หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"ซันบีม" โรงงิ้วแห่งสุดท้ายของฮ่องกง


ขณะที่ชั้นเรียนอุปรากรจีนแบบกวางตุ้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของฮ่องกง ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในกิจกรรมทางด้านการท่องเที่ยว ณ เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นกล้องส่องวัฒนธรรม เมืองที่ตะวันออกพบตะวันตกและความทันสมัยหลอมรวมกับความโบราณในทุก ๆ แห่งของเมือง

ทว่าโรงงิ้วแห่งสุดท้ายที่อยู่ใจกลางเมืองกลับจะถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นชอปปิงเซ็นเตอร์ หากปรมาจารย์ทางด้านศาสตร์แห่งฮวงจุ้ยอย่าง ซินแสหลี่ กุ้ย หมิง ไม่มาเอ่ยปากขอเช่าจากเจ้าของที่ “โรงละครซันบีม” อาจเหลือเพียงชื่อและเรื่องเก่าให้เล่าขาน



โรงงิ้วซันบีมขนาดความจุ 1,000 ที่นั่งซึ่งเปิดการแสดงอุปรากรจีนในภาษากวางตุ้งมากว่า 40 ปีแห่งนี้ เปิดการแสดงครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 ณ ย่านศิลปะใจกลางเมืองฮ่องกง และมีกำหนดที่จะเปิดการแสดงเป็นครั้งสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. หลังจากเจ้าของที่ตัดสินใจที่จะไม่มีการต่อสัญญาเช่าใด ๆ อีก ซึ่งถือเป็นการปิดฉากศิลปะจีนอายุเก่าแก่กว่า 300 ปีไปด้วย

ซินแสหลี่บอกว่า เขายอมเซ็นสัญญาเช่ากับ ฟรานซิส หลอ เจ้าของเป็นเวลา 4 ปี ด้วยค่าเช่าเดือนละ 1 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือราว 4 ล้านบาท เพื่อที่จะรักษาโรงงิ้วแห่งสุดท้ายโรงนี้ไว้

“นี่คือการเจรจาต่อรองครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเราต้องการที่จะเก็บรักษาโรงละครที่เป็นแลนด์มาร์กอายุกว่า 40 ปีแห่งนี้ไว้ เราจะปรับปรุงบางส่วนที่ชำรุดและเชื่อว่าจะเปิดการแสดงที่ซันบีมแห่งนี้ได้อีกครั้งราวปลายเดือนเมษายน” เหยิน ฮอย ผู้กำกับบอกความรู้สึก

เหยินบอกว่า ความจริงแล้วเจ้าของที่เองก็เป็นแฟนงิ้วคนหนึ่ง เขาต้องการค่าตอบแทนจากทรัพย์สินที่มีอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็หวังที่จะเก็บโรงงิ้วแห่งนี้ไว้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องการคนเช่าที่ตั้งใจจะอนุรักษ์ศิลปะการแสดงโบราณและประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนเห็นความสำคัญของงิ้วด้วย

มิสเตอร์หลอซื้อที่ดิน 7,400 ตารางเมตรในปี พ.ศ.2546 และมีแผนที่จะเปลี่ยนที่ดินล้ำค่าผืนนี้ให้เป็นชอปปิงมอลล์ แต่โรงงิ้วซันบีมก็รอดพ้นจากการถูกปิดมาแล้วหลายรอบเพราะการต่อสู้ของบรรดาแฟนคลับ

ผู้บริหารโรงงิ้วต้องจ่ายเงินถึงเดือนละ 700,000 เหรียญฮ่องกง หรือราว 2,800,000 บาทต่อเดือนในปี 2552 โดยทุกครั้งที่มีการต่อสัญญาเช่าใหม่ค่าเช่าก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว


แม้ว่าวันนี้ทั่วเกาะฮ่องกงจะมีโรงงิ้วแห่งอื่น ๆ เกิดขึ้น ทว่าก็ไม่มีที่ไหนยังคงบุคลิก
และเอกลักษณ์ของงิ้วแบบกวางตุ้งได้เหมือนกับซันบีม

“เรารู้สึกยินดีมาก ทีแรกวันนี้เราวางแผนที่จะมาดูงิ้วที่นี่เพื่ออำลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปิดตัวลง แต่เรากลับได้ยินข่าวดีและมาเพื่อร่วมฉลองการคงอยู่แทน” เจนนิเฟอร์ โจว นักกฎหมายและนักแสดงงิ้วกวางตุ้งสมัครเล่นบอกความรู้สึก

โจวเป็นผู้ที่ออกมารณรงค์ให้ผู้คนร่วมกันอนุรักษ์โรงงิ้ว เธอบอกว่ารัฐบาลเองก็พยายามที่จะอนุรักษ์โรงงิ้วกวางตุ้งแห่งนี้

“รัฐบาลกำลังพยายามทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้โรงงิ้วซันบีมเป็นหนึ่งในโครงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ”


งิ้วในแบบกวางตุ้งนั้นนอกจากจะต้องแต่งองค์ทรงเครื่องแบบเต็มยศแล้ว ยังมีเทคนิคการแต่งหน้าที่แตกต่าง เช่นเดียวกับนักแสดงจะต้องมีทักษะทางด้านศิลปะการต่อสู้และร้องเพลงได้ดีด้วย จนทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมโบราณที่ประเมินค่ามิได้จากองค์การยูเนสโกในปี 2552

แม้จะเป็นงิ้วแบบเดียวกับทางใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่งิ้วที่ซันบีมก็ยังมีความต่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเครื่องดนตรีอย่างฆ้องและฉาบ.

เจอร์นีแมน @เดลินิวส์

ชะตากรรมซีเรีย


การล่มสลายของรัฐบาลซีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด จะตามมาด้วยการผงาดของรัฐบาลกลุ่มศาสนาที่อาจสร้างความไม่แน่นอนให้แก่จอร์แดน ประเทศเล็กๆ ที่มีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับซีเรีย ประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือมาช้านาน แต่ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลอัสซาดรอดตายจากการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านการปกครองของเขามานานถึง 11 ปีได้สำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลซีเรียกับจอร์แดน ก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นอย่างน้อย


โมฮัมหมัด อาบู รัมมาน นักวิเคราะห์การเมืองบอกว่า จอร์แดนกำลังเผชิญสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ตัดสินใจยาก ไม่ว่าตัดสินใจเลือกทางไหนก็มีแต่ผลเสีย เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ยังไม่แน่ว่า รัฐบาลอัสซาดจะอยู่หรือไป ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหวั่นเกรงความวุ่นวายในซีเรียหากรัฐบาลอัสซาดล่มสลาย ความวุ่นวายนี้จะมีผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของจอร์แดน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับซีเรีย เช่นเดียวกับความมั่นคงในราชอาณาจักรจอร์แดนและภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดวงใครดีในปีมังกรคะนองน้ำ - ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย


สำหรับในปีมะโรงนี้หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันว่าปี “มังกรคะนองน้ำ” นั้น เราได้รู้ไปแล้วว่านักษัตรที่ร้ายหรือมีการชงนั้นได้แก่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักษัตรจอ มะโรง ฉลู และ เถาะ คราวนี้เราก็คงมีคำถามว่าแล้วนักษัตรใดถือว่าเป็นมงคลเมื่อเทียบกับพลังของฟ้าในปีมังกรคะนองน้ำนี้บ้าง ซึ่งในการดูฮวงจุ้ยระบบวิชาการนั้นเราถือว่าในปีมะโรงนั้นจะมีนักษัตรที่ได้รับมงคลจากพลังฟ้าได้แก่ “ระกา” “วอก” และ “ชวด” โดยรายละเอียดของความเป็นมงคลและการจัดวางสิ่งของเพื่อเสริมพลังปีนั้นมีดังนี้

สำหรับนักษัตรแรกที่ถือว่าเป็นมงคลที่สุดในปีนี้ได้แก่ “นักษัตรระกา” (ได้แก่ท่านที่เกิดในปีระกา หรือท่านที่เกิดในช่วง 7 กันยายน ไปจนถึง 6 ตุลาคม หรือ ท่านที่เกิดในช่วงเวลา 17.00-19.00 น.) เพราะถือว่าเป็นนักษัตรที่ “ฮะ” หรือมีสัมพันธ์ที่ดีกับพลังฟ้าในปีมะโรง โดยเป็นปีที่ท่านจะมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านรู้จักคุ้นเคยเข้ามาสนับสนุนช่วยเหลือ ส่งเสริมให้ท่านมีความมั่นใจในกิจการการงานที่ท่านนั้นรับผิดชอบอยู่ หรือได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งในการงานเดิมที่ท่านรับผิดชอบอยู่โดยเฉพาะ


หากท่านทำงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัทขนาดใหญ่หรือหน่วยงานราชการจะได้รับความเป็นมงคลมากเป็นพิเศษ หรือหากท่านมองหาลูกค้าหรือคู่ค้ารายใหญ่ปีนี้ก็เป็นปีที่ดี ที่ท่านจะมีโอกาสได้รับผลสำเร็จในการเจรจาติดต่อค้าขายกัน มากไปกว่านั้นท่านจะมีโอกาสได้ทรัพย์สินหรือที่ดินที่ท่านต้องการหรือที่หวังไว้ และหากท่านหวังที่จะได้ลูกหลานใหม่ ๆ ภายในครอบครัว หรือ ลูกน้องฝีไม้ฝีมือดี ๆ ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ท่านจะมีโอกาสที่ท่านจะสำเร็จได้ตามที่ท่านคิดหวังในเรื่องดังกล่าว หรือหากมองในมุมของการศึกษา ปีนี้ก็เป็นปีที่ดีที่ท่านจะได้โอกาสในการศึกษาหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเพื่อเสริมศักยภาพของตัวท่านด้วย โดยท่านสามารถกระตุ้นพลังดีภายในบ้านหรือสำนักงานเพื่อเสริมมงคลจากพลังของปีมะโรงนี้ได้ โดยการตั้งอุปกรณ์โลหะสเตนเลสมันวาวแบบที่เคลื่อนไหวเพื่อกระจายพลังดีได้ เช่นนาฬิกาลูกตุ้มโลหะ ลูกโมเมนตั้มโลหะ พัดลมโลหะ น้ำล้นน้ำตกสเตนเลส โคมไฟสเตนเลสมันวาว ที่ทิศตะวันตกของห้องที่ท่านอยู่

ส่วนนักษัตรที่เป็นมงคลรองลงมานั้นได้แก่ “นักษัตรวอก” (ได้แก่ท่านที่เกิดในปีวอก หรือท่านที่เกิดในช่วง 7 สิงหาคม ไปจนถึง 6 กันยายน หรือ ท่านที่เกิดในช่วงเวลา 15.00-17.00 น.) โดยพลังของปีมะโรงนั้นจะเข้ามาส่งเสริมให้ท่านได้รับการช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุนจากผู้หลักผู้ใหญ่คนใหม่ ๆ ที่ท่านไม่ได้คาดคิดไว้ ส่งเสริมให้ท่านมีความมั่นใจในริเริ่มธุรกิจการงาน การลงทุนลงแรงใหม่ ๆ การขยายงาน เพิ่มหน้าที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะในเรื่องของทางไกลหรือต่างประเทศนั้นจะดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการหาลูกค้าใหม่ ๆ หรือการหาคู่ค้าใหม่ ๆ จากต่างประเทศหรือจากทางไกลก็ล้วนแล้วแต่จะทำให้ธุรกิจการงานของท่านได้รับผลดี มากไปกว่านั้นปีนี้เป็นปีที่ท่านจะได้มีงานอดิเรกใหม่ ๆ ที่ท่านชอบ หรือได้ศึกษาวิชาการเสริมใหม่ ๆ ท่องเที่ยวหรือเดินทางธุรกิจไปยังแดนไกลก็จะได้รับผลดีหรือมีความสุข โดยท่านสามารถกระตุ้นพลังดีเพื่อเสริมท่านได้โดยการตั้งชามโลหะสเตนเลสหรือชามสีขาวใส่น้ำนิ่ง หรือ ตั้งอุปกรณ์ตกแต่งที่ทำจากโลหะสเตนเลสที่มีลักษณะนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ที่ทิศเหนือของห้องที่ท่านพักอาศัยอยู่

ส่วนนักษัตรสุดท้ายที่รับมงคลจากปีมะโรงได้แก่ “นักษัตรชวด” (ได้แก่ท่านที่เกิดในปีวอก หรือท่านที่เกิดในช่วง 7 ธันวาคม ไปจนถึง 4 มกราคม หรือ ท่านที่เกิดในช่วงเวลา 23.00-01.00 น.) โดยท่านจะค่อย ๆ ได้รับความเป็นมงคลจากพลังฟ้าของปีมะโรงแบบ “ต้นร้ายปลายดี” ท่านจะได้รับภาระรับผิดชอบหรือหน้าที่การงานใหม่ ๆ ที่ใหญ่ขึ้น โดยเป็นภาระการงานที่ท่านคาดเดาได้อยู่แล้ว หากท่านตระเตรียมตัวหรือวางแผนไว้ดีในท้ายที่สุดท่านก็จะสามารถรับมือได้ เป็นผลให้มีโอกาสได้รับความยอมรับเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง หากท่านทำธุรกิจการค้าในปีนี้เหมือนกับว่าท่านจะมีเรื่องราวหลัก ๆ

ใหญ่ ๆ ให้ท่านต้องเข้าไปแก้ไขปรับปรุง เริ่มต้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากเกินความสามารถ แต่เมื่อผ่านไปหากท่านจัดการภาระดังกล่าวได้กลับทำให้ธุรกิจของท่านได้รับการยอมรับมีชื่อเสียงที่ดี เรียกว่าเป็นปีที่ท้าทายสำหรับท่านเป็นอย่างมาก โดยท่านสามารถกระตุ้นพลังดีเพื่อเสริมท่านได้โดยการตั้งโคมไฟโลหะสเตนเลสมันวาวที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของห้องที่ท่านอยู่ ท่านควรหมั่นเปิดโคมไฟสักวันละ 2-4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

สำหรับท่านที่มีนักษัตรที่ได้กล่าวมาในดวงนั้นในปีนี้ก็ถือได้ว่าท่าน “ดวงดี” เพราะมีพลังฟ้าของปีมะโรงเสริม แต่ก็ขอให้ท่านระวังการตกแต่งต่อเติมซ่อมแซมใน “ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” และ “ทิศใต้” ของบ้านหรือสำนักงานโรงงานของท่านเป็นอย่างมาก เพราะมีผลโดยตรงที่จะบั่นทอนพลังดีของปีมะโรงที่มาเสริมท่านกลับกลายให้ได้รับผลร้าย ส่วนท่านที่ไม่ได้มีนักษัตรดังกล่าวภายในดวงก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะ “พลังดิน” หรือ “ฮวงจุ้ย” นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่ซินแสหรืออาจารย์ ฮวงจุ้ยนั้นมีความเชื่อว่าสามารถใช้ในการปรับเสริมมงคลหรือลดร้ายจากรูปดวงได้ โดยการจัดปรับฮวงจุ้ยโดยละเอียดนั้นท่านสามารถรับคำปรึกษาได้จากซินแสที่มีประสบการณ์ครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ในหลวงเสด็จทอดพระเนตรเจ้าพระยา พระพักตร์แจ่มใส


เวลา 17.30 น. วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โดยรถเข็นพระที่นั่ง ในฉลองพระองค์เชิ้ตแขนสั้นพิมพ์ลายโทนสีเขียวอ่อน สนับเพลาสีดำ พระหัตถ์ซ้ายทรงจูงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง และทรงคล้องกล้องถ่ายภาพที่พระศอด้วย

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อลังการ 'คาร์นิวัล ริโอ เดอ จาเนโร'


ตราตรึง สวยงาม อลังการ 'คาร์นิวัล ริโอ เดอ จาเนโร' ท่ามกลางนักท่องเที่ยวกว่า 8 หมื่นคนจากทั่วโลก ที่ไปรอชมขบวนพาเหรดของเหล่านักเต้นแสนสวย




เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยกับมหกรรมคาร์นิวัลที่ ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ท่ามกลางนักท่องเที่ยวกว่า 8 หมื่นคนจากทั่วโลก ที่ไปรอชมขบวนพาเหรดของเหล่านักเต้นแสนสวยที่มาโยกย้ายส่ายสะโพกในชุดแต่งกายที่งดงามท่ามกลางเสียงดนตรีและการตกแต่งขบวนอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา


ป็นที่รู้กันว่าขบวนพาเหรดที่สวยงามเหล่านี้มาจากโรงเรียนสอนเต้นในเมืองต่างๆ ของบราซิล โดยแต่ละปีจะมีการประกวดกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะในวันสุดท้ายของเทศกาลคาร์นิวัล โรงเรียนที่ชนะเลิศในปีที่ผ่านมาจะจัดขบวนพาเหรดมาอย่างสวยงามและเลิศหรูอลังการเพื่ออวดความเป็นแชมป์และเพื่อเรียกคะแนนจากคณะกรรมการให้ได้รางวัลชนะเลิศในปีนี้อีกครั้ง พร้อมๆ กันนี้ยังมีการประกาศรางวัลราชินีคาร์นิวัล ซึ่งในปีที่แล้วผู้ได้รับรางวัลเป็นเด็กสาวที่เพิ่งฝึกฝนการเต้นมาได้ไม่กี่ปีแต่ก็ชนะใจผู้ชมและชนะใจคณะกรรมการจนได้ตำแหน่งราชินีไปครองอย่างสบายๆ และเทศกาลนี้ไม่ใช่มีเพียงวันเดียวนะคะ งานนี้จัดกันอย่างจุใจถึง 7 วันเต็ม โดยเฉพาะวันสุดท้าย บรรดาราชินีและโรงเรียนที่โดดเด่นในเรื่องการเต้นจนได้รับรางวัลมานักต่อนักก็จะมาร่วมขบวนพาเหรดเป็นการปิดท้ายของเทศกาล เพื่อสร้างความติดตาตรึงใจให้แก่ผู้ชมกันอย่างเต็มที่


เทศกาลคาร์นิวัลเป็นงานที่มีกลุ่มคนมาร่วมชมขบวนพาเหรดของเหล่าสาวประเภทสองและนักเต้นชาวบราซิลเลียนกว่า 4,500 ชีวิต ที่ประโคมโหมแต่งกายเลิศหรูฟูบานมาประชันกันในการแสดงและการเต้นรำหลายแขนง โดยเฉพาะแนวแซมบ้าอย่างสุดมัน ซึ่งทุกคนล้วนประชันกันอย่างเต็มที่เมื่อเสียงกลองกระหึ่มขึ้น พร้อมๆ กับความสนุกสนานที่ระเบิดขึ้นในงานประจำปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดงานหนึ่ง หลังจากที่เหล่านักเต้นจากโรงเรียนสอนการเต้นรำต่างๆ ฝึกซ้อมกันมาอย่างหนักทั้งปีเพื่อได้มาโชว์ลีลาในงานนี้โดยเฉพาะ โดยจะมีคณะกรรมการตัดสินให้รางวัลแก่ทีมที่เต้นรำได้อย่างมีศิลปะอลังการและยอดเยี่ยมเข้าตามากที่สุด


งานคาร์นิวัลระดับประเทศงานนี้ไม่เป็นเพียงงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวบราซิล แต่ยังเป็นงานแข่งขันเต้นรำที่ดุเดือดมากที่สุดอีกด้วยเหล่าสาวประเภทสองเปิดเผยและยอมรับอย่างไม่เขินอายว่า พวกเธอใช้ซิลิโคนในการเสริมอกทำให้สรีระดูมีส่วนโค้งเว้าเพื่อให้ชุดที่สวมใส่เดินโชว์ในขบวนพาเหรดนั้นสวยงามและดูดีที่สุด จนทำให้ "ซิลิโคน" กลายมาเป็นสัญลักษณ์และเครื่องประดับประจำงานคาร์นิวัลของประเทศบราซิลไปแล้ว



คมชัดลึก 22 กุมภาพันธ์ 2555

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จิบทะเล...เหล่เมืองโบราณใน'ตุรกี'

โดย...กาญจนา หงษ์ทอง

อุณหภูมิใจไม่คงที่เท่าไหร่ ตอนเตร็ดเตร่ใน ตุรกี มันเหวี่ยงไปมาตอนนั่งเรือล่องช่องแคบบอสฟอรัส เต้นไม่เป็นท่าตอนเห็นด้านในของวิหารเซนต์โซเฟีย แถมมาวูบวาบอีกรอบตอนเห็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่คาปาโดเกีย


ก็หวังว่าเมืองริมทะเลอย่าง คูซาดาสึ (Kusadasi) และเมืองโรมันโบราณอย่าง เอเอเฟซุส (Ephesus) จะช่วยปรับอุณหภูมิใจให้หายแกว่งบ้าง

สูตรของนักท่องเที่ยวที่เวลาน้อย เงินเยอะ เขาจะบินจากอิสตันบูลมาลงที่อิซมีร์ (Izmir)แล้วนั่งรถไปพักโรงแรมหรูๆ ริมทะเลที่เมืองคูซาดาสึ สูดดมกลิ่นทะเลอีเจียนให้ฉ่ำปอด วันรุ่งขึ้นค่อยนั่งรถมาเที่ยวเอเฟซุส


สูตรของนักท่องเที่ยวเวลาเยอะ เงินน้อย จะค่อยๆ นั่งรถเลาะผ่านเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ อิสตันบูล ปามุคคาเล อันตาลยา หรือคอนยา แล้วไปหาที่พักถูกๆ ในเมืองเซลจุก (Selcuk)

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันอยู่ในพวกหลัง นักเดินทางชั้นประหยัดจากทุ่งบางนา นั่งเรือบินจากบางกอกไปอิสตันบูลด้วยสายการบินเตอร์กิชแอร์ไลน์ (0-22310300-7) จากนั้นนี่งรถบัสประจำทางหลังขดหลังแข็งรอนแรมจากคาปาโดเกีย ไปแวะเที่ยว ปามุคคาเล เสร็จแล้วนั่งรถโดลมุส ซึ่งเป็นเหมือนรถตู้ของบ้านเรา นั่งเรื่อยมาจนถึงเมือง เซลจุก เหนื่อยแทบคลานเข่าเข้าเรือนพักที่จองผ่านอโกดา (www.agoda.co..th) คราวนี้ไม่ได้จองผ่านเว็บไซต์แต่ใช้จองผ่านแอพพลิเคชั่นที่โหลดไว้ หน้าจอสมาร์ทโฟน แต่ก็พบว่าสะดวกไม่ต่างจากจองผ่านเว็บไซต์

ตัวเมืองเซลจุกไม่ได้มีอะไรให้น่าเที่ยวมากนัก เดินประเดี๋ยวเดียวก็ทั่วเมืองแล้ว เป็นเมืองหน้าด่านสำหรับคนที่จะไปเที่ยวเมืองโบราณเอเฟซุสมากกว่า เลยนั่งรถโดลมุสเที่ยวละ 4 ลีราไปเดินสอดส่ายหาอากาศดีๆ ที่ เมืองคูซาดาสึ

คุณสมบัติของเมืองริมทะเล โรแมนติก ร่าเริงยามลมทะเลโบกสะบัด เบิกบานในวันมีแดด มีชีวิตชีวายามหาดทรายถูกประดับไว้ด้วยผู้คน คูซาดาสึเป็นแบบนั้น และความที่มีตึกรามที่โรยไว้ด้วยสีสัน ยิ่งทำให้กลายเป็นเมืองน่ามอง

ที่จริงถ้าวัดกันในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ถือว่าคูซาดาสึไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นแค่เมืองตากอากาศที่ชาวยุโรปนิยมมาอาบแดด หรือคนที่ตั้งใจไปเที่ยวเมืองโบราณเอเฟซุสก็มักจะมาพักกันที่นี่

จากปากคำเจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวคูซาดาสึ หล่อนบอกว่าครึ่งหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่ลงมาจากเรือสำราญ เพราะที่นี่เป็นเมืองท่า จอดเรือได้เกือบพันลำ พวกเรือสำราญลำโตเลยพากันมาทอดสมอทุกวัน ปล่อยลูกทัวร์ลงไปเที่ยวและช็อปปิ้งของที่ระลึก คูซาดาสึเลยคึกคัก ยิ่งเป็นย่านใจกลางเมือง คาเฟ่แทบทุกแห่งแทบไม่มีเก้าอี้ว่าง ถนนแทบทุกสายแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยว

ฉันไม่รีบร้อนกลับเซลจุก เพราะรถเมล์เที่ยวสุดท้ายจากคูซาดาสึกลับเซลจุกคือเที่ยงคืน เลยโอ้เอ้นั่งดูดวงตะวันหย่อนตัวลงใส่ทะเลอีเจียน เป็นเย็นย่ำในคูซาดาสึที่โรแมนติกวายร้าย

เรือสำราญทยอยถอนสมอกันไปทีละลำสองลำ พ่อลูกพรานเบ็ดยังปักหลักรอคอยปลาชะตาขาด หมาและเจ้าของของมันยังได้สูดอากาศสดปลั่งแบบนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน แสงสวยค่อยๆละเลงแผ่นฟ้าหลังลับตาดวงตะวัน นั่นแหละ คูซาดาสึในความทรงจำของฉัน

วันรุ่งขึ้นถึงได้ออกเดินเท้าไปหา เมืองโบราณเอเฟซุส ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเซลจุกไปราว 2 กิโลเมตร ไม่มีหลักฐานแน่นอน ว่าอายุที่แท้จริงของเอเฟซุสควรจะเป็นเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไม่ต่ำกว่า 2 พันปีแน่ พวกนักประวัติศาสตร์บางคนบอกว่าน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล แต่นักโบราณคดีบางกลุ่มก็บอกว่าน่าจะเป็นช่วงศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล จากนั้นพวกกรีกและโรมันก็เข้ามาครอบครองเมืองโบราณแห่งนี้

แต่ช่วงที่โรมันเข้ามายึดครอง ราวศตวรรษที่ 1 เอเฟซุสถือว่ารุ่งเรืองสุดขีด แต่เอเฟซุสก็ถูกกระหน่ำทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคภัยร้ายแรงเล่นงาน ไปจนถึงสงครามก็น้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้เอเฟซุสกลายเป็นเมืองที่จมลงอยู่กับอดีต

กระทั่งกลางศตวรรษที่19 เมื่อมีนักโบราณคดีไปทำการสำรวจและขุดค้น จึงพบว่าเมืองโบราณแห่งนี้ ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก รัฐบาลตุรกีพยายามบูรณะอย่างทนุถนอม จนทุกวันนี้เอเอฟซุสกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต ที่คนมาตุรกีแทบไม่ยอมพลาดมาชมเมืองโบราณแห่งนี้

มีหลายจุดในเมืองโบราณที่ฉายภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น โรงละครเอเฟซุส ที่ใหญ่ขนาดจุคนได้ 2-3 หมื่นคน ปัจจุบันยังคงใช้งานได้ เวลามีงานสำคัญๆ จะมาจัดขึ้นที่นี่ ที่เห็นอัฒจันทร์ครึ่งวงกลมแห่งนี้ยังสภาพดีเพราะมีการบูรณะไปหลายรอบ

แต่มุมยอดฮิต ที่นักท่องเที่ยวพากันถามหาคงจะเป็น ห้องสมุดเซลซุส แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของเอเฟซุสเลยก็ว่าได้ แต่ก่อนคงจะเป็นห้องสมุดที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามมาก แต่เมื่อถูกเผาทำลายด้วยฝีมือของชาวกอธ และเกิดเหตุแผ่นดินไหว ห้องสมุดเซลซุสก็เลยเหลือแต่ด้านหน้า แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยความสวยงามเอาไว้ให้เห็น อย่างน้อยก็รูปสลักของเทพี 4 องค์ที่อยู่ด้านหน้า

ยังมีอีกหลายมุมในเอเฟซุสที่น่าสนใจ เช่นส้วมโบราณ ที่ทำให้รู้ว่าคนสมัยก่อนเขาถ่ายทุกข์ไปนั่งสนทนากันไปอย่างไม่ใส่ใจเรื่องกลิ่น หรือส่วนที่เป็นซ่องโบราณ ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องสมุด

ระหว่างทางกลับไปเซลจุก เดินผ่าน วิหารเทพธิดาอาร์ทีมิส เลยโฉบเข้าไปดู ถึงแม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงเสาต้นเดียว แต่ค่าที่เคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ทำให้เสาแห่งนี้ไม่เคยโดดเดี่ยว แต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวแวะเข้าไปเยี่ยมวันละหลายพัน ในอดีตวิหารหินอ่อนแห่งนี้มีเสา 127 ต้น แต่หลังจากถูกเผาทำลาย ก็ไม่ได้รับการบูรณะอีกเลย

ทั้งเมืองโบราณเอเฟซุสและวิหารเทพธิดาอาร์ทีมิส ต่างทิ้งคำบอกกล่าวหลายอย่างเอาไว้ให้คนรุ่นนี้ได้ขบคิด อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่า ทุกอย่างมีเกิด ก็มีดับ ไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามที ไม่มีข้อละเว้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์หรือสิ่งธรรมดาสามัญ





สงครามเงาอิหร่าน-อิสราเอล


ความรุนแรงจากความขัดแย้งระหว่างคู่ปรปักษ์ ยิว-อิหร่าน ลามมาถึงบ้านเราจนได้ เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ และการจับกุมกลุ่มผู้ต้องสงสัย ทำลายบรรยากาศการลงทุนและการท่องเที่ยว “ในระดับหนึ่ง” ซึ่งเรื่องเปราะบางอย่างนี้รัฐบาลต้องระวังเรื่องจุดยืนในการจัดการปัญหา เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เป็นมิตรประเทศที่ดีของเรา

ต้องหาทางผลักดันเวทีต่อกร ให้พ้นบ้านเรา และอย่างน้อยต้องให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำสอง เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นกลับมาโดยเร็ว

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รำลึก 35 ปี วันสิ้นพระชนม์ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต

ทิวาวารผ่านมาเยือนหล้าโลก 
พร้อมความโศกสลดไห้ฤทัยหาย
อริราชพิฆาตร่างท่านวางวาย 
แสนเสียดายชีพกล้าวิภาวดี

กลอนบทนี้คือคำไว้อาลัยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ได้พระราชทานประดับพวงมาลาหน้าพระโกศศพพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ผู้สิ้นพระชนม์ขณะปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520



จากวันนั้นจนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 35 ปีแล้วที่พระองค์หญิงได้สิ้นพระชนม์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณงามความดีของพระองค์ท่านที่ทรงกล้าหาญ เสียสละ และจงรักภักดี รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้เสนอให้ตั้งชื่อถนนซุปเปอร์ไฮเวย์จากดินแดงไปรังสิตว่า “ถนนวิภาวดีรังสิต” เพื่อรำลึกถึงพระองค์ ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะรู้จักถนนวิภาวดีรังสิตเป็นอย่างดี เพราะใช้เป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่สำคัญในการเดินทางสัญจรไปมา



โดยหากย้อนศึกษาพระประวัติของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิตจะทราบว่า พระองค์หญิงทรงมีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าวิภาวดี (รัชนี) รังสิต ทรงเป็นพระธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส) ต้นราชสกุลรัชนี และหม่อมเจ้าพรพิมลพรรณ รัชนี ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2463 ทรงศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และทรงศึกษาหลักสูตรพิเศษเพิ่มเติมอีก 3 ปี โดยพระองค์หญิงทรงสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ.2485 และเสกสมรสกับหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2489 มีธิดา 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภานันท์ รังสิต และหม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต


ภายหลังที่พระองค์หญิงทรงสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้ทรงรับใช้พระบิดาอย่างใกล้ชิด ซึ่งกรมหมื่นพิทยาลงกรณเป็นที่รู้จักกันดีในวงการหนังสือในนามปากกา ’น.ม.ส.“ ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “กวีเอก” ผู้หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระองค์หญิงทรงมีพระปรีชาสามารถทางอักษรศาสตร์เช่นเดียวกับพระบิดา ทรงเขียนเรื่องสำหรับเด็กเมื่อชันษาเพียง 14 ปี โดยใช้นามปากกาว่า ’ว.ณ ประมวญมารค“ เรื่องที่ทรงแต่งเป็นนวนิยายอมตะ เป็นที่นิยมของผู้อ่านอย่างมาก อาทิ เรื่อง ปริศนา รัตนาวดี เจ้าสาวของอานนท์ นิกกับพิมพ์ ฯลฯ ภายหลังได้ทรงประพันธ์หนังสืออีกหลายเรื่อง ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น บทละคร และนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ทุกเรื่องล้วนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์หญิงรับราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาทั้งในประเทศและเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังต่างประเทศ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์หญิงทรงเป็นนางสนองพระโอษฐ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการถึง 23 ประเทศ


สำหรับในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 พระองค์หญิงได้ทรงปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงนำสิ่งของพระราชทานไปเยี่ยมบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ และเสด็จแทนพระองค์ไปเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารทางภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ เพราะตั้งพระทัยที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ทรงมีพระทัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แม้ในเขตที่มีผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการอย่างรุนแรง ก็ยังทรงอุตสาหะเสด็จไปเยี่ยมเยียนบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ถึงแนวหน้า

จนกระทั่งวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 ระหว่างทางเสด็จโดยเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำสิ่งของพระราชทานไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทรงทราบจากวิทยุว่า มีตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ได้รับบาดเจ็บจากการถูกกับระเบิด 2 คน ด้วยความที่ทรงห่วงใยผู้บาดเจ็บ จึงรับสั่งให้นักบินนำเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงเพื่อรับตชด. 2 คนนั้นไปส่งโรงพยาบาล แต่ขณะที่นักบินนำเครื่องร่อนลงต่ำ ผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงเฮลิคอปเตอร์ กระสุนทะลุเข้ามาถูกพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัส นักบินจึงต้องนำเครื่องเฮลิคอปเตอร์ลงฉุกเฉิน

แม้ในวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า พระองค์หญิงยังทรงห่วงใย ตชด.ผู้บาดเจ็บ โดยรับสั่งถามว่า “ตชด.เป็นอย่างไรบ้าง เอาออกมาได้หรือยัง ให้รีบไปส่งโรงพยาบาล อย่าให้พวกมันรู้ว่าฉันถูกยิง มันจะเหิมเกริม” สักครู่รับสั่งต่อไปว่า “ฉันไม่เป็นไรแล้ว ตชด.มาหรือยัง ให้รีบไปส่งโรงพยาบาลด่วน” โดยยังทรงมีพระสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และทรงเป็นห่วง ตชด.ผู้บาดเจ็บตลอดเวลา

ต่อมาพระองค์หญิงได้รับสั่งกับหลวงพ่อฤษีลิงดำ และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ผู้ร่วมเดินทางไปในวันนั้นว่า “ร้อน หิวน้ำ ขอกินน้ำหน่อย หลวงพ่อ หลวงปู่ ช่วยนิพพาน ไม่เกิดแล้ว” หลวงพ่อบอกว่า “การที่จะไปนิพพานนะดี แต่ท่านหญิงยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก” จึงรับสั่งต่อว่า “ให้กราบบังคมทูลลาพระเจ้าอยู่หัว ท่านชาย ท่านแม่” พระองค์หญิงทรงย้ำอยู่ 2 ครั้ง และครั้งสุดท้ายรับสั่งว่า “สว่างแล้ว เห็นนิพพานแล้ว” และก็นิ่งไป

หม่อมเจ้าวิภาวดี รังสิต ทรงสิ้นชีพิตักษัยที่ตำบลส้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพวงมาลาหน้าโกศพระศพประดับไฟด้วยคำไว้อาลัยจากบทพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุดว่า “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา” แล้วจึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมเจ้าวิภาวดี รังสิต เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์และประถมาภรณ์ช้างเผือก

นอกจากนี้หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต พระสวามียังได้ก่อตั้งมูลนิธิวิภาวดีรังสิตขึ้นเพื่อสืบทอดงานของพระองค์หญิงในด้านการพัฒนา และช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนในท้องถิ่นทุรกันดารทางภาคใต้ ปัจจุบันหม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต เป็นประธานกรรมการมูลนิธิฯ

โดยในหนังสือพิมพ์สยามิศร์ได้เขียนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ว่า “ความสุขนั้นอยู่ที่การให้มากกว่าการรับ และความยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่การเสียสละเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของปวงประชา เพื่อความมั่นคงของชาติ ชีวิตที่สิ้นไปเพื่อเป็นชาติพลี จึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นวีรสตรี”


ปัจจุบันหากใครมีโอกาสได้สัญจรผ่านไป-มา โดยใช้เส้นทางถนนวิภาวดีรังสิต ขอจงร่วมกันรำลึกถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต วีรสตรีไทยอีกพระองค์หนึ่งที่ทรงพลีชีพเพื่อชาติจะประทับอยู่ในใจของคนไทยทุกคนตลอดไป.

“พระองค์หญิงได้ทรงปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จแทนพระองค์ไปเยี่ยมเยียนประชา ชนในท้องถิ่นทุรกันดารทางภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ทรงมีพระทัยกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก แม้ในเขตที่มีผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการอย่างรุนแรง ก็ยังทรงอุตสาหะเสด็จไปเยี่ยม เยียนบำรุงขวัญเจ้าหน้าที่ถึงแนวหน้า”



ถนนวิภาวดีรังสิต ชื่อนี้...มีที่มา

หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 31 (ดินแดง-บรรจบทางหลวงหมายเลข 1 (อนุสรณ์สถานแห่งชาติ)) เริ่มต้นตั้งแต่เขตพญาไท ผ่านพื้นที่เขตจตุจักร เขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ไปบรรจบกับถนนพหลโยธินที่ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จากจุดเริ่มต้นที่สามแยกดินแดง (จุดบรรจบถนนดินแดงและเชื่อมต่อทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วน 1 สายดินแดง-ท่าเรือ) ถนนสายนี้ตัดผ่านสี่แยกสุทธิสารฯ (ตัดถนนสุทธิสารฯ) ห้าแยกลาดพร้าว (ตัดถนนพหลโยธิน โดยมีถนนลาดพร้าวมาบรรจบเป็นแยกที่ห้า) สี่แยกบางเขน (ตัดถนนงามวงศ์วานหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 302) สี่แยกหลักสี่ (ตัดถนนแจ้งวัฒนะหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304) ไปสิ้นสุดที่ทางแยกต่างระดับอนุสรณ์สถาน (จุดบรรจบถนนพหลโยธินหรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) ถนนสายนี้มีลักษณะเป็นทางหลวงพิเศษหรือ ซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งแบ่งช่องทางเดินรถเป็นทางด่วนหรือทางหลัก และทางคู่ขนาน ยกเว้นช่วงที่ผ่านหน้าท่าอากาศยานดอนเมืองจะไม่แบ่งเป็นช่องทางด่วนและทางคู่ขนานเนื่องจากมีพื้นที่จำกัดเพราะถูกขนาบด้วยสนามบินและทางรถไฟ ปัจจุบันมีทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) เป็นทางด่วนพิเศษยกระดับเก็บค่าผ่านทาง อยู่เหนือถนนวิภาวดีรังสิตด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้เดินทางที่ต้องการความรวดเร็วกว่าเดิม

ถนนวิภาวดีรังสิตตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ซึ่งพระนามเดิมคือหม่อมเจ้าวิภาวดี รังสิต พระธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่บำเพ็ญพระกรณียกิจอันเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ได้ทรงรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยเสด็จเยี่ยมราษฎรในเขตที่ผู้ก่อการร้ายปฏิบัติการอยู่ จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์ที่เสด็จถูกผู้ก่อการร้ายระดมยิงจนสิ้นชีพิตักษัยในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต และรัฐบาลได้นำพระนามมาเป็นชื่อถนนซึ่งเป็นทางหลวงหมายเลข 31 ซึ่งเดิมคนทั่วไปมักเรียกว่า “ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์”

อนึ่ง ถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งตะวันออก ช่วงตั้งแต่แยกใต้ด่วนดินแดงถึงคลองบางซื่อ เป็นเส้นแบ่งเขตการปกครองระหว่างเขตพญาไทกับเขตดินแดง และถนนวิภาวดีรังสิตช่วงตั้งแต่ถนนแจ้งวัฒนะถึงสนามบินดอนเมืองเดิมเป็นถนนท้องถิ่นมีชื่อว่า “ถนนศรีรับสุข”

ทีมวาไรตี้@เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เรือสำราญ อลาสก้า - กรุงเทพ


22 September 2012 - 25 October 2012


Day Port / Date Arrive Depart
1
Anchorage (Whittier), Alaska
Saturday, September 22

5:00 PM
2
At Sea
Sunday, September 23
3
At Sea
Monday, September 24
4
Cross International Dateline
Tuesday, September 25
12:00 PM 1:00 PM
5
At Sea
Thursday, September 27
6
At Sea
Friday, September 28
7
At Sea
Saturday, September 29
8
Sapporo (Muroran/Hokkaido), Japan
Sunday, September 30
8:00 AM 6:00 PM
9
Aomori, Japan
Monday, October 1
8:00 AM 6:00 PM
10
At Sea
Tuesday, October 2
11
Vladivostok, Russia
Wednesday, October 3
4:30 AM 7:00 PM
12
At Sea
Thursday, October 4
13
At Sea
Friday, October 5
14
Shanghai, China
Saturday, October 6
7:00 AM 6:00 PM
15
At Sea
Sunday, October 7
16
Dalian, China
Monday, October 8
7:00 AM 2:00 PM
17
Beijing (Tianjin), China
Tuesday, October 9
4:00 AM 6:00 PM
18
At Sea
Wednesday, October 10
19
Busan, South Korea
Thursday, October 11
12:00 PM 7:00 PM
20
Nagasaki, Japan
Friday, October 12
6:00 AM 6:00 PM
21
At Sea
Saturday, October 13
22
Shanghai, China
Sunday, October 14
7:00 AM 6:00 PM
23
At Sea
Monday, October 15
24
At Sea
Tuesday, October 16
25
Hong Kong, China
Wednesday, October 17
8:00 AM 7:00 PM
26
At Sea
Thursday, October 18
27
Nha Trang, Vietnam
Friday, October 19
8:00 AM 5:00 PM
28
Ho Chi Minh City (Phu My), Vietnam
Saturday, October 20
7:00 AM 6:00 PM
29
At Sea
Sunday, October 21
30
Singapore
Monday, October 22
9:00 AM 7:00 PM
31
At Sea
Tuesday, October 23
32
At Sea
Wednesday, October 24
33
Bangkok (Laem Chabang), Thailand
Thursday, October 25
4:00 AM

สวรรค์บนดิน "มัลดีฟส์"

หลังอดีตประธานาธิบดีประกาศลาออก ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวลดลงกว่าเดิม แต่ผู้บริหารรีสอร์ทและบริษัททัวร์ยืนยันไม่กระทบมากนัก


เหตุรุนแรงทางการเมืองในประเทศหมู่เกาะแห่งมหาสมุทรอินเดียที่มีชื่อว่า “สาธารณรัฐมัลดีฟส์” กลายเป็นเมฆสีดำที่มาแปดเปื้อนดินแดนสวยงามแห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์บนดินมีรีสอร์ทหรูติดอันดับโลกให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนชมความงามทางธรรมชาติของที่นี่ เพราะไม่แน่ต่อไปดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้อาจถูกน้ำทะเลกลืน เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนก็เป็นได้

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เทคนิคการจัดสวนในพื้นที่แคบ

คุณผู้อ่านที่มีพื้นที่ว่างแคบ ๆ ในบริเวณบ้าน แต่ไม่รู้จะจัดการอย่างไร “บ้านและสวน” ชวนคุณมาจัดสวนกัน โดยครั้งนี้เราจะใช้เทคนิคทางศิลปะมาช่วยหลอกสายตา ทำให้เกิดความรู้สึกว่าสวนของเรากว้างกว่าความเป็นจริง เทคนิคที่นำมาใช้ก็มีดังนี้



ขนาด (scale)

เลือกใช้ต้นไม้และวัสดุตกแต่งสวนที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ หรือมีขนาดเล็กกว่าปกติเล็กน้อย จะช่วยทำให้สวนมีขนาดกว้างขึ้น นอกจากนี้การใช้วัสดุตกแต่งสวนที่มีขนาดปกติเท่าจริงอยู่ด้านหน้า และจัดให้วัตถุที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ทางด้านหลังหรือไกลสายตาออกไปจะเป็นการสร้างภาพรวมของสวนให้ดูมีความลึกมากขึ้น


เส้น (line)

หากพื้นที่ที่จะจัดสวนมีลักษณะแคบยาว เราสามารถใช้เส้นในแนวตั้งเพื่อเพิ่มมิติ เช่น ทำประตูหรือซุ้มหลอก ๆ เพื่อกำหนดขอบเขตของสายตา สร้างความรู้สึกดึงดูดว่าด้านหลังกรอบนั้นมีพื้นที่ลึกซ่อนอยู่

สี (color)

สีมีผลต่อการสร้างความรู้สึกทางสายตา นำมาใช้สร้างมิติทางความลึกได้ สีโทนร้อน เช่น สีเหลือง ส้ม แดง จะทำให้วัตถุมีขนาดใหญ่ขึ้น ขณะที่โทนสีเย็น เช่น สีเขียว น้ำเงิน น้ำตาล จะทำให้วัตถุมีขนาดเล็กกว่าปกติ หลักการนี้เราสามารถนำมาใช้ในเรื่องการเลือกสีของพรรณไม้หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ภายในสวน โดยเลือกใช้พรรณไม้หรือวัตถุที่มีโทนสีร้อนไว้ด้านหน้า และพรรณไม้หรือวัตถุที่มีโทนสีเย็นไว้ด้านหลัง เช่น ปลูกพรรณไม้ที่มีสีสันสดใสไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังที่ไกลสายตาออกไปปลูกพรรณไม้ที่มีสีเขียวเข้ม ก็จะช่วยหลอกสายตาให้เกิดความรู้สึกว่าพื้นที่กว้างหรือลึกมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้การใช้พรรณไม้ที่ใบมีหลายสีปนกัน ทั้งสีโทนร้อนและโทนเย็น เช่น ใบนาก หมากผู้หมากเมีย จะดูมีมิติ สร้างความรู้สึกทางลึกมากกว่าพรรณไม้ที่ใบมีเพียงสีเดียว

ผิวสัมผัส (texture)

การใช้ของแต่งสวนที่มีผิวสัมผัสต่างกันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างมิติทางลึกได้ โดยจัดพรรณไม้หรือวัตถุที่มีผิวสัมผัสหยาบอยู่ด้านหน้า ด้านหลังใช้พรรณไม้หรือวัตถุที่มีผิวสัมผัสละเอียด เช่น การโรยกรวดปูพื้นสวน ส่วนหน้าใช้กรวดที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่ไกลออกไปใช้กรวดที่มีสีเดียวกัน แต่มีขนาดเล็กลง ก็จะช่วยหลอกสายตาว่าพื้นที่ดูมีความลึกมากขึ้น

Tips

- กรณีที่ต้องการปูแผ่นทางเดิน ควรใช้เส้นในแนวขวาง เส้นโค้ง เส้นทแยง ซึ่งให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว หลีกเลี่ยงเส้นตรงที่ขนานกับความยาวของพื้นที่ เพราะจะทำให้ดูนิ่ง ไม่น่าสนใจ

- บริเวณริมรั้วควรปลูกต้นไม้ที่มีความสูงต่างระดับกัน และมีจังหวะที่เหมาะสม จะช่วยเพิ่มลูกเล่น เบี่ยงเบนความสนใจจากความยาวของพื้นที่

- อาจสร้างจุดดึงดูดสายตาด้วยการทำชั้นวางกระถางต้นไม้เป็นระยะ หรือเจาะช่องสำหรับวางตุ๊กตา เชิงเทียน เว้นระยะ ดูจังหวะให้เหมาะสม

- ในกรณีที่บ้านมีพื้นที่มากพอที่จะทำบ่อน้ำ เงาสะท้อนจากน้ำก็สามารถหลอกสายตาให้ดูว่ามีพื้นที่กว้างกว่าปกติได้เช่นกัน

- พรรณไม้ที่เหมาะกับสวนในพื้นที่แคบควรคำนึงถึงแสงแดดที่ส่องเข้ามาด้วย ถ้าเป็นพื้นข้างตัวบ้านจะโดนแสงแดดน้อย ควรเลือกไม้ในร่มมาปลูก เช่น โมก จั๋ง เฮลิโคเนีย เสน่ห์จันทน์แดง.


บ้านและสวน
Via @เดลินิวส์

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

1ทศวรรษ'ถนนคนเดิน'อัตลักษณ์ความเป็นล้านนา

โดย...จันจิรา จารุศุภวัฒน์
@คมชัดลึก


ทุกเย็นวันอาทิตย์บรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งมือสมัครเล่น มืออาชีพ พากันนำสินค้าที่ผลิตขึ้นเองและรับจากผู้ผลิตในท้องถิ่นวางจำหน่ายบนถนนคนเดินกลางเมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่ถนนพระปกเกล้า ถนนราชดำเนิน จากประตูท่าแพจนถึงหน้าวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นถนนที่มีจำนวนผู้ค้ามากถึง 6,000 ราย ปัจจุบันก้าวสู่ปีที่ 10 ถือเป็นเสน่ห์ของเชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาแล้วไม่พลาดเยี่ยมชม


ทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ ในฐานะหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแล บอกว่า ถนนคนเดินวันอาทิตย์เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่สำคัญอีกแห่งของเมืองเชียงใหม่ที่กลายเป็นจุดดึงดูดสำคัญให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาต้องมาช็อปปิ้ง จนสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน ทั้งการขายปลีก และออเดอร์ หรือคำสั่งซื้อไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 100 ล้านบาท


"ถนนสายนี้มีวิวัฒนาการและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจำนวนผู้ค้า นักท่องเที่ยว ทำให้เทศบาลต้องจัดระเบียบพื้นที่เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช็อปปิ้งที่มีคุณภาพของเมือง โดยเฉพาะสินค้าที่นำมาจำหน่ายต้องเป็นงานแฮนด์เมด หรือเป็นสินค้าที่มีส่วนผสมของงานฝีมือประกอบ ห้ามนำสินค้าจากโรงงานและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มาจำหน่าย"

ทัศนัย กล่าวว่า หลังจัดระเบียบให้ถนนคนเดินวันอาทิตย์มีเอกลักษณ์เป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวแล้ว แผนงานและเป้าหมายการจัดระเบียบถนนคนเดินในระยะต่อไป นอกจากจะเน้นเรื่องของสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการร้านค้าที่นำอาหารมาจำหน่ายต้องไม่ใช้โฟม หรือภาชนะที่เป็นพลาสติก ต้องเป็นภาชนะที่สามารถรีไซเคิลได้เพื่อลดจำนวนขยะในพื้นที่

"นอกจากนี้จะดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เคร่งครัดมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าถนนคนเดินเป็นพื้นที่เปิด แต่ละสัปดาห์มีนักท่องเที่ยวมาไม่ต่ำกว่าวันละ 1 หมื่นคน จึงต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว" นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ กล่าว

ด้าน สราวุฒิ แซ่เตี๋ยว นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่ บอกว่า ถนนคนเดินวันอาทิตย์ถือเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่สร้างสีสันให้แก่การท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นแหล่งกระจายสินค้าหัตถอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น <

"ในฐานะผู้ประกอบการท่องเที่ยว อยากเห็นถนนสายนี้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง และอยากให้มีการขยับขยายพื้นที่ เพื่อทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งของภาคเหนือ และเปิดพื้นที่ให้เป็นช่องทางกระจายสินค้าหัตถอุตสาหกรรมของผู้ผลิตในท้องถิ่นที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก"

จุฬาลักษณ์ อาจหาญ พนักงานบริษัทเอกชน ที่ผลิตสินค้าแฮนด์เมดจำหน่าย บอกว่า ขายสินค้าที่ถนนคนเดินวันอาทิตย์มานานกว่า 6 ปี ยอดขายแต่ละสัปดาห์ถือว่าน่าพอใจ รายได้เสริมจากการขายสินค้าบนถนนเส้นนี้ ถูกนำมาใช้จ่ายเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายจิปาถะ รวมทั้งนำมาเป็นทุนหมุนเวียนซื้อวัสดุเพื่อนำมาผลิตสินค้าขายอีก

"ถนนสายนี้นอกจากเป็นช่องทางการตลาดให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีพื้นที่ในการนำสินค้าที่ผลิตขึ้นเองมาวางจำหน่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้ามือสมัครเล่นได้มีโอกาสค้าขายเพื่อเป็นอาชีพเสริมด้วย" จุฬาลักษณ์ กล่าว


ด้าน ศุภชัย อมรกันทรากร พ่อค้าถนนคนเดินวันอาทิตย์อีกราย บอกว่า ทำงานประจำด้วย แต่เริ่มนำสินค้ามาขายที่ถนนคนเดินปี 2549 เป็นสินค้าทำมือ เช่น ตุ๊กตา พวงกุญแจ ลูกปัด ฯลฯ ช่วงแรกขายส่งให้เพื่อน แต่หลังๆ เห็นว่าขายดีขึ้นจึงมาขายเอง โดยใช้วิธีแบกสินค้ามาวางขาย กระทั่งมีล็อกประจำ ยอมรับว่ารายได้มากกว่างานประจำที่ทำ มีออเดอร์อย่างต่อเนื่องจนผลิตแทบไม่ทัน


วันนี้ ถนนคนเดินวันอาทิตย์ เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเชียงใหม่ ถือเป็นโชว์รูมค้าขายสินค้าพื้นเมือง อันเป็นเวทีของคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง!

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“สิงคโปร์โมเดล” แม่แบบปฏิรูปเศรษฐกิจเมียนมาร์


รัฐบาลใหม่พม่าที่มีประธานาธิบดีเต็ง เส่ง อดีตนายทหารยศ พล.อ. เป็นหัวขบวน ยังคงเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นักสังเกตการณ์จำนวนมากถึงกับอ้าปาก ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ขนาดนี้ เมื่อนึกย้อนหลังไปตั้งแต่คณะทหารกุมอำนาจปกครองพม่ามาเกือบ 50 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505

ช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไปของพม่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2553 ประชาคมโลกและชาวพม่าส่วนใหญ่ต่างมองเป็นละครการเมืองลวงโลกอีกฉากหนึ่งของคณะทหาร ที่ต้องการกุมอำนาจต่อ โดยให้รัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนทหารในกองทัพ สลัดเครื่องแบบลงสมัครรับเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลพลเรือน กลุ่มผู้กุมอำนาจตัวจริงนำโดย พล.อ.อาวุโส ตาน ฉ่วย ถอยฉากคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บ้าน...เพื่อผู้สูงอายุ

แม้ว่าปัจจุบันวิถีชีวิตของคนไทยจะเปลี่ยนไปมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงอยู่รวมกันแบบครอบครัวใหญ่ มีวัฒนธรรมการเคารพผู้สูงอายุ และให้ความสำคัญกับความกตัญญู ซึ่งการออกแบบบ้านหรือที่พักอาศัยจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงการใช้สอยอันเหมาะสมกับผู้สูงวัยเป็นสำคัญด้วย

แนวทางการออกแบบที่พักอาศัยของผู้สูงอายุ ควรเริ่มจากการกำหนดพื้นที่ใช้สอยอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกปลอดภัย ดูแลง่าย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นควรใส่ใจตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้ง การออกแบบโครงสร้าง การตกแต่งภายใน การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ และการเลือกสรรรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ



ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องการพื้นที่ใช้สอยไม่มากนัก เนื่องจากมีความเสื่อมถอยของร่างกายตามธรรมชาติ เช่น การมองเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหวร่างกาย รวมถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนและอารมณ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตาม ถ้ามีที่พักอาศัยเดิมดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงบ้านทั้งหลัง เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ จะคุ้นเคยกับการใช้พื้นที่ซ้ำ ๆ เช่น ห้องครัว ห้องนอน และระเบียงหน้าบ้าน แต่อาจปรับเปลี่ยนเฉพาะพื้นที่ดังกล่าวให้สะดวกสบายเหมาะสมมากขึ้น เพื่อไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายนัก

พื้นที่ใช้สอยสำหรับผู้สูงอายุที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ พื้นบ้านที่ต้องเรียบเสมอกัน ไม่มีการยกพื้นต่างระดับ ส่วนวัสดุปูพื้นก็ต้องไม่ลื่น หรือควรมีผิวหยาบเล็กน้อย เช่น ไม้ พรม และกระเบื้องที่มีผิวสัมผัสไม่เรียบ เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุ รวมถึงควรมีแสงสว่างเพียงพอต่อการมองเห็น โดยผู้สูงอายุมักใช้เวลากับการนั่งมากกว่าการทำกิจวัตรอื่น ๆ เพราะมักมีปัญหากระดูกและข้อเสื่อม ช่องแสงหรือบานหน้าต่างจึงควรอยู่สูงจากพื้นไม่มากนัก เพื่อให้แสงเข้าถึงได้พอดี และมองเห็นทิวทัศน์นอกบ้านได้

นอกจากนี้ถ้าพอมีงบประมาณก็ควรทำทางลาดให้รถเข็นขึ้นลงได้เตรียมเผื่อไว้ เช่นเดียวกับส่วนทางเดินที่ต้องมีราวจับเพื่อช่วยพยุงตัว สำหรับเฟอร์นิเจอร์นั้นควรมีเพียงพอดี จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีส่วนใดยื่นออกมาเกะกะ สีภายในบ้านก็ต้องเน้นใช้เป็นโทนสีที่ดูสว่างสบายตา เนื่องจากมีผลต่อความรู้สึก ช่วยสร้างความสดชื่น เช่นเดียวกับทำเลที่ตั้ง ซึ่งถ้ามองหาบ้านใหม่ก็ต้องเลือกที่ไม่ไกลชุมชน ใกล้กับบ้านญาติพี่น้องและสถานพยาบาล เพื่อการเดินทางที่สะดวก

ตำแหน่งของห้องต่าง ๆ ก็สำคัญ ห้องของผู้สูงอายุควรตั้งอยู่ชั้นล่าง มีขนาดพอเหมาะ มีช่องรับแสงทางทิศตะวันออก เพื่อรับแสงยามเช้า ช่วยให้ผู้สูงอายุรับรู้การเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลา และรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น นอกจากนี้การตกแต่งตลอดจนการเลือกอุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ควรสอดคล้องกับการใช้ชีวิต ไม่ควรมีมากจนเกินไป และสามารถเข้าถึงห้องน้ำได้ง่าย ซึ่งห้องน้ำต้องแยกระหว่างส่วนเปียกและส่วนแห้งเพื่อกันการลื่นไถล นอกจากนี้ก็อาจทำหิ้งพระเล็ก ๆ ไว้ เพื่อให้ท่านได้ใช้งานสะดวก ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิต และสุขภาพกายด้วย

(ผู้อ่านต้องไม่สนับสนุนหรือใช้บริการรีสอร์ทที่สร้างรุกล้ำที่สาธารณะหรือวนอุทยานแห่งชาติของนายทุนที่ชอบทำผิด ถ้าอยากเห็นตัวอย่างรีสอร์ทที่สร้างผิดรุกล้ำลองหาดูได้ในนิตยสารบ้านในฝัน).

Via @เดลินิวส์