"แชงกรีลา" ในความรู้สึกนึกคิดของคนอ่านและติดตามนิยาย คือเมืองสวยงามราวความฝัน ยิ่งกว่านั้น ผู้คนมีอายุยืนยาวและอยู่อย่างพอเพียง "แชงกรีลา" จึงกลายมาเป็นฉายาที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกพยายามจะสถาปนาให้เมืองในประเทศของตัวเองได้เป็น
เมืองลินเดา ประเทศเยอรมนี ก็เช่นกัน ได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวให้เป็น "แชงกรีลา" แห่งเยอรมนี
เกาะขนาดเล็กทางตอนใต้ของประเทศแห่งนี้ อยู่ริมฝั่งทะเลสาบคอนสแตนซ์ กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับของยุโรป
หากดูตามแผนที่ ลินเดา ตั้งอยู่ในเขตชายแดนระหว่างสามประเทศ คือออสเตรีย เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเกาะซุกตัวอยู่ในทะเลสาบคอนสแตนซ์ และมีภูเขาแฟนเดอร์ตั้งตระหง่านอยู่
"ลินเดา" ได้รับการขนานนามครั้งแรกโดยนักบวชผู้มาจากเซนต์กัลเลน (ปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของสวิตเซอร์แลนด์) ซึ่งกล่าวว่าท่านเคานท์แห่งเมืองราเอเทีย นามว่าอดัลเบิร์ต เป็นผู้ค้นพบสำนักนักบวชหญิงบนเกาะแห่งนี้ ชาวโรมันมาตั้งรกรากที่นี่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ซึ่งในปัจจุบันมีร่องรอยอยู่ในเมืองเอสชาช
ในปี ค.ศ.1180 มีผู้ค้นพบโบสถ์เซนต์สตีเฟนบนเกาะ ปี ค.ศ.1124 กลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายแฟรนซิสกัน (คริสต์นิกายหนึ่งที่ก่อตั้งโดยนักบวชนามว่าเซนต์ ฟรานซิส ออฟ แอสสิสิ นักบวชนิกายนี้ใส่ชุดติดกันที่มีฮู้ดสีน้ำตาล) เริ่มก่อตั้งโบสถ์บนเกาะแห่งนี้ กระทั่งกลายมาเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรโรมัน ภายใต้การปกครองของกษัตริย์รูดอล์ฟที่ 1
ในประวัติศาสตร์ลินเดา มีเรื่องเศร้าใจเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1430 เมืองของชาวยิวราว 15 เมืองบนเกาะถูกเผา เนื่องจากชาวยิวถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กชาวคริสต์ จากนั้นต่อมาหลังจากสงครามสามสิบปี (สงครามใหญ่ในยุโรประหว่างปี 1618-1648 เกิดขึ้นในพื้นที่เยอรมนีเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุของสงครามระบุได้ไม่แน่ชัดนัก แต่ตอนเริ่มต้นเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งระหว่างนิกายโปรเตสแตนต์กับนิกายคาทอลิก ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรโรมัน) เกาะลินเดาได้จัดงาน "ชิลเดรน เฟสติวัล" เพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาสงครามที่ผ่านมา
หลังจากการล่มสลายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอาณาจักรโรมัน ลินเดาตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์
คาร์ล ออกูสต์ วอนเบรต์เซนเฮม (Karl August von Bretzenheim) และปี ค.ศ.1804 กษัตริย์คาร์ลยกเกาะลินเดาให้แก่ประเทศออสเตรีย ปีถัดมาออสเตรียก็คืนเกาะลินเดาให้รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี
เกาะแห่งนี้มีทางเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ คือสะพานรถยนต์และทางรถไฟ
ด้านหน้าเมือง เป็นท่าเรือมีประติมากรรมรูปสิงโตตั้งตระหง่าน เคียงคู่กับประภาคารบาวาเรียเพียงหนึ่งเดียวของลินเดา ซึ่งสร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์โดดเด่น
ด้านหน้าเมืองที่มีรูปปั้นสิงโต มักเป็นจุดเริ่มต้นของการนัดหมาย และการเริ่มต้นเที่ยวชมเมืองแห่งนี้ เลาะเลียบไปตามแนวท่าเรือเป็นร้านกาแฟ และโรงแรมหรูหรา และหากตรงเข้าไปถนนสายหลักชื่อ "แมกซิมมิลเลี่ยน" ขาช็อปทั้งหลายคงต้องร้องกรี๊ดถูกใจ เพราะร้านสินค้าแบรนด์เนม ตกแต่งสวยงามด้วยสินค้าขึ้นป้าย "New Arrival" เรียงรายยั่วกิเลส สลับด้วยร้านอาหารรสเลิศ และร้านสินค้างานฝีมือพวกแฮนด์เมด แต่พอถามราคาต้องบอกว่า "แพงเอาการ"
ถนนแมกซิมมิลเลี่ยน ยังคงสภาพความเป็นถนนยุคโบราณ คือเป็นแผ่นศิลาแลงเรียงอัดแน่น ซึ่งทางเมืองเก็บรักษาเอาไว้ สองข้างทางเป็นบ้านขุนนางเก่าร่ายมนต์ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งหลาย บางหลังดัดแปลงเป็นร้านกาแฟ หรือเกสต์เฮาส์ อาคารบางแห่งนำมาใช้เป็นสำนักงานของรัฐบาลท้องถิ่น โบราณสถานสุดยอดของเมือง คือศาลากลางยุคเก่าอันใหญ่โต ที่ผนังเป็นภาพเขียนสี และโบสถ์เซนต์สเตฟาน
ชาวเมืองเล่าให้ฟังว่าเคยเกิดไฟไหม้กลางเมือง ทำให้ส่วนใหญ่ของเมืองได้รับความเสียหาย หลังไฟไหม้แล้ว ในปี ค.ศ.1728 มีการสร้างโบสถ์ขึ้นมาใหม่ในสไตล์บาโรค โดยสถาปนิกช่างใหญ่ชื่อ Giovanni Gaspare Bagnato
รอบเกาะมีทางเดินเท้าตลอดแนวทะเลสาบ เช้า ๆ และเย็น ๆ มักจะมีคนมาวิ่งออกกำลังกาย บางครั้งนอนเปลือยอกอาบแดดกันก็มี ถ้าวันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส มีแดดแรง ส่วนอื่น ๆ ของเมืองนั้นก็มักจะทำเป็นสวนหย่อม หรือปลูกดอกไม้เลื้อยคลุมดินให้แพร่กระจายไปตามทางลาดชันของพื้น
อีกแห่งของเมืองลินเดาที่นักท่องเที่ยวไม่พลาด คือ เกาะไมเนา เกาะดอกไม้และสวนพฤกษศาสตร์ เป็นจุดท่องเที่ยวที่นิยมที่สุดในเยอรมนี เพราะมีสถิติบันทึกจำนวนนักท่องเที่ยวไปเยือนนับล้านคน ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่หน่อดอกไม้จำนวนมหาศาลเริ่มผลิบานไปจนถึง ปลายฤดูใบไม้ผลิ จะมีดอกกุหลาบนานาพันธุ์ ดอกรักเร่ และต้นไม้ใหญ่ แปลก ๆ เต็มทั้งเกาะ
ในช่วงหนึ่งของการเดินทางแห่งชีวิต "แชงกรีลา" อาจเป็นดินแดนที่ฝันหา โดยไม่เคยรู้ว่าสภาพที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ขณะที่ "ลินเดา" เป็นเพียงภาพจำลองของแชงกรีลาตามความรู้สึกนึกคิด หากแต่สัมผัสได้ถึงความงาม สงบ และสันติ อย่างแท้จริง
Dlife@ประชาชาติธุรกิจ
เรื่อง : สกุณา ประยูรศุข
วันที่ 22 กันยายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น