หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2548

A Beautiful Mind

.... A Beautiful Mind เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ จอห์น แนช (John Forbes Nash, Jr.) โดยเล่าเรื่องราวของเขาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 จนถึง 1994

ปี 1947 เป็นช่วงเวลาที่สงครามเย็นแผ่ขยายไปทั่วทุกแห่ง เพราะฉะนั้นคนที่มีความรู้ความสามารถเหนือคนอื่น โดยเฉพาะนักคณิตศาสตร์ จึงเป็นที่ต้องการของรัฐบาลแต่ละประเทศ เพราะมีงานที่มีความสำคัญมากมาย ทั้งการถอดรหัสลับ, สร้างปรมาณู ฯลฯ

มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาล ในแต่ละปีจึงได้สิทธิ์เสนอรายชื่อนักเรียนที่เป็นสุดยอดและมีผลงานเป็นที่ ยอมรับ ให้ไปทำงานที่วีลเลอร์แล็บได้

จอห์น แนช เองก็ไม่ต่างจากนักเรียนคนอื่น ๆ เขามุ่งมั่นที่จะไปทำงานที่วีลเลอร์แล็บเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่าจะการที่จะไปถึงจุดนั้นได้ ผลงานของเขาจะต้องแตกต่างจากคนอื่น และต้องเป็นผลงานที่เกิดจากความคิดริเริ่มใหม่ ๆ (original idea) ไม่ใช่ผลงานประยุกต์จากทฤษฎีหรือแนวความคิดของคนอื่น (Applied Idea) เขาจึงไม่ยอมเข้าห้องเรียน เพราะเชื่อว่าการเข้าห้องเรียนจะเป็นการปิดกั้นความคิดของเขา

ยิ่งเวลาผ่านไปจอห์นก็ยิ่งกดดันมากขึ้น เพราะบรรดาเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นคู่แข่งของเขาล้วนแต่มีความก้าวหน้าในผลงานของตน แต่ตัวเขาเองกลับยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลย

แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ทำสำเร็จ เพราะได้แรงบันดาลใจจากสาวงามคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในบาร์ เธอสวยจนทำให้เพื่อน ๆ ของเขาอยากแย่งกันเข้าไปทำความรู้จัก

เหตุการณ์นั้นทำให้เขาสามารถคิดทฤษฎี “สมดุลไดนามิค” ขึ้นได้ โดยที่แนวคิดนี้สามารถหักล้างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เดิมที่เชื่อถือกันมากว่า 150 ปี ความสำเร็จของเขาทำให้เขาถูกส่งไปทำงานที่วีลเลอร์แล็บ พร้อมทั้งสามารถเลือกผู้ร่วมงานได้อีกสองคน ซึ่งจอห์นก็ตัดสินใจเลือก โซล และ เบนเดอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา

วันหนึ่งจอห์นได้รับการติดต่อจาก วิลเลี่ยม พาร์เชอร์ ให้มาร่วมทำงานลับสุดยอดชิ้นหนึ่ง จอห์นจะต้องเป็นสายลับให้รัฐบาล โดยมีหน้าที่คอยหารหัสที่ซ่อนไว้ตามหนังสือพิมพ์และนิตยสาร แล้วทำการถอดรหัสเหล่านั้นและแจ้งให้พาร์เชอร์ทราบ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จอห์นได้มีโอกาสรู้จักกับ อลิเซีย ลูกศิษย์ในชั้นเรียนของเขา ทั้งคู่รักกันและได้แต่งงานกัน

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่องานสายลับของจอห์นเริ่มไม่ปลอดภัย มีศัตรูมาตามรังควาญจนจอห์นเริ่มตระหนกและหวาดระแวง เขาต้องการถอนตัวจากงานที่ทำ แต่พาร์เชอร์ไม่ยอม จอห์นจะตัดสินใจอย่างไร? ทางหนึ่งคือความปลอดภัยของประเทศชาติ ซึ่งต้องพึ่งความสามารถของเขา ในขณะที่อีกทางเป็นความปลอดภัยของตัวเขาและครอบครัว

จอห์นจะทำอย่างไร? เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร? อยากให้คุณ ๆ ติดตามต่อจากโรงภาพยนตร์กันเองแล้วกัน เพราะถ้าเล่าเรื่องราวมากกว่านี้จะทำให้ดูหนังเรื่องนี้ไม่สนุก

ส่วนที่น่าจะได้ร้บคำชมที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้ น่าจะเป็นในส่วนของบทภาพยนตร์ ซึ่งค่อนข้างจะเขียนได้อย่างชาญฉลาดและมีชั้นเชิงทีเดียว ทั้งในส่วนของบทสนทนาและการนำเสนอเรื่องราวของหนัง รวมไปถึงการเขียนบท ที่เปิดโอกาสให้ดาราได้แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่

มีประโยคสนทนาจากหนังหลาย ๆ ประโยคที่มีความหมาย และแสดงตัวตนของตัวละครได้อย่างแจ่มชัด เช่น ลักษณะที่ชาร์ลสอธิบายความเป็นจอห์นว่า “จอห์นเป็นคนที่น่าจะเข้ากับ จำนวนเต็ม ได้ดีกว่า จำนวนคน“ ซึ่งเท่ากับบอกบุคลิกนิสัยของจอห์นได้ว่า เขาเป็นคนที่ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องมนุษย์สัมพันธ์

ในฉากงานเลี้ยงที่เป็นการเปิดตัวความรักระหว่างจอห์นกับอลิเซียกลาย ๆ นั้น อลิเซียได้มอบผ้าเช็ดหน้าให้กับจอห์น ซึ่งจอห์นได้บอกว่า “เขาไม่เชื่อเรื่องการพกของนำโชค แต่เชื่อในเรื่องการพกของล้ำค่า” หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นยามที่เขาทุกข์หรือสุข เราก็จะเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้พกติดตัวจอห์นอยู่ตลอดเวลา ความโรแมนติกในตอนต้นเพิ่มน้ำหนักมากขึ้นจนกลายเป็นความประทับใจ เมื่อผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ได้กลายเป็นเส้นใยบาง ๆ ที่ยึดเหนี่ยวให้เขายืดหยัดต่อสู้กับปัญหาหนักหนาสาหัส ซึ่ง ณ เวลานั้นดูเสมือนว่าไม่มีใครในโลกสามารถช่วยเขาได้เลย และมันยังเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจในยามที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต เรียกได้ว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ของความรักลึกซึ้งที่อลิเซียกับจอห์นมีต่อกัน

ในส่วนของวิธีการนำเสนอ ถือว่าทำออกมาได้ดี อย่างฉากที่หนังพยายามอธิบายทฤษฎีที่จอห์นคิดค้นได้นั้น หนังเข้าใจใช้วิธีที่ทำให้เกิดเหตุการณ์จำลอง เพื่ออธิบายความนึกคิดของจอห์นในแบบที่น่าสนใจทีเดียว

สำหรับฉากสาวผมบลอนด์ในคลับ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็กเรียนอย่างจอห์น ที่จะมีปัญหาในการวางตัวและจีบผู้หญิง ด้วยความเถรตรงของจอห์น ชนิดปากตรงกับใจเกินร้อยจนผู้หญิงส่วนใหญ่รับไม่ได้ ทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะผู้เชี่ยวชาญในการปลูกแห้วนั้น แต่เมื่อถึงคราวที่จอห์นสารภาพรักกับอลิเซีย ความเถรตรงในทำนองเดียวกันกลับทำให้อลิเซียยอมรับในความซื่อของจอห์นประเภท “ปากอย่างไร ใจอย่างนั้น” อย่างเต็มใจ

หรือฉากมอบปากกาทองที่ต้องการจะบอกว่า ใครก็ตามที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ทุกคนจะเอาปากกามามอบให้ ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติอย่างสูงนั้น ในตอนแรกหนังให้คนดูและจอห์นได้เห็นวิธีแสดงความชื่นชมวิธีนี้ และในตอนสุดท้ายจอห์นก็มีโอกาสได้รับการยอมรับและนับถือจากคนอื่น หลังจากที่เคยถูกมองเป็นเพียงคนประหลาดนั้น แต่โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว กลับรู้สึกว่าฉากที่จอห์นได้รับการยอมรับนี้ เป็นการจัดฉากที่ดูจะเน้นและจงใจมากเกินไป

ส่วนที่ดูแล้วน่ารักและน่าประทับใจเห็นจะได้แก่ตอนที่จอห์นพาอลิเซียออก มาดูดาว คนเขียนบทเข้าใจหาลูกเล่นที่เสริมความเป็นอัจฉริยะของจอห์นได้อย่างมี เอกลักษณ์ นอกเหนือจากความโรแมนติกแล้ว เรายังจะได้เห็นความสามารถในทางดาราศาสตร์ที่น่าทึ่งของเขา จอห์นสามารถจดจำตำแหน่งดาวได้แทบหมดท้องฟ้า (หรือจะจำได้หมดซะก็ไม่รู้) แต่ที่แน่ ๆ เขาจำได้มากถึงขนาดหาหมู่ดาวที่ตรงกับรูปทรงทุกแบบที่อลิเซียเลือกได้ก็แล้ว กัน ซึ่งหากจะตีความฉากนี้ในอีกนัยหนึ่ง ก็อาจจะแปลได้ว่า “ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร แม้แต่ดาวบนฟ้า ฉันก็หามาให้เธอได้” อะไรประมาณนั้น

ในส่วนของการแสดง หนังได้ รัสเซล โครว์ มารับบท จอห์น แนช ต้องยอมรับว่านี่เป็นบทที่ส่งให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ทั้งสีหน้าอากัปกริยา, ท่าทาง และแววตา โดยเฉพาะในส่วนที่แสดงเป็นคนที่มีบุคลิกประหลาด ๆ เหมือนอย่างที่มีคนเคยพูดเอาไว้นั่นแหละครับว่า “อัจฉริยะกับความบ้า… มีเพียงเส้นบาง ๆ เท่านั้นที่คั่นอยู่“ บางครั้งจึงเป็นการยากที่จะชี้นิ้วบอกว่าคน ๆ นี้บ้า หรือว่าฉลาดเกินปกติ บ่อยครั้งที่อัจฉริยะถูกมองว่าเป็นคนบ้า ซึ่ง รัสเซล โครว์ ก็สามารถแสดงได้อย่างไม่มีที่ติ

เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี อดีตขวัญใจวัยรุ่นเมื่อ 10-15 ปีที่ผ่านมา เคยโด่งดังจากหนังเรื่อง Labyrinth (1986) เด็กหนุ่ม ๆ ในยุคนั้น น้อยคนจะไม่มีโปสเตอร์รูปของเธอติดอยู่ข้างฝาห้อง ที่ญี่ปุ่นเอง เธอก็โด่งดังถึงขนาดถูกดึงตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์และออกอัลบั้มเพลงที่นั่น ปัจจุบัน กับวัย 31 ปีของเธอ ซึ่งดูแปลกตาไปบ้างจากรูปร่างที่เพรียวลง แต่ยังคงมีเค้าของความสวยอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่ใสแบบเด็ก ๆ เหมือนเมื่อก่อน เรื่องนี้คอนเนลลีมาแสดงเป็นอลิเซีย ภรรยาของจอห์น ที่ชีวิตน่าจะมีความสุขสบายถ้าไม่ใช่เพราะมีเหตุการณ์มาพลิกผัน

A Beautiful Mind จัดเป็นหนังหนึ่งในไม่กี่เรื่องของเธอ ที่บทเอื้ออำนวยให้เธอได้แสดงความสามารถทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งความอบอุ่น, ความมั่นใจ, ความตระหนก รวมไปถึงการแสดงให้คนดูรับรู้ได้ว่า เธอพร้อมที่จะมอบความรักและพร้อมจะยืนเคียงข้างจอห์นตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม

ดาราคนอื่นที่มาร่วมสมทบก็ถือว่าแสดงได้ดี ทั้ง เอ็ด แฮร์ริส ที่มารับบท พาร์เชอร์ หัวหน้าสปายของจอห์น หรือแม้แต่รุ่นใหญ่อย่าง คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ในบท หมอโรเซน จะมีก็แต่ พอล เบ็ททานี ที่มารับบท ชาร์ลส รูมเมทจอมเสเพลที่ดูแล้วคล้ายกับบท เจฟฟรีย์ กวีติดการพนันใน A Knight’s Tale

ในส่วนอื่น ๆ ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพของ โรเจอร์ ดีกินส์, การตัดต่อของ ไมค์ ฮิล และ แดน แฮนลีย์ รวมไปถึงดนตรีประกอบจากฝีมือของ เจมส์ ฮอร์เนอร์

A Beautiful Mind เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ รอน โฮเวิร์ด ซึ่งในผลงานก่อนหน้านี้ เขาได้จับมือกับ จิม แคร์รีย์ ใน How the Grinch Stole Christmas (2000) ส่วนผลงานเรื่องอื่นที่พอจะสร้างชื่อให้กับ รอน โฮเวิร์ด ก็ได้แก่ Ransom (1996) ผลงานที่ได้ เมล กิ๊บสัน มานำแสดง ตลอดจนการร่วมงานกับ ทอม แฮงค์ส ใน Apollo 13 (1995) และกับ ทอม ครู๊ซ ใน Far and Away (1992)

ล่าสุดจากการประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ A Beautiful Mind คว้ามาได้ 4 รางวัลใหญ่ ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ดราม่า), นักแสดงนำชายยอดเยี่ยมประเภทดราม่า (รัสเซล โครว์), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (อากีว่า โกลด์สแมน)

A Beautiful Mind จัดเป็นหนังคุณภาพที่ดีและดูสนุกเรื่องหนึ่ง สามารถผสมผสานความบันเทิงและคุณภาพได้ค่อนข้างลงตัว หนังพูดถึงเรื่องของสุดยอดอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ ซึ่งตัวหนังทำออกมาได้ในระดับแค่อัจฉริยะเท่านั้น แต่ทว่าคุณภาพระดับนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพา A Beautiful Mind เข้าไปเป็นหนึ่งในตัวเต็งบนเวทีออสการ์ประจำปีนี้

ที่มา : movieseer.com

ไม่มีความคิดเห็น: