 เดือน จากผลพวงของ “อาหรับสปริง” กระแสประชาชนลุกฮือปฏิวัติ โค่นล้มผู้นำและระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่เริ่มจากตูนิเซียเมื่อช่วงกลางเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว

ผู้นำเหยื่อ อาหรับ สปริง 3 คนก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย ประธานาธิบดีซีเน เอล อาบีดิน เบน อาลี ของตูนิเซีย ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์ และ พ.อ.โมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย 2 รายแรกกำลังถูกดำเนินคดีเช็กบิลย้อนหลัง แต่รายหลังจบชีวิตน่าอนาถ โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าถูกวิสามัญ หลังจนมุมถูกจับกุมตัวได้

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุดยอดแห่งสนามบิน

โดย : ลิเวอร์ เบิร์ด
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



นักเดินทางส่วนใหญ่มักจะมีประสบการณ์ในสนามบินแต่ละแห่งแตกต่างกันไป


บางคนเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำมากนักทั้งเจอกับผู้โดยสารที่แออัด กฎระเบียบและระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่เชื่อว่าในชีวิตหนึ่งของนักเดินทางน่าจะมีความทรงจำที่ดีๆ กับสนามบินบ้าง นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ทราเวลเลอร์ ได้รวบรวมคุณลักษณะของสนามบินที่ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินที่สุดยอดในด้านต่างๆ



สุดยอดแห่งสถาปัตยกรรม : สนามบินบาราสฮาส กรุงมาดริด สเปน


เป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของสเปนที่มีผู้โดยสารมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี ความสลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยสีสันของหลังคาที่ทำเป็นคลื่นและมีคานรองรับของเทอร์มินัล 4 ของสนามบินทำให้สนามบินแห่งนี้ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยม (Stirling Prize) จากอังกฤษในปี พ.ศ. 2549 การออกแบบเช่นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้สนามบินมีระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ดีเพื่อสร้างบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์สำหรับผู้มาเยือน


สุดยอดสนามบินสำหรับเด็ก : สนามบินดัลลัส/ฟอร์ท เวิร์ธ รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา


สโมสรจูเนียร์ ฟลายเออร์ ในเทอร์มินัล บีและซีของสนามบินเป็นสถานที่ชื่นชอบของนักเดินทางตัวจิ๋ว เพราะมีการออกแบบเป็นสนามบินขนาดเล็กที่สมบูรณ์แบบ มีทั้งรันเวย์ สะพาน รถยนต์ เครื่องบินและหอบังคับการบิน ส่วนที่เทอร์มินัลดีมีการติดตั้งงานศิลปะแบบอินเตอร์แอคทีฟ รวมถึงกำแพงกระจกสีที่โค้งไปโค้งมาคล้ายเขาวงกตเหมาะกับผู้โดยสารทุกวัย แต่สิ่งที่ถูกใจนักเดินทางมากที่สุดคือทางยกระดับสกายลิงค์ เพราะสำหรับผู้ใหญ่มันเป็นวิธีเดินทางที่รวดเร็วระหว่าง 5 เทอร์มินัล แต่สำหรับเด็กมันเป็นการนั่งรถไฟที่น่าตื่นเต้นพร้อมๆ กับได้ชมวิวพาโนรามาของลานบินด้านล่าง


สุดยอดสนามบินที่น่าใช้เวลาอยู่นานที่สุด : สนามบินชางงี สิงคโปร์


การใช้เวลารอคอยที่สนามบินไหนก็ไม่สุขใจเท่าที่ชางงี เพราะที่นี่มีสถานที่สำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ตั้งแต่สระว่ายน้ำบนดาดฟ้า สปา ร้านเสริมสวย โรงภาพยนตร์ และศูนย์มัลติมีเดียที่มีเกมเพลย์สเตชั่นและบูธเอ็มทีวี สวนผีเสื้อ สวนกล้วยไม้ สวนกระบองเพชรและสวนใบเฟิร์น ผู้โดยสารที่มีเวลาว่างเหลือมากกว่า 5 ชั่วโมงสามารถใช้บริการทัวร์ชมเมืองเป็นเวลา 2 ชั่วโมงได้ฟรี โดยลงทะเบียนได้ที่บูธในเทอร์มินัล 2 และ 3


สุดยอดแห่งไว-ไฟ : สนามบินซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา


แม้จะมีหลายสนามบินที่สมควรได้รับคำชมเรื่องการให้บริการไว-ไฟ แต่สนามบินซานฟรานซิสโกก้าวหน้าไปอีกระดับหนึ่งเพราะมีการวางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและติดตั้งที่เสียบปลั๊กไฟไว้ภายในตัวอาคารทุกแห่งแม้แต่ในห้องอาหาร โดยในเทอร์มินัล 2 ที่มีการตกแต่งใหม่ ผู้โดยสารสามารถติดตั้งโน้ตบุ๊คที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่มีเก้าอี้นั่งที่แสนสบายและมีพื้นที่เล่นสำหรับเด็กที่อยู่ใกล้ๆ บางคนบอกว่านี่เป็นสนามบินแห่งแรกที่อำนวยความสะดวกเรื่องเทคโนโลยีให้นักเดินทาง


สุดยอดแห่งงานศิลป์ : สนามบินสคิบโพล กรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์


ที่สนามบินแห่งนี้วัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญมากกว่างานโชว์ศิลปะแบบผิวเผิน ที่นี่มีการนำงานศิลปะจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติรวมถึงงานระดับมาสเตอร์พีซในยุคทองของดัตช์หมุนเวียนมาจัดนิทรรศการให้ผู้โดยสารได้ชมฟรี สำหรับนักเดินทางที่เป็นหนอนหนังสือสามารถมาใช้บริการที่ห้องสมุดที่มีหนังสือกว่า 1200 เล่ม หรือจะนั่งฟังเพลงหรือดาวน์โหลดภาพยนตร์ไว้ชมในไอแพดที่จัดไว้ให้ได้


สุดยอดแห่งการชอปปิง : สนามบินฮีทโธร์ว ลอนดอน อังกฤษ



ฮีทโธร์วเป็นสนามบินที่มีพื้นที่ร้านค้ามากกว่าห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กโดยทั่วไป (มากกว่า 671,000 ตารางฟุต) นักเดินทางมีโอกาสสูงมากที่จะตัวเบากลับบ้าน เพราะชอปปิงจนหมดกระเป๋า นอกจากร้านขายแว่นชื่อดัง ซันกลาส ฮัทส์ ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งรวมถึงร้านค้าดิวตี้ ฟรีแล้ว ยังมีร้านดังของอังกฤษอย่างห้างแฮร์รอดส์ในเทอร์มินัล 4 แห่ง และยังมีร้านแบรนด์เนมอย่างมัลเบอร์รี่ ปราด้า และโจ มาโลนซึ่งไม่ค่อยเห็นในสนามบินด้วย


สุดยอดแห่งการออกแบบเพื่อผู้โดยสาร : สนามบินมิวนิก เยอรมนี


สนามบินมิวนิกเป็นตัวอย่างของความมีประสิทธิภาพของเมืองเบียร์ เพราะมีสถิติเรื่องเวลาที่น่าประทับใจ ผู้โดยสารสามารถใช้เวลาเพียง 6 นาทีในการรอรับกระเป๋า และที่เทอร์มินัล 2 มีการติดตั้งตู้ระบบข้อมูลที่ชื่ออินโฟเกทส์ (InfoGates) ซึ่งทำงานด้วยระบบสัมผัส ผู้โดยสารสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลผ่านวีดีโอลิงค์เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับจุดเช็คอิน ร้านค้าหรือร้านอาหารและสามารถพิมพ์ข้อมูลออกมาได้


นอกจากนี้ ผู้โดยสารยังสามารถใช้บริการห้องอาบน้ำ งีบหลับในห้องหรือแม้แต่จิบเบียร์เยอรมันที่โรงเบียร์ของสนามบินด้วย


.......................
ที่มา : เว็บไซต์เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟิลาเดลเฟีย ถนนแห่งความหม่นเศร้า

โดย : อนันต์ ลือประดิษฐ์
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


พิบัติภัยเป็นเรื่องเหนือการควบคุม แต่มนุษย์เรียนรู้ที่จะเตรียมพร้อมเพื่อความอยู่รอดมาโดยตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน

อุทกภัยย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ผ่านมาแล้วก็ควรจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบบริหารจัดการที่ดี มิใช่ดังกรณีของอุทกภัย 2554 ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่น้ำท่วมขังจนกลายเป็นน้ำเน่าไปทั่ว หลายพื้นที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะพ้นผ่านวิกฤตนี้ไปได้



น้ำท่วมกรุงครั้งนี้ ทำให้นึกถึงหลายๆ เมืองที่มีโอกาสเดินทางไปเยือนในช่วงปีนี้ อย่าง กรุงโซล เกาหลีใต้ ที่เผชิญภาวะน้ำท่วมจากฝนตกหนักเมื่อหลายเดือนก่อน แต่พอมีโอกาสไปถึงที่นั่น แทบไม่ปรากฏร่องรอยความเสียหายมากนัก ดังที่คนท้องถิ่นบอกว่า “ความจริงไม่ได้เลวร้ายเหมือนภาพข่าวที่ปรากฏออกไป เราจัดการได้ดีและเสร็จสิ้นในเวลาไม่นาน”


เช่นเดียวกันกับกรณีของ ฟิลาเดลเฟีย ที่โดนเฮอริเคนไอรีนกระหน่ำเต็มๆ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แม้กระทั่งเมืองทางใต้ลงมา อย่าง นิวยอร์ก ซิตี ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย ถึงขนาดมีความจำเป็นต้องอพยพคนในบางพื้นที่ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผู้นำของเขาใช้เวลาไม่นาน ก็ทำให้ทุกอย่างกลับมาสู่ภาวะปกติ


ความรุนแรงของไอรีนนั้นถือว่าทำลายสถิติ เพราะส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสกูโคล (Schuykill River) ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 2 สายหลัก ที่ไหลผ่านเมืองฟิลาเดลเฟีย (อีกสายคือแม่น้ำเดลาแวร์) มีระดับสูงสุดในรอบ 140 ปีเลยทีเดียว


แม้จะมีพลเมืองสายเลือดเอเชียอาศัยอยู่เพียง 6 เปอร์เซนต์ของประชากรของเมืองนี้ (ส่วนมากเป็นคนเชื้อสายจีน) แต่เมื่อพูดถึง "ฟิลาเดลเฟีย" คนไทยน่าจะรู้จักชื่อนี้ดีจากหนังชื่อเดียวกัน คือ Philadelphia ที่เกี่ยวข้องกับเกย์และเอดส์ นำแสดงโดย ทอม แฮงก์ และ เดนเซิล วอชิงตัน เมื่อปี 1993 ซึ่งส่งผลให้ ทอม แฮงก์ คว้ารางวัลออสการ์จากหนังเรื่องนี้


เช่นเดียวกันกับเพลงเอกประกอบหนัง Streets of Philadelphia ที่ทำให้ บรู้ซ สปริงทีน ไม่เพียงได้รางวัลออสการ์ แต่เขายังคว้าอีก 4 รางวัลแกรมมี่ในปีถัดมาอีกด้วย


ผมนึกถึงเพลง Streets of Philadelphia เพลงที่มีความหม่นเศร้า ด้วยถ้อยคำไม่กี่คำแต่ทะลุทะลวงถึงจิตใจคนฟัง เป็นเพลงที่มีความเป็นสากล ทั้งในด้านสไตล์เพลงและเนื้อหาของมัน เพราะถึงใครก็ตามที่ไม่ใช่แฟนเพลงของ "เดอะ บอสส์" บรู้ซ สปริงสทีน มาก่อน ก็ชื่นชอบเพลงนี้ได้ไม่ยาก ด้วยแนวทางการนำเสนอในรูปแบบของป๊อป บนห้วงอารมณ์อันเนิบนาบ มีโมทิฟสวยๆ กับจังหวะจะโคนที่ตรงกันกับจังหวะการเต้นของหัวใจ และแน่นอน เสียงร้องที่สื่อความหมายได้เป็นอย่างดี


เช่นเดียวกันกับเนื้อหาของเพลงที่ "โดนใจ" ใครก็ตามที่ได้ฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวละครในท้องเรื่องของ Philadelphia ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด โดดเดี่ยว เวิ้งว้าง ไร้ความหมาย ไร้ที่พึ่งพิง ทุกข์ทรมานกับการนอนลืมตาตื่นกลางดึก แรมรอนค้นหาทางออก ... จนไม่อาจบรรยายความรู้สึกภายในออกมาไม่ได้


"I was bruised and battered and I couldn't tell
What I felt
I was unrecognizable to myself
I saw my reflection in a window I didn't know
My own face
Oh brother are you gonna leave me
Wastin' away
On the streets of philadelphia"


นั่นคือมุมมองของเพลง โดยใช้บรรยากาศของเมืองฟิลาเดลเฟียเป็นฉากหลัง แต่ในความเป็นจริงนั้น มหานครที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐอเมริกานี้เมืองนี้ ยังเต็มเปี่ยมด้วยสีสันและความเคลื่อนไหวจากคลื่นชีวิตของผู้คน ทั้งสถานที่บันเทิง ห้างร้าน สถานศึกษา ฯลฯ


ฟิลาเดลเฟีย เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมลรัฐเพนซิลวาเนีย อายุกว่า 300 ปี มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเกรียงไกร ไม่แพ้เมืองอื่นๆ เป็นเมืองที่ 3 ของสหรัฐอเมริกาที่มีรถไฟใต้ดิน ซึ่งให้บริการมาตั้งแต่ปี 1907 คนท้องถิ่นเรียกตนเองว่าเป็นชาวเมือง "ฟิลลี" (Philly) หลายคนเรียกเมืองนี้ตามรากคำศัพท์กรีกว่า เป็น City of Brotherly Love หรือเมืองแห่งความรักในความเป็นพี่น้อง


ใครมีโอกาสไปเยือน อย่าลืมเที่ยวย่านอิตาเลียนมาร์เก็ตทางตอนใต้ของเมือง พร้อมกับชิมชีสสเต็ค และซอฟท์ พริทเซิล ที่เป็นสัญลักษณ์เฉพาะของเมืองนี้ ซึ่งบ่งบอกถึงรากฐานวัฒนธรรมของชาวอิตาเลียน ที่ยังฝังแน่นอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ตราบจนถึงวันนี้.

Song : Streets of Philadelphia
Artist : Bruce Springsteen
Place : Philadelphia
Country : USA
Time Zone : UTC-5

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุโขทัย (03)

อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงยิ่งใหญ่มากทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม แต่แม้สุโขทัยจะดำรงอยู่ราว 250 ปี ก็ดูจะยิ่งใหญ่อยู่แค่ 70-80 ปีเท่านั้น เฉพาะในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง และพระมหาธรรมราชาลิไท เพราะสุโขทัยเสื่อมลงหลังจากนั้นด้วยการเมืองภายในและความแตกแยกร้าวฉานกันเองในหมู่ผู้ปกครองซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นวงศาคณาญาติกันทั้งนั้น

พูดถึงอาณาจักรสุโขทัยก็ต้องพูดถึงเพื่อนบ้านซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายเหนือและพูดถึงขอมพูดถึงเขมรด้วย เอาเรื่องเมืองเหนือก่อนก็ได้

อาณาจักรเมืองเหนือที่ใหญ่ไม่แพ้อาณาจักรสุโขทัยสมัยนั้นคืออาณาจักรล้านนาของพ่อขุนเม็งรายหรือมังราย เดิมอยู่เชียงแสน ต่อมาก็สร้างเวียงเชียงราย และเวียงเชียงใหม่ พ่อขุนเม็งรายเป็นสหายกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัยและพ่อขุนงำเมืองแห่งพะเยา ยามพ่อขุนสุโขทัยและพ่อขุนพะเยาผิดใจกันเรื่องกิ๊กก็ได้พ่อขุนเม็งรายเป็นกาวใจ จนทั้งสามร่วมดื่มน้ำสาบานกันและปรองดองร่วมด้วยช่วยกันสร้างเวียงเชียงใหม่ พ่อขุนเม็งรายและพ่อขุนรามคำแหงนั้นท่านเป็นมหาราชทั้งคู่


ทุกวันนี้ยังมีอนุสาวรีย์ พ่อขุนทั้งสามอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่หลังเก่า

ถ้าพ่อขุนเม็งรายไม่เป็นมิตรกับพ่อขุนรามคำแหง คงได้ต่อสู้รบพุ่งกันจนตายไปข้างหนึ่ง และหากไม่สุโขทัยตกเป็นของอาณาจักรล้านนา ทางล้านนาก็คงตกเป็นของสุโขทัย

พูดถึงขอมและเขมรซึ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ตัวจริงอยู่ทางทิศตะวันออกของไทย ราว 4,000-5,000 ปีมาแล้ว ยังเป็นที่อยู่ของมนุษย์ถ้ำ มนุษย์ภูเขา และชาวประมงแถวทะเลสาบเขมร ตามตำนานว่าราว 2,000 ปีก่อนมีพราหมณ์หนุ่มรูปหล่อลงเรือจากอินเดียมาถึงดินแดนนี้และได้เมียเป็นบุตรีพญานาคผู้เป็นเจ้าถิ่น พญานาคพ่อตาเนรมิตนครให้ปกครองตั้งตามชื่อธิดาพญานาคว่ากัมพูชาอันเป็นบรรพบุรุษชาวเขมรมาจนทุกวันนี้

ตำนานก็คือนิทานพื้นบ้าน จริงไม่จริงไม่ต้องไปตรวจสอบให้เสียเวลา แต่ถ้าปะติดปะต่อกับพงศาวดารแล้วเข้าใจได้ว่าศาสนาพราหมณ์คงเข้ามาในตอนนั้น (ฝรั่งสันนิษฐานว่าหลังพุทธศาสนาเกิดแล้วราว 600 ปี) ดินแดนกัมพูชาจึงเต็มไปด้วยเทวสถาน เทวาลัยต่าง ๆ หินสลักรูปพระผู้เป็นเจ้า และพิธีรีตองแบบแขกแบบฮินดู

ต่อมาพุทธศาสนาเริ่มแบ่งออกเป็นมหายานและเถรวาท พุทธศาสนาแบบมหายานมีพระโพธิสัตว์มากมายดุจเม็ดทรายในมหาสมุทรได้เข้ามาสู่กัมพูชา และด้วยความที่ไปกันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับศาสนาพราหมณ์ก็เริ่มผสมกลมกลืนกัน ดังที่ศาสนสถานและปราสาทหินหลายแห่งถูกแปลงจากเทวสถานของพราหมณ์ไปเป็นพุทธสถานของพุทธแบบมหายาน ตอนนั้นสุโขทัยยังไม่เกิด แต่อิทธิพลศาสนาพราหมณ์และพุทธแบบมหายานลงใต้ไปที่อาณาจักรศรีวิชัยด้วย ดังหลักฐานที่ขุดพบแถวไชยา สทิงพระ และชวา

คนที่อยู่ในดินแดนนี้เรียกตัวเองว่าชาวกัมพูชาหรือเขมร แต่ราวพันปีเศษมานี้เริ่มปรากฏชื่อว่า “กรอม” หรือ “กร๋อม”
ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าขอม พระยาอนุมานราชธนอธิบายว่าเดิมคงเป็นเผ่าหนึ่งอยู่ในกัมพูชามาก่อน แต่ในมอญก็เคยมีพวกนี้อยู่จึงอาจอพยพหนีโรคระบาดไปอยู่ไกลถึงหงสาวดีในมอญก็ได้ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักอ่านศิลาจารึกเดากลับกันว่าขอมอาจเป็นพวกมอญผสมละว้า ต่อมาข้ามไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนกัมพูชา และผสมปนเปไปกับชาวเขมรหรือกัมพูชาซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิม พระยาอนุมานราชธนจึงสรุปว่าทั้งขอมและเขมรปะปนกันมานับพันปีแล้ว ดังนั้นจะว่าเป็นพวกเดียวกันหรือคนละพวกก็ถูกทั้งนั้น

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายอีกแบบว่า ทุกวันนี้เรายังขาดความรู้เรื่องขอมและเขมร แต่เขมรไม่รู้จักคำว่าขอม ขนาดอาณาจักรที่เราเรียกว่าขอมพวกเขมรก็เรียกว่าอาณาจักรเขมรหรือแขมร์หรือไม่ก็กัมพูชา ตรงกับที่มหาฉ่ำ ทองคำวรรณ บอกว่าขอมเป็นคำที่ชาวต่างชาติใช้เรียกเขมรมาแต่โบราณ แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ผมว่าฟังดูคงเหมือนกับเดิมที่ฝรั่งเรียกเราว่าสยามหรือเราเรียกคนญี่ปุ่นว่า “ยุ่น” โดยที่ชาวญี่ปุ่นไม่รู้จักเสียละมั้ง!

ก็ที่หนังสือพิมพ์ไทยรายงานข่าวว่า “บอลค่ำนี้ น้ำหอมดวลแข้งกับผู้ดี ใครชนะได้เข้ารอบชิงแชมป์กับเบียร์” หรือไม่ก็ “ลอดช่องช้ำแพ้บอลอิเหนา” ท่านว่านอกจากคนไทยรู้กันเองแล้วใครอ่านรู้เรื่องบ้างไหมครับ!

ขอมหรือเขมรเป็นใหญ่ทางซีกโลกด้านนี้จนแผ่อิทธิพลเข้าไปในแคว้นต่าง ๆ ไม่ว่าโคตรบูรณ์ ละโว้ สุโขทัย และสุพรรณภูมิ ถ้าไม่เป็นการเข้าครอบครอง แคว้นเหล่านี้ก็รับเอาปรัชญา ศิลปะ วัฒนธรรมต่าง ๆ ไปใช้เอง ดังเห็นจากสถาปัตยกรรมแบบปราสาทหิน ศาสนา ภาษา และธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งต่อไปจะเห็นชัดขึ้นในสมัยอยุธยา

สิ้นสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาณาจักรสุโขทัยก็เริ่มเคานท์ดาวน์ พญาเลอไท ลูกของพ่อขุนรามคำแหงได้เป็นเจ้าเมืองคนที่ 4 (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 45) แต่ต่อมาก็ต้องไปบวช (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 6 วัดป่ามะม่วง)

อยู่ดี ๆ พญาเลอไทคงไม่ทิ้งเมืองไปบวช แต่เป็นเพราะพญางั่วนำถุม ลูกพ่อขุนบานเมืองพี่ชายพ่อขุนรามคำแหงจะขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยแทน นับญาติกันแล้วพ่อขุนงั่วนำถุมเป็นลูกผู้พี่ พญาเลอไทเป็นลูกผู้น้องเพราะพ่อของทั้งสองคนคือ “พี่น้องท้องเดียวกัน” ถ้าพญาเลอไทคิดจะสมัครใจหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมเอง เหตุใดไม่ตั้งพญาลิไท ลูกชายขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน ทั้งที่ส่งไปฝึกหัดราชการเป็นเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยรออยู่แล้ว แสดงว่าสุโขทัยน่าจะเกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่ญาติและพญางั่วนำถุมคงจะปฏิวัติสำเร็จ

การขึ้นเป็นใหญ่ของพญางั่วนำถุมยังถือเป็นเจ้าองค์ที่ 5 ในราชวงศ์พระร่วง เพราะท่านเป็นลูกพ่อขุนบานเมือง เป็นหลานอาพ่อขุนรามคำแหง เป็นหลานปู่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ย่าของท่านคือนางเสืองซึ่งตรงนี้เองที่สันนิษฐานว่าเป็นลูกพ่อขุนศรีนาวนำถุมแห่งราชวงศ์นาวนำถุม เพราะโบราณมักเอาชื่อปู่ย่าตายายหรือทวดมาตั้งเป็นชื่อหลานเหลน ท่านจึงได้คำว่า “นำถุม” ติดมาด้วย ส่วนคำว่า “งั่ว” แปลว่า ห้า งั่วนำถุมจะเป็นพ่อขุนน้ำท่วมเจเนอเรชั่นที่ 5 หรือลูกคนที่ 5 ก็ไม่ทราบ สมัยอยุธยาเรามีกษัตริย์ชื่อขุนหลวงพะงั่วนี่ก็ห้า

ฟังดูใกล้เคียงกับภาษาจีนว่าโหงวที่แปลว่าห้านะครับ!

ต่อมาพญาลิไทลูกพญาเลอไทซึ่งครองศรีสัชนาลัยอยู่ยกทัพเข้ายึดเมืองสุโขทัยคืนจากพ่อขุนงั่วนำถุมและตั้งตนเป็นเจ้าองค์ที่ 6 (รู้จากศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม) คราวนี้กรุงสุโขทัยก็กลับใหญ่ผงาดขึ้นอีกครั้งแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับสมัยปู่ท่านคือพ่อขุนรามคำแหง ช่วงนี้เองที่พระเจ้าอู่ทองเริ่มสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ทางตอนใต้แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและป่าสักแทนที่เมืองโบราณชื่ออโยธยาศรีรามเทพนคร กลายเป็นแคว้นคู่แข่งกับสุโขทัย จะว่าเป็นศัตรูกันก็คงได้ ศัตรูของอยุธยาอีกรายหนึ่งคือขอมหรือเขมร ณ เมืองพระนครหรือศรียโสธรปุระ ตอนนั้นอยุธยาได้ละโว้หรือลพบุรีมาแล้ว และถือเป็นหน้าด่านชายแดนสำคัญทางตะวันออก อยากได้ก็แต่หน้าด่านทางเหนืออีกแห่งจึงเล็งไปที่สุโขทัย

พุทธศาสนาแบบเถรวาทเข้ามามีอิทธิพลในสุโขทัยตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ต่อกับพ่อขุนรามคำแหง แต่มารุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพญาลิไทนี้เอง ดังที่ราษฎรเรียกพระองค์ว่าพระมหาธรรมราชาตามแบบครั้งพระเจ้าอโศก กษัตริย์แคว้นมคธ ทรงอุปถัมภ์พุทธศาสนาและทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์ต่าง ๆ ไว้มาก ทรงนิมนต์พระจากลังกาเข้ามาสอนศาสนา และเสด็จออกผนวชที่วัดป่ามะม่วง ทรงแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็นพระป่า “อรัญวาสี” และพระบ้าน “คามวาสี” แต่ขณะเดียวกันก็ทรงเป็นนักรบ จะว่าใช้ศาสนานำทางสร้างอำนาจด้วยก็ได้ พี่สุจิตต์ วงษ์เทศเคยเขียนไว้ว่าพญาลิไททรงใช้ศาสนาดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองไปพร้อมกัน

พญาลิไทรุกลงไปตีเมืองเก่า ๆ ของอาณาจักรสุโขทัยคืนมาคือนครชุม (กำแพงเพชร) และสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ไว้ที่นั่น สองแคว (พิษณุโลก) สระหลวง (พิจิตร) ย้อนขึ้นไปถึงเมืองแพร่ เมืองใดตีไม่ได้ก็เจริญไมตรีด้วยการส่งทูตไปผูกมิตร เช่น เมืองน่าน หลวงพระบาง อาณาจักรล้านนา (ตอนนั้นเป็นสมัยลูกหลานพ่อขุนเม็งราย)

การแผ่อิทธิพลของพระมหาธรรมราชาลิไททำให้แคว้นอยุธยาซึ่งเพิ่งเกิดใหม่ได้ไม่กี่ปีทั้งหมั่นไส้และกลัว เวลานั้นอยุธยาต้องการสลัดตัวเองให้พ้นจากการปกครองและอิทธิพลแบบสุโขทัยจึงไม่ยอมรับแนวคิดเรื่อง “พ่อขุน” และ “ธรรมราชา” แต่พอใจแบบแผนการปกครองของขอม ซึ่งดูศักดิ์สิทธิ์ ขลัง และพิลึกดี โดยเฉพาะในเรื่อง “เทวราช” คือ ผู้ปกครองเป็นพระเป็นเจ้า มีการใช้ราชาศัพท์ มีระเบียบแบบแผนและกฎบัตรกฎหมายแปลก ๆ ดังที่พญาอู่ทองได้เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีไปแล้ว คำสั่งก็เรียกว่าพระบรมราชโองการ กิน เดิน นั่ง นอนก็กลายเป็นเสวย เสด็จ ประทับ บรรทม ตายก็เรียกว่าสวรรคตแปลว่าไปสู่สวรรค์ ฟังดูหรูหราดี!

พระเจ้าอู่ทองมีพี่เมียหรือไม่ก็น้องเมียชื่อขุนหลวงพะงั่ว เป็นเจ้าเมืองสุพรรณซึ่งเคยเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ แต่ตอนนั้นกะทัดรัดลงมากแล้ว พระเจ้าอู่ทองส่งขุนหลวงพะงั่วขึ้นไปชิงเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เอาไว้เป็นหน้าด่านชายแดนทางเหนือกันชนไม่ให้สุโขทัยขยายลงมาใต้เลยไปได้น้องสาวพญาลิไทเป็นเมียกลายเป็นน้องเขยพญาลิไท ซึ่งว่าไปแล้วขุนหลวงพะงั่วก็พี่เมียน้องเมียกับพระเจ้าอู่ทองอีกด้วย ฟังดูยุ่งชะมัดนะครับ!

ขุนหลวงพะงั่ว ขออนุญาตจากพระเจ้าอู่ทองให้พญาลิไทพี่เมียขยับลงมาครองเมืองสองแคว พระเจ้าอู่ทองตกลงแต่ให้น้องสาวพญาลิไทคนที่เป็นเมียขุนหลวงพะงั่วนั่นแหละขึ้นไปครองเมืองสุโขทัยในนามของพระมหาเทวี ทั้งที่อยุธยาไม่ได้ตีกรุงสุโขทัยแตก อาณาจักรสุโขทัยจึงมี 2 ราชธานี เฉพาะที่กรุงสุโขทัยจึงมีผู้ปกครององค์ที่ 7 เป็นหญิงอยู่ระยะหนึ่ง

ถ้าไม่ใช่ครั้งตีสองแควได้ครั้งแรกก็คงเป็นช่วงที่พญาลิไทลงมาปกครองเมืองสองแควรอบนี้แหละที่ท่านสร้างพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราชขึ้น

พอพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระราเมศวร พระราชโอรสได้เป็นกษัตริย์อยุธยาแต่ต่อมาขุนหลวงพะงั่วก็ยกทัพเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา พญาลิไทถือโอกาสยกทัพจากสองแควทำท่าจะมาช่วยขุนหลวงพะงั่วน้องเขยเอาความดี แต่ทางอยุธยาพระราเมศวรยอมยกกรุงศรีอยุธยาให้ขุนหลวงพะงั่วผู้เป็นลุงหรือน้า (พี่หรือน้องแม่) โดยดี แล้วท่านก็หลบไปครองลพบุรีอยู่เงียบ ๆ พญาลิไทจึงยกทัพกลับแล้วถือโอกาสเลยไปยึดเมืองสุโขทัยจากน้องสาว ปลดรัฐบาลพระมหาเทวีแล้วตั้งตนเป็นใหญ่รอบสอง ขุนหลวงพะงั่วกษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของอยุธยารู้เข้าก็ไม่ว่าอะไร ก็พี่เมียน้องเขยกากีนั้งเหล่าเผ่งอิ้วจะอะไรกันนักหนา อย่างน้อยสุโขทัยก็คงไม่เป็นภัยต่ออยุธยาอีกแล้ว

พญาลิไทสวรรคต (เรียกแบบอยุธยา) ในเวลาใกล้ ๆ กัน พญาลือไท ลูกชายได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยองค์ที่ 8 ส่วนพระมหาเทวีเขาให้ใหญ่ท่านก็ใหญ่ให้เล็กท่านก็เล็ก เพราะท่านก็ว่าอะไรตามสคริปต์ที่พี่ชายบ้าง คนโน้นคนนี้บ้างบอกบทให้อยู่แล้ว เล่ามาถึงนี้ก็จวนสิ้นอาณาจักรสุโขทัยแล้วนะครับ เพราะอีกไม่นานสุโขทัยทั้งอาณาจักรก็สูญเสียอำนาจแก่อยุธยา

น่าสนใจว่าสุโขทัยก็อาณาจักรหนึ่ง กรุงศรีอยุธยาก็อาณาจักรหนึ่ง เหตุใดเราจึงถือว่าประวัติศาสตร์ไทยเริ่มจากสุโขทัยลงมาต่อกับอยุธยา มันต่อเนื่องกันตรงไหนหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่นับอาณาจักรล้านนาของพ่อขุนเม็งรายมหาราชหรืออาณาจักรหริภุญไชยของพระนางจามเทวีว่าต่อกับไทยด้วย

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลอยเรือล่องเวนิซ นครแห่งสายน้ำ

โดย : มานพ จันทร
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เมืองหลวงของไทยเคยถูกขนานนามว่า “เวนิซแห่งตะวันออก” เพราะมีลำคลองตัดผ่านหลายสาย เหมือนนครเวนิซ (Venice)ของอิตาลีซึ่งมีลำคลองอยู่มาก

แต่ปัจจุบันนี้ผู้คนลืมไปแล้วว่ากรุงเทพฯ เป็นเวนิซแห่งตะวันออก และกำลังมีฉายาว่าเป็น "เมืองบาดาล" แห่งใหม่ ผลพวงจากการหายไปของลำคลอง การจัดวางผังเมือง การบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แต่ที่ “เวนิซ” ก็ยังคงเป็นนครแห่งสายน้ำที่มีเสน่ห์น่าไปเยือนดังเดิม

ความจริงเวนิซตั้งอยู่บนเกาะ โดยนำเกาะเล็กๆ ที่อยู่แถบเดียวกันมาเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยสะพานในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริกจนแทบมองไม่ออกว่าเป็นเกาะแก่ง


เวนิซนั้นถือว่าอยู่ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี อยู่กลางทะเลสาบน้ำเค็มซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีความสำคัญที่ทำให้คนจดจำได้เพราะเป็นบ้านเกิดมาร์โคโปโล ยอดนักสำรวจโลก เป็นสุดยอดเมืองแห่งความโรแมนติก ล้อมรอบไปด้วยคลองน้อยใหญ่ มีสัญลักษณ์คือเรือกอโดล่า เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนในสมัยโบราณ มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ำอย่างเป็นระเบียบ และยังเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโตอีกด้วย


สถานที่น่าสนใจ ได้แก่ วังดูคาเล (Palazzo Ducale) เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ในอดีตเป็นที่พักของผู้ปกครองเวนิซ ซึ่งเรียกว่า Doge ก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่ได้รับการตกแต่งและก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ประดับไว้ด้วยภาพวาดโดยศิลปินเวนิซหลายราย และยังมีห้องทรมานนักโทษ พร้อมทางเชื่อมคือ สะพานซิงห์ (Bridge of Sighs, Ponte dei Sospiri) ไปยังคุกเก่าอีกด้วย

ในขณะที่โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้เผยแผ่ศาสนาที่อียิปต์และถูกประหารชีวิต ก่อนที่ชาวเวนิซจะไปนำศพกลับมาเก็บไว้ที่โบสถ์ซานมาร์โคแห่งนี้ จุดเด่นของโบสถ์ที่ซานมาร์โคอยู่ที่การมีโดมถึง 5 โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ด้านหน้าประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นม้าบรอนซ์ 4 ตัว ภายในโบสถ์เป็นที่เก็บรักษาศพของนักบุญมาร์ค มีเพดาน กำแพง และพื้นซึ่งตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่บางส่วนเป็นพิพิธภัณฑ์อีกด้วย


การไปเยือนเมืองแห่งนี้ นักเดินทางมักไม่พลาดการไป จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San Marco) จุดนัดพบกลางเมืองมีความสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี ในบริเวณจัตุรัสจะมีร้านค้าและร้านอาหารตั้งอยู่รายรอบ ใกล้กันนั้นมีหอระฆัง (Campanile) เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเวนิซ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวของเมืองและลำน้ำได้ ส่วนหอนาฬิกา (Torre dell’ Orologio) ซึ่งสร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หน้าปัดนาฬิกาสีน้ำเงิน แสดงการหมุนเวียนของพระจันทร์ และจักรราศีต่างๆ ก็มีความงดงามน่าดึงดูดเพียงพอ


สถานที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น สะพานริอัลโต (Rialto) เดิมทีเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่พังทลายลง ก็สร้างเป็นสะพานหินขึ้นทดแทนเป็นสะพานข้ามแกรนด์คาแนล (Grand Canal) เพียงแห่งเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1854 กลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญ ขณะที่โบสถ์ซานตา มาเรีย กลอริโอซา เดอิ ฟรารี (Santa Maria Gloriosa dei Frari) มีความสำคัญในฐานะสถานที่เก็บศพของศิลปินและผู้มีชื่อเสียงของเวนิซ


โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา ซาลูท (Santa Maria della Salute) ซึ่งตั้งอยู่ปากทางเข้าแกรนด์คาแนล หนึ่งในสิ่งก่อสร้างสัญลักษณ์ของหนึ่งของเวนิซ เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโร้กขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระเจ้าในโอกาสที่โรคระบาดได้หายไปจากเวนิซ เมื่อปี ค.ศ. 1630 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1687


ความจริงภาพยนตร์ Italian for Beginners (2000) เป็นผลิตผลของเดนมาร์ก แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ อ้างอิงนิยายเรื่อง Evening Class (1996) ของ มาอีฟ บินชี่ นักเขียนหญิงชาวไอริช เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิง 6 คน ที่ใช้ชีวิตในกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก พวกเขาต้องมาเกี่ยวพันกันเพราะชั้นเรียนภาษาอิตาเลียน


ภาพยนตร์เป็นผลงานของ โลน เชอร์ฟิก ผู้กำกับหญิงชาวเดนมาร์ก หนึ่งในสมาชิกกลุ่มด็อกม่า 95 ซึ่งมีกฎในการทำงานแบบเป็นธรรมชาติ แทบไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ระหว่างการถ่ายทำ โดยผลงานชิ้นนี้ได้รับเสียงชื่นชมพอสมควร เนื้อหาของเรื่องนั้นมุ่งโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของ 3 คู่รัก ในบรรยากาศอันหลากหลายทั้งอารมณ์เงียบเหงา และความสนุกครื้นเครงเฮฮา


โดยมีฉากจบอันแสนโรแมนติกในเมืองเวนิซ ประเทศอิตาลี


…………….

City : Venice
Region : Veneto
Country : Italy
Population : 270,660
Film : Italian for Beginners (2000)
Director : Lone Scherfig
Cast : Anders W. Berthelsen, Ann Eleonora, J?rgensen , Anette St?velb?k

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุโขทัย (02)

ศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและสุโขทัย เป็นเมืองฝาแฝดคู่กันเหมือนกรุงเทพฯ และธนบุรี แต่ศรีสัชนาลัยสวรรคโลกเกิดก่อน (เดิมเรียกเมืองเชลียง) ยิ่งพอมี เจ้าเมือง เดียวกันคือ พ่อขุนศรีนาวนำถุม ก็ยิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่วันนี้สุโขทัยเป็นจังหวัด ส่วนศรีสัชนาลัยและสวรรคโลกแยกออกเป็นสองอำเภอขึ้นกับสุโขทัย

พ่อขุนศรีนาวนำถุมหรือพ่อขุนพิชิตน้ำท่วมเป็นเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและเมืองสุโขทัยองค์แรก ก่อนหน้านั้นอาจมีเจ้าเมืองอื่นแต่ไม่ปรากฏชื่อ คนรุ่นหลังเรียกตระกูลวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมว่าราชวงศ์นาวนำถุมซึ่งที่จริงก็มีแต่ท่านอยู่องค์เดียว ไม่อีกทีก็นับพ่อขุนผาเมือง ลูกชายท่านเป็นเจ้าเมืองร่วมราชวงศ์ได้อีกองค์ เพราะหลังจากจับมือกับพ่อขุนบางกลางหาวสู้กับขอมสบาดโขลญลำพง (ไม่ใช่ชื่อคนแต่เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายเขมร) จนชนะ พ่อขุนผาเมืองซึ่งเดิมเป็นเจ้าเมืองราด (เชื่อว่าอยู่ทุ่งยั้ง อุตรดิตถ์) ก็ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยแล้วให้พ่อขุนบางกลางหาวไปครองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก แต่ต่อมาก็ขอสลับให้พ่อขุนบางกลางหาวมานั่งเมืองสุโขทัย ตัวพ่อขุนผาเมืองเองยอมไปนั่งเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกแทน


ยิ่งกว่านั้น พ่อขุนผาเมืองเป็นลูกเขยเจ้าเมืองเขมรจึงเคยได้รับชื่อจากเขมรว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ฟังดูเป็นเทพเจ้าอยู่เหมือนกัน แต่พอย้ายไปนั่งเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกท่านก็กลับไปใช้ชื่อผาเมืองตามเดิมแล้วเซ้งชื่อศรีอินทราทิตย์ให้พ่อขุนบางกลางหาวเสียอย่างนั้นแหละ



เชื่อกันว่า พ่อขุนบางกลางหาวอาจเป็นลูกเขยพ่อขุนศรีนาวนำถุมและเป็นพี่เขยพ่อขุนผาเมือง เมียพ่อขุนบางกลางหาวที่ชื่อนางเสืองอาจเป็นพี่สาวพ่อขุนผาเมืองก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพ่อขุนบางกลางหาวก็น่าจะอยู่ในราชวงศ์ศรีนาวนำถุมด้วย แต่เพราะท่านเป็นแค่เขยและภายหลังใหญ่โตขึ้นด้วยการสร้างอำนาจบารมีเองจนสุโขทัยเปลี่ยนจากชุมชนธรรมดากลายเป็นอาณาจักรจึงจัดให้ท่านเป็นต้นราชวงศ์ใหม่ของสุโขทัยชื่อราชวงศ์พระร่วง



พูดถึงคำว่าพระร่วง ที่จริงคำนี้ไม่ปรากฏในศิลาจารึกหลักใด ๆ แต่มีกล่าวถึงในตำนาน นิทานพื้นบ้าน พงศาวดารเมืองเหนือ และพงศาวดารต่างแดนเช่นในเรื่องราชาธิราชที่พูดถึงพระร่วงและมะกะโท บางครั้งกล่าวถึงพระร่วงอรุณราชกุมาร ฟังดูแล้ว “ร่วง” จึงไม่ใช่ “ร่วงหล่น” แต่เป็น “รุ่งอรุณ” มากกว่า และกล่าวถึงพระร่วงเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยบ้าง พระร่วงเจ้าเมืองสุโขทัยบ้าง พระร่วงนั้นตำนานระบุว่ามีวาจาสิทธิ์ สาปแช่งใครได้ผลทุกราย เวลานี้ยังมีสำนวนเรียกคนอย่างนี้ว่า “ปากพระร่วง”



สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงสันนิษฐานว่าพระร่วงคงมีหลายองค์และไม่ใช่ชื่อเฉพาะเจาะจงของคนใด แต่ใช้เรียกเจ้าเมืองไม่ว่าที่ปกครองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกหรือสุโขทัย คงเป็นเพราะอย่างนี้นักประวัติศาสตร์จึงเรียกเชื้อสายที่สืบมาจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ่อขุนบางกลางหาว) ว่าราชวงศ์พระร่วง



รัชกาลที่ 6 โปรดเรื่องพระร่วงมาก เมื่อมีการเรี่ยไรซื้อเรือรบลำใหญ่ในสมัยนั้นก็พระราชทานชื่อว่า “พระร่วง” เมื่อพบเศียรพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยชำรุดก็โปรดให้นำมาซ่อมแซมต่อเติมจนกลายเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามพยาธิองค์ใหญ่ประดิษฐานที่ซุ้มหน้าพระปฐมเจดีย์ นครปฐม พระราชทานชื่อว่าพระร่วงโรจนฤทธิ์ เมื่อสวรรคตและถวายพระเพลิงแล้วก็เชิญพระบรมราชสรีรางคาร (เถ้าถ่าน) ไปบรรจุไว้ที่นั่น



ยุคของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นช่วงเวลาของการ “สร้างบ้านแปงเมือง” แปลว่าก่อสร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นเพื่อจะก้าวข้ามจากการเป็นแคว้นเล็ก ๆ ไปสู่การเป็นอาณาจักรใหญ่มีกรุงสุโขทัยเป็นเมืองหลวง โดยยังต้องระวังภัยจากอาณาจักรหริภุญไชย อาณาจักรโยนก อาณาจักรสุพรรณภูมิ และอาณาจักรละโว้ และที่สำคัญคือภัยจากอาณาจักรกัมพูชาและจีนพวกมองโกล



จีนนั้นอยู่ไกลจึงไม่เป็นภัยมากนัก ทั้งยังมีนิทานเรื่องพระร่วงองค์ใดองค์หนึ่งไปเจริญไมตรีถึงเมืองจีน จะจริงหรือไม่ยังไม่มีหลักฐานชัดแต่ที่แน่คือเริ่มมีการค้าขายกันโดยใช้เส้นทางจากยูนนานในจีนผ่านเชียงทั้งหลายและอาณาจักรพุกามลงมาทางตากจนเข้าสู่สุโขทัย อย่าลืมว่าสุโขทัยเป็นชุมทางการค้าที่แวะพักของกองเกวียนมาก่อน



ข้างฝ่ายอาณาจักรโยนก นั้นก็ดูจะผูกมิตรกันดีและมาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในภายหลังจนเจ้าเมืองโยนกและเจ้าเมืองสุโขทัยเป็นมิตรร่วมน้ำสาบานกัน ดังที่พ่อขุนมังรายจากโยนก พ่อขุนรามคำแหงจากสุโขทัย และพ่อขุนงำเมืองจากพะเยาร่วมกันสร้างเมืองเชียงใหม่ (เดิมเรียกนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่) ในขณะที่สุโขทัยก็พยายามผูกมิตรทางแต่งงานกับอาณาจักรสุพรรณภูมิด้วยเพราะมีชายแดนประชิดติดกัน ทุกอาณาจักรมีศัตรูร่วมกันคือละโว้และกัมพูชา แต่สิ่งหนึ่งที่สุโขทัยน่าจะเฝ้ามองอย่างระแวดระวังอยู่ด้วยคือภัยจากศรีสัชนาลัยที่ใกล้ตัวโดยเฉพาะเมื่อสิ้นพ่อขุนผาเมืองและพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แล้ว ญาติก็ญาติเถอะ ในวงการเมืองแม้แต่ญาติก็ไม่ควรวางใจ

ขณะนั้นพระเจ้าอู่ทองยังไม่เกิด กรุงศรีอยุธยาก็ยังไม่มี!

เรื่องพวกนี้เก่าแก่โบราณเต็มที ถามว่ารู้มาจากไหนได้อย่างไรขอเรียนว่าแหล่งความรู้ใหญ่มาจากศิลาจารึกซึ่งเป็นก้อนหิน แผ่นหิน สลักจารึกเป็นเรื่องราวและพบในเวลาต่อมามากมายหลายหลัก ศิลาจารึกหลักแรกที่พบว่าด้วยรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงและความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสุโขทัยในสมัยนั้น หลักที่ 2 พบที่วัดศรีชุมซึ่งดูจะเป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนกว่า และยังมีอีกหลายสิบหลัก

นอกจากนั้นก็มีพงศาวดารเมืองเหนือซึ่งว่าด้วยบ้านเมืองสมัยก่อน บางตอนเป็นนิทานเช่นพญานาคออกลูกเป็นคน แต่ถ้าอ่านด้วยวิจารณญาณก็จะได้อะไรไปปะติดปะต่อกับข้อความในศิลาจารึกอยู่มาก พงศาวดารเมืองเหนือเป็นการรวมเรื่องเก่าที่มีมานานแต่ซ้ำซ้อนหรือกะรุ่งกะริ่งมาเขียนใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 1 แสดงว่าเราเริ่มสนใจเรื่องเมืองเหนือมากว่า 200 ปีแล้ว

เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ตาย ลูกชายคนโตและเกิดจากนางเสืองคือพ่อขุนบานเมืองได้เป็นเจ้าเมือง สมัยนั้นเรียกกันง่าย ๆ ตายก็ว่าตายไม่ใช่สวรรคต (ยังไม่รู้จักคำนี้) นางเสืองก็ว่านางเสืองไม่ต้องเรียกสมเด็จพระนางเจ้าเสือง

ครั้นพ่อขุนบานเมืองตาย น้องชายพ่อขุนบานเมืองคือพ่อขุนรามคำแหงก็ได้เป็นเจ้าเมืองคนที่ 3 ของราชวงศ์พระร่วงดังที่ศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวว่า “พี่กูตายจึงได้เมืองแก่กูทั้งกลม” พงศาวดารอยุธยาออกพระนามท่านว่าพระรามราชา องค์นี้ (ขอเรียกองค์เถอะนะครับ) ยิ่งใหญ่มากจนแทบจะกล่าวว่าเป็นพระร่วงตัวจริงเสียงจริงเพราะสมัยของท่านมีอะไรให้กล่าวถึงมากและล้วนเป็นความเจริญของบ้านเมือง ซึ่งก้าวขึ้นสู่ความเป็นอาณาจักรอย่างแท้จริง

ในทางการเมืองการปกครองท่านฉลาดที่จะผูกมิตรกับพ่อขุนมังรายแห่งอาณาจักรโยนก (บัดนั้นรวมเอาอาณาจักรหริภุญไชยเข้าไว้แล้วและเรียกว่าอาณาจักรล้านนา) ทั้งแผ่อิทธิพลไปทุกทิศ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อธิบายว่าสุโขทัยเริ่มเป็นเมืองสมบูรณ์แบบอย่างที่เรียกว่านครรัฐคือเป็นรัฐที่โตขึ้นจากนครเดียวและถือเอาประโยชน์สุขของราษฎรเป็นใหญ่ การแผ่อิทธิพลก็เพื่อเพิ่มพูนประโยชน์แก่ชาวเมือง ไม่ใช่เพราะอยากครอบครองเมืองขึ้นมาก ๆ ทั้งยังปกครองกันง่าย ๆ แบบพ่อกับลูก

การกำหนดยุทธศาสตร์ของอาณาจักรก็ทำแบบตำราพราหมณ์คือมีสุโขทัยอยู่กลางเหมือนเมืองพระนครในเขมร ล้อมรอบด้วยศรีสัชนาลัยเป็นเมืองใหญ่ฝ่ายเหนือ เมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันออก เมืองนครชุม (กำแพงเพชร) เป็นเมืองฝ่ายใหญ่ตะวันตก เมืองสระหลวง (พิจิตร) เป็นเมืองใหญ่ฝ่ายใต้ นอกจากนั้นยังมีเมืองประเทศราชคือขึ้นต่อสุโขทัยแต่จัดการปกครองกันเองอีกหลายสิบเมือง

พงศาวดารและศิลาจารึกสะกด “ศุโข ทัย” เป็นการสนธิคำว่าศุขกับอุทัยเข้าด้วยกัน แปลว่าการขึ้นของพระอาทิตย์อันนำสุขมาให้คล้าย ๆ บทสวดรับอรุณในโมระปริตรและสอดคล้องกับชื่อพระร่วงหรือรุ่งอรุณ การสะกดอย่างนี้อาจเป็นแบบโบราณ แต่ต่อมาก็เขียนเป็นสุโขทัย เมื่อสมเด็จพระพันปีหลวงทรงสร้างเรือนหอพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ (รัชกาลที่ 7) ก็ทรงใช้คำว่า “วังศุโขทัย”

ในทางศาสนา พ่อขุนรามคำแหงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างดี สร้างวัด หล่อพระ ชวนราษฎรถือศีล ฟังธรรม ทอดกฐิน นิมนต์พระเถระจากอาณาจักรนครศรีธรรมราชขึ้นไปบวชให้ราษฎรและสอนชาวเมือง เรียกว่ารับเอาพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาเข้ามาเต็มที่ ผิดจากเดิมที่เป็นลัทธิมหายานแบบเขมร (มหายานมีหลายแบบเช่นแบบจีน แบบทิเบต ดูได้จากลามะ พระจีน พระญวน และแบบผสมฮินดูซึ่งนับถือพระเป็นเจ้าของแขกด้วยดังที่ปรากฏอยู่ในเขมร ชวา)

เรารู้เรื่องสุโขทัยมากจากศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งรัชกาลที่ 4 ครั้งเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชอยู่เสด็จหัวเมืองเหนือไปทรงพบเข้า จึงนำกลับมาไว้ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) และพยายามอ่านจนได้ความทำให้เรารู้ว่าพ่อขุนท่านคิดตั้งอักษรไทยขึ้นซึ่งคงดัดแปลงมาจากตัวอักษรในภาษาอื่น สมัยนั้นสุโขทัยอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีการแขวนกระดิ่งให้คนมาสั่นแล้วร้องทุกข์ ไม่มีการเก็บภาษีสินค้าผ่านแดนที่เรียกว่าจังกอบหรือจกอบ ไม่ใช่เพราะเราไปทำ เอฟทีเอกับใคร แต่เจ้าเมืองท่านไม่เก็บเอง ส่วนภาษีอื่น ๆ น่าจะยังเก็บอยู่ ใครทำมาหาอะไรได้ก็ตกได้แก่ลูกหลาน เพราะทรงสร้างความเจริญเหล่านี้เราจึงยกย่องพ่อขุนรามคำแหงว่าเป็นมหาราช

พวกที่อ่านศิลาจารึกออกเข้าใจว่าข้อความแรก ๆ พ่อขุนท่านคงจารึกเองหรือสั่งให้จารึกโดยท่านนั่งคุมอยู่ จึงใช้คำว่าพ่อกู แม่กู พี่กู กู แต่อยู่ ๆ ไปพ่อขุนคงไม่ว่าง ต้องลุกไปทำโน่นทำนี่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่สลักกันเองซึ่งอาจทำภายหลังหลายสิบปีต่อมา คำว่ากูจึงหายไป บางคนเชื่อว่าศิลาจารึกนี้เป็นของสมัยพ่อขุนรามคำแหงจริง แต่ข้อความ
หลัง ๆ น่าจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพราะยกยอว่าสุโขทัยดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ จริงไม่จริงไม่รู้

ที่ร้ายกว่านั้นคือบางคนเข้าใจว่าดูจากตัวอักษรและสำนวนภาษาแล้ว ศิลาจารึกหลักนี้น่าจะมาทำขึ้นในตอนต้นยุคกรุงเทพฯ นี่เองเพื่อให้ฝรั่งรู้ว่าเรามีประวัติศาสตร์เจริญย้อนหลังไปหลายร้อยปี แต่หลายคนคัดค้านว่าไม่มีอะไรพิรุธที่แสดงว่าเป็นของทำใหม่ และสามารถอธิบายให้สอดคล้องกับศิลาจารึกหลักอื่น ๆ ได้ เรื่องนี้กลายเป็นวิวาทะสำคัญ ปล่อยให้ผู้รู้เถียงกันให้เข็ดเถอะครับ แต่ข้อที่ว่าสุโขทัยมีจริง เก่าจริง เจริญจริง พ่อขุนรามก็มีตัวตนจริงและเก่งจริงนั้นไม่มีใครเถียง

สุโขทัยสมัยแรก ๆ ไม่ได้อยู่ตรงที่ตั้งทุกวันนี้แต่อยู่ห่างออกไป ยังมีวัดพระพายหลวงเป็นวัดเก่าในเมืองเดิมให้เห็น ภายหลังจึงขยับเข้ามาอยู่ตรงที่ทุกวันนี้ สถาปัตยกรรมศิลปกรรมสุโขทัยยุคเมืองเก่าจะคล้ายขอมคล้ายเขมรมากคือใช้ศิลาแลงและเทอะทะ แต่พอตั้งเป็นอาณาจักรแล้วความเป็นขอมเป็นเขมรจะลดลง พระพุทธรูปจะอ่อนช้อยเอวบางร่างน้อย พระพักตร์ยาวรี อาจารย์สันติ เล็กสุขุมนักประวัติศาสตร์ศิลปะอธิบายว่ายังมีการใช้ศิลาแลงก่อสร้างเหมือนที่วัดพระพายหลวง ศาลาตาผาแดงบ้าง แต่ไม่เทอะทะอย่างขอม ยอดเจดีย์เริ่มมีปล้องไฉนซ้อนเป็นชั้น ๆ จนปลายแหลมเสียดฟ้าเช่นที่วัดศรีสวาย ภายหลังเมื่อพัฒนาเป็นอาณาจักรเต็มที่จึงใช้แบบเฉพาะของตัวเองเรียกว่าศิลปะสุโขทัย เช่น ยอดเจดีย์จะเป็นทรงดอกบัวตูมหรือพุ่มข้าวบิณฑ์

ว่าแต่ว่าขอมกับเขมรนี่เป็นใคร เป็นพวกเดียวกันไหม.

พงศาวดารและศิลาจารึกสะกด “ศุโขทัย” เป็นการสนธิคำว่าศุขกับอุทัยเข้าด้วยกัน แปลว่าการขึ้นของพระอาทิตย์อันนำสุขมาให้คล้าย ๆ บทสวดรับอรุณในโมระปริตรและสอดคล้องกับชื่อพระร่วงหรือรุ่งอรุณ การสะกดอย่างนี้อาจเป็นแบบโบราณ แต่ต่อมาก็เขียนเป็นสุโขทัย เมื่อสมเด็จพระพันปีหลวงทรงสร้างเรือนหอพระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ (รัชกาลที่ 7) ก็ทรงใช้คำว่า “วังศุโขทัย”

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เที่ยวหลังน้ำลด

โดย : สกอร์เปี้ยนฟิช
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




ไม่น่าเชื่อว่าอีกไม่ถึง 2 เดือนก็จะเข้าสู่ปี 2555 กันแล้ว


ที่เราลืมวันลืมเดือนก็เพราะวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ที่ชาวไทยกำลังเจอะเจอกันอยู่ตอนนี้ หลายจังหวัดที่อ่วมเพราะน้ำท่วมก่อนใครก็เริ่มน้ำลดแล้ว แต่ที่กรุงเทพมหานคร น้ำเพิ่งเริ่มจะท่วม คงต้องคอยดูกันต่อไปว่าเขตไหนบ้างที่จะรอด


มหาอุทกภัยครั้งนี้ทำให้แผนทุกอย่างที่วางไว้ต้องเลื่อนหรือมีการปรับ แต่ถ้าเรามองไปข้างหน้าและก้าวต่อไปอาจทำให้เรามีกำลังใจสู้ภัยน้ำท่วมได้ เมื่อเร็วๆ นี้ โลนลี่ แพลเน็ต ไกด์บุ๊คชื่อดังออกมาแนะนำเมืองหลายแห่งที่น่าไปท่องเที่ยวในปีหน้านี้



เมืองแรกคือ มหานครลอนดอนแห่งเกาะอังกฤษ เพราะที่นี่จะเป็นสถานที่จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิก ตอนนี้ลอนดอนกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อรับนักกีฬาและนักท่องเที่ยวที่จะมาจากทั่วโลก ทางการเชื่อว่า นักท่องเที่ยวที่มาในปีหน้าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการรู้จักลอนดอนอย่างลึกซึ้งมากกว่าแค่หอนาฬิกาบิ๊กเบน หรือลอนดอนอาย


ตามจริงแล้ว มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลไปเที่ยวลอนดอนตั้งแต่มีพระพิธีอภิเษกสมรสเจ้าชายวิลเลียมและนางสาวเคท มิดเดิลตัน เมื่อเดือนเมษายน นอกจากชมกีฬาโอลิมปิกแล้ว นักท่องเที่ยวยังจะได้มีโอกาสร่วมย้อนรอยความรักโดยร่วมเดินทางไปยังเมืองต่างๆ ที่เป็นตำนานรักของคู่รักราชวงศ์ นอกเหนือไปจากทัวร์บ้านเกิดวงดนตรีบีทเทิล แฮร์รี่ พอตแตอร์และฆาตกรแจ็ค เดอะริปเปอร์


อีกเมืองที่โลนลี่ แพลเน็ตแนะนำคือ มัสกัต ประเทศโอมาน ที่นี่ทางการโอมานได้ดำเนินการปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์และโรงแรมที่พักให้ได้มาตรฐานและทันสมัยเพื่อลบภาพด้านลบของประเทศมุสลิมในสายตาชาวตะวันตกและเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มให้มาเยือน


ถึงแม้ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้จะไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากนัก แต่ที่นี่มีทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ นับตั้งแต่ตลาด ชายหาด การดำน้ำ การแกะสลัก ท่องทะเลเพื่อดูเต่าและปลาโลมา รวมทั้งการท่องทะเลทราย และการปีนเขา


ส่วนเมืองบังคาลอร์ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ก็เป็นเมืองที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา


เมืองนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวในฝันของใครหลายคน แต่วัฒนธรรมที่แปลก ไม่เหมือนใครและแตกต่างจากซีกโลกตะวันตกโดยสิ้นเชิงทำให้เมืองนี้น่าสนใจไม่น้อย เสน่ห์อยู่ที่วัฒนธรรมและผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในสังคมที่อึกทึก วุ่นวาย อาหารที่นี่มีรสชาติจัดจ้านจากเครื่องเทศ นอกจากนี้ศิลปะและดนตรีก็มีชีวิตชีวา และถ้าชอบ...ที่นี่ถือเป็นแหล่งบุปผาชนใหญ่แห่งหนึ่งเลยทีเดียว


ตัวเลือกต่อไปสำหรับการท่องเที่ยวปีหน้าคือ เมืองคาดิซแห่งเสปน ธรรมดาเมืองนี้เป็นเมืองสงบ ผู้คนเป็นมิตร แต่เทศกาลคาร์นิวาลประจำปีก็จะปลุกเมืองที่หลับใหลแห่งนี้ให้มีชีวิตชีวา ท้องถนนจะเต็มไปด้วยคนแต่งตัวสวยงาม หลากสีสันและฉลองเทศกาลอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ขบวนพาเหรดที่มีดนตรีเร้าใจจะเดินไปทั่วเมือง นักท่องเที่ยวจะได้ใช้โอกาสนี้รู้จักคนท้องถิ่นซึ่งพูดคุยสนุกสนานแต่ก็ชอบเหน็บแนมในบางครั้ง ถึงแม้นักท่องเที่ยวจะไม่รู้ภาษาสเปน แต่ก็สามารถร่วมในเทศกาลอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาแต่งตัวและร่วมเต้นรำในเทศกาลนี้


โลนลี่ แพลเน็ตถึงกับกล่าวว่า ถ้าคุณรักความโรแมนติกและความสวยงามของเมืองเวนิซแห่งอิตาลี คุณต้องรักสต็อกโฮล์มแห่งสวีเดน เพราะที่นี่มีเกาะทั้งหมด 14 เกาะและสะพานมากกว่า 50 สะพาน (เช่นเดียวกับเวนิซ) ไฮไลต์ของเมืองนี้อยู่ที่คลอง เมืองและศิลปะสมัยเก่า ร้านกาแฟน่านั่ง แกลลอรีศิลปะและพิพิธภัณฑ์มากมาย


คราวนี้ขอแนะนำเมืองซานติอาโก ประเทศชิลี เชื่อหรือไม่ว่า ที่นี่มีคาเฟ่ที่เปิดเฉพาะกลางวันและเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เท่านั้น ทางการของเมืองพยายามปรับปรุงและพัฒนาเมืองนี้ให้ทันสมัยเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวจะได้พบกับอาหารแสนอร่อย ภัตตาคารสุดหรู ชีวิตกลางคืนที่ตื่นตาตื่นใจ และแน่นอน ตึกทอร์เร่ แกรน คอสตาเนอร์ร่า ตึกสูง 70 ชั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในทวีปซึ่งจะเปิดในปีนี้


ซานติอาโกเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยแบบอเมริกาใต้แต่ไม่ชอบผู้คนพลุกพล่านแบบเมืองบัวโนสไอเรส สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวควรทำเมื่อมาถึงเมืองนี้คือ การรู้จักวัฒนธรรมการกินกาแฟที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร


เมื่อเอ่ยถึงเกาะฮ่องกงของจีน นักท่องเที่ยวก็จะนึกถึงแต่การประท้วง เสียงอึกทึกครึกโครมของผู้ประท้วง แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง การประท้วงที่ประกอบด้วยผู้ประท้วงจำนวนมาก การพูดผ่านโทรโข่ง การร้องเพลงเพื่อสร้างความฮึกเหิมเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งชมอ่าวฮ่องกงและวิวทิวทัศน์อื่นๆ จากตึกสูงระฟ้าที่ตั้งเรียงรายในเมืองและชายฝั่งเกาะฮ่องกง ในขณะเดียวกันก็สามารถไปชมตลาดสดหรือไปดูดวงที่วัด เกาะฮ่องกงยังเสนอกิจกรรมหลากหลายให้นักท่องเที่ยว เช่น การปีนเขา การล่องเรือ การชิมอาหารเลิศรส


ส่วนเมืองอื่นๆ ที่โลนลี่ แพลเน็ตแนะนำคือ กีมาเรซ ประเทศโปรตุเกส ออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา และดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย


---------
ที่มา : เว็บไซต์โลนลี่ แพลเน็ต

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า "โซโห"

โดย : อนันต์ ลือประดิษฐ์
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ระยะนี้ ใครหนีน้ำท่วมเมืองกรุงไปนครลอนดอน อย่าลืมแวะไปเยือนย่าน "โซโห" (Soho)

ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ "เวสต์เอนด์" และเป็นส่วนหนึ่งของ "ซิตี ออฟ เวสต์มินสเตอร์" ที่นี่จัดได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีสีสันทางวัฒนธรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ถึงขนาดสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินหลายรายนำเรื่องราว ฉากและบรรยากาศ มาแต่งเป็นเพลงหลายเพลงด้วยกัน



แต่เพลงที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดเพลงหนึ่ง น่าจะหนีไม่พ้น Soho (Needless to Say) ซึ่ง อัล สจ๊วร์ต ร้องอัดแผ่นไว้ในอัลบั้มชุด Past, Present & Future เมื่อปี ค.ศ.1973


พูดถึง "โซโห" คำๆ นี้ไม่มีความหมายในตัวเอง แต่มีหลักฐานว่าเริ่มใช้กันในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 คาดกันว่าแปรเปลี่ยนมาจากเสียงร้องในการล่าสัตว์ โดยในเวลาต่อมา ดยุคแห่งมอนมัธ ใช้ "โซโห" เป็นเสียงเรียกในกิจกรรมการแข่งขันในหมู่บริวารของเขา ก่อนจะเป็นที่นิยมใช้เรียกพื้นที่ย่าน "โซโห" ของนครลอนดอนในปัจจุบัน


ด้วยคุณลักษณะเฉพาะตัวของโซโห ต้นตำรับในนครลอนดอน อันเป็นสถานที่บรรจบพบกันของกระแสวัฒนธรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่อุตสาหกรรมบันเทิง, โชว์ , การแสดง, ภาพยนตร์ , สตูดิโอ , ทีวี , แฟชั่น ผนวกรวมกับวิถีชีวิตกลางคืน คลับ บาร์ ร้านอาหาร มุมเล็กๆ ของปัญญาชนในร้านหนังสือ ไปจนถึงเซ็กซ์ช็อพ (สมัยก่อนมี ปี๊ปโชว์ หรือโชว์แก้ผ้าที่ให้มองผ่านช่อง) ทำให้มีการขนานนามย่าน "โซโห" ออกไปในอีกหลายเมือง ไม่ว่าจะเป็น โซโหของฮ่องกง, โซโหของนครนิวยอร์ก และ โซโหของนครบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา เป็นต้น


โซโห เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งเฟี้ยวฟ้าว ทั้งลึกลับ ทั้งดูน่ากลัว (ในบางตรอกซอกซอย) ในยามดึก คุณอาจจะพบเจอคนวัยกลางคนเมาเหล้าในสภาพดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ยังมีเด็กวัยรุ่นที่จับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน


เพราะการจราจรที่ติดขัด โดยเฉพาะในยามดึก คุณควรเดินทางมายังพื้นที่นี้ด้วยรถไฟใต้ดิน ซึ่งคนที่นี่เรียกว่า "อันเดอร์กราวด์" ไม่ใช่ "ซับเวย์" เหมือนในสหรัฐอเมริกา โดยขึ้นได้จากสถานีอ็อกซ์ฟอร์ด เซอร์คัส, พิคคาดิลลิ เซอร์คัส หรือเลสเตอร์ สแควร์ แล้วใช้เวลาเดินอีกราว 5-10 นาที


ที่นี่ นักคลาริเน็ทแจ๊ส อย่าง ซิดนีย์ บิเชต์ จากสหรัฐอเมริกา เคยมาพบ "โซปราโน แซ็กโซโฟน" ในยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และตัดสินใจซื้อจากร้านค้าในย่านนี้ นำไปบรรเลงจนโด่งดังมาแล้ว ปัจจุบัน ไม่เพียงบาร์เพลงฮิพฮ็อพ แต่ยังมีคลับแจ๊สชื่อดังระดับโลกของ รอนนี สก็อตต์'ส ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย โดยอาคารคูหาข้างๆ กันนั้น ยังมีร้านเชียงใหม่ ร้านอาหารไทยอยู่ใกล้ๆ แต่สำหรับคนชอบอาหารจีน เดินไม่ไกลนัก จะเป็นย่านไชนาทาวน์ที่คึกคักไม่แพ้กัน


กว่าจะมาเป็นเพลงนี้ อัล สจ๊วร์ต นักร้องนักแต่งเพลงชาวอังกฤษสายเลือดสก็อตช์ เดินทางมาถึงนครลอนดอนในช่วงวัยรุ่น และเคยเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ในย่านโซโหมาก่อน


ด้วยความฝันอยู่เต็มหัว ผนวกกับประสบการณ์จากชีวิตประจำวัน ทำให้เขาบรรยายภาพวิถีชีวิตในย่านโซโห อย่างที่เจ้าตัวบอกว่า "คงไม่ต้องบอก...ก็รู้ " ในเพลง Soho (Needless to Say) เพื่อให้มิตรรักแฟนเพลงได้เห็นภาพความหลากหลายและมีชีวิตชีวาอย่างจะแจ้ง ด้วยจังหวะจะโคนการร้องที่เร่งเร้า รวดเร็ว บนชีพจรของบทเพลงที่มีกลิ่นอายเฉพาะตัว ชวนให้ระลึกถึงรากเหง้าความเป็นเคลติคของคนสายเลือดสก็อตช์อย่าง อัล ขึ้นมาทีเดียว


The sun goes down on a neon eon
Though you'd have a job explaining it to Richard Coeur de Lion
Animation, bar conversation, anticipation, disinclination
Poor old wino turns with dust in his eyes
Begs for the dregs from the bottom of the kegs, man
You've never seen a lady lay down and spread her legs like
Soho (needless to say)


เมื่อไม่กี่ปีก่อน อัล เคยให้สัมภาษณ์ว่า นี่คือเพลงที่เขาแทบหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ต้องกลับมาท่องเนื้อใหม่ถึงจะร้องได้ โดยตอนที่แต่งเพลงนี้ เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อย เพราะเนื้อเพลงลื่นไหลออกมาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน จากนั้น เจ้าตัววิเคราะห์ตัวเองให้ฟังว่า


"ผมไม่ได้คิดอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะผมอ่านบทกวีของ ดับเบิลยู เอช ออเดน อยู่ในเวลานั้นก็เป็นได้"


นี่แหละคือแง่มุมหนึ่งของศิลปะส่องทางให้แก่กัน จากเมล็ดพันธุ์ในตัวตนของศิลปิน ผนวกกับดินปุ๋ยชั้นดีจากสภาพความเป็นไปของสถานที่ และแรงบันดาลใจจากกวีนิพนธ์ บทเพลงดีๆ แบบนี้จึงบังเกิดขึ้น.

Song : Soho (Needless to Say)
Artist : Al Stewart
Place : Soho
City : London
Country : UK
Time Zone : GMT

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สุโขทัย (01)

เดิมทีผมเขียนเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ทุกวันอังคารในเดลินิวส์แบบตามใจฉันอยู่หลายอังคาร จนช่วงหนึ่งต้องนำนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าไปดูงานในต่างประเทศบ่อยหน่อย

แต่ละครั้งนั่งรถบัสกันยาวนาน เรียกว่าหลับก็แล้ว

ร้องเพลงก็แล้ว ชวนกันสวดมนต์ก็แล้วยังไม่ถึง

นักศึกษาจึงขอให้เล่าอะไรก็ได้ฆ่าเวลาบนรถแต่กำหนดทีโออาร์ว่า

“ต้องฟังสนุก ลุกสบาย คลายเหงา เคล้าประโยชน์” แล้วจะเล่าอะไรละครับให้ตรงสเปกได้ขนาดนั้น!

ในที่สุดก็คิดออกว่าแม้ผมจะไม่ใช่ นักประวัติศาสตร์ แต่ก็จัดว่าเป็นนักเล่าเรื่องคนหนึ่ง ถ้าจะเล่า เกร็ดประวัติศาสตร์ไทย เพราะคนรุ่นนี้รู้จักแต่วันนี้และพรุ่งนี้ ไม่ค่อยรู้จักเมื่อวานนี้ โดยจะจับเอาตอนสนุก ๆ มาเล่า ตัดพวกราชาศัพท์ที่รกรุงรังเกินเหตุและ พ.ศ.ต่าง ๆ ที่ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นยาหม้อออกเสียบ้างก็น่าจะสำเร็จประโยชน์ ยิ่งพูดให้ดัง ๆ ใช้ศัพท์สมัยใหม่ เดินเรื่องเร็ว ๆ เข้าไว้คงพอแก้เซ็งไปได้บ้างละน่า ประวัติศาสตร์นั้นถ้าเล่าให้สนุกมันก็สนุกนะครับ




พอลองไปสักสองสามทริปก็ดูจะได้ผล แม้ผมจะคอแหบคอแห้งอยู่คนเดียว ภายหลังมีคนมาคะยั้นคะยอให้เขียน พลเอกศิรินทร์ ธูปกล่ำ นั้นถึงขนาดขู่ว่าถ้าไม่เขียนจะเอาเทปที่อัดไว้จากบนรถไปถอดแล้วพิมพ์ขายเอง ผมปั่นต้นฉบับลงเดลินิวส์บ่อยเข้าก็หมดภูมิจะเขียนเรื่องอื่นอยู่เหมือนกันจึงยอมหันมาเขียน ประเดิมด้วยเรื่องอมรรัตนโกสินทร์ คือเล่าเรื่องกรุงเทพฯ เล่าแบบถือไมค์พูดบนรถทัวร์นั่นแหละครับ ไม่ทันได้ค้นคว้าอะไรเป็นหลักเป็นฐานหรอก ใครอย่าไปอ้างในวิทยานิพนธ์เข้านะครับ สอบตกหรือถูกครูด่าผมไม่รับผิดชอบ ยิ่งถ้าไปบอกว่าจำมาจากผม ผมจะฟ้องฐานหมิ่นประมาท!



เขียนได้ 25 ตอนก็จบแต่ญาติโยมยึดธรรมาสน์ไว้เกณฑ์ให้ว่าเรื่อง กรุงศรีอยุธยา ต่อ ที่จริงพิลึกเหมือนกันเพราะอยุธยาควรมาก่อนกรุงเทพฯ แต่จะทำไงได้เพราะนึกว่าจะเล่าแต่เรื่องเมืองกรุงเทพฯ ให้จบ ๆ แล้วไปหากินเรื่องอื่น ๆ พอขัดศรัทธาญาติโยมไม่ได้และผมก็บ้ายอเสียด้วย จึงต้องย้อนทวิภพกลับไปหาศรีอยุธยาอีก 12 ตอน ครั้นจบเพราะกรุงก็แตกแล้ว น้ำก็ท่วมวินาศสันตะโรไปหมดแล้ว นิคมอุตสาหกรรมก็จมน้ำแล้ว ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือหลายท่านเจอหน้าก็แนะว่าช่วยย้อนกลับไปไกลกว่านั้นให้ถึงสุโขทัย แถมสั่งอีกว่าจบสุโขทัยก็ให้เขียนเรื่อง ธนบุรี อีกด้วยนะ!



ก็บอกแล้วว่าผมบ้ายอ ไม่ว่าโคนันทวิศาลหรือคน ยอเข้าไว้มาก ๆ เป็นอันว่าตายคาต้นยอทั้งนั้นแหละครับ ขนาดหนีจากเขียนตามใจฉันมาเล่าประวัติศาสตร์นึกว่าคงรู้แล้วรู้แรดหมดภาระ คุณประภา “แดง” บรรณาธิการเดลินิวส์ ยังขอว่าไอ้ที่เขียนตามใจฉันก็ยังเอานะ ว่าแล้วก็เปิดคอลัมน์จันทร์สนุก ศุกร์สนานเพิ่มวันจันทร์และศุกร์ให้ผมสนุกสนานอีกสองวัน ผมก็ได้แต่เสียงอ่อยเป็นแมวครวญว่า “เอาก็เอา”



ฉะนั้นคงจะเล่าเรื่องกรุงสุโขทัยไปสัก 4-5 ตอน จบแล้วก็ต่อด้วยกรุงธนบุรี อีกไม่กี่ตอนซึ่งน่าจะสนุกกว่าสุโขทัยให้สิ้นถ้อยกระทงความ หลังจากนั้นถ้าใครยังกระชับวงล้อมยึดธรรมาสน์ไม่ให้ลงอีก ผมเห็นจะเล่าเรื่องกรุง ศรีวิไลละครับ!

ราว 800-900 ปีก่อนโน้นเทียบกับอังกฤษก็ราวสมัยพระเจ้าจอห์นที่ถูกบังคับให้ลงนามในตราสารสำคัญชื่อแมกนา คาร์ตา หรือยุคโรบินฮูดนั่นแหละ ประเทศของเราทุกวันนี้ยังไม่เป็นประเทศ ยังไม่มีชื่อว่า “สยาม” หรือ “ไทย” ด้วยซ้ำ แต่แผ่นดินนี้มีอยู่แล้ว ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำใต้บาดาล แม้ก่อนหน้านั้นสักหมื่นปีเขาว่าเป็นทะเลโคลนหรือท้องทะเลมหาสมุทรก็ตามเพราะเคยพบกระดูกปลาวาฬแถวเมืองนนท์ แผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งของแคว้นต่าง ๆ กระจัดกระจายแยกกันอยู่ แคว้นต่อแคว้นรบกันบ้าง แต่งงานนับญาติกันบ้าง หลายแคว้นผู้คนไปมาหาสู่กันแต่บางแคว้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ เปล่งรัศมีเกทับกัน



แคว้นใหญ่ ๆ ที่พอเอ่ยชื่อได้ เช่น แคว้นนครศรีธรรมราช (จารึกโบราณเรียกเมืองตามพรลิงค์ จดหมายเหตุของจีนเรียกตาหม่าหลิง) ซึ่งยิ่งใหญ่อยู่ทางใต้ เหนือขึ้นไปมีแคว้นละโว้ (ลพบุรี พงศาวดารเหนือเรียกแคว้นกัมโพช แสดงว่ามีเอี่ยวกับเขมรอยู่ก่อน พระปรางค์สามยอดยังเป็นหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้) ซึ่งยิ่งใหญ่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันออก (สมัยนั้นยังไม่ได้เรียกแม่น้ำเจ้าพระยา) อีกด้านคือลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกมีแคว้นสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) ครอบคลุมตั้งแต่ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี ยันราชบุรี เพชรบุรี ส่วนแคว้นอยุธยา ธนบุรี กรุงเทพฯ ยังไม่เกิด มีแต่เมืองอโยธยาศรีรามเทพนครเป็นชุมชนโบราณอยู่นอกเกาะอยุธยา



แคว้นละโว้ แคว้นสุพรรณภูมิ และแคว้นนครศรีธรรมราชใหญ่แค่ไหนก็ตาม หลายร้อยปีต่อมาก็ถูกรวมเข้ากับแคว้นพระนครศรีอยุธยาทั้งโดยความสัมพันธ์ทางเครือญาติและการรบพุ่งกระชับวงล้อม

ทางเหนือสุดของดินแดนที่จะเป็นประเทศไทยต่อไปนั้นมีแคว้นหริภุญไชย (ลำพูน) ซึ่งได้ธิดากษัตริย์ละโว้ชื่อพระนางจามเทวีขึ้นไปปกครอง เหนือขึ้นไปมีแคว้นโยนกซึ่งครอบครองเมืองเชียงแสน เชียงราย แคว้นโยนกยิ่งใหญ่มาก สามารถคุมเส้นทางแม่น้ำโขงและแม่น้ำปิงไว้ได้ ต่อมาพ่อขุนเม็งรายหรือมังรายเจ้าแคว้นโยนกยกทัพลงมาตีแคว้นหริภุญไชยและเมืองเล็กรายทางได้หมดจนตั้งเป็นอาณาจักรใหญ่ชื่อล้านนาขึ้น สร้างเมืองหลวงอยู่กึ่งกลางระหว่างหริภุญไชยกับเชียงแสนชื่อ “กุมกาม” หรือกุ๋มก๋าม แปลว่าศูนย์กลางควบคุมอำนาจแต่ต่อมาน้ำปิงท่วมนิคม...เอ๊ย! เวียงกุมกามจนลำน้ำเปลี่ยนทิศจึงทิ้งเมืองไปสร้างเมืองเชียงใหม่แทน



ทางอีสานตอนนั้นก็มีแคว้นโคตรบูรณ์ (นครพนม) เป็นใหญ่ กินตั้งแต่เวียงจันทน์ นครพนม หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี ถึงอุบลราชธานี ภายหลังถูกกลืนไปเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีสัตนาคนหุตหรือล้านช้างในลาวซึ่งใหญ่ขึ้นมาแทนที่ บางสมัยแคว้นโคตรบูรณ์ก็เป็นเมืองประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง

ใจเย็น ๆ ครับ ที่เล่ามานี้ยังไม่เอ่ยถึงสุโขทัยเลย เพราะสุโขทัยยังไม่เกิด!

อาณาจักรอื่นที่อยู่นอกดินแดนไทยวันนี้และจ้องแคว้นดังที่ว่ามานี้ตาเป็นมันก็มีอยู่ไม่น้อย ได้แก่ อาณาจักรพุกาม (พม่า) อาณาจักรน่านเจ้า (สิบสองปันนา อยู่ทางตอนใต้ของจีน) อาณาจักรศรีสัตนาคนหุต (เมืองหลวงอยู่ที่หลวงพระบาง) อาณาจักรกัมพูชา (เมืองหลวงอยู่ที่ศรียโสธรปุระหรือเมืองพระนครในเขมร) และที่เป็นมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้นคือจีนซึ่งปกครองโดยพวกมองโกลตั้งแต่สมัยเจงกิสข่านมาจนถึงกุบไลข่าน

เจงกิสข่านเป็นสุดยอดของนักรบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล ยกทัพไล่ตีเข้าไปจนถึงรัสเซีย อินเดีย อาฟกานิสถาน ผมไปตุรกี เขาก็เล่าว่าบรรพบุรุษของตุรกีคือทหารเจงกิสข่าน ไปฮังการีเขาก็บอกว่าบรรพบุรุษของเขามาจากกองทัพเจงกิสข่าน ไปโครเอเชีย ไกด์ก็เล่าอย่างเดียวกัน พูดไปทำไมมี กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลของอินเดียก็ได้ชื่อมาจากคำว่ามองโกลนั่นเอง

มองโกลตีอาณาจักรน่านเจ้าแตกแล้วยุบลงเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อตาลีฟู ส่วนพุกาม ก็แพ้มองโกลแต่แม้มองโกลจะไม่เข้าครอบครอง พวกไทยใหญ่ก็ฉวยโอกาสเข้ายึดอำนาจซ้ำจนพุกามกลายเป็นเมืองหัวแหลกหัวแตก บุญที่มองโกลไม่ได้ตีลงใต้มาถึงแคว้นโยนก หริภุญไชยด้วย

ที่เล่ามานี้อย่าไปจำให้ปวดหัวเลยครับ รู้แต่ว่าไทยไม่ได้หนีมองโกลหรือโรคระบาดลงมาจากเทือกเขาอัลไต แต่อยู่มันแถว ๆ นี้แหละ การพูดจาภาษาต่าง ๆ ของแต่ละแคว้นจึงพอใกล้เคียงกันเพราะต้องคบค้ากันและแต่งงานข้ามแคว้นกันไปมา การนับถือศาสนาและการมีวัฒนธรรมประเพณีก็คล้ายคลึงกันบ้างอย่าไปใส่ใจว่าใครลอกใคร ไม่มีใครจดลิขสิทธิ์สิทธิบัตรหรอกครับ ผู้ปกครองแคว้นครั้งนั้นก็ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าอะไรที่ไหนเป็นแต่คนเก่ง นักรบ ฉลาด กล้าหาญ มีบุญและมีหน้าที่ปกครองให้ชาวเมืองอยู่สุขเย็นใจ จึงเรียกว่า “ขุน” หรือ “พ่อขุน” ไม่เรียกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทีนี้ก็เข้าเรื่องล่ะครับเพราะต่อมามีเมืองเล็ก ๆ เกิดขึ้น 2 เมืองทางใต้อาณาจักรหริภุญไชย ได้แก่เมืองเชลียงและเมืองสุโขทัย แรก ๆ ก็เป็นทางผ่านเป็นจุดพักกองเกวียนเล็ก ๆ จุดแลกเปลี่ยนสินค้าเหมือนเปิดท้ายขายของ พอของหมดก็ปิดตลาดแยกจากไป อยู่มาก็ปลูกหลักปักฐานตั้งบ้านช่องเป็นหลักแหล่งเพราะอยู่ระหว่างเส้นทางจากละโว้ขึ้นไปหริภุญไชยตัดกับสายหริภุญไชยข้ามไปโคตรบูรณ์ ทำท่าจะเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจอย่างนั้นแหละ หลายปีต่อมาจึงเติบโตเป็นชุมชนใหญ่ ต่อมามีการสร้างเมืองใหม่ซ้อนลงในเมืองเชลียงและเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก เห็นได้จากพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่ศรีสัชนาลัยซึ่งสร้างแบบขอมศิลปะบายนแปลกไปจากศิลปะทั้งปวงในศรีสัชนาลัย แสดงว่าเป็นคนละรสนิยมกัน

ใครสร้างเมืองศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและเมืองสุโขทัยไม่มีใครรู้ ที่เล่ากันก็เป็นแต่นิทานพื้นเมือง แต่เจ้าเมืองคนแรกของสองเมืองนี้คือพ่อขุนศรีนาวนำถุม (ปรากฏจากศิลาจารึกวัดศรีชุม ซึ่งถือเป็นหลักที่ 2 และนักประวัติศาสตร์ให้ความเชื่อถือมาก)

ศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและสุโขทัยเป็นเมืองฝาแฝด ศิลาจารึกเรียกว่า “นครสองอัน” คำว่า “นำถุม” เป็นภาษาเหนือแปลว่า “น้ำท่วม” แสดงว่าสมัยนั้นน้ำก็ท่วมเหมือนกัน พ่อขุนศรีนาวนำถุมคงเป็นผู้พิชิตน้ำท่วมหรือผู้อำนวยการ ศปภ. คงคล้าย ๆ พ่อขุนปลอดประสพ พ่อขุนประชา หรือพ่อขุนสุขุมพันธุ์!

เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเป็นต้นราชวงศ์นาวนำถุม ปฐมกษัตริย์สุโขทัยตาย พวกเขมรชาวป่าดงพงพีหรืออาจเป็นพวกแรงงานเขมรเรียกว่าขอมสบาดโขลญลำพงได้บุกเข้ายึดศรีสัชนาลัยสวรรคโลกและสุโขทัย แต่ยังตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ได้ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด (บางคนว่าคืออุตรดิตถ์) ลูกชายพ่อขุนศรีนาวนำถุมได้ร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยาง ขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกไปได้ แล้วให้พ่อขุนบางกลางหาวครองเมืองสุโขทัย ส่วนพ่อขุนผาเมืองก็ไปครองศรีสัชนาลัยสวรรคโลก

นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพ่อขุนสองคนนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนกัน นางเสืองเมียพ่อขุนบางกลางหาวน่าจะเป็นพี่สาวของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงเป็นลูกเขยพ่อขุนพิชิตน้ำท่วม และพี่เขยพ่อขุนผาเมือง คำว่า “บาง” แปลว่าสวรรค์หรือเทพ เช่น คำว่าพระบาง “หาว” ไม่ได้แปลว่าง่วงนอนแต่หมายถึงเวหาหาว บางกลางหาวก็คือเทพหรือสวรรค์กลางท้องฟ้านั่นเอง นอกจากพ่อขุนผาเมืองจะยกสุโขทัยซึ่งขณะนั้นแข็งแกร่งกว่าให้แล้ว ยังแปลกที่ยกชื่อของตนซึ่งเขมรเคยตั้งให้ว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ให้พี่เขยใช้เป็นพระนามด้วย

ผู้รู้บางคนสงสัยว่าไฉนยอมกันง่าย ๆ ถึงจะเป็นญาติกันก็เถอะ บางทีอาจเป็นข้อตกลงแบ่งปันอำนาจหรือมีการเมืองแทรกก็ได้ เช่น อาจนับถือศาสนาหรือผีฟ้าต่างความเชื่อกันจึงแยกกันอยู่คนละแดน อีกหลายปีต่อมาลูกหลานพ่อขุนศรีนาวนำถุมเคยยกทัพเข้าตีสุโขทัยหวังจะเอาคืนอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นสุโขทัยยิ่งใหญ่เสียแล้ว ในช่วงที่ใหญ่นั้นสุโขทัยก็ถือเอาศรีสัชนาลัยสวรรคโลก (ภายหลังแยกเป็น 2 เมือง) เป็นเมืองลูกหลวงทดลองงานของคนจะเป็นพ่อขุนของสุโขทัย คือต้องไปผ่านการเป็นพ่อขุนศรีสัชนาลัยสวรรคโลกก่อนจึงจะมาปกครองสุโขทัยได้เหมือนสมัยอยุธยาที่ถือเอาเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองลูกหลวงสำคัญ

บัดนี้เริ่มราชวงศ์ใหม่ของสุโขทัยเรียกว่าราชวงศ์พระร่วง พ่อขุนรามคำแหงและพ่อขุนทั้งหลายที่เรารู้จักอยู่ในราชวงศ์นี้แหละครับ จนต่อมาอีกราว 200 ปีจึงถูกกรุงศรีอยุธยากลืนหายไปยุบรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน ว่าแต่ว่าทำไมจึงเรียกพระร่วง เอาไว้ว่ากันในตอน 2 ครับ

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หนีอุทกภัย ไปโอ๊คแลนด์

โดย : มานพ จันทรฯ
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


บนแผ่นดินเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์นั้น เมืองโอ๊คแลนด์ (Auckland) คือประตูด่านแรกที่จะไปสู่เมืองอื่นบนเกาะแห่งนี้

โอ๊คแลนด์ มีตัวเมืองตั้งอยู่บน ภูเขาไฟที่ดับแล้ว จะเห็นว่าภูมิประเทศเป็นเนินเขาและหลุมปล่องภูเขาไฟอยู่ทั่วไป และกลายเป็นเสน่ห์ของเมืองที่ไม่มีที่อื่นเทียบได้ แถมยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของนิวซีแลนด์อีกด้วย




ตัวเมืองตั้งอยู่ระหว่างอ่าวไวเตมาตา และอ่าวมานูเกา เป็นศูนย์กลางธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ เนื่องจากเป็นเมืองท่าที่สำคัญและเป็นเมืองแห่งการเล่นเรือใบ มีฉายาว่าเมืองแห่งเรือใบ (The City of Sails) มีแม่น้ำไวกาโต ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในนิวซีแลนด์ไหลผ่าน


บางครั้งเมืองนี้ก็อาจมีชื่อเรียกว่า"เมืองราชินี" เพราะความเป็นมหานครขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ อุตสาหกรรม และยังเป็นศูนย์กลางการศึกษา มีนักเรียนต่างชาติมาพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้จำนวนมาก


การเป็นเมืองแห่งการแล่นเรือทำให้โอ๊คแลนด์มีท่าเรือจอดเรือใบหลายแห่ง แต่ละแห่งมีเรือจอดเรียงรายอย่างหนาแน่น ใกล้ๆกันนั้นมีร้านกาแฟ ภัตตาคาร แหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไว้รองรับนักแล่นเรือ โดยเฉพาะที่ท่าเรือเวสต์ทาเวน มารีน่า (Westhaven Marina)


ในเขตใจกลางเมืองส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน ที่ตั้งของบริษัท ศูนย์กลางของธุรกิจ มีทางด่วนเชื่อมต่อไปยังอ่าว มีหอคอยระฟ้า (Sky Tower) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม วิทยุ โทรทัศน์ มีความสูงที่สุดในโอ๊คแลนด์ ภายในเปิดเป็นภัตตาคาร ร้านกาแฟ และยังมีมุมสำหรับผู้ที่ชอบกีฬาท้าทายความตื่นเต้น "บันจี้จัมพ์" ซึ่งที่นี่เรียกว่า "สกายจัมพ์" นั่นเอง


บนถนนควีน (Queen Street) มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นมีความเก่าแก่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี นั่นคือศาลากลางของเมือง (Auckland Town Hall) เป็นที่ทำการของราชการ และส่วนหนึ่งยังใช้เป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตอีกด้วย


หนึ่งในสถานที่รวบรวมประวัติศาสตร์สำคัญของนิวซีแลนด์ที่ควรไปสัมผัสก็คือ พิพิธภัณฑ์รำลึกสงคราม (Auckland War Memorial Museum) เป็นอาคารสไตล์นีโอคลาสสิก ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางของมหานคร


สถานที่น่าสนใจอื่นๆ ได้แก่ ขั้วโลกใต้จำลองและโลกใต้น้ำของเคลลี ทาร์ลตันส์ (Kelly Tarlton's Antarctic Encounter & Underwater World) เปิดให้สัมผัสชีวิตขั้วโลกใต้ทวีปแอนตาร์กติกและจำลองการดำรงชีวิตของนักสำรวจขั้วโลกใต้ ชมฝูงนกเพนกวินเดินเล่นและว่ายน้ำอย่างใกล้ชิดซึ่งอยู่ในห้องโถงแก้ววจำลองบรรยากาศและสภาพอากาศ อุณหภูมิ -7 องศาเซลเซียส โดยนั่งรถรางคันเล็ก Snowcat ride เข้าไปชม


นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงสัตว์น้ำ (Underwater World) มีปลาทะเลนานาชนิดว่ายอยู่ในอุโมงแก้วขนาดใหญ่ให้ชมอีกด้วย


ในภาพยนตร์ In My Father's Den (2004) เล่าเรื่องของ "พอล" (แมทธิว แม็คฟาเดน) ช่างภาพข่าวสงครามเดินทางจากลอนดอนกลับไปบ้านเกิดในชนบทเล็กๆแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์หลังจากมา 17 ปี ภายหลังบิดาเสียชีวิตลง เพื่อไปจัดการกับเอกสารบางอย่าง


พอลตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่นั่นสักระยะ และที่โรงเรียนเก่าของเขาก็เสนองานเป็นครูสอนเด็กนักเรียนที่นั่น ภาพเก่าๆในความทรงจำกลับมาอีกครั้ง ทั้งคนรู้จัก ครอบครัว และเพื่อนเก่า รวมทั้งคนรักเก่าที่แต่งงานมีลูกสาวอายุ 16 ปี ชื่อ "เซเลีย" (เอมิลี บาร์เคลย์) ซึ่งเป็นนักเรียนที่พอลสอนอยู่ จนวันหนึ่งเซเลียหายตัวไป ทุกคนต่างสงสัยในตัวเขาอย่างมาก และแล้วทุกอย่างก็ถูกเปิดเผยขึ้นทีละนิด


In My Father's Den สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ มัวริช จี ผู้กำกับ แบรด แม็คแกน ลงมือเหมาเขียนบทเอง มีการเดินเรื่องเนิบนาบเนิ่นนานไปสักหน่อย แต่ก็ชวนให้ติดตามอยากรู้ว่าจะลงเอยเช่นไรซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลจากเวทีเทศกาลภาพยนตร์ในปี 2005 หลายเวที รวมทั้งการประกวดภาพยนตร์ในบ้านเกิด หลักๆแล้วปักหลักถ่ายทำกันที่โอ๊คแลนด์ และเมืองอื่นของนิวซีแลนด์ในบางฉาก


ในนิวซีแลนด์มีปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติอยู่บ้าง ที่ปรากฏบ่อยก็คือเหตุแผ่นดินไหว แต่ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงโอ๊คแลนด์ ส่วนใหญ่เกิดในเมืองอื่น ทั้งความเจริญ สิ่งอำนวยความสะดวก อากาศ ทำให้โอ๊คแลนด์มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นมากกว่าเมืองเวลลิงตัน ซึ่งเป็นหลวงเสียอีก


หากต้องลี้ภัยสักพัก ”โอ๊คแลนด์”ก็อยู่ไม่ไกลจนเกินไป


…………….
City : Auckland
Country : New Zealand,
Population : 1,462,000
Film : In My Father's Den (2004)
Director : Brad McGann
Cast : Matthew Macfadyen, Miranda Otto, Emily Barclay

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ศรีอยุธยา (12)

ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เพียงปีสองปีนั้น อังกฤษยังอยู่ในสมัยพระเจ้าจอร์ชที่ 3 ซึ่งกำลังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาณานิคมในทวีปอเมริกา สหรัฐอเมริกายังไม่เกิด ฝรั่งเศสก็ยังไม่ได้ปฏิวัติใหญ่ แต่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นใหญ่แล้วในแหลมสุวรรณภูมิฝั่งตะวันออกซึ่งประกอบด้วยอยุธยา เขมร ลาว ญวน มลายู ส่วนพม่านั้นตีได้อาณาจักรตองอู ไทยใหญ่ มอญเป็นใหญ่อยู่ทางแหลมสุวรรณภูมิทางฝั่งตะวันออก ครั้นเกิดสงครามปี 2310 กรุงศรีอยุธยาแพ้ พม่าจึงคืบคลานเข้ามาถึงฝั่งตะวันตกและยึดครองอยุธยาโดยกะไม่ให้ฟื้นอีก พงศาวดารกล่าวว่า

“จุดเพลิงขึ้นทุกตำบลเผาเหย้าเรือน อาวาสและพระราชวังปราสาทราชมณเฑียร แสงเพลิงสว่างดังกลางวัน แล้วเที่ยวไล่จับผู้คนค้น ชิง เอาทรัพย์สินเงินทองสิ่งของทั้งปวงต่าง ๆ แต่พระเจ้าแผ่นดินนั้นหนีออกจากเมืองลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคน”

เนเมียวสีหบดีสั่งให้เก็บกวาดทุกอย่างกลับพม่า เช่น ปืนใหญ่ บุษบกทองคำ ทองคำหุ้มพระศรีสรรเพ็ชญดาญาณ พระราชทรัพย์ พระโกศทองและทรัพย์สมบัติราษฎร ทั้งยังเกณฑ์ชาวอยุธยาประมาณ 30,000 คนเป็นเชลยเดินเท้ากลับพม่า 1 ในนั้นคือพระภิกษุสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พ่อแม่พลัดลูก เมียพลัดผัว สงครามไม่ว่าที่ไหนเป็นเช่นนี้เอง ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงต้องบังคับขับไส!

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระราชอนุชาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 เป็นคนร่วมสมัย ได้ทุกข์ได้ยากในสงครามคราวนั้นด้วยถึงกับมีพระราชปรารภว่า“มันทำเมืองเราก่อนเท่าใดจะทดแทนมันให้หมดสิ้นมันจิตอหังการ์ทามิฬจะล้างให้สุดสิ้นอย่าสงกา”

เรื่องอย่างนี้ต้องเห็นใจคนที่ร่วมสมัย ได้ทันเห็นพม่าเผาเมือง ฆ่าฟัน ปล้น ได้ทันเห็นพ่อแม่ลูกเมียพี่น้องถูกจับเป็นเชลยเจาะข้อเท้าเอาเอ็นร้อยหวายผูกเป็นพรวนเดินเท้าไปพม่า ความแค้นของท่านจึงมาก ที่จริงเรื่องที่คนสมัยนี้อาจไม่ถือแต่คนสมัยนั้นถือคือการที่ทัพพม่ายกมาตีโดยไม่ได้มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำทัพ มีแต่แม่ทัพคนธรรมดาสามัญ จึงเป็นความอัปยศอดสูยิ่งใหญ่ และเมื่อเทียบกับครั้งพระเจ้าบุเรงนองตีกรุงแตก 200 ปีก่อนโน้น อยุธยาก็ไม่ได้ย่อยยับถึงเพียงนี้

คนสมัยก่อนครั้งปี 2112 รบกันอย่าง “เจ้าพี่เจ้าน้อง” แต่ปี 2310 รบกันอย่าง “กูอยู่มึงตาย” ส่วนสมัยนี้เขาว่ารบกันอย่าง “ท่านประธานที่เคารพ ท่านนายกฯ ที่เคารพ” ว่าแล้วก็สู้กัน เรียกว่ารบแบบบูรณาการ พอใครแพ้ใครชนะทีหลังถ้าจะจับมือร่วมรัฐบาลกันค่อยมากอดจูบกันใหม่ก็ไม่ถือ

นั่นเป็นเรื่องของการรบการสงครามเมื่อเกือบ 250 ปีที่แล้ว คนสมัยนี้ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยการทำใจ ทำอารมณ์อีกแบบ อย่าโกรธแค้น มิฉะนั้นจะอยู่ด้วยความทุกข์เพราะความแค้นและอวิชชาครอบงำ พม่าเองตีไทยได้ก็ไม่ได้มีความสุขนัก เพราะภายหลังก็รบกันเองระหว่างพม่ากับมอญซึ่งเคยยิ่งใหญ่แต่เสียบ้านเสียเมืองไปก่อนอยุธยาจนดิ้นรนเรียกหาเอกราชไม่หยุดแม้ทุกวันนี้ และระหว่างพม่ากันเองซึ่งแย่งชิงอำนาจกันภายในราชวงศ์อลองพญา จนในที่สุดพม่าก็ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษโดยสิ้นเชิงสูญบ้านเสียเมืองทั้งหมดในสมัยรัชกาลที่ 4 ของไทย พม่าวันนี้ก็ผสมจากหลายเผ่าพันธุ์ไม่ใช่พม่าอย่างเมื่อ 250 ปีก่อน และยังเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดกับเราด้วย

การที่พม่าวันนี้ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นเมียนม่าร์ก็เพราะตระหนักแล้วว่าแผ่นดินนี้เกิดจากมอญและพม่า คำว่าเมียนหมายถึงมอญ ม่าร์คือพม่า

เราต้องรู้ว่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนว่า “ทีหลังอย่าทำ” “เจ็บแล้วต้องจำ” แต่ไม่ได้สอนให้ “ความแค้นต้องชำระ” มิฉะนั้นจะแค้นกันไม่หยุด ถ้าถามคนลาว คนเขมรเขาอาจจะแค้นเราอยู่บ้างก็ได้ ทีนี้ถ้าอินเดียยังแค้นอังกฤษ แอฟริกาใต้ยังแค้นอังกฤษ (ครั้งเนลสัน แมนเดล่า) เขมรแค้นฝรั่งเศส จีนแค้นญี่ปุ่น (ครั้งบุกแมนจูเรีย) ยุโรปแค้นฝรั่งเศส (ครั้งนโปเลียน) ญี่ปุ่นแค้นอเมริกาที่มาทิ้งระเบิดปรมาณู แล้วสันติภาพและความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกได้อย่างไร

ลงท้ายใครคือคนที่เจ็บปวด ใครคือคนที่รับกรรม!

สงครามพม่า-ไทยครั้งนั้น พระเจ้าเอกทัศมิได้ถูกจับเป็นเชลยแต่หนีไปได้ กล่าวกันว่าหลบไปอยู่เรือนราษฎรใกล้ประตูเมืองเพราะออกไปไม่ได้ ยายแก่จำไม่ได้ว่าเป็นขุนหลวงก็หาข้าวปลาให้เสวยตามมีตามเกิด มื้อสุดท้ายเสวยข้าวมัน (หุงกับกะทิ) ส้มตำ แล้วหนีทหารพม่าจนไปสวรรคตแถวประตูเมือง สุกี้พระนายกองที่พม่าทิ้งไว้เฝ้ากรุงศรีอยุธยาเคยอยู่อยุธยามาก่อนจำได้จึงให้ฝังพระศพไว้ เมื่อพระเจ้าตากสินได้ชัยชนะแล้วจึงให้ขุดขึ้นมาถวายพระเพลิงตามธรรมเนียม

ส่วนพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรถูกนำตัวไปพม่าทั้งที่เป็นพระ พม่าตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษสอบปากคำเชลยไทยว่าชีวิตความเป็นอยู่ในอยุธยาเป็นอย่างไรแล้วจดบันทึกไว้ เป็นอันว่าพม่ารู้จุดอ่อนจุดแก่ของอยุธยาหมด เกาะนี้มีอาณาเขตเท่าใด มีกี่ประตูเมือง มีกี่ตลาด กี่วัด กี่คลอง ซ่องอยู่ตรงไหน ชุมชนชาวต่างชาติอยู่ตรงไหน ปืนใหญ่กี่กระบอก คนที่รู้ดีที่สุดและเล่าได้ละเอียดคือพระเจ้าอุทุมพร คำให้การของท่านเรียกว่า “พงศาวดารฉบับคำให้การขุนหลวงหาวัด” ส่วนที่เชลยทั่วไปเล่าเรียกว่า “คำให้การชาวกรุงเก่า”

พม่าดูแลพระเจ้าอุทุมพรดีพอสมควร ปลูกตำหนักให้อยู่ ทรงอยู่มาจนสวรรคตตอนปลายรัชกาลที่ 1 ของไทย พม่าฝังพระศพไว้ที่นั่น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงพระนิพนธ์ว่าเคยเสด็จไปเยือนพม่า มีผู้เล่าว่าที่ฝังพระศพก็ยังอยู่แต่การเดินทางสมัยนั้นยากลำบากจึงมิได้เสด็จ แม้แต่ชุมชนที่เชลยชาวอยุธยาไปตั้งอยู่ก็ยังมี เรียกว่าหมู่บ้านโยเดีย วันนี้คนนุ่งโสร่งผัดหน้าทาแป้งทานากะพูดภาษาพม่าไปหมดแล้ว

ผมเคยปรารภสองเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ในรัฐบาลไทยว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ท่านตอบว่ามันนานมามากแล้ว สะกิดขึ้นมาก็เป็นแผลบาดใจทั้งเขาทั้งเรา หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ มอญก็หนีเขามาอยู่กับเรา เชลยจากบ้านโน้นเมืองนี้ก็เข้ามาอยู่กับเรา ใครสืบรู้ว่ามีญาติหลงเหลืออยู่ไปเยี่ยมเอาเองก็แล้วกัน พม่าเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร!

พูดถึงพระศรีสรรเพ็ชญดาญาณ พระพุทธรูปยืนหุ้มทองคำองค์ใหญ่คู่บ้านคู่เมืองที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงสร้างไว้ในวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์นั้น พม่าเอาไฟสุมทองคำจนไหลนองแล้วขนทองกลับพม่า องค์พระพุทธรูปแตกหักทำลาย สมัยรัชกาลที่ 1 เคยเป็นปัญหาว่าควรจัดการอย่างไร จะยุบหล่อใหม่ดีไหม สุดท้ายโปรดฯ ให้เชิญโครงพระมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดพระเชตุพนจนทุกวันนี้

ได้เคยกล่าวทิ้งไว้ว่าสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มีคนดีศรีอยุธยามาเกิด คือ พ่อสิน พ่อทองด้วง พ่อบุญมา พ่อบุนนาค ทุกคนได้รับราชการในเวลาต่อมา พ่อสินได้เป็นพระยาตาก พ่อทองด้วงได้เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี พ่อบุญมา น้องชายได้เข้าทำราชการเป็นนายสุดจินดา พ่อบุนนาคได้ทำราชการสมัยพระเจ้าเอกทัศเป็นนายฉลองไนยนาถ

คนเหล่านี้ต่อมามีบทบาทสร้างบ้าน สร้างเมืองทั้งนั้น โดยเฉพาะพระยาตากได้นำทหาร 500 คนฝ่าวงล้อมพม่าออกไปทางตะวันออกจนกลับมากู้อิสรภาพ จับสุกี้พระนายกองผู้ดูแลเมืองอยุธยาได้ ภายหลังได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หลวงยกกระบัตรได้เป็นรัชกาลที่ 1 พ่อบุญมาได้เป็นกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พ่อบุนนาคได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนา ต้นตระกูลบุนนาค

เมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตกหรือเพิ่งแตกใหม่ ๆ พระเจ้าเอกทัศอ่อนแอไม่มีภาวะผู้นำ ดูท่าจะรักษาบ้านเมืองไม่รอดสมคำทำนายของพระราชชนก จึงมีหลายคนที่ช่วงชิงความเป็นผู้นำตั้งตนเป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อพม่า ไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ภายหลังเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบดาภิเษกแล้ว (คำนี้แปลว่าตั้งตนเองเป็นใหญ่ ไม่เหมือนกับราชาภิเษกซึ่งเป็นการสืบราชสมบัติต่อเนื่อง) ก็ยังไม่ขึ้นต่อกรุงธนบุรี ได้แก่ก๊กเจ้านครศรีธรรมราช ก๊กเจ้าพระฝาง ก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลก และก๊กกรมหมื่นเทพพิพิธ

ในบรรดาก๊กเหล่านี้ กรมหมื่นเทพพิพิธจะเป็นต่อที่สุด เพราะเป็นพระราชโอรสอีกพระองค์ของพระเจ้าบรมโกศ แต่ตามประวัติทรง “เฮี้ยว” เอาเรื่อง ถูกเนรเทศไปลังกาก็ยังกลับมาเป็นใหญ่จนได้เป็นเจ้าเมืองพิมาย สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปราบชนะทุกก๊กราบคาบ ใครยอมอ่อนให้ก็พระราชทานอภัยโทษ ตรัสว่าเวลาบ้านเสื่อมเมืองเสีย ใคร ๆ ก็รักชาติแยกไปตั้งตนเป็นใหญ่ทั้งนั้น แต่กรมหมื่นเทพพิพิธกลับกำเริบจมไม่ลงถือว่าตนเป็นเจ้านายราชวงศ์เก่า จึงโปรดฯ ให้สำเร็จโทษเสีย

พระราชธิดาพระเจ้าบรมโกศที่รอดตายและไม่ได้เป็นเชลยก็มีอยู่ไม่น้อย ครั้งเนเมียวสีหบดียึดกรุงได้ก็จับไปขังรวมไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้นนอกกรุง สุกี้เป็นหัวหน้าควบคุม พระเจ้าตากสินทรงบุกเข้าตีค่ายได้ และปล่อยเจ้านายเหล่านี้ออกมา ทรงยกย่องและชุบเลี้ยงตามฐานะมาตลอดจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะเจ้าฟ้าหญิงพินทวดี ซึ่งทรงจดจำธรรมเนียมเก่าสมัยอยุธยาได้มากเช่นการจัดงานโสกันต์ (โกนจุก) งานบรมราชาภิเษก งานพระเมรุ ได้ทรงถ่ายทอดต่อจนวางเป็นระเบียบแบบแผนมาถึงปัจจุบัน

การที่เสียกรุงไม่ว่าครั้งแรกหรือครั้งหลังมีสาเหตุใหญ่จากความอ่อนแอของผู้นำ การอ่อนซ้อมหน่อมแน้มและประมาทของแม่ทัพนายกอง และการมัวแต่ช่วงชิงอำนาจจนแตกความสามัคคี ส่วนการที่กลับได้เอกราชขึ้นใหม่ก็เพราะภาวะผู้นำ ความกล้าหาญ ความฉลาด และความรักชาติของวีรบุรุษอย่างสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าตากสิน

อยุธยาแตกครั้งนั้นเสียหายสุดจะประมาณ กวีจึงบรรยายว่า “อยุธยายศล่มแล้ว” สมัยกรุงธนบุรีก็มัวแต่ติดการศึก ยังไม่ทันได้ฟื้นอะไรมาก พอขึ้นกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงพยายามฟื้นทุกอย่างให้คนสมัยนั้นที่เสียบ้าน สูญญาติ เสียขวัญ สูญทรัพย์กลับรู้สึกว่า “อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤๅ” แผนผังวัง ชื่อวัด ชื่อคลอง ชื่อกรุง ชื่อสถานที่สำคัญก็ตั้งหรือใช้แบบเก่า ธรรมเนียมประเพณีก็ทำตามแบบเก่าครั้งอยุธยา

ปัญหามีว่ากรุงศรีอยุธยานั้นรบกันเองบ้าง รบกับข้าศึกบ้างหลายครั้ง ในที่สุดก็มีคนดีศรีอยุธยาเกิดขึ้น และมาช่วยแก้ปัญหาได้ทุกครั้งไป อะไรต่ออะไรก็ฟื้นได้ แต่อัธยาศัยรักชาติรักบ้านเมืองอย่างคนดีศรีอยุธยาจะฟื้นได้และยังคงมีอยู่ในเลือดไทยทุกวันนี้หรือไม่หนอ

ใครไปไหว้หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงต้องรู้ว่าท่านนั่งอยู่ที่นั่นมาก่อนพระเจ้าอู่ทองตั้งกรุงศรีอยุธยาเสียอีก ท่านเห็นหมดว่าสร้างกรุงอย่างไร มีกี่ราชวงศ์ ใครฆ่าใคร พม่ายกมาทางไหน ตอนสูญบ้านเสียเมืองเป็นอย่างไร เขาว่าตอนนั้นน้ำพระเนตรท่านไหลด้วย วันนี้ใครไปถามท่านก็คงไม่ได้คำให้การจากหลวงพ่อ หวานท่านต้องอม ขมท่านต้องกลืน แต่ท่านรู้หมด ท่านสะสมองค์ความรู้เรื่องกรุงศรีอยุธยาไว้มาก ไหว้ท่านก็เท่ากับไหว้องค์ความรู้ 417 ปีของอยุธยา ผ่านไปทางนั้นแวะไปกราบท่านแล้วนั่งมองท่านนาน ๆ เผื่อท่านจะเมตตาให้การอย่างชาวกรุงเก่าให้เราฟังบ้าง

มาถึงบรรทัดนี้เป็นอันว่าศรีอยุธยาเห็นจะจบลงได้แล้วนะครับ!.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com