หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สะบายดี... เวียงจันทน์

โดย : มานพ จันทรฯ
คอลัมน์ : ท่องเที่ยว @กรุงเทพธุรกิจ

หอพระแก้ว
ระหว่างนี้ "นครเวียงจันทน์" เมืองหลวงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นเจ้าภาพครั้งแรก ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 25

เวียงจันทน์ในยามนี้จึงคลาคล่ำด้วยผู้คนมากกว่าปกติ

ในอดีตลาวตกอยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรน่านเจ้า และต่อมาได้เกิดการแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์ ทำให้ลาวต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาสยาม


อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสได้เข้ามามีอิทธิพลต่ออินโดจีน ความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศสทำให้ไทยต้องยกดินแดนให้ฝรั่งเศส และลาวได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสใน ปี พ.ศ. 2518

สถาปนาขึ้นเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การเดินทางไปเวียงจันทน์ทำได้ง่ายมาก ทั้งทางเครื่องบินตรงสู่นครเวียงจันทน์ และทางรถยนต์ ผ่านจังหวัดหนองคาย เข้าสู่ประเทศลาวด้วยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

หากไม่มีหนังสือเดินทางก็สามารถทำหนังสือผ่านแดนก่อนเข้าเวียงจันทน์ได้เช่นกัน

แม้ลาวในปัจจุบันจะเปิดตัวต่อโลกภายนอก และรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกมากขึ้น แต่ชาวลาวยังรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติอย่างเข้มแข็ง สังเกตได้จากการแต่งกายของผู้หญิงลาวที่ยังนุ่งซิ่น มากกว่าการแต่งกายแบบตะวันตก และชาวลาวส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นในศาสนาพุทธ มีประเพณีทางศาสนาไม่ต่างจากชาวไทย

พระธาตุหลวงสัญลักษณ์ประเทศ

สถานที่สำคัญที่บ่งบอกว่าชาวลาวยังให้ความศรัทธาในศาสนาพุทธ และผู้มาเยือนมักจะไม่พลาด ได้แก่ พระธาตุหลวง หรือ "พระเจดีย์โลกะจุฬามณี" ปูชนียสถานอันสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ มีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมของไทย และพระธาตุหลวงยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศลาว ปรากฏอยู่ในตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้อีกด้วย

พระพุทธรูปศิลปะลานช้างบริเวณระเบียงหอพระแก้ว
สถานที่อีกแห่งหนึ่งก็คือ หอพระแก้ว ตั้งอยู่บนถนนเชษฐาธิราช ติดกับทำเนียบประธานประเทศ เดิมเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเชษฐาธิราชมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากล้านนา เมื่อกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ลงในการ ทำศึกสงครามกับอาณาจักรสยาม

เมื่อปี พ.ศ.2322 ในคราวนั้นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาไว้ที่กรุงเทพฯเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐานเท่า นั้น ปัจจุบันหอพระแก้วไม่ได้เป็นวัดแต่ก็เป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวเดินทางมา ชม เพราะยังมีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงพระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฎกภาษาขอมและกลองสำริดประจำ ราชวงศ์ลาว รอบหอพระแก้วมีพระพุทธรูปศิลปะล้านช้างตั้งเรียงรายบริเวณระเบียง และยังพบไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในเชียงขวางวางตั้งอยู่

ส่วนวัดศรีเมืองในเส้นเดียวกันเป็นวัดที่ประชาชนลาวเดินทางไปสักการบูชา แต่ละวันเป็นจำนวนมาก ภายในวัดศรีเมืองเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์

ภายในวัดศรีเมืองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย ด้านตะวันออกของวัดศรีเมืองมีสวนสาธารณะเล็กๆ มีพระบรมรูปของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ตั้งอยู่บนแท่นสูงกลางสวนสาธารณะ พระหัตถ์ทรงถือสมุดใบลานที่จารึกประมวลกฎหมายฉบับแรกของลาวไว้ พระบรมรูปเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์นี้เป็นของขวัญที่ทางสหภาพโซเวียตมอบให้

ประตูชัย
อีกจุดหนึ่งคือ ประตูชัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยของฝรั่งเศสเพื่อระลึกถึง ประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์

รำวงยังฮิตไม่เลิก - บรรยากาศตลาดเช้า
หากจะสัมผัสประเทศลาวอย่างใกล้ชิดก็ควรใช้เวลาในช่วงเช้าดูชีวิตผู้คน อาจตื่นขึ้นมาตักบาตรข้าวเหนียวเหมือนที่ชาวลาวปฏิบัติกัน หรือไม่ก็เดินทอดน่องชม "ตลาดเช้า" ก่อนถึงประตูชัย เลือกซื้อสินค้าพื้นเมือง สินค้าที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ "ตลาดจีน" ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของนครเวียงจันทน์ ก็มีสินค้าจากจีนให้เลือกซื้อตามอัธยาศัย

ร้านขายน้ำผลไม้ปั่น
The Betrayal หรือ "เนรคุณ" หนังสารคดีขนาดยาวที่ได้รับการเสนอชื่อบนเวทีการประกวดภาพยนตร์ออสการ์ ปี 2009 เป็นผลงานการทำงานร่วมกันของ ทวีสุข พระสวัสดิ์ ชาวลาวอพยพในสหรัฐ และ เอลเลน คูราส เล่าเรื่องความลำบากยากแค้นของครอบครัวในประเทศลาว เมื่อปี 1973 ช่วงสงครามเวียดนาม สหรัฐใช้ลาวเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้กับเวียดนามเหนือ แต่หลังจากแพ้สงครามเวียดนาม สหรัฐถอนกำลังออกจากลาว ปล่อยให้เจ้าของประเทศเผชิญกับชะตากรรมเอาเอง พร้อมๆ กับการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองในประเทศ จากประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์มาสู่ระบอบคอมมิวนิสต์

หลายครอบครัวต้องหลบหนีการเข่นฆ่าแตกกระเซ็นไปคนละทาง บางคนอพยพย้ายหนีไปยังสหรัฐอเมริกา รวมทั้งทวีสุขที่หลบหนีการจับกุมและการทำร้ายทารุณ ครอบครัวของเขายังดีกว่าหลายครอบครัวที่มีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง และตัดสินใจย้ายมาเผชิญชีวิตใหม่ในนิวยอร์ก

แม้ภาพยนตร์ไม่ได้ใช้ลาวเป็นสถานที่หลักในการเล่าเรื่อง แต่ก็อดทำให้นึกถึงผู้คนและประเทศนี้ไม่ได้เลย ประเทศเพื่อนบ้านที่ยังคงเปี่ยมด้วยมิตรภาพ และมีวัฒนธรรมอันงดงาม

...................................

Country : Lao People's Democratic Republic
Capital : Vientiane
Population : 6,320,000
Film : The Betrayal - Nerakhoon (2008)
Director : Ellen Kuras, Thavisouk Phrasavath
Cast : Thavisouk Phrasavath...Narrator, Boualay Vannalith, Nhot
Khamphrasavath, Chaiphet Phrasavath, Keoduangchai Phrasavath, Bounnhou
Khamphrasavath, Nhok Khaphrasavath, Vansy Khamphrasavath, Thar
Phrasavath

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เยื้องเวียงจันทน์ ย่างวังเวียง

โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
ไลฟ์สไตล์ @กรุงเทพธุรกิจ


สุดที่สายตาคู่นั้นทอดไปก็ยังมองไม่เห็นต้นขบวน ท่ามกลางแสงตะวันที่คล้อยองศาลงมา 2 นาฬิกา บนถนนลูกรังที่คดเคี้ยวตามสภาพภูมิประเทศ

รถยนต์พากันจอดเรียงราย คนขับรถบรรทุกเริ่มจับกลุ่มคุยกับคนขับรถบัสอยู่ใต้ร่มไม้ ขณะที่คนท้องถิ่นและคนแปลกหน้าต่างทยอยหอบหิ้วสัมภาระเดินตามกันไปยังหมู่ บ้านที่อยู่ข้างหน้า

ความจอแจของผู้คน และ "รถเล็ก" ในการขนถ่ายข้าวของ กลายเป็นความอลหม่านเล็กๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากพบว่าสะพานข้ามแม่น้ำตรงหน้า "รถใหญ่" ไม่สามารถผ่านไปได้

"สะพานข้ามแม่น้ำทรุด ตอนนี้กำลังซ่อมกันอยู่" บางคนพูดถึงบรรดาช่างโยธา และเครื่องไม้เครื่องมือที่กองอยู่ตรงบริเวณคอสะพาน

สาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครระบุได้แน่ชัดว่าเป็นเพราะอะไร แต่เสียงส่วนใหญ่เชื่อว่าอาจเป็นเพราะพายุฝนลูกเมื่อคืน จึงทำให้สะพานเหล็กที่มีสภาพการใช้งานค่อนข้างสมบุกสมบันอยู่พอสมควรแล้ว ยิ่งทรุดหนักลงไปอีก

"อย่างนี้แหละ เที่ยวลาวหน้า นี้ก็ต้องระวังเรื่องการเดินทางกันเยอะหน่อย" เสียงจากนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มแว่วมา แต่ก็ดูเหมือนสิ่งเหนือความคาดหมายทำนองนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่นัก เดินทางที่จะเลือกกางแผนที่มาเยือนเมืองลาว โดยเฉพาะกับฟ้ากับฝน ปัญหาสะพานขาด ดินถล่ม ถนนทรุดจึงเป็นอะไรที่มักเกิดขึ้นได้เสมอ


หลากมุมเมืองลาว

นอกจากภาพวาดในหนังสือแบบเรียนสังคมศึกษาจะทำให้เห็นว่าเมืองลาวกับ เมืองไทยมีความใกล้ชิดติดกันเพียงแค่เส้นแบ่งพรมแดนกั้นแล้ว ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คนทั้งสองประเทศยังแสดงถึงความกลมกลืนของผู้คนที่มีมา ตั้งแต่โบราณ


ยิ่งในแง่มุมของการท่องเที่ยวสำหรับนักเดินทางมือใหม่ที่ยังไม่ค่อยชำนาญด้านภาษา เมืองลาว น่าจะถือเป็นแบบฝึกหัดการ "เที่ยวต่างประเทศ" บทแรกๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจก็ว่าได้ เพราะคงไม่มีที่ไหนในโลกที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยใช้ภาษาไทย "เว้าซื่อ" กันได้ทั่วประเทศขนาดนี้ เวลาว่างสัก 3-4 วันจึงถือว่าค่อนข้าง "กำลังดี" สำหรับการจัดทริปเที่ยวลาวสักครั้งหนึ่ง

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งอยู่บนดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ถูกโอบล้อมด้วยประเทศเพื่อนบ้านอย่าง จีน ไทย กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เพราะสภาพภูมิประเทศที่ไม่ได้อยู่ติดกับทะเลที่นี่ได้ชื่อว่าเป็น "ล็อกแลนด์ (Lock Land) แห่งอุษาคเนย์" แม่น้ำโขง หรือลำน้ำของ จึงเปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของคนลาว


ตลอดระยะทาง 1,835 กิโลเมตรจากลาวเหนือจดลาวใต้ที่สายน้ำโขงไหลผ่าน ทั้งเกษตรกรรม การประมง การผลิตพลังงานไฟฟ้า การคมนาคม และใช้เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างประเทศลาวกับ ประเทศเพื่อนบ้านล้วนแต่ต้องพึ่งพิงแม่น้ำสายนี้แทบทั้งสิ้น โดยมีเส้นเลือดฝอยแตกแขนงจากแม่น้ำโขงไปหล่อเลี้ยงผู้คนในภูมิภาคต่างๆ อยู่หลายสาย คือ ทางภาคเหนือมีสายน้ำอู สายน้ำคาน สายน้ำเซือง นครหลวงเวียงจันท์มีสายน้ำซอง สายน้ำลีบ สายน้ำงึม ขณะทางใต้จะมีสายน้ำซัน สายน้ำเซ และสายน้ำเหงียน


ด้วยลักษณะพิเศษดังกล่าวนั้นเอง จึงทำให้พื้นที่กว่า 236,800 ตารางกิโลเมตรของลาว อุดมไปด้วยภูเขาและที่ราบสูงหลายแห่ง อันกลายมาเป็นทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ พอๆ กับวิถีชีวิตของชาวลาวที่ยึดโยงอยู่กับพระพุทธศาสนาเป็นหลัก

ชาวลาวส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ (ร้อยละ 60 ของชาวลาวทั้งหมด) ควบคู่ไปกับลัทธินับถือผีบรรพบุรุษของผู้คนในแถบภูเขาสูง พุทธศาสนาแบบเถรวาท จึงนับเป็นแบบแผนหลักของวัฒนธรรมลาว ซึ่งปรากฏให้เห็นทั่วประเทศ ทั้งในด้านภาษา ศิลปะ วรรณคดี และศิลปะการแสดง ฯลฯ

ความ "ขึ้นชื่อ" ของมนต์เสน่ห์ที่ปราศจากการปรุงแต่งนี่เอง ทำให้จังหวะวันหยุดคล้อยหลังฝนต้นลมหนาวจนปลายฤดูร้อน โปรแกรมเยือนถิ่นลาวมักได้รับความสนใจจากก๊วนนักเดินทางมืออาชีพและสมัครเล่นอย่างไม่ขาดสาย

เตร่เตร็ดในเวียงจันทน์

แม่น้ำสายเดียวกัน เมื่อมองกันคนละฝั่งกลับให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะห่างกันแค่สะพานกั้น แต่หนองคาย-นครหลวงเวียงจันท์ ก็ถูกขีดเส้นแบ่งแดนแยกออกเป็นคนละประเทศไปแล้ว ถึงอย่างนั้น คนบ้านนี้กับคนบ้านโน้นก็ยังคงไปมาหาสู่กันเรื่อยมา

นครหลวงเวียงจันทน์ (นะคอนหลวงเวียงจัน) เป็นเขตที่ตั้งของกรุงเวียงจันทน์เมืองหลวงของประเทศลาว มีเมืองเอกคือจันทะบูลี มีเขตติดต่อเป็นชายแดนกับประเทศไทยระหว่างเวียงจันทน์กับหนองคายของประเทศไทยทางสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 1 โดยเขตปกครองนี้ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2532 โดยแยกออกมาจากแขวงเวียงจันทน์ เดิมชื่อ "กำแพงนครเวียงจันทน์" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "นครหลวงเวียงจันทน์" ในภายหลัง

"นครหลวงแปลว่าเมืองใหญ่" แสงมะณี ไซยะสอน มัคคุเทศก์สาวเวียงจันทน์ให้ข้อมูล

ภาพความวุ่นวายของการจราจร ความเร่งรีบในการใช้ชีวิตของผู้คน และเทคโนโลยีที่พยายามจะล้ำสมัยทุกๆ วินาที ตามองค์ประกอบของเมืองใหญ่แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็นมากนักที่เมืองหลวงของ ประเทศลาวแห่งนี้

แสงมะณีบอกว่า แหล่งท่องเที่ยวในตัวเวียงจันท์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การจับจ่ายซื้อของมากกว่า ด้วยความที่เวียงจันท์เป็นแหล่งที่พักสินค้าจากเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ที่นี่จึงมีตลาดหลากหลายให้บรรดาขาช้อปได้เลือกเดิน

ตลาดเช้า เปิดขายตั้งแต่ 07.00-16.00 น. ที่ชื่อตลาดเช้าเพราะเมื่อก่อนเปิดขายเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายหลากหลายชนิด ทั้งสินค้าพื้นเมือง และจากต่างประเทศ อาทิ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าซิ่น เครื่องเงิน ไม้แกะสลัก เครื่องจักสาน งานฝีมือต่าง ๆ

ตลาดจีน หรือ ตลาดแลง (ตลาดหนองด้วง ก็มีเรียกกัน) เป็นจำหน่ายสินค้าจากประเทศจีน อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนมของดียี่ห้อดัง เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ระลึก เสื้อผ้าสำเร็จรูป รวมไปทั้งอาหารและเครื่องเทศที่นำเข้าจาก ประเทศจีนโดยตรง

ตลาดขัวดิน เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าของสด ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ กุ้งหอย ปู ปลา และสินค้าอื่น ๆ ที่ชาวบ้านสามารถสรรหาได้ มาวางจำหน่าย

นอกจากนี้ยังมี ศูนย์หัตถกรรมผ้าซิ่นทอมือ ให้สำหรับนักท่องเที่ยวได้ซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึกอีกด้วย

ถึงแม้เวียงจันทน์จะได้ชื่อว่าเป็นแขวงที่เจริญที่สุดใน 18 แขวงของลาว แต่การผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตดั้งเดิมและการพัฒนาประเทศ ที่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับเทคโนโลยีมากกว่าเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตนั้น ทำให้วันนี้เรายังเห็นหนุ่มสาวชาวลาวรุ่นใหม่ยังรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมเอาไว้อย่างค่อนข้างเหนียวแน่น

ผ้าซิ่น ยังถูกบรรจุอยู่ในเครื่องแบบราชการ หลานยังจูงยายเดินออกมาปั้นข้าวเหนียวใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่ งานบุญประเพณีต่างๆ ยังปรากฏอยู่ในปฏิทินราชการ แต่ก็ใช่ว่าคนเวียงจันทน์เองจะไม่ถูกกระแสของความเปลี่ยนแปลงพัดพาไปเสียที เดียว ย่านแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีที่เริ่มมีมากขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาว ต่างชาติเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจน กับแฟชั่นของบรรดาขาเที่ยวที่ "ทันเทรนด์" ไม่แพ้ปารีส หรือมิลานเหมือนกัน

เวียงจันทน์มักถูกจัดเส้นทางให้อยู่ในสายเดียวกับวังเวียงและหลวงพระบาง ที่นี่จึงกลายเป็นแลนด์มาร์กแรกสำหรับเริ่มต้นทริปอยู่บ่อยครั้ง นักท่องเที่ยว หากไม่ค้างที่หนองคาย ก็มักจะข้ามโขงมาชมวิวประเทศไทยที่เวียงจันทน์ก่อน รุ่งเช้าจะออกเดินทางสู่วังเวียงที่อยู่ห่างออกไปอีก 160 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างการเดินทางสามารถแวะชมความสวยงามของเกาะและดอนของ เขื่อนน้ำเทิม เขื่อนที่ใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษชาย (ดอนท้าว) กับนักโทษหญิง (ดอนนาง) ในอดีต ซึ่งที่นี่ช่วงวันหยุด หรือเทศกาลก็มักจะมีชาวลาวมาพักผ่อนอยู่เป็นประจำ ก่อนจะลัดเลาะตามภูมิประเทศต่อไปจนถึงวังเวียง

"ค่อยๆ ข้ามกันเด้อ เดี๋ยวสะพานพัง" เสียงร้องบอกทีเล่นทีจริงของเจ้าหน้าที่เรียกสีหน้าของคนต่างถิ่นออกมาได้พอ สมควร หลังจากต้องเดินเสียเหงื่อกันอยู่พักใหญ่ก่อนจะข้ามสะพานไปขึ้นรถอีกฝั่ง หนึ่งได้

บรรดารถขนส่งสินค้า โดยเฉพาะสินค้าแช่แข็งเริ่มทยอยขนย้ายของถ่ายลงรถเล็กเพื่อดำเนินการขนส่ง ต่อไปก่อนที่น้ำแข็งจะละลายหมด บางรายออกท่าทางหัวเสียอย่างชัดเจน ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันออกมานั่งเรียงหน้าสลอนขายเครื่องดื่มเท่าที่พอ หาได้

ทั้งหมด เป็นความวุ่นวายเล็กน้อยที่บรรดานักเดินทางรุ่นพี่ต่างยืนยันว่ามีสิทธิเกิดขึ้นได้เสมอ


ตามฝันที่ วังเวียง

บางความคิดหวนนึกถึงวังเวียงในความทรงจำ เมื่อแนวเทือกเขาตะปุ่มตะป่ำเบื้องหลัง "ลานเดินยนต์" หรือ สนามบินเก่าปรากฏอยู่ตรงหน้า ภาพใครคนนั้นกำลังนั่งอิงเบาะบนแคร่ไม้ริมลำน้ำซอง ไล้หมอก มองดาวพราวฟ้า ใต้เงาตะเกียงทอแสง ขาดเพียงใครอีกคนที่ไม่ได้นั่งโอบไออุ่นอยู่เคียงข้างให้บรรยากาศความรัก นั้นได้เติมเต็ม ภาพของพนักงานบนเครื่องบินกำลังลำเลียงกระเป๋าลงจากเครื่องเพื่อจัดสรร เก้าอี้ดนตรีให้ผู้โชคดีคนนั้นรอคิวบินเที่ยวต่อไป หรือตลาดเช้าแหล่งรวมของแปลกให้ได้เปิดหูเปิดตา...

หลายเรื่องราวหลากความทรงจำต่างผุดพรายขึ้นมาประกอบกันเป็นความประทับใจ ในมุมที่ต่างออกไป ด้วยความที่วังเวียงเต็มไปด้วยภูเขาหินปูนน้อยใหญ่เรียงรายสลับกัน โดยมีแม่น้ำซองไหลผ่าน ที่นี่จึงได้รับขนานนามว่าเป็น "กุ้ยหลินน้อยแห่งเมืองลาว" และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสสักครั้งในชีวิต

ไกด์สาวคนเดิมเล่าว่า ในสมัยก่อน วังเวียง หรือ เวียงคำ จะเป็นเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไผ่ มีเจ้าชีวิต (เจ้าเมือง) คนหนึ่งครองเมืองอยู่ ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้างุ้มวีรกษัตริย์ชาวลาวผู้ กอบกู้ 3 อาณาจักรอันได้แก่ หลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้าง-นครหลวงเวียงจันท์ และอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก มาเป็นอาณาจักรเดียว ได้ยกกองทัพมาตีเมืองเวียงคำนั้น พระองค์ได้ใช้กลอุบายเอาเพชรพลอยเงินทองมาติดหัวธนู แล้วยิงใส่กอไผ่ที่ล้อมเมืองนั้น เพื่อให้คนเข้าใจว่า มีเงินมีทองมีคำอยู่ที่นั่น แล้วจึงถอยกลับมาตั้งทัพอยู่ที่เวียงจันทน์

"ทางฝ่ายชาวเมืองเวียงคำออกมาดูเมื่อเห็นว่ามีเงินมีทองคำอยู่ในกอไผ่ ก็พากันตัดต้นไผ่เพื่อจะเอาทอง เอาเงินที่อยู่ในกอไผ่นั้น หลังจากนั้น 2-3 เดือนเจ้าฟ้างุ้มก็บุกมาอีกครั้งจนได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย และเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองวังเวียงในภายหลัง ส่วนกอไผ่ก็ถูกนำมารวมกองแล้วเผาตรงริมแม่น้ำ ไหลลงแม่น้ำกลายเป็นที่มาของชื่อแม่น้ำซอง" แสงมะณีบอก

ถ้าไม่หาที่นั่งชมทัศนียภาพ หรือเดินเล่นละเลียดบรรยากาศริมน้ำซอง การล่องเรือก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ถือว่าเป็นที่นิยมไม่น้อย แต่สำหรับใครที่ชอบความตื่นเต้นของการผจญภัยก็สามารถไปแถบ "ย่านฝรั่งบ้า" ที่มีทั้งล่องห่วงยาง สไลเดอร์ โหนสลิงกระโดดน้ำ ล่อง "กงเบ่ง" หรือห่วงยาง และพายคายัค แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล

วันนี้ ในสายตาของใครหลายคนอาจมองว่า วังเวียงกำลังจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ มีโรงแรม รีสอร์ท เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร บาร์เบียร์ ตลอดจนร้านขายของต่างๆ ทยอยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ของกินเริ่มแพง และไม่อร่อย

แต่ถึงอย่างนั้นภาพทุ่งนาสีเขียวที่มีริ้วหมอกโอบกอดขุนเขาอยู่เบื้อง หลัง ตลอดจนภาพฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวก็ยังทำให้ใครต่อใครพากันมาที่ นี่อยู่ดี

"วังเวียงก็คือพวกที่หนีปายมายังไงล่ะ" บางสุ้มเสียงสรุปสิ่งที่เกิดขึ้น

* การเดินทาง

วังเวียง สามารถไปได้สองเส้นทางด้วยกัน หากรักจะนั่งรถ สามารถข้ามไปยังฝั่งลาวผ่าน ทางด่านจังหวัดหนองคายหรืออุดรธานี เพื่อไปยังเวียงจันทน์ ที่เวียงจันทน์ มีรถโดยสารต่อไปยังวังเวียงให้เลือกทั้งรถบัส รถตู้ หลายรูปแบบ มีทั้งวีไอพี มีแอร์ ไม่มีแอร์ เฉลี่ยระยะเวลาเดินทางจากเวียงจันทน์สู่วังเวียง ราวๆ 3-4 ชั่วโมง

แต่หากใครอยากใช้ชีวิตช้าๆ แบบลาวสไตล์ แนะนำเส้นทางสุดชิลล์อย่างการล่องน้ำโขงก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน โดยตั้งต้นจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ข้ามมาฝั่งลาวสู่ บ้านห้วยทราย ก่อนจะลงเรือล่องสู่หลวงพระบาง ซึ่งต้องพักที่เมืองปากแบ่ง 1 คืน ก่อนจะล่องลงมาจนถึงหลวงพระบาง แวะพักสักคืนสองคืน แล้วจึงนั่งรถโดยสารต่อมาที่วังเวียง และกลับบ้านเราผ่านทางเวียงจันทน์ สู่อุดรธานี หรือหนองคายก็ได้ตามสะดวก

ปล.ว่า "บ่ต้องกลัวหลง ไทยกะลาว ก็คื้อกัน"

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"คิลิมันจาโร" ใกล้ไร้ธารน้ำแข็ง

ไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวจาก "ภูฏาน" ประเมินว่า

ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยอาจละลายหมดภายในไม่กี่สิบปี

เพราะผลกระทบจากปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หรือ วิกฤตโลกร้อน!

ล่า สุด คุณลอนนี่ ทอมป์สัน นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านธารน้ำแข็ง (กลาเซียร์) ประจำศูนย์วิจัยขั้วโลก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา และคณะ ออกมาเตือนภัยในลักษณะเดียวกัน ว่า

ถ้าสถานการณ์ โลกร้อนยังคงไม่บรรเทาเบาบาง ลง ภายในปีค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) หรืออีก 12-13 ปีข้างหน้า กลาเซียร์ รวมถึงน้ำแข็ง และหิมะ จะมลายหมดสิ้นไปจากยอดเทือกเขา "คิลิมันจาโร" ประเทศแทนซาเนีย!

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟุตบอลโลก

......ฟุตบอลโลกทำการแข่งครั้งแรกในปี 1930 โดยฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) โดยประเทศอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกมีทั้งหมด 13 ประเทศ ตอนนั้นยังไม่มีการแข่งขันรอบคัดเลือก ที่อุรุกวัยประเทศเจ้าภาพได้ส่งจดหมายเชิญประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการแข่งขัน

เพราะระยะทางที่ไกล ทำให้มีเพียงประเทศจากยุโรป 4 ประเทศเท่านั้นที่ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ โดยส่วนมากปฏิเสธที่จะเดินทางโดยเรือหลายอาทิตย์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

ที่มอนเตวิเดโอ เจ้าภาพได้สร้างสนามแข่งขันที่สวยงามสนามหนึ่ง ซึ่งจุผู้ชมได้ถึง 95,000 คน โครงการสร้างสนามดังกล่าวต้องเลื่อนกำหนดสร้างเสร็จออกไป เนื่องจากมีฝนตกหนัก ซึ่งทำให้สนามแข่งขันเสร็จก่อนหน้าการแข่งขันเพียง 5 วันเท่านั้น

แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้อุรุกวัยเหมาะสมสำหรับการจัดการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขาเป็นแชมป์โอลิมปิกสองสมัยแรก ที่ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา นอกจากนั้นเดือนกรกฎาคม 1930 ยังเป็นเดือนที่ประเทศกำลังเฉลิมฉลอง 100 ปีแห่งการเป็นอิสระ ที่ทำให้ช่วงสองสัปดาห์ของการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่แทบจะทั้งทัวร์นาเมนท์แข่งขันกันที่เมืองหลวงของอุรุกวัยแห่งนี้ มีเทศกาลคาร์นิวัลฉลองเอกราชอยู่ด้วย

4 ทีมเท่านั้นที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก และไม่มีทีมไหนเลยที่ได้รับการคาดหมายว่าจะคว้าแชมป์ไปครอง ประเทศมหาอำนาจอย่างอิตาลี, เยอรมัน, ฮอลแลนด์, อังกฤษ และสเปน พากันอยู่ที่บ้าน หนึ่งในประเทศที่ส่งทีมเข้าร่วมอย่างโรมาเนีย ที่แม้ว่าจะมีกษัตริย์คิง แคโรล เป็นผู้จัดการทีม แต่โรมาเนียก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ฝรั่งเศส และเม็กซิโก ลงเล่นฟุตบอลโลกนัดแรกในประวัติศาสตร์ และทีมตราไก่เป็นฝ่ายชนะ 4-1 โดยลูเซียน โลรองต์ ของฝรั่งเศสยิงประตูแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก แต่สองทีมที่แข็งแกร่งในทัวร์นาเมนต์นี้คืออาร์เจนติน่า และอุรุกวัย ที่ทั้งสองทีมเป็นแชมป์ของกลุ่มอย่างง่ายดาย

สตาบิเล่ ได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนท์ จากจุดเริ่มต้นคือผู้เล่นสำรอง เขาลงสนาม และซัดแฮตทริกนัดเตะกับเม็กซิโก

ในรอบรองชนะเลิศอาร์เจนติน่าถล่มสหรัฐ อเมริกา 6-1 และอุรุกวัยชนะด้วยสกอร์เดียวกันในการเตะกับยูโกสลาเวีย ตอนนั้นไม่มีการแข่งขันชิงอันดับสาม ทำให้สหรัฐ และยูโกสลาเวียได้ครองอันดับสามร่วมกัน

รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 1930 ณ สนามเอสตาดิโอ เซนเตนาริโอ ที่อุรุกวัยเจ้าภาพพบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอาร์เจนติน่า

ถ้วยรางวัล World Cup

ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ โทรฟี่


ความเป็นมาของถ้วยฟุตบอลโลกที่นับเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศนั้นมีด้วยกันสองรุ่น โดยรุ่นล่าสุดนี้เป็นถ้วยรางวัลที่มีน้ำหนักถึง 4,970 กรัม ทำด้วยทองแท้ 18 กะรัต สูง 36 เซนติเมตร เรียกว่าถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออกแบบโดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐานเป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังเคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะแห่งการฉลองชัยชนะ

ถ้วยเวิลด์คัพใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี จากนั้นจึงลงไปอยู่อเมริกาใต้ แล้วกลับขึ้นมายุโรป สลับกัน 2 ทวีป อย่างนี้ในทุก 4 ปี เพราะประเทศที่ได้แชมป์จากเยอรมนีก็คือ อาร์เจนตินา (1978) อิตาลี (1982) เยอรมนี (1990) แล้วก็ล่าสุดคือบราซิล (1994)

แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่า หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน


ถ้วย ชูลส์ ริเมต์


สำหรับถ้วยเดิมชื่อถ้วยจูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่าชาวฝรั่งเศสที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกสำเร็จในปีค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองหนัก 3.8 กิโลกรัม สูง 38 เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้า หรือไพฑูรย์ (Lapislazule) เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ (Goddess of Victory) ตรงเหลี่ยม 4 ด้านของฐาน สลักชื่อประเทศที่ได้แชมป์ที่ 9 ราย ชื่อนับตั้งแต่ปี 1930-1970

ถ้วยจูลส์ ริเมต์ หายไปถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปีค.ศ.1966 ช่วงที่อังกฤษได้แชมป์ มีคนมาพบว่าถูกฝังอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง โดยฝีมือการดมหาของเจ้าสุนัขตัวเล็กชื่อพิกเกิ้ลส์ แต่ถ้วยมาหายจริงๆในปีค.ศ.1983 ช่วงบราซิลได้สิทธิ์ครอบครองถ้วยนี้อย่างถาวร หลังจากคว้าแชมป์ 3 สมัยได้สำเร็จ โดยขโมยมือดีฉกจากที่เก็บในนครริโอ เดอจาเนโร

ทำเนียบบอลโลก
ครั้งที่ ปี เจ้าภาพ คู่ชิง แชมป์
1 1930 อุรุกวัย อาร์เจนตินา อุรุกวัย
2 1934 อิตาลี เชโกสโลวะเกีย อิตาลี
3 1938 ฝรั่งเศส ฮังการี อิตาลี
4 1950 บราซิล บราซิล อุรุกวัย
5 1954 สวิตเซอร์แลนด์ ฮังการี เยอรมันตะวันตก
6 1958 สวีเดน สวีเดน บราซิล
7 1962 ชิลี เชโกสโลวะเกีย บราซิล
8 1966 อังกฤษ เยอรมันตะวันตก อังกฤษ
9 1970 เม็กซิโก อิตาลี บราซิล
10 1974 เยอรมันตะวันตก ฮอลแลนด์ เยอรมันตะวันตก
11 1978 อาร์เจนตินา ฮอลแลนด์ อาร์เจนตินา
12 1982 สเปน เยอรมันตะวันตก อิตาลี
13 1986 เม็กซิโก เยอรมันตะวันตก อาร์เจนตินา
14 1990 อิตาลี อาร์เจนตินา เยอรมัน
15 1994 สหรัฐอเมริกา อิตาลี บราซิล
16 1998 ฝรั่งเศส บราซิล ฝรั่งเศส
17 2002 เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น เยอรมัน บราซิล

ที่มา : สยามสปอร์ต,ผู้จัดการออนไลน์

ยาแก้อาการอกหัก

สูตรส่วนผสมตัวยา
1. น้ำใจเพื่อนที่ปรารถนาดี 5 กรัม
2. น้ำตาพ่อแม่ที่รักเรา 10 หยดหรือมากกว่านั้น
3. ความเข้มแข็ง 10 ช้อนชา
4. รากแห่งศักดิ์ศรี 10 กรัม
5. ใบเจ็บแล้วจำ 5 ใบ
6. ความใฝ่ดี 5 ช้อนชา
7. ความเข้าใจ(ในรัก) 5 ช้อนชา
8. สติ 20 กรัม
9. สมาธิ 5 กรัม
10. ปัญญา 20 กรัม
11. น้ำล้างตา(ให้สว่าง) 2 ฝา
12. ความรักตัวเอง เท่ากับกำปั้นของผู้ใช้ยา
13. ความชัดเจน ชัดเจน เท่าที่คนข้างๆ ต้องการ (อันนี้ผมปรุงเพิ่มเอง)

วิธีปรุงยา
ทันทีที่อกหัก ให้รีบนำส่วนผสมทั้งหมดมาบดให้ละเอียด
แล้วผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นรูปหัวใจเล็กๆ..
(เพื่อความน่ารัก)..ใส่ขวด..อย่าลืมติดฉลาก "ยาแก้อกหัก"

วิธีใช้
ให้กินวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร จนกว่าจะหายจากอาการเจ็บอก
ยานี้ไม่มีวันหมดอายุ สามารถเก็บไว้รักษาโรคอกหักได้ตลอดไป...

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สก็อตช์ (Scotch)

เดิมที สก็อตช์ นั้นเป็นเหล้าพื้นเมืองสกอตแลนด์ ที่นิยมทำดื่มกันเองมานามนมแล้ว จวบจนปี 1170 เมื่อสกอตแลนด์ได้เป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษ ทำให้เหล้าพื้นเมืองของสก็อตช์ ได้เริ่มแพร่หลายเป็นที่รู้จักไปทั่ทุกมุมโลก จนกระทั่งกลายเป็นเล้าที่นิยมดื่มกันมากที่สุดชนิดหนึ่งในปัจจุบบัน

เมื่อในอดีต สก็อตช์ นั้น คงมีภาพพจน์ที่ดีมากเนื่องจากเป็นเหล้าที่นิยมดื่มกันเฉพาะในกลุ่มสังคมชั้น สูงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สก็อตช์สามารถอื่นกมันได้ทุกคน ซึ่งสก็อตช์ก็ไม่ใช่เหล้าสำหรับคนมีเงินเท่านั้น หากแต่เป็นเหล้าที่เหมาสมกับนักดื่มที่มีประสบการณ์ เพราะคนที่จะชอบจริง ๆ จะต้องติดใจในรสชาติที่พิเศษซึ่งเป็นกลิ่นรมควัน อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้สก็อตช์ผสมห้ก็แต่เฉพาะน้ำแข็ง น้ำ หรือโซดานิดหน่อยเท่านั้น แต่จะไม่มีวันที่จะถูกนำไปผสมกับของหวาน ๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นค็อกเทลให้น่าดื่มเหมือนกับเหล้าตระกูลอื่น ๆ ได้


สก็อตช์ เป็นเหล้าที่ทำมาจากข้าวบาร์เลย์ (Malted Barley) ซึ่งหลังจากที่แช่น้ำไว้จนได้ที่แล้ว ก็จะนำมาอบให้แห้งโดยใช้ไม้พีตเป็นถ่านสุมไฟให้ร้อนและแห้งเร็วขึ้น แล้วจึงนำมาหสักกับยีสต์ในน้ำอุ่นในหม้อทองแดง จนกลายเป็นไอน้ำเพื่อไปผ่านการกลั่นซึ่งในการกลั่นสก็ตช์นั้นจะต้องทำติดต่อ กันหลาย ๆ เที่ยว เพื่อให้ออกมาเป็นเหล้าแท้ ๆซึ่งจะมีกลิ่นและรสชาติแตกต่างกันไปจากสก็อตช์ที่รู้จัก เพราะต้องผ่านการผสม (Blen) ด้วยนิวทราล สปิริต และวิสกี้ที่ทำมาจากเมล็ดข้าวชนิดอื่น ๆ จนมาเป็นวิสกี้ผสม อาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ควันจากการเผาถ่านไม้พีตเท่านั้น ซึ่งคงตอบได้ว่าเพราะนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สก็อตช์มีเอกลักษณที่พิเศษ เฉพาะตัวของมันเอง แต่ถ้าหากให้ไปถามคนปรุงเหล้าสก็อตช์ ก็มักจะได้คำตอบอีกอย่างหนึ่งซึ่งเขาจะบอกว่า เครื่องปรุงที่เป็นเคล็ดลับในการทำให้สก็อตช์มีรสและกลิ่นที่ยวนใจนักดื่อ มมากจะเป็นผลมาจากไอเค็มของทะเลและน้ำใสจากลำธารในสก็อตช์แลนด์ต่างหาก

สิ่งที่ทำให้สก็อตช์เป็นสก็อตช์และวิสกี้ ทั้งที่เป็นเหล้าตระกูลเดียวกันที่ทำมาจากธัญชาตินั้น จึงเป็นเพียงความแตกต่างของถ่านไฟที่ใช้และวัตถุดิบจากแหล่งผลิตนั่นเอง นอกจากนั้นกฏหมายของสก็อตแลนด์ยังระบุไว้ว่า เหล้าที่ใช้ชื่อสก็อตช์นั้จะต้องบ่มไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี จึงจะนำออกมาจำหน่ายได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะบ่มไว้ประมาณ 7-12 ปี แต่ก็ไม่เกิน 15 ปี จะมีก็แต่ ชีวาส อยู่เพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่บ่มกันนานถึง 17 ปี โดยถึงที่ใช้บ่มเหล้าชนิดนี้จะทำมาจากไม้โอ๊ค ซึ่งอาจเป็นถึงใหม่หรือถังที่เคยใช้บ่มเหล้ามาแล้วก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะนิยมถังที่บ่มเหล้าไวน์องุ่น หรือไวน์เชอร์รี่มาก่อน

เคล็ดลับสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับการผลิตสก็อตช์ให้น่าดื่ม ก็คือสูตรผสมเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติอันละมุนทีถูกคอนักดื่มทั้งหลายนั่นเอง

รถชน!!!..... อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี

อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทย ด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่"ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" นำมาให้อ่านกัน

1. ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์
ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำ ทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม

2. ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน
สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยัง สามารถพูดได้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้อง ต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง

3. ถ้าท่านเป็นผู้ขับ
กรณีนี้อย่านี้เป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ

หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้
3.1 ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล
3.2 ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร
3.3 แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย
3.4 ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้ สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจมีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าจะได้ตัวผู้ขับ ขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด
3.5 ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

4. ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที
เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี

5. ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที
นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพ ไว้เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง

วอดก้า(Vodka)

เป็นที่เชื่อกันว่า สิ่งที่ทำให้วอดก้ามีดีกรีสูงสุด จนแทบจะเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ และเป็นเหล้าประจำชาติของรัสเซียนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะทนต่อความหนาวเหน็บของฤดู หนาวในรัสเซีย โดยไม่จับตัวเป็นน้ำแข็งได้ และไม่น่าแปลกเลยที่คำว่า วอดก้า เมื่อแปลความหมายแล้วคือ น้ำน้อย

ถ้าจะกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว วอดก้า นั้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของรัสเซียมาอย่างช้านานแล้ว เนื่องจากมีส่วนและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันมาโดยตลอด

เริ่มตั้งแต่สมัยจักรพรรดินีแอนด์ ในปี 1700 ที่ให้นางสนมสระผมด้วยเหล้าวอดก้า จากนั้นก็ให้นำเอาไปดื่มเพราะมีอยู่ในปริมาณที่ไม่มากนัก จวบจนยุคสมัยใหม่ก็ยังมีเรื่องเล่ากันว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมีการปฏิวัติล้มล้างราชบัลลังค์ ซาร์ในรัสเซีย ก็เนื่องมาจากซาร์สั่งให้เลิกดื่มเหล้าวอดก้า จนกลายเป็นสาเหตุให้เหล่าคอมมิวนิสต์ ภายบใต้การนำของเลนินมีความคึกคัก กระเหี้ยนกระหายที่จะรบเอาชนะซาร์ให้ได้ เนื่องจากไม่ดื่มเหล้าเมื่ออยู่ว่าง ๆ ก็เซ็งเปล่า ๆ จึงพากันหยิบอาวุธขึ้นมารบพุ่งจนขาดใจตายไปข้างหนึ่ง

คน ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจไหว่า วอดก้าเป็นเหล้าที่ทำงมาจากมันเทศ แต่แท้ที่จริงแล้วส่วนใหญ่มักจะทำมาจากธัญญชาติ พวกข้าวสาลี ข้าวโพด หรือข้าวไรตยื ซึ่งจะใช้กรรมวิธีการกลั่นแบบต่อเนื่อง เพื่อให้ได้นิวทราลสปิริตที่บริสุทธิ์ที่สุดของ แอลกอฮอล์ที่สามารถกลั่นได้จากธรรมชาติถึงขนาดเมื่อกลั่นเสร็จแล้วยังต้อง ผ่านการกรองอีกครั้งหนึ่ง โดยกรรมวิธีการกรองในระยะหลัง ๆ ได้เปลี่ยนจากถ่านหินบริสุทธิ์ตั้งแต่นักเคมีชาวรัสเซียค้นพบวิธีเมื่อปี 1810 จนกระทั่งในปัจจุบันยังมีการใช้ทรายควอตซ์และถ่านไม้เบิร์ช เป็นตัวกรอง

และเมื่อผ่านขั้นตอนทั้งการกลั่น การกรองจนได้แอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์แล้ว ก็จะเติมน้ำให้ดีกรีเจอจางลงตามเกณฑ์ที่กำหนด

หาก ดูจากกฎหมายที่ระบุความเป้นเหล้าวอดก้าแล้ว อาจทำให้รูสึกไม่อยากจะดื่มเสียด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะวอดก้าจะต้องเป็นเหล้าที่ มีบุคลิคไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่มีรส แต่ทว่าเอกลักษณ์อันนี้ทำให้วอดก้า เป็นเหล้าที่ใช้ผสมที่ดีที่สุด เพราะแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จะเป็นตัวช่วยเน้นรสชาติของสิ่งที่ผสมลงไปให้เกิด ความหอมหวนยิ่งขึ้น และที่สำคัญวอดก้าสามารถใช้ผสมกับเหล้าอื่น ๆ ได้ทุกชนิด นอกจากนี้วอดก้ายังได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนทำให้เกิดอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นได้น้อยที่สุดในบรรดาเหล้าทุกชนิด

ขับรถอย่างไรเมื่อเจอน้ำท่วม?

ช่วงนี้ทั่วทุกภาคของประเทศกำลังรับมือกับฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ส่งผลให้บางพื้นที่มีน้ำท่วมสูงจนสร้างปัญหาให้หลายครัวเรือน ขณะเดียวกันความช่วยเหลือจากหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงคนไทยทั่วประเทศพร้อมส่งกำลังใจ และให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ



สำหรับ“ผู้จัดการมอเตอร์ริ่ง”ขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจให้ทุกคนสู้ๆกันต่อไป และหวังว่าอุทกภัยครั้งนี้จะคลี่คลายไปโดยเร็วที่สุด...ส่วนใครมีธุระต้อง ใช้รถเดินทางช่วงน้ำท่วม วันนี้เรามีข้อแนะนำดีๆมาฝากเช่นเคย

ก่อนอื่นถ้าต้องลุยน้ำจริงๆ เราควรคะเนระดับน้ำคร่าวๆ และพิจารณาความสูงของรถคุณเองว่าน่าจะฝ่าไปได้ไหม ซึ่งถ้าเป็นรถเก๋งบ้านๆทั่วไป แล้วน้ำสูงประมาณ 5 - 10 ซม. ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าสูงกว่านั้นหรือเริ่มปิ่มๆท่อไอเสียก็ต้องระวังแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกคือปิดแอร์ เพราะถ้าพัดลมแอร์ทำงานอยู่ มันจะพัดน้ำที่อยู่บนถนนกระจายไปทั่วห้องเครื่อง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับได้ ขณะเดียวกันช่วงน้ำท่วมมักมีเศษขยะต่างๆลอยน้ำมา แล้วอาจเข้าไปพันติดกับมอเตอร์พัดลม หรือเกี่ยวใบพัดจนเสียหาย ส่งผลต่อระบบระบายความร้อนในเครื่องยนต์ได้เช่นกัน





ที่สำคัญควรขับช้าๆ ใช้เกียร์ต่ำ หรือถ้ารถเป็นเกียร์อัตโนมัติก็เลื่อนไปที่เกียร์ L และต้องเลี้ยงรอบให้นิ่งที่สุดประมาณ 1,500 รอบต่อนาที ส่วนบางคนที่กลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสีย แล้วยิ่งเร่งเครื่องยนต์เพราะกลัวเครื่องดับนั้นต้องบอกว่าอย่าเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นพวกคลื่นน้ำที่เราดันไปข้างหน้า อาจทะลักกลับมายังห้องเครื่องได้ ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าน้ำทะลักเข้าไปยังท่อไอเสียบ้างเครื่องยนต์ยังไม่ดับ เพราะที่รอบเดินเบา ท่อไอเสียจะมีแรงดันให้น้ำออกมาได้สบาย แต่ถ้าท่วมมิดหรือระดับน้ำสูงถึงเครื่องยนต์หรือฝากระโปรงอย่างนั้นไม่รอด แน่นอน

ขณะเดียวกันหากขับรถผ่านน้ำท่วมจนถึงจุดหมายแล้ว ก็ไม่ควรดับเครื่องยนต์ทันที ควรทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำที่อาจจะค้างอยู่ในหม้อพักไอเสียระเหยออกให้หมด นอกจากนั้นควรย้ำเบรก (สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ) เพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก และย้ำคลัทซ์(ในรถเกียร์ธรรมดา)เพื่อป้องกันคลัทซ์ลื่น

ส่วนใครที่นำรถไปลุยน้ำ แล้วรุ่งเช้าพบอาการเบรกติด ก็ให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วเข้าเกียร์หนึ่ง เดินหน้าไปเล็กน้อย จากนั้นกระทืบเบรกให้แรงที่สุด จากนั้นก็ทำแบบนี้อีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นเข้าเกียร์ถอยหลัง ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนอาการหาย แต่ถ้าไม่หายหรือมีอาการผิดสังเกต ก็รีบนำเข้าศูนย์บริการโลด!

เอาเป็นว่าถ้าเจอน้ำท่วมเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าต้องลุยก็นำวิธีการข้างต้นไปลองใช้ พร้อมหมั่นตรวจเช็ครถอย่างสม่ำเสมอแล้วกัน

ที่มา : Mortoring Manager Online

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เบอร์เบิ้น (Bourbon)

เบอร์เบิ้น เป็นวิสกี้ต้นตำรับที่มาจากอเมริกา โดยเริ่มจากนักกลั่นเหล้าในรัฐเคนตั๊กกี้ ได้ดัดแปลงกรรมวิธี ในการผลิกโดยใช้หม้อทองแดง อย่างชาวสก็อตซ์ แต่เนื่องจากไม่มีไม้พีตใช้รมควัน จึงอาศัยแหล่งน้ำพื้อนเมืองซึ่งไหลผ่านหินปูนทำให้มีรสชาติหวาน โดยธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งมีผลทำให้วิสกี้มีรสชาดเป็นเอกลักษณ์ของตัวมันเอง

ต่อมาเกิดความขาดแคลนข้าวไรย์ซึ่งเป็นธัญชาติหลักในการหมัก ทำให้ชาวเคนตั๊กกี้ ในมณฑลเบอร์เบิ้นหันมาใช้ข้าวโพดแทน จนเกิดเป็นลักษณะใหม่ของตัวเหล้าเบอร์เบิ้นขึ้นมาแทน โดยการผลิตในรูปแบบใหม่นี้จะใช้ ข้าวโพดอย่างต่ำ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือจะใช้ข้าวไรย์ หรือข้าวบาเลย์เป็นตัวเพิ่มความเข้มข้นตามต้องการ ชาวเคนตั๊กกี้คนแรกที่หันมาใช้ข้าวโพดแทนข้าวไรย์

ยังเป็นที่ถกเดียวกันว่า เป็น นายจอห์น ริตชี่ แห่งเมืองบาร์ดทาวน์ ในปี 1777 หรือ บาทหลวง เอลีจา เครก แห่งเมืองยอร์ชทาวน์ในปี 1789 หรือปู่ของนายเจมส์ เปปเปอร์ แห่งเมืองเล็กซิงตัน ในปี 1780 กันแน่ อย่างไรก็ตามบุคคลทั้งสามล้วนแต่เป็นคนจากรัฐเคนตั๊กกี้ทั้งสิ้น

กรรมวิธีในการผลิตเบอร์เบิ้นนั้น จะใช้ธัญพืชหมักในถังไม้โอ๊คเผา โดยเติมยีสต์ลงไประหว่างการหมัก (Sweet-Mash-Process) หรือจะอาศัยเชื้อยีสต์จากการหมักครั้งที่แล้วที่เหลืออยู่เป็นตัวเร่งก็ได้ (Sour-Mash-Process) แต่วิธีหลังนี้จะเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานกว่า แต่จะคุ้มค่าสมกับการรอคอย เพราะสามารถให้เบอร์เบิ้นทีมีรสชาดหอมและราคาสูงกว่าเหล้าเบอร์เบิ้นราคาปานกลางทั่วไป ซึ่งมักจะใช้กรรมวิธีในการผลิตแบบแรก

ถึงกระนั้นก็ตาม จาก กรรมวิธีการผลิตเหล้าเบอร์เบิ้นทั้งสองวิธี จะต้องเริ่มด้วยการบดข้าวโพดที่ล้างสะอาดแล้วให้เป็นแป้ง จากนั้นจึงใส่น้ำร้อนในมาตราส่วน 18-20 แกลลอนต่อข้าวโพดหนึ่งหาบ (30 กิโลกรัม) แล้วค่อย ๆ ทำให้เย็นลงด้วยวิธีสุญญากาศ เพื่อที่จะเติมข้าวบาร์เลย์ ข่าวไรย์ต่อไป ซึ่งข้าวทั้งสองชนิดนี้จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแป้งเป็นแอลกอฮอล์ใน ที่สุด จากนั้นจึงนำไปผ่านกระบวนการกลั่นเพื่อให้ได้เหล้าเบอร์เบิ้นที่สมบูรณ์

ทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิด-รถตกน้ำ

"อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวินาที" เป็นประโยคที่เตือนให้ผู้ขับขี่ทั้งหลายพึงสังวรณ์เอาไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ก็สามารถเกิดได้ รวมถึงบนท้องถนนด้วยขณะขับรถอยู่ก็ตามที ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็ควรหาทางป้องกันเท่าที่จะทำได้เพราะทุกวันนี้อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของไทยเลยก็ว่าได้ หากเรามีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมรถยนต์และการปฏิบัติตนในขณะเกิด อุบัติเหตุเช่นนี้สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดทุกคนก็ต้องมีสติถึงจะปลอดภัย



กรณี ที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับ รถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้

1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
2. ถอนคันเร่งออก
3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
5.ห้าม เหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะ ทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา
6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
7.เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อนแล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกทีสลับกันไปมาและในทำนองตรงกันข้ามหากระเบิดด้านขวา อาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม

อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือหากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความ เร็วสูงมากๆพอยางระเบิดขึ้นมารถก็ จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้เพื่อ เป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในขณะขับรถจึงไม่ควรขับรถเร็ว (ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)



กรณีที่ 2เมื่อรถตกน้ำ ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำลำคลองใดๆก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำแต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงพื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ควรตั้งสติให้ดีและ ปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคนรวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆเพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิ ฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออกเพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6.เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุดแล้วท่านก็ออก จากห้องโดยสารของรถได้
7.จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติหรือจะว่ายน้ำขึ้น มาก็ได้ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า
ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำเพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ

กรณีเช่นนี้ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติหรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศ ลอยไปในทิศทางใดให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไปก็จะไม่มีอาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆนั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน

ที่มา : Mortoring Manager Online

ยิน(Gin)

ยิน เป็นเหล้าที่มีชื่อเสียงมาจากประเทศอังกฤษ แต่ต้นกำเนิดนั้นมาจากเนเธอร์แลน โดยมีนักเคมีชาวดัชต์ ชื่อฟรานซิสคัส เดอลาโบ ซึ่งได้ดัดแปลง นำเอาลูกจูนิเป้อร์เปอร์รี่ที่ฝรั่งเศสใช้เพิ่มรสไวน์นำมาเติรมสให้กับ นัวทรัล สปิริต หรือแอลกอฮอล์ที่กลั่นจากธัญชาติ โดยตั้งใจจะขายเป็นยาจิบแก้โรคสารพัด ในช่วงแรกจึงมีวางจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป โดยใช้ชื่อว่า Genie'vre(เป็นภาษาฝรั่งเศสของคำว่า จูนิเปอร์) และต่อมาถึงได้แผลงเป็น Gin เมื่อเหล้านี้มีฮิตและแพี่หลายในประเทศอังกฤษ

ควีน อลิซาเบธส่งทหารอังกฤษไปรบกับสเปนแถวฮอลันดา(เนเธอร์แลนด์) ในปี 1585 ซึ่งเป็นชาวอังกฤษชุดแรกที่ได้ล้มรสของ ยาววิเศษ ขนานแท้ และได้นำกลับมาเผยแพร่ในอังกฤษ แต่กว่ายินจะเป็นที่นิยมมากในอังกฤษจนแทบจะเป็นเหล้าประจำชาติก็ในอีกราว 100 ปีต่อมา

ครั้น เมื่ออังกฤษเกิดสงครามกับฝรั่งเศสกษัตริย์วิลเลี่ยม ออฟ ออเร้นจ์ จึงสั่งห้ามนำบรั่นดีจากศตรูเข้ามาจำหน่าย พร้อมกับส่งเสมให้เปิดโรงกลั่นเหล้าขึ้นเพื่อดื่มกันเอง ยินจึงกลายมาเป็นที่นิยมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และความนิยมนี่เองทำให้ยินได้ระบาดไปถึงอเมริกา เมื่อชาวดัตช์ไปเปิดโรงกลั่นเหล้ายินขึ้นในนิวอัมสเตอร์ดัมในปี 1640 (เมื่ออังกฤษเข้าครองเมืองนี้ ได้เปลี่ยนชื่เป็นนิวยอร์ค) ซึ่งนับเป็นโรงกลั่นเหล้าแห่งแรกของอเมริกาดด้วย

นิวทรัล สปิริต ที่นำมาทำเป็นยินจะใช้สูตรข้าวโพด 75 % บาร์เลย์ 15 % และธัญชาติอื่น ๆ อีก 10 % ตัวแอลกอฮอล์ที่ได้จะถูกปรุงแต่งด้วยลูกจูนิเปอร์ เบอร์รี่ หรือผู้ผลิตบางแห่งอาจใช้พฤกษชาติอื่น ๆ ตามสูตรลับของตัวเองก็ได้ เช่น เปลือกต้นแคสเซีย เมล็ดโคเรียนเดอร์ รากแองเจอลิกา และแม้กระทั่งเปลือกส้ม โดยให้ไอเหล้าที่กำลังกลั่นนั้นไหลผ่านลูกจูนิเปอร์และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อกลั่นเป็นหยดเหล้าแล้ว จะเก็บกลิ่มและรสของเครื่องปรุงเหล้านั้นไว้

เหล้ายินโดยทั่วไปจะไม่มีสี และไม่ต้องบ่มเลย แต่มียินชนิดหนึ่งเรียกว่า Yellow Gin ซึ่งบ่มไว้ในถังไม้โอ๊คจออกสีเหลืองเล็กน้อย

เหล้ายินมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเหมาะกับการผสมเป็นเหล้าค็อกเทล โดยเฉพาะกับน้ำโทนิกหรือกับเวอร์มุธ ซึ่งสูตรหลังคือ มาร์ตินี่นั่นเอง

ครั้งหนึ่งที่ยากจะลืมเลือนในฮัมปิ

โดย : เอื้อพันธ์ ชำนาญเอื้อ @กรุงเทพธุรกิจ


ลืมไม่ลงจริงๆ ค่ะ กับเส้นทางสุดทรหดจาก 'มายซอร์' มา 'ฮอสเปก' เป้าหมายจริงๆ อยู่ที่ราชอาณาจักรโบราณในเมือง ฮัมปิ

รถออกช้ากว่ากำหนดและสับสนหมายเลขที่นั่ง ก็คุณพี่ที่รับจองตั๋ว ออกเลขให้เหมือนกัน 2 คน จนคุณพี่ประจำรถต้องมาจัดแจงให้ใหม่ ระยะทาง 350 กิโลเมตรค่ะจากมายซอร์ไปฮอสเปก แต่ถนนเสีย เป็นหลุมเป็นบ่อเกือบตลอดทางค่ะ ใช้เวลา 8 ชั่วโมง แต่ในความรู้สึกเหมือนชั่วกัลป์ อีกเส้นทางหนึ่งคือนั่งรถไฟไปลงบังคาลอร์และนั่งรถย้อนมาอีกที ใช้เวลานานขึ้น แต่น่าจะสบายกว่าค่ะ


ถึงฮอสเปกเช้าตรู่ งัวเงียลงจากรถ อากาศหนาวกำลังสบายค่ะ ฉันจำกระเป๋าตัวเองแทบไม่ได้ ฝุ่นจับแดงทั้งใบ

จากสถานีรถโดยสาร ฉันเรียกสามล้อไปส่งที่สถานีรถไฟเพื่อจัดแจงจองตั๋วเผื่อเที่ยวกลับ เป็นไปตามคาดว่า...ตั๋วเต็มหมด เพราะจะตรงกับช่วงฉลองคริสต์มาส เจรจาต่อรองจนได้ตั๋วนอนชั้นสามในอีก 3 วัน ฉันรีบตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข

ระหว่างรอที่สถานีรถไฟ เจอกับ แก๊งเด็กรถไฟ ฉันเรียกทโมน 5-6 คนนี้ว่าแก๊งเด็กรถไฟ เพราะจับกลุ่มเล่นกันอยู่แถวนั้น อายุ 10-15 คนไหนแก่สุดก็เป็นหัวโจก จากที่ตรงเข้ามารุมขอปากกา เปลี่ยนมาขอเงิน ฉันไม่มีเงินให้หรอก แต่มีส้มเหลืออยู่ 1 ลูก เลยปอกแบ่งกันกินคนละกลีบ สักพักหันมาชวนฉันตีคริกเกต กลายเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ และอีกส่วนไม่ไปโรงเรียน พอถามถึงตรงนี้ วิ่งหนีฉันไปเลย

เสร็จสรรพเรื่องตั๋วรถไฟเที่ยวกลับ ฉันจ้างรถสามล้อมุ่งหน้าเข้าเมืองฮัมปิ มีโอกาสชมเมืองฮอสเปกสองข้างทาง บอกได้ว่า ฮอสเปกเป็นเพียงทางผ่านและเป็นจุดต่อรถของนักเดินทางที่ล้วนมุ่งหน้าไปยังฮัมปิ สภาพบ้านเมืองบ่งบอกถึงความฝืดเคืองของเศรษฐกิจ มีกระโจมของคนเร่ร่อนให้เห็นเป็นระยะ เมืองหลับใหลอย่างฮอสเปกจะตื่นอีกทีเมื่อมีเทศกาลงานบุญตามวันทางศาสนา รถวิ่งมาได้หนึ่งชั่วโมงพอดี ผ่านด่านจ่ายเงินเข้าเมืองฮัมปิ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นค่าบรรณาการในสมัยก่อน

ฉันเลือกที่พักชนิดติดขอบกำแพงเมืองโบราณ นักเดินทางทุกคนได้รับการร้องขอให้ไปลงทะเบียนแสดงตัวที่ สถานีตำรวจ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยหากเกิดกรณีชาวต่างชาติหายตัวไป ด้วยความที่ฮัมปิเป็น เมืองโบราณ มีอาณาบริเวณร้างกว้างใหญ่ไพศาล หลายแห่งเปลี่ยว ปลอดคน จึงอาจเป็นโอกาสของคนร้ายดักปล้นทรัพย์สิน ก็ต้องป้องกันไว้ก่อนค่ะ แต่โดยรวมฮัมปิเป็นสถานที่ปลอดภัยนะคะ เป็นอีกแห่งสำหรับผู้รักและหลงใหลในซากศิลปะของโบราณสถาน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


ราชอาณาจักรโบราณ วิชัยนครา ซึ่งมี 'ฮัมปิ' เป็นเมืองหลวงในอดีตนั้น เป็นจุดหมายของฉันในครั้งนี้ ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาณาจักรฮินดูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของอินเดีย โดยมีเจ้าชาย 2 องค์พี่น้องเป็นผู้ก่อตั้ง ในศตวรรษที่ 13 หลังจากเสด็จออกล่าสัตว์และทอดพระเนตรกระต่ายป่าตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่สุนัข ล่าเนื้อของพระองค์ ปราชญ์ทางจิตวิญญาณแปลความว่า เป็นนิมิตอันเป็นมงคลให้ก่อร่างสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ราชอาณาจักรวิชัยนครา อันหมายถึงนครแห่งชัยชนะจึงก่อกำเนิดขึ้น และรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ด้วยไพร่ฟ้าประชาชนในปกครองถึง 500,000 คน ควบคุมการค้าเครื่องเทศและฝ้ายในภูมิภาค และยังเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศของคนในยุคต่อๆ มา


วิชัยนครารุ่งเรืองถึงขีดสุดในศตวรรษที่ 16 และความเจริญรุ่งเรืองนี้เองที่ล่อตาล่อใจบรรดาเจ้าผู้ปกครองชาวมุสลิมทั้ง ใกล้ไกล ได้รวมตัวกันบุกเข้ามาปล้นทำลายจนอาณาจักรล่มสลาย เหลือให้เห็นเพียงเค้าโครงของความรุ่งเรืองในอดีต

เส้นทางการสำรวจความยิ่งใหญ่ของวิชัยนคราทำได้หลายวิธีค่ะ เดิน เช่าจักรยาน เช่ามอเตอร์ไซค์ หรือจ้างรถสามล้อ แล้วแต่กำลังกายแต่ละบุคคลเลยค่ะ สำหรับฉันเลือกเดิน และนั่งสามล้อ เหมาชั่วโมงไปเลยค่ะสะดวกกว่า ถ้าจะดูให้ครบถ้วนทั้งในเขตราชวังเก่า และวัดต่างๆ ใช้เวลา 2 วันได้ค่ะ เริ่มจากเช้าตรู่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้น จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม 250 รูปีส์ แต่จ่ายเป็นดอลลาร์ได้ค่ะ 4 ดอลลาร์ ถูกกว่าจ่ายเป็นรูปีส์หลายสิบบาท ฉันแวะคุยกับยามด้านหน้าวังได้เงินเดือนเกือบ 5,000 บาทนะคะ ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ เป็นรายได้ที่ดีมากเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ ของเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นหลัก และฤดูท่องเที่ยวของฮัมปิ ที่มีไม่กี่เดือนในแต่ละปี

ฉันเริ่มตระเวนจากเขตพระราชวังเก่าที่หลงเหลือฐานหินพระตำหนักของพระ ราชา ซึ่งอยู่สูงกว่าฐานตำหนักของพระราชินี มีป้อมปราการเฝ้าระวังภัยอยู่ไม่ไกลในทุกมุมจากฐานตำหนักราชินี ป้อมปราการเหล่านี้ ใช่ว่ามีไว้สำหรับยามเมืองอย่างเดียว แต่บางป้อมยังเป็นถังเก็บกักน้ำสำหรับใช้ในเขตพระราชฐานด้วย เดินต่อไปหน่อยเป็นหอประชุมสภา 2 ชั้นที่เรียกว่า โลตัส มาฮาล เป็นโดมพีระมิดรูปดอกบัว 9 แฉกในศิลปะแบบอาหรับ รอยหยักโค้งบวกกับประติมากรรมชั้นยอดที่สลักเสลาในแผ่นหินแกรนิตสีชมพู ชวนให้นั่งดูไม่รู้เบื่อ


นักท่องเที่ยวหน้าตาแปลกๆ อย่างฉันอาจไปดึงดูดนักเรียนหนูๆ ตัวน้อยเข้าให้ กลุ่มครูและนักเรียนจากหลายโรงเรียนร่วมร้อยคน ผลัดกันเข้ามาทักในรูปแบบเดียวกันว่า มาจากไหน ชื่ออะไร และพ่อชื่ออะไร แน้!!...บอกไม่ได้หรอกค่ะ ปิดท้ายด้วยการขอจับมือและถ่ายรูป เป็นอย่างนี้ตลอดระหว่างที่อยู่ในฮัมปิ นักเรียนเยอะค่ะที่นี่ เพราะใช้เป็นพื้นที่ให้นักเรียนลงศึกษาประวัติศาสตร์ บางกลุ่มใช่ว่าเฉพาะนักเรียนนะคะ คุณครูด้วยค่ะ ที่มาถามชื่อพ่อ...อืมม

เขตพระราชวังเก่านี้ องค์การยูเนสโกประกาศให้เป็น มรดกโลก จึงมีเงินมาอุดหนุนและบูรณะซ่อมแซม เดินทะลุกำแพงออกไปเป็นคอกขนาดใหญ่สำหรับช้างหลวงค่ะ ลานกว้างด้านหน้าสำหรับงานมหรสพ การแสดงของทหาร และสัตว์ และศิลปะการต่อสู้ รวมทั้ง มวยปล้ำค่ะ เป็นที่นิยมมาก โดยมีราชา ราชินี และข้าราชการ นางในทั้งหลาย นั่งประจำที่ทางของตัว ทอดพระเนตร และชมการแสดง นึกแล้วเพลิดเพลินดีนะคะ


ไปถึงช่วงสายพอดี เห็นสาวๆ อินเดียใส่ส่าหรีสีสันสดใส หิ้วปิ่นโตกันคนละเถา เล็กบ้างใหญ่บ้าง ไปทำงานกันค่ะ สาวๆ เหล่านี้เป็นคนงานก่อสร้าง เข้ามาขุด ถางดิน ปรับภูมิทัศน์ แบกดินเทินใส่หัวกันคนละกระจาด ด้วยค่าแรงถูกแสนถูก จึงนิยมจ้างคนแทนการซื้อเครื่องทุ่นแรงมาใช้ และจะไม่ค่อยเห็นสาวๆ ตามร้านอาหารนะคะ เพราะนั่นเป็นงานของพี่ๆ ผู้ชาย

ฉันไปต่อยังที่ สรงน้ำพระราชินี ค่ะ อยากรู้ว่าท่านจะแสนสราญเพียงใดที่สรงน้ำอยู่นอกเขตพระราชฐานนะคะ นึกถึงสมัยโบราณเมื่อ 4-500 ปีก่อน ระยะทางไกลโขเลยค่ะ และทางเป็นหินทั้งนั้น ภูมิประเทศของฮัมปิเป็น ภูเขาหินแกรนิตให้เฉดสีทั้งเทา เหลืองอมน้ำตาล และสีชมพู รูปบูชาเทวา เทวี และเทวาลัยทั้งหลายจึงให้สีมลังเมลือง ยิ่งเมื่อต้องกับแสงแดดแล้ว สวยจนอาจลืมหายใจเลยค่ะ วิธีการที่เขาสกัดเอาหินแกรนิตใหญ่ยักษ์เหล่านี้มาแกะเป็นงานศิลปะชั้นยอด นี้ อึ้งทึ่งไปเลยเหมือนกัน โดยคนงานจะขึ้นรูปไว้ที่หิน และตอกลิ่มไม้เป็นแนวถี่ๆ ตามร่องหินเล็กๆ และหมั่นรดน้ำ ตามธรรมชาติเมื่อไม้เปียกจะขยายตัว และหินจะกะเทาะออก รอยกะเทาะนี้ยังมีให้เห็นตามหินผาสูงชันอยู่เลยค่ะ

ที่สรงน้ำพระราชินีเป็นเรือนหินชั้นเดียว มีระเบียงทางเดินล้อมรอบ สระสรงน้ำทรงสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ลึก 1 เมตรกว่า ในอดีตตามโถงทางเดินมีภาพสีน้ำประดับ แต่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ไม่มีน้ำให้เห็นหรอกนะคะ มีเพียงทางส่งน้ำ สมัยก่อนเขาอาบน้ำอบปรุง และสงวนไว้เป็นที่สำหรับเจ้านายฝ่ายชายและนางในของพระองค์เท่านั้น


ฉันเลยไป วัดวิทลา ไปดูรถม้าพระที่นั่งหินของพระวิษณุค่ะ ระหว่างทางผ่านตลาดของชาววิชัยนครา ตลาดนี้ไม่ได้ขายผักผลไม้ แพะหรือไก่หรอกนะคะ เขาขาย เพชร และ ทอง กันค่ะ เหลือให้เห็นแต่โครงเสาหินยาวตลอดแนวหลายกิโลเมตร มีบางช่วงเป็นศาลาหินสี่เสา สำหรับให้ชาวบ้านแลกม้ากันในสมัยโบราณ ฉันโดนน้องๆ นักเรียนรุมอีกรอบค่ะที่วัดนี้ ถ่ายรูปคู่กันประหนึ่งเป็นดาราเลยค่ะ ท่าจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวหน้าแปลกอย่างฉันแวะเวียนไปที่ฮัมปิจริงๆ

วัดวิทลา ถือว่า เป็นวัดมาสเตอร์พีชของวิชัยนครา และงานแกะสลักที่วัดนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่า 'สุดยอด' ในสมัยวิชัยนคราเลยทีเดียวค่ะ วัดวิทลาสร้างขึ้นในภายหลังช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ในสมัยของ กฤษณะเทวราช รถม้าพระที่นั่งของพระวิษณุอยู่ด้านหน้าก่อนถึงทางเข้าแท่นบูชาใหญ่ เป็นจุดฮอตฮิตของนักท่องเที่ยวที่ต้องถ่ายรูปคู่กับรถพระนั่ง งานแกะสลักละเอียดและวิจิตรมาก มีแท่นบูชาครุฑขนาดเล็ก อยู่ด้านบนของรถพระที่นั่ง สร้างขึ้นเป็นสัญลักษณ์เฉยๆ นะคะ แม้จะเหมือนจริงมาก แต่ล้อหินนั้นวิ่งไม่ได้จริงหรอกนะคะ เพราะสำหรับเคารพบูชา เดินเลยขึ้นไปบนมณฑปทรงพีระมิด ให้ลองเคาะเสาที่หอดนตรีที่มีภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นรูปนักดนตรี เคาะเบาๆ ที่เสา จะได้ยินเสียงดังก้องไปทั้งโถง คนเลยเคาะกันใหญ่ มีทั้งเคาะทั้งลูบเสาเป็นเงาวับเชียวค่ะ

แดดเริ่มคล้อย ฉันออกจากวัดวิทลา เจอเด็กวัยเริ่มจะรุ่นอีกกลุ่มใหญ่ เข้ามารุมทักทายและถ่ายรูป เป็นการเริ่มต้นมิตรภาพในอีกรูปแบบ จนมัคคุเทศก์ชาวอินเดียเข้ามาขอโทษขอโพยว่า เด็กพวกนี้รุ่มร่ามกับนักท่องเที่ยว ฉันรีบอธิบายว่า ไม่เป็นอะไรเลย เพราะฉันเองก็เจาะถ่ายรูปคนอินเดียซะเยอะเหมือนกัน บางทีอาจไปรุ่มร่ามโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

จากวัดวิทลา ฉันกลับเข้าเมืองเพื่อหาอะไรรองท้อง ก่อนใช้เวลาช่วงแดดร่มลมตกขึ้นเขา เหมคูตา สถานที่บูชาต่างๆ บนเขานี้เป็นตัวอย่างที่ดีเลิศของสถาปัตยกรรมในยุคก่อนและต้นรัชสมัยวิชัย นครา และอนุสาวรีย์ที่กระจายอยู่ได้สร้างขึ้นในแต่ละยุคตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เรื่อยมา ช่วงพระอาทิตย์ตกดินจะมีคนอินเดีย ซึ่งน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า นำกลองมาตีสร้างบรรยากาศ บนนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่แนะนำให้อ้อยอิ่งอยู่นานหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะเป็นที่ลับสายตาคน

ฉันเดินเรื่อยไปยัง แท่นบูชาพระพิฆเนศประทับนั่ง ขนาดใหญ่เกือบ 5 เมตร มีผู้นำขนมหวานมาบูชาไม่ขาด วัดกฤษณะ เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด เดินเลยไปดู นารายสิงห์ อีกหนึ่งอวตารของพระวิษณุ ตัวเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงโต คนไทยเราอาจรู้จักในชื่อ 'ฤๅษีหน้าเสือ' เป็นภาคที่พระวิษณุฆ่าปิศาจ Hiranyakashipu ใกล้ๆ กันเป็นศิวลึงค์ขนาดใหญ่มากสูง 3 เมตรเห็นจะได้ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในแท่นบูชาค่ะ

โบราณสถานบริเวณนี้อยู่ใกล้กับตัวเมืองค่ะ เดินเล่นได้สบาย หากขยันเดินไกลอีกนิด มีวัดใต้ดินค่ะ ขุดเจอตอนบูรณะพื้นที่ใกล้เคียง ตามหลักฐานเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม เชื่อว่าเป็นวัดที่ใช้ในกิจการศาสนาของสมาชิกราชวงศ์

เดินต่ออีกนิดเป็นปราการเมือง อยู่ภายในเขตวัด หัสราม มีร่องรอยภาพแกะสลักแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับชาวยุโรป มีชาวมุสลิมจำนวนมากในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอินเดียฮินดูที่เปลี่ยนความเชื่อ และผู้อพยพจากตะวันออกกลางและเอเชียกลางที่ผู้ปกครองวิชัยนคราว่าจ้างเข้ามา ค้าแรงงาน ไม่นับรวมทาสตุรกี ในระหว่างศตวรรษที่ 14-15 ที่ถูกกวาดต้อนจากเอเชียกลาง เข้ามาเป็นทั้งเจ้าพนักงาน เป็นยามรักษาการณ์ และเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ หรือผู้สร้างความบันเทิงให้กับสมาชิกราชวงศ์ ร่องรอยของชุมชนชาวมุสลิม สุเหร่า และสุสานยังมีให้เห็นอยู่เลยค่ะ ขณะที่มีการดูดกลืนวัฒนธรรมการแต่งกายบางส่วนอย่างเสื้อคลุม และหมวกทรงแหลมสูงที่พวกกษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงนำมาใช้ด้วย ไม่รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ได้อิทธิพลจากมุสลิม และอาหรับมาเต็มๆ อย่างที่เราเห็น

ฉันฝากท้องมื้อเย็นกับร้านอาหารโฮมเมดที่รอนานมาก เจ้าของร้านออกไปซื้อของสดเข้ามาทำทีละอย่าง เดินหลายเที่ยวมาก เดี๋ยวซื้อไข่เป็ด เดี๋ยวออกไปซื้อน้ำมัน ซื้อผัก

แต่ก็อร่อยคุ้ม... อย่างน้อยฉันกลับเข้าไปกินตลอด 3 วันที่อยู่ในฮัมปิ


หมายเหตุการเดินทาง: ฮัมปิ เป็นเมืองหลวงของวิชัยนครา มีรถโดยสารจากกัว และบังคาลอร์ ระยะทาง 325 กิโลเมตร หรือนั่งรถประจำทางจาก 'มาดูไร' 1 คืน มาลงที่เมืองฮอสเปก และนั่งประจำทางต่อไปยังฮัมปิ มีรถออกทุกชั่วโมง หรือ จ้างสามล้อประมาณ 100 บาท

เตรียมรถเมื่อฝนมาเยือน

"การเตรียมพร้อมในรถยนต์ยามที่ฝนมาเยือน ท่านควรเตรียมตัวอะไรบ้าง?"

เพราะปัญหาที่คุณคาดไม่ถึงอาจจะเกิดในช่วงฝนตกก็เป็นได้ อย่างเช่นปัญหาที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน บางคันพอปัดได้พักเดียว ทั้งก้านทั้งใบปัดหลุดกระเด็นไปคนละทิศละทาง หรือเครื่องดับในขณะวิ่ง
จะลงมาเข็นก็กลัวเปียก ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่คุณจะสตาร์ทรถออกจากบ้านในหน้าฝน จึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย"ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" มีการดูแลเบื้อต้นรับหน้าฝนมาเยือน
อย่างแรกที่เจ้าของรถควรคำนึงถึงคือ

1.อุปกรณ์ปัดน้ำฝน ใบปัดน้ำฝนนั้นควรจะเป็นใบปัดที่ค่อนข้างใหม่สักหน่อย เวลาปัดใบปัดจะกวาดน้ำฝนได้สะอาดดี ไม่เป็นเส้นหรือมัว และต้องไม่ทำลายกระจก ก้านปัดน้ำฝนจะต้องมียางรีดน้ำที่สมบูรณ์ ก้านจะต้องมีแรงกดกระจก ถ้าไม่มีแรงกดใบปัดก็ไม่สะอาด

ประการสำคัญ ต้องขันก้านให้แน่นถ้าหากปล่อยให้ก้านหลวม นอกจากจะหลุดกระเด็นไปต่อหน้าต่อตาแล้ว ยังเป็นผลทำให้เกิดการสึกหรอหรือก่อให้เกิดผลเสียต่อมอเตอร์ส่งกำลัง (มอเตอร์ปัดน้ำฝน)
เพราะมอเตอร์ปัดน้ำฝนจะต้องมีกำลังดีไม่ใช่หมุนแบบไม่มีแรงสปีด ซึ่งมอเตอร์ใบปัดน้ำฝนที่ติดรถนี้ควรจะมี 3 จังหวะ คือ 1.ช้า 5 วินาทีต่อ 1 ครั้ง 2.ช้าต่อเนื่องแบบ 1 ครั้งต่อ 2 วินาที และ 3.
จังหวะเร็วที่สุด

อุปกรณ์ฉีดน้ำ กระป๋องกับหัวฉีดต้องพร้อมเสมอ น้ำที่ใช้ฉีดควรจะใส่น้ำยาเช็ดกระจกไปนิดหน่อยหรือแชมพูสระผมก็ได้ ใส่นิดเดียวอย่ามาก ซึ่งทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่าทุกอย่างควรพร้อมและถ้าพร้อมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึง ก็จะดีมาก (แต่ถ้ากรณีที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงานแต่จำเป็นต้องขับต่อ ให้เอาน้ำสบู่ล้างกระจกให้สะอาด เพราะจะช่วยให้น้ำไม่เกาะกระจก)

2.อุปกรณ์ประจำรถ ภายในห้องโดยสารหรือภายใต้ฝากระโปรงหลัง ควรมีหมวกหรือร่ม ไฟฉายฉุกเฉินชนิดใช้ถ่าน เสื้อกันฝนและถ้าจะให้ทันสมัยขึ้นมาหน่อยก็ควรจะมีเจ้าคอมฟอร์ต 100
(อุปกรณ์ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบของคนกรุงเทพฯ) อุปกรณ์ที่กล่าวมานี้ ถ้าเป็นรถแบบห้องโดยสารเปิดทะลุถึงห้องเก็บสัมภาระได้ก็จะเป็นการดี เพราะจะช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขึ้น
ส่วนอุปกรณ์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงท้ายจริงๆ คือยางอะไหล่ ซึ่งต้องพร้อมเสมอ หมายถึงยางอะไหล่ต้องมีลมยางที่เหมาะสม แม่แรงสำหรับขึ้นรถ เวลาเปลี่ยนยางต้องไม่ขึ้นสนิมหรือฝืดจนหมุนไม่ได้ ตัวถอดล้อหัวกุญแจเบอร์ต่างๆ เครื่องมือประจำรถที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมาให้

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ควรเพิ่มเติมคือน้ำมันเบรกสำรอง ถังน้ำแกลลอนชนิดปิดฝาได้สนิท ท่อยางหม้อน้ำ สายพานไดชาร์จ สองรายการหลังนี้ควรซื้อให้ตรงกับเบอร์ที่ใช้ สายพ่วงแบตเตอรี่ เพื่อเอาไว้พ่วงกับแบตเตอรี่จากลูกอื่นๆ เวลาไฟรถของท่านหมด เชือกลากจูงรถทั่วไป ก็มีขายตามห้างสรรพสินค้า ควรเลือกให้มีความหนาและเหนียวเพื่อป้องกันการขาดขณะลากจูง สรุปได้ว่าทุกอย่างที่เตรียมพร้อมมาแล้วนั้น นอกเหนือจากที่จะไว้ใช้กับรถของเราเองแล้วยังสามารถช่วยเหลือรถผู้อื่นได้ อีกด้วย

3.ยางทั้ง 4 ล้อ ต้องมีดอกยางไม่ใช่ยางหัวโล้น ยางถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ประเภทยางแกะดอก ยางหัวโล้น ห้ามใช้โดยเด็ดขาด คำว่าฝนตกถนนลื่นมีความสำคัญเป็นอย่างมากหากยางไม่ค่อยดี
โอกาสที่จะหงายท้องตีลังกาก็มีสูง ควรเปลี่ยนของใหม่ดีกว่า การใช้ควรใช้แค่ 60-70% ก็พอ และที่สำคัญควรเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน

4.ช่วงล่างและเบรก ช่วงล่างกับเบรกนี่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน ในยามที่ขับรถตะลุยฝนอยู่ หากช่วงล่างไม่ค่อยดีการบังคับทิศทางก็จะผิดเพี้ยน รวมทั้งเบรกก็เช่นกัน หากชำรุดโอกาสที่จะเสยท้ายรถคันอื่นก็มีมาก หรือถ้าเบรกดีมากเกินไปโอกาสที่จะหมุนก็มีเยอะ

ฉะนั้นเวลาเบรกในขณะฝนตกหรือถนนลื่นควรค่อยๆ เบรกแล้วปล่อยทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ารถชะลอความเร็ว ทั้งนี้ควรกระทำแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าเบรกอย่างกระทันหันโอกาสที่จะเอาสีข้างฟาดกับรถคนอื่นก็มีได้ ดังนั้นยางทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งช่วงล่างทั้งหมด เบรกทุกระบบ โช้กอัพทั้งหมด ควรจะต้องมีสภาพที่พร้อมใช้งานได้ทุกๆ ฤดูกาล

ที่มา : Motoring ManagerOnline

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัม (Rum)

รัม. เป็นเหล้าที่น่าพิศวงชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเริ่มกันมาตั้งแต่คนดื่ม ที่มีตั้งแต่ระดับล่างสุด ไปจนถึงคนในสังคมชั้นสูง โดยตัวรัมเองจะมีลักษณะต่าง ๆ เช่นชนิดที่มีสีขาวที่ไม่มีรส ไปจนถึงรัมสีดำ รสเข้มยิ่งกว่าสก็อตซ์ ที่ออกมาจากถังบ่มใหม่ ๆ ซะอีก

เพราะเหล้ารัมทำมาจากอ้อย เหล้ารัมส่วนใหญ่จึงมาจากอเมริกาใต้ และแถบคาริบเบียน ซึ่งจะหมักจากน้ำอ้อยโดยตรงก็ได้ หรือจะทำจากกากน้ำตาล (Molasses) ที่เหลือจากการทำน้ำตาลทรายแล้วก็ได้

กรรมวิธี ในการผลิตเหล้ารัม ค่อนข้างง่าย เพราะวัตถุดิบเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว ไม่ต้องรอหมักแป้งให้เป็นน้ำตาลอย่างเหล้าทีผลิตจากธัญญชาติ โดยจะต้มกลั่นในหม้อ (Pot Stills) หรือกลั่นแบบต่อเนื่อง (Continuous Stills) ก็ได้ รสชาดของรัมจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการหมัก น้ำตาล หรือการเติมหัวเชื้อเหล้าที่เหลือจากการกลั่นครั้งก่อนก็ได้ ส่วนสีสันจะได้จากการบ่มหรือจะเติมสีด้วยคาราเมลก็ได้ สำหรับรัมที่ต้องการรสและสีค่อนข้างอ่อน ก็ไม่ต้องบ่มนาน แต่ถ้าต้องการรสเข้มข้นและสีที่เข้มข้นด้วยบางทีต้องบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ค ตั้งแต่ 3-4 ปี


การเลือกเหล้ารัมให้ถูกใจนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งถ้าชอบรัมที่มีรสชาดอ่อน ก็ต้องของเปอร์โตริโก้ แต่ถ้าต้องการประเภทที่มีสีชานิด ๆ คือแบบ Medium-Light ก็ต้องของทรินนิแดด หรือจะดื่มแบบรสนุ่มของรัมสีรมควัน ก็ไม่น่าจะพลาดของพาร์บาโต๊ส และถ้าชอบรัมชนิดที่เข้มข้นแบบ Full Bodied Rum ก็คงต้องของจาไมก้า

จากตำนานเก่า ๆ ที่เล่าสืบต่อกันมาได้บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของเหล้ารัมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของอเมริกาอย่างมาก กล่าวคือโคลัมบัสผู้ค้นพบทวีบอเมริกา ได้เป็นผู้นำพันธุ์อ้อยไปปลูกตามเกาะต่าง ๆ ในแถบทะเลแคริบเบียน ซึ่งปัจจุบันดินแดนแถบนั้นได้กลายเป็นแหล่งผลิตเหล้ารัมและน้ำตาลทรายที่ใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้เหล้ารัมยังมีความสัมคัญที่ต้องไปเกี่ยวข้องกับอิสรภาพของคนอเมริกันอีกด้วย โดยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ พอล รีเวียร์ ซึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกาได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษสำคัญคนหนึ่ง เพราะควบม้าไปตลอดคืนเพื่อไปแจ้งข่าวการบุกของกองทัพอังกฤษ แต่อีกนัยหนึ่งผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์ครั้งนั้นกลับบันทึกไว้ว่า พอลคงตั้งใจจะไปเตือนพวกลักลอบขนรัมเถื่อนมากกว่า เพราะพอลเป็นพ่อค้ารัมแลกกับทาส

มนต์เสน่ห์มายซอร์

โดย : เอื้อพันธ์ ชำนาญเอื้อ @กรุงเทพธุรกิจ


รถไฟเที่ยวกลางคืนมุ่งหน้าไปยัง มายซอร์ คืนนั้น ลบภาพความน่าสะพรึงกลัวที่พูดๆ กันเลยค่ะ เบาะที่นอนสะอาด สะดวกสบาย

มีปลั๊กไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่และไวร์เลสสำหรับคอมพิวเตอร์อีกต่างหาก เป็นรถนอนชั้น 1 แต่สำหรับนักเที่ยวแบ็คแพ็คอย่างฉัน มีไว้ชงมาม่ากินรองท้อง และชาร์จแบตเตอรี่กล้องถ่ายรูปก็สบายเกินพอแล้วค่ะ


ถึงมายซอร์เมื่อ เช้าตรู่อากาศดีเชียว แต่อืมม...ฝุ่นเยอะมาก ผ้าพันคอนี่ละค่ะสารพัดประโยชน์ใช้คาดจมูกกันฝุ่น โพกหัวเวลาร้อน และพันคอกันหนาวยามค่ำได้ ขอแนะนำให้ติดกระเป๋ามาสักผืนค่ะ

ได้ที่พักแล้วอาบน้ำอาบท่า กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด...ก็ฉันนั้น ฉันเริ่มต้นวันด้วย ทาลี อาหารที่คนอินเดียเรียก ว่า พื้นๆ นั่นล่ะค่ะ ต้องลอง ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เป็นข้าวที่มาพร้อมกับเครื่องเคียงเป็นซุบสารพัดชนิด เหมือนกินข้าวกับน้ำแกง แต่แกงแต่ละชนิดนั้นอุดมด้วยเครื่องเทศ วิตามินทั้งนั้นนะคะ เป็นการกินที่คนอินเดียบอก ว่า 'ตามหลักอายุรเวท' ที่ผักต้องต้มสุก ตบท้ายมื้อเช้าด้วยทับทิมลูกใหญ่สีแดง หวานจัด นำเข้าจากแคชเมียร์ เช่นเดียวกับผลไม้เมืองหนาวจากทางเหนือมีหาบขายกันเกลื่อน

ฉันใช้เวลาเกือบครึ่งวันนั้นใน ร้านหนังสือ สมกับที่อินเดียเป็น ประเทศยักษ์ใหญ่ด้านสิ่งพิมพ์ และแหล่งก๊อบปี้หนังสือ แต่ต้องพิจารณาดีๆ เพราะหนังสือดีหลายเล่มราคาถูกกว่าของจริง แต่หน้าหายไปหลายหน้า ได้ไปจะเสียอารมณ์เปล่าๆ ร้านหนังสือดีๆ มีกระจายอยู่แทบทุกเมือง แม้ส่วนใหญ่เป็นร้านเก่า เทียบไม่ได้กับในเมืองใหญ่อย่างบังคาลอร์ แต่อัดแน่นไปด้วยหนังสือดีๆ และหายาก ฉันได้หนังสือของนักเขียนอินเดียติดมือมาหลายเล่ม สำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับอายุรเวท และโยคะ ก็เป็นแหล่งค้นคว้า และแสวงหาที่ดีเลยล่ะค่ะ

ชื่อเสียงของเมืองมายซอร์ โดดเด่นคู่มากับโยคะค่ะ ด้วยว่ามีสถาบันโยคะที่มีชื่อเสียงหลายแห่งและหลายแขนง ที่ฮอตฮิตมากเป็น อัชแทงกาโยคะ ฉันลองเข้าไปเยี่ยมๆ มองๆ ที่สถาบันโยคะอัชแทงกา เห็นฝรั่งหลายคนปักหลักอยู่กันครึ่งค่อนปีเพื่อฝึกโยคะ แต่ใช่ว่าจะออกไปเป็นครูสอนโยคะกันง่ายๆ นะคะ จบออกไปแล้วยังต้องกลับมาทดสอบกันอยู่เป็นระยะ ซึ่งหมายถึงอีกเป็นปี ก่อนที่จะได้ใบรับรองเพื่อใช้ประกอบอาชีพได้ มีโอกาสได้เจอกับอาจารย์ใหญ่ ผู้ก่อตั้งสถาบันโยคะอัชแทงกา ท่าน Patthabhi Jois อายุ 90 แล้วค่ะ แต่ยังเดินหลังตรง ดูแลนักเรียนของท่านอย่างขันแข็ง เห็นท่านแล้วเป็นแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดีเชียวค่ะ

เย็นนั้นฉันลิ้มลองอาหารหาบเร่ริมทาง สารพัดอย่างที่พ่อค้าเข็นมาขายร่วมสิบคัน หอมควันฉุยแทบเลือกไม่ถูก ยืนกินปะปนไปกับชาวอินเดีย อร่อยได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่ส่วนมากจะเป็นของกินเล่น ที่ชอบเป็นพริกสดชุบแป้งผสมเครื่องเทศทอด กินร้อนๆ หอมกลิ่นพริกสดๆ และ บอนดาส เป็นขนมอบสอดไส้มันฝรั่งบด แน่นอนว่า ผสมเครื่องเทศจนชุ่ม หอมมันถูกใจคนชอบความหวานและมันแบบเข้มข้นตามแบบฉบับอินเดีย หรือจะลอง พาบาจิส์ เป็นขนมปังปิ้งจิ้มกับสารพัดเครื่องเทศที่ไปผัดในน้ำมันร้อน มีมะนาว และหัวหอม ให้กินแก้เลี่ยน...อร่อยค่ะ

พระราชวังมหาราชาแห่งมายซอร์
 วันที่สองในมายซอร์ ฉันเข้าวังค่ะ เป็น พระราชวังของมหาราชาแห่งมายซอร์ ยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็นของมหาราชา ต้องถอดรองเท้า และไม่เฉพาะห้ามถ่ายรูป แต่ต้องฝากกล้องไว้ด้านนอกเลยล่ะค่ะ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบผสมผสานอินโด-ซาราซีนนิก คือมีกลิ่นอายของยุโรป ด้วยสถาปนิกเป็นช่างชาวอังกฤษ เทพองค์เล็กองค์น้อยจึงดูละม้ายคล้ายกามเทพของยุโรปอยู่ในที พระราชวังที่หลงเหลือถึงวันนี้เป็นพระราชวังหลังใหม่ที่สร้างเสร็จเมื่อ 95 ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ หลังเดิมถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี พ.ศ.2440 ศิลปะการใช้สีฉูดฉาด จุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งพื้นด้วยโมเสก และเล่นแสงเงาด้วยการสะท้อนแสงของกระจกสี รวมทั้งภาพเขียนสีประวัติศาสตร์บอกเล่าชีวิตของชาวมายซอร์ในอดีต และประตูไม้แกะสลักวิจิตรบรรจง พระราชวังของมหาราชาในแต่ละแคว้นจะมีวัดประจำพระองค์ เช่นเดียวกับมหาราชาแห่งมายซอร์ทรงดำริให้สร้าง วัดฮินดูชเวตา วราหัสวามี ขึ้นในเขตพระราชฐานด้วย

ตอนนี้พระราชวังตกเป็นสมบัติของรัฐรวมทั้งเรือนที่ทำการของกรมกองต่างๆ ของสำนักราชวัง ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นวิทยาลัย เป็นธนาคาร และที่ทำการของหน่วยงานอื่นๆ ส่วนลูกหลานของมหาราชามีข่าวว่า พยายามฟ้องร้องต่อศาลเรียกคืนทรัพย์สินที่ปัจจุบันได้ครอบครองแต่เพียงพระ ตำหนักส่วนพระองค์และทรัพย์ศฤงคารบางส่วน ที่บรรดาเครือญาติของพระองค์เห็นว่า เล็กน้อยเท่านั้น

พาหนะพระอิศวรบนยอดเขาชามุนดิ

จากวังของมหาราชา ฉันไปดักขึ้นรถประจำทางขึ้นเขาไป 1,000 กว่าเมตร ประมาณ 40 นาทีถึงยอดเขา ชามุนดิ เดินผ่านดงร้านขายของที่ระลึก เห็นชาวฮินดูเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อเข้าไปสักการะรูปสลักศิวลึงค์พระศิวะ บนเขาชามุนดิมีชุมชนเล็กๆ อยู่อย่างใกล้ชิดกับชุมชนขนาดย่อมของเหล่าวานร ที่เพียรแวะเวียนเข้าไปฉกเอากล้วยที่มีผู้นำมาบูชาเทวรูปต่างๆ มากิน และพวกมันนี่ล่ะค่ะเที่ยวปีนป่ายขึ้นเศียรของเทวา-เทวีทั้งหลายอย่างไม่เกรง บาปกลัวกรรม ฤๅมันจะถือว่า บรรพบุรุษเป็นทหารคู่ใจพระราม

ทาลี อาหารพื้นเมือง (บน) - แม่ค้ากระทงดอกไม้บูชาเทพ (ล่าง)


เครื่องสักการะของชาวฮินดูเป็นกล้วย มะพร้าว และดอกไม้ เสร็จพิธีบูชา เขาจะนำมะพร้าวมาทุบให้แตก โดยมีพลพรรคขอทานหรือพ่อค้าแถวนั้นคอยจ้องหยิบเศษมะพร้าวมากินเนื้อ ส่วนกล้วยก็...แฮ่มม..เสร็จทหารเอกพระรามตามระเบียบ แบ่งปันกันถ้วนหน้าดีค่ะ คนที่นี่เขายังนิยมซื้อกล้วย หรือแตงโมผ่าซีกแจกให้วัวกินด้วยนะคะ ถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

เจดีย์แห่งชามุนดิ - รูปเคารพเทพประจำเมือง
 เขาชามุนดินี้นะคะ หากเป็นนักแสวงบุญที่เคร่ง เขาจะเดินขึ้นเขากันค่ะ 1,000 ขั้น และลงอีก 1,000 ขั้น ส่วนนักแสวงหาแต่ความสุขอย่างฉันขอแค่เดินลง 1,000 ขั้นก็พอแล้วค่ะ เดินชมวิวเห็นมายซอร์ใน มุมสูง สวยไปอีกแบบ ลงมาได้ครึ่งทางเจอกับรูปปั้น 'โคนนทิ' หรือพาหนะของพระศิวะ ตัวใหญ่สูงกว่า 5 เมตร หันหน้าไปทางยอดเขาชามุนดิ มีชาวฮินดูมาสักการะไม่ขาดค่ะ พร้อมกับนำอาหารมาถวายพระ ผู้ดูแลรูปปั้นโคนนทิในช่วงวันทางศาสนา

ตลาดมายซอร์ (บน) - หมากพลูอินเดีย (ล่าง)

เมืองมายซอร์นี้อบอวลด้วยกลิ่นธูปนะคะ สมกับเป็นเมืองของการผลิต ธูป มีหลายร้านที่เป็นธูปแบบโฮมเมด มีกลิ่นเฉพาะ และแบบที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ทำส่งออกขายทั่วโลกกันเอิกเกริก


ของดีหลายประการที่พลาดไม่ได้ในมายซอร์อีกอย่างคือ ผ้าไหม ว่ากันว่ากว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผ้าไหมที่ขายกันทั่วอินเดียมาจากมายซอร์นี้ ละกัน ซื้อของที่นี่ก็ง่ายดีเพราะแยกกันเป็นถนนเป็นแหล่งไปเลยว่าที่ไหนขายอะไร ฉันติดใจความคลาสสิกของเครื่องทองเหลืองทองแดงของที่นี่มาก แม้ปัจจุบันผู้หญิงอินเดียหัน มาใช้ถังพลาสติกแทนคนโททองเหลืองกันหมดแล้วก็ตาม ก็ได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดาย คนโบราณเชื่อว่า การดื่มน้ำที่เก็บกักไว้ในภาชนะที่เป็นทองแดง พลังจากสารประกอบทองแดงจะช่วยเพิ่มคุณค่าของน้ำ อีกอย่างค่ะคือ น้ำมันจันทน์หอมระเหย ที่มายซอร์ภูมิใจเป็นหนักหนาว่า เป็นแหล่งผลิตของแท้ และหาได้ที่มายซอร์เท่า นั้น ปกติน้ำมันหอมระเหยจะเบสด้วยน้ำมันงา อัลมอนด์ หรือไม่ก็น้ำมันมะพร้าว แต่ของเขาขายกันเป็นน้ำมันจันทน์บริสุทธิ์จากต้นจันทน์ ขวดขนาด 5 มิลลิลิตร เรียกว่า ไม่กี่หยดก็ได้นะคะ ราคา 700 บาท เหมาะสำหรับผู้พิสมัยกลิ่นไม้จันทน์จริงๆ

เพราะความหอมของไม้จันทน์ เป็นกลิ่นเฉพาะจริงๆ

หมายเหตุการเดินทาง : จากบังคาลอร์ หรือจากเชนไน มีทั้งรถไฟและรถโดยสารประจำทาง วันละ 3 เที่ยวตรงถึงมายซอร์ ตรวจสอบตารางการเดินทางที่แน่นอนที่สถานีขนส่ง ราคาอยู่ระหว่าง 50-150 บาท ขึ้นอยู่กับรถวีไอพี ธรรมดาแอร์ หรือธรรมดา

10 สัญญาณเตือนภัยของรถคุณ

คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแลและตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต "ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" จึงแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง

1. สัญญาณเตือน
เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม


2. เครื่องยนต์
เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
- เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
- เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
- มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ


3. ยาง
การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
- ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
- ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
- ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
- ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่


4. คลัตซ์
คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
- คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
- คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
- แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ


5. เกียร์
เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
- มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
- เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
- มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
- ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

6.พวงมาลัย

พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
- พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
- พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
- พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ


7. เบรก
ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
- เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
- เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
- แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที


8. ไฟชาร์จ
ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ


9. หลอดไฟ
หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า “เรกูเลเตอร์” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่


10. น้ำมันหล่อลื่น
ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที

ถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระโดดแตะฟ้าที่ปากีฯ (ตอนจบ)

โดย : กมลทิพย์ ภาสวร


ถ่ายจากมุมชมวิวที่ดุยการ์


วันนี้ที่พักของเราเป็นโรงแรมระดับหรู ชื่อ Eagle Nest ตั้งอยู่บนภูเขาสูง เราสามารถเดินขึ้นไปชมจุดชมวิว ดุยการ์ (Duikar)

ที่อยู่ห่างโรงแรมไปเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง เมื่อขึ้นไปเราจะเห็นหมู่บ้าน Hoper อยู่ด้านล่าง และยอดเขาล้อมรอบตัวเรา โดยมียอด เลดี ฟิงเกอร์ (Lady Finger) เป็นยอดแหลม โผล่ขึ้นมา ดูคล้ายนิ้วของหญิงสาว เป็นยอดดึงดูดความสนใจ ให้ทุกคนขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างใกล้ชิดและลองยกมือนิ้วเทียบ แต่ไม่ทราบว่าเป็นนิ้วของชนชาติไหน เพราะเมื่อนำนิ้วของสาวๆ ที่ไปด้วยมาส่องเทียบ ก็พบว่า นิ้วของหญิงไทยแต่ละคนเล็กเรียวราวเทียนไขซะทุกนางไป


ตอนเช้า.... หลังจัดการมื้อเช้าที่โรงแรม เราก็ไปเที่ยว บัลติท ฟอร์ด (Baltit Fort) ซึ่งตั้งอยู่บนเขา เราต้องลงจากรถเดินเท้าขึ้นไปราว 15 นาที ระหว่างทางเราผ่านโรงเรียนขนาดใหญ่ ครูใหญ่เรียกเด็กมา(และจัดแถว)ให้เราถ่ายรูป และขอให้เราส่งรูปกลับไปให้ครูใหญ่ด้วย เรารับปากด้วยความยินดี

ป้อมปราการแห่งนี้มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นบนภูเขา ตัวอาคารทึบมีเจาะทำเป็นหน้าต่างเล็กๆ อยู่โดยรอบ แต่จำนวนไม่มาก มีการต่อเติมห้องภายหลัง มีลักษณะยื่นออกมาทำจากไม้และมีหน้าต่างทรงสูงรอบห้อง
ประวัติความเป็นมาของป้อมปราการนี้เล่ากันว่า สร้างขึ้นเมื่อ 700 กว่าปีที่แล้ว Ayasholl ผู้ครองเมืองฮันซ่าได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง Shah Khatoon แห่งเมือง Baltistan ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า 'ทิเบตน้อย' ดังนั้นสถาปัตยกรรมของป้อมปราการจึงมีกลิ่นอายของศิลปะแบบทิเบต (บางส่วนคล้ายพระราชวังโปตาลา ในเมืองลาซา) และต่อมาได้รับการก่อสร้างเพิ่มเติม ปรับปรุง ในแบบฉบับของผู้ครองเมืองฮันซ่า ต่อมาในช่วงที่อังกฤษเข้าปกครอง ได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มห้องขึ้นในสไตล์อังกฤษ ตกแต่งหน้าต่างด้วยกระจกสี

บัลติ ฟอร์ต ได้เป็นที่พำนักอาศัยอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งปี พ.ศ.2488 ผู้ครองเมืองฮันซ่าคนสุดท้าย มีร์ โมฮัมมัด จามาล์ ข่าล (Mir Mohammed Jamal Khan) ได้ย้ายพระราชวังลงมาที่เชิงเขา ฟอร์ตถูกปล่อยทิ้งว่าง จนเริ่มทรุดโทรม

ในปี พ.ศ.2534 นั้นเองที่ เจ้าชาย กาซานฟาร์ อาลี ข่าล (Prince Ghazanfar Ali Khan) ลูกชายของเจ้าเมืองฮันซ่าคนสุดท้าย ตัดสินใจยก 'บัลติ ฟอร์ต' ให้กับองค์กรสาธารณะการกุศลของบัลติ เพื่อดูแลและซ่อมแซมรักษาบัลติ ฟอร์ทต่อไป (โดยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศนอร์เวย์และฝรั่งเศส) ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้น 6 ปี ก่อนที่จะให้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีโอกาสเยี่ยมชมความงามของ บัลติ ฟอร์ต แห่งนี้

ขาลงเราแวะเที่ยวตามร้านขายของที่ระลึก แต่ช่วงนี้คล้ายเมืองร้าง แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย

“ผมว่านะ ปากีสถานมีสถานที่สวยงามมากๆ น่าเสียดาย ไม่มีใครกล้ามาเที่ยว เพราะมีข่าวความไม่สงบภายในประเทศ ทั้งๆ ที่มันก็อยู่คนละที่“ เจ้าของร้านออกมาปรับทุกข์กับลูกค้า พวกเราเข้าใจดี เพราะสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากบ้านเราที่มี ที่มีข่าวทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้นักท่องไม่กล้าเดินทางเข้ามาเที่ยว

พวกเราขึ้นรถอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังหุบเขา พักที่หมู่บ้าน กุลมิท (Gulmit) หมู่บ้านเก่าแก่ อายุกว่า 700 ปี ที่ชาวบ้านยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม ปลูกไร่ข้าวสาลี แอพริคอท มันเทศ และยังทอผ้าขายนักท่องเที่ยว

บ้านเรือนที่นี่ใช้หินขนาดใหญ่มาก่อเป็นกำแพง ทรงสี่เหลี่ยม ดูเหมือนกล่องสีเทา เรียงกระจัดกระจายไปทั่ว บ้านแต่ละหลังมีแปลงผักอยู่ข้างๆ บ้าน แปลงผักของเขามีการเซาะเป็นร่องให้น้ำไหลยามฝนตก มองไปดูคล้ายงานศิลปะอย่างหนึ่ง เขาถึงว่าศิลปะมีอยู่ทุกสิ่งในการดำเนินชีวิต หมู่บ้านโอบล้อมด้วยเทือกเขา ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมาแวะพัก สังเกตได้จากจำนวนโรงแรมที่มีอยู่ไม่น้อย แต่ตอนที่ไปเยือน (น่าจะ) มีเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียว

ช่วงเย็นหลังเดินเล่นในหมู่บ้าน ฉันกับเพื่อนเห็นว่ายังเร็วไปที่จะหมกตัวอยู่ภายในห้องพัก เลยออกไปเดินเล่นที่กลางหมู่บ้าน พบเด็กๆ กำลังเล่นวอลเลย์บอล เลยขอร่วมทีม

“เชิญเล่นด้วยกันเลย” พวกเขาใจดีให้เราเข้าร่วมทีม แม้จะทำให้พวกเขาเสียเวลากับความเงอะงะ เขาก็ไม่บ่น กลับพูดเชียร์ทุกครั้งที่ตี(โดนลูก)ได้

“เด็กๆ ที่กุลมิท น่ารักมาก” คำกล่าวที่ได้ยินมาจากนักท่องเที่ยวคนอื่นพูดกับเรา ไม่ต้องพิสูจน์ก็เชื่อว่าเป็นความจริง

เช้านี้ หลังออกจากโรงแรม เราไปทำกิจกรรมให้หวาดเสียวหัวใจเล่น นั่นคือ การเดินข้าม Hussaini Bridge ซึ่งเป็นสะพานไม้ชั่วคราวที่ยาวที่สุดในเอเชีย คือมีขนาดความกว้าง 6 ฟุต ยาว 600 ฟุต สภาพของสะพานมีเพียงไม้มาวางพาดๆ ตอกเหล็กซ้ายขวา มีลวดขนาดใหญ่เป็นราวให้เราจับระหว่างทาง พวกเราพากันเดินอย่างระมัดระวัง (ค่อยๆ ก้าวขานั่นเอง) จนเมื่อถึงอีกฝั่ง ฮาบิบบอกให้เราดูชาวบ้านที่กำลังเดินข้ามสะพานมา พวกเธอเดินได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วยิ่งนัก

เรากลับขึ้นรถอีกครั้ง คนขับพาเราไป บอริธ เลค (Borith Lake) ทะเลสาบขนาดใหญ่สีเขียวใส มีภูเขาโอบล้อม สวยงามมาก มีเกสต์เฮ้าส์ให้นอนดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ แต่น่าเสียดายเมื่อตอนที่เราไปถึง เริ่มมีพายุ ฝนตก ไม่สามารถออกเสพความงามของสถานที่ได้อย่างใกล้ชิด เราจึงพักดื่มชา รอให้ฝนหยุด แต่ก็ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เราเลยรีบวิ่งขึ้นรถ มุ่งหน้าไปเมือง ซุส (Sust)

ระหว่างทางไปนั้น มองออกไปนอกรถ สายตาก็ไปเห็นกลุ่มยอดเขาที่อยู่ด้วยกัน มองไปคล้ายเป็นมงกุฎ แต่บางคนที่พิสมัยการกิน (เช่นฉัน) ก็บอกว่า เหมือนโคนไอศกรีมถูกคว่ำอยู่มากกว่า หมอกบางๆ ที่ลอยอยู่รอบๆ ภูเขา ทำให้ดูเหมือนภูเขาเหล่านั้นลอยอยู่เหนือพื้นดิน

เรารีบบอกคนขับให้ช่วยหยุดรถเพื่อลงไปถ่ายรูป ฮาบิบบอกว่า ยอดเขาที่เราเห็นนั้นอยู่ที่ใกล้หมู่บ้าน พาสสุ (Passu) ยอดเขาที่เห็นคือ Tupopdan สูงถึง 6,106 เมตร

ขณะที่เรากำลังถ่ายรูป เราพบชาวบ้านผู้หญิง 2 คน 2 วัยเดินคู่กันมา เราเอ่ยปากขอพวกเธอถ่ายรูปด้วย เพราะผู้หญิงบางหมู่บ้านของที่นี่จะไม่ยอมให้ถ่ายรูป ซึ่งต่างจากผู้ชายที่ยินดีให้ถ่ายรูป เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม พวกเราดีใจยิ่งนัก ฉันเลยขอกอดป้าแกด้วย (ป้าแกดูใจดีมากๆ)

รถแล่นต่อไปไม่นานนักก็ถึงเมืองชายแดนซุส ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนหลักยาวราว 1 กิโลเมตรได้ ที่นี่มีร้านขายของชำใหญ่ๆ 2-3 ร้าน ภายในร้านมีขายทั้งของใช้ ของกินและถั่วชนิดต่างๆ และมีผลไม้ตากแห้ง โดยเฉพาะ อินทผาลัม ที่มีให้เลือกทั้งแบบหวานมาก หวานน้อย ผู้คนที่นี่ นอกจากจะเป็นชาวปากีฯ แล้ว เราพบคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนงานสร้างถนน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเราซึ่งหน้าจืดๆ จึงมักเอ่ยปากทักเป็นภาษาจีนใส่ เราได้แต่โบกมือบอกว่าไม่ใช่ๆๆ

สิ่งที่ดึงดูดสายตาและกล้องถ่ายรูปอของพวกเราในเมืองนี้คือบรรดา รถบรรทุก ที่จอดกันอยู่เรียงรายนับสิบคัน เพราะรถบรรทุกของที่นี่มีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ไม่มีใครยอมใคร แม้กระทั่งล้อ เจ้าของรถดูจะมีความภูมิใจมาก หากเราไปขอถ่ายรูปรถของเขา บางรายใจดี ให้โอกาสสาวๆ อย่างเราไปนั่งหลังพวงมาลัยด้วย

“เขาเข้าใจตั้งชื่อนะ 'เมืองสุด' เพราะสิ้นสุดปากีฯ แล้ว“ เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะของคนในกลุ่ม

“วันนี้เราอาจจะถึงเมืองสุดท้าย แต่พรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นเข้าสู่อีกดินแดนหนึ่งต่างหาก” ฉันบอกกับตัวเอง

พร้อมกับจินตนาการสู่การเดินทางไปด่านกุนจีราบ...ชายแดนที่สูงที่สุดในโลก

ที่ตั้งของโรงแรม Eagle Nest สามารถเห็นวิวภูเขาได้อย่างชัดเจน

 บัลติฟอร์ท ตั้งตระหง่านบนเขา

ต้นมัลเบอรี่ที่ขึ้นตามทางเหมือนต้นตะขบบ้านเรา - แปลงผัก ภูมิปัญญาชาวบ้านที่หมู่บ้านกุลมิท

เด็กๆ ที่นี่เป็นนางแบบนายแบบที่ใครๆ ก็อยากบันทึกภาพพวกเขา - ร้านขายของที่ระลึกที่ช่วงนี้เงียบเหงามาก


 
สะพานไม้ Hussaini ที่ดูสภาพแล้วไม่น่าเชื่อว่ายังใช้อยู่ - รถบรรทุกที่ตกแต่งอย่างบรรเจิดกับเจ้าของรถที่ภูมิใจนักหนา

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระโดดแตะฟ้าที่ปากี (ตอน 1)


ทิวทัศน์ที่สวยงามของ Fairy Meadow ราวทุ่งหญ้าในความฝัน

“อย่าเพิ่งรีบตาย ถ้ายังไม่ได้มาปากีฯ” ฉันพูดกับตัวเองระหว่างเดินทางเที่ยวในปากีสถาน

อาจดูเหมือนกล่าวเกินจริง คือหากได้ยินคนอื่นพูดก็คงจะบอกว่า

“เว่อร์แล้ว ปากีฯ เนี่ยนะ” แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตา เปิดใจเรียนรู้ ก็ทำให้ฉันอยากเปิดปากชวนใครต่อใครให้ลองมาเยี่ยมชม ปากีสถาน ดินแดนที่กำลังร้อนระอุเพราะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นรายวัน


เส้นทางสาย คาราโครัม ไฮเวย์ (Karakoram Highway) เป็นเส้นทางเชื่อมพรมแดนจีน-ปากีสถาน จัดเป็นถนนไฮเวย์ที่อยู่สูงที่สุดในโลก คือ สูง 4,693 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในอดีตเป็นเส้นทางการค้า (เส้นทางสายไหม) ที่สำคัญของดินแดนนี้ คือ นำเอาชา ผ้าไหม เครื่องชามสังคโลกจากจีน และเครื่องเทศ งาช้าง ทองคำ จากปากีสถานและอินเดีย

รัฐบาลจีนและปากีสถานประกาศร่วมมือก่อสร้างถนนสายนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี กับความยาวทั้งสิ้น ราว 1,300 กิโลเมตร โดยอยู่ในประเทศจีน 494 กิโลเมตรและในปากีสถาน 806 กิโลเมตร

ในปี พ.ศ.2529 ถนนสายนี้ก็เปิดใช้อย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวเริ่มต้นที่เมือง ราวัลพินดี (Rawalpindi) ประเทศปากีสถาน ไปถึงชายแดนที่สูงที่สุดในโลก ด่าน กุนจีราป (Khunjerab) ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาสูง ราว 4,702 เมตร เข้าเขตจีน ไปยังเมือง ทัชคอกัน (Tashkurgan) แล้วไปสิ้นสุดที่เมือง คัชการ์ (Kasgar)

ฉันรับรู้เรื่องราวของความสวยงามของเส้นทางสายนี้ผ่านทางหน้าหนังสือเมื่อนานมาแล้ว เก็บเอามาเป็นเส้นทางในฝันที่คิดจะไปให้ประจักษ์แก่สายตา 2 ตาสักครั้งในชีวิต

เราใช้บริการแท็กซี่จากสนามบินที่ อิสลามาบัด ให้ไปส่งที่โรงแรมในเมืองราวัลพินดี ซึ่งเป็นเมืองท่ารถ สามารถหารถต่อไปยังเมืองต่างๆ ได้ เช่น Gilgit, Skardu, Peshawar และ Lahore

นอนพักเอาแรง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะนั่งรถบัสของ NATCO (the Northern Areas Transport Corporation) ไปเมือง กิลกิต (Gilgit) ระยะทางจากราวัลพินดีมาถึงกิลกิต เพียง 600 กว่ากิโลเมตร แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง เราจึงจดบันทึกลงในสมุดของเราว่า เป็นการนั่งรถบัสที่ยาวนานที่สุดในชีวิต คือ 19 ชั่วโมง!

แต่หากใครไม่พิสมัยที่จะชมบรรยากาศชิดติดริมหน้าต่าง กินอาหารข้างทาง 2 มื้อ คือมื้อค่ำและมื้อเช้า (มื้อค่ำ แนะนำให้ลองสั่งข้าวหมกไก่ที่ร้านอาหารซึ่งเป็นจุดแวะพักรถ รสชาติดีเยี่ยม จนอยากให้ลอง) ก็สามารถนั่งเครื่องบินไปลงได้ ใช้เวลา 45 นาที มีบินทุกวัน แต่ควรจะเช็ครอบให้ดี เพราะหากวันไหนสภาพอากาศแย่ก็ถูกยกเลิกได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ที่สถานีขนส่ง เราพบไกด์ท้องถิ่นจากบริษัททัวร์ที่ติดต่อไว้ ชื่อ ฮาบิบ (Habib) มารอพวกเราพร้อมรถจี๊ปคันโตที่พาพวกเราทั้งหมดไปเกสต์เฮ้าส์ได้อย่างสบายๆ หลังวางแผนการเดินทางอีกครั้งกับ Hidayat เจ้าของบริษัททัวร์ เก็บกระเป๋าและกินมื้อเที่ยงกันเรียบร้อย ไกด์หนุ่มก็พาเราไปชมภาพหินแกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า Kargah Buddha (นึกไม่ออกว่าเขาหาวิธีออกมาแกะที่หน้าผาได้อย่างไร สมัยนั้นก็ไม่มีเลเซอร์ช่วยในการแกะสลักเหมือนสมัยนี้ได้) ซึ่งอยู่ห่างจากกิลกิตออกไปเพียง 8 กิโลเมตร

จากนั้นเรากลับเข้ามากิลกิต เดินสำรวจในเมืองเล่น เพื่อทำความรู้จัก

กิลกิตเป็นศูนย์กลางการเดินทางเที่ยวทางภาคเหนือ มีโรงแรมและที่พัก บริษัททัวร์และร้านค้าอยู่เป็นจำนวนมาก และมีตลาดไชน่าทาวน์ ย่านขายของจากเมืองจีนด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น เรานั่งรถมุ่งหน้าไปยัง Fairy Meadow ที่ที่ใครก็กล่าวถึงในเรื่องความงามของมัน เรานั่งรถจี๊ปออกไปราว 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรถโฟว์วีลของชาวบ้านที่มีการรวมกลุ่มกันจัดคิวรถเพื่อบริการนักท่องเที่ยว เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วย และเหตุผลที่สำคัญคือ ความสามารถในการขับรถและสมรรถภาพของรถที่แตกต่างกัน เพราะการเดินทางต่อจากนี้ทางไต่ระดับเลียบเหวขึ้นไปเรื่อยๆ จนฉันไม่กล้าปล่อยมือจากที่จับ

จนเมื่อถึงปลายทางที่เราต้องลง Trekking เมื่อเห็นภูเขาลูกใหญ่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนสาวร่างท้วมบอกทุกคนในกลุ่ม

“แก ฉันจะเดินขึ้นไหวไหม ฉันไม่ได้ออกกำลังกายฟิตเหมือนแก แกเดินนำหน้าไปก่อนเลยนะ” เมื่อรู้ว่าทางเดินนั้นสูงชันนัก และใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกว่าจะถึงยอด

ระหว่างที่หยุดพักเป็นครั้งที่ 10 นั้น ฮาบิบก็เสนอให้เพื่อนขี่ม้าที่ลากมาเตรียมไว้ให้ งานนี้จากที่ออกปากตอนแรก “ไม่ ฉันต้องเดินขึ้นให้ได้” ก็กลับเปลี่ยนใจทันที

เราใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายหลังกินมื้อเที่ยงที่นั่นหมดไปกับการถ่ายรูป เพราะที่นี่มองไปทางไหนก็เห็น ภูเขาหิมะ แทบจะล้อมรอบตัวเราไว้

นั่งชมความงามของเทือกเขา Nanga Parbat เทือกเขาที่สูงอันดับที่ 2 ของปากีสถาน และเป็นอันดับ 9 ของโลก ด้วยความสูง 8,126 เมตร ฉันนั่งมองภูเขาที่ปกคลุมหิมะขาวโพลน ถามว่านี่ คือของจริง หรือภาพสวยจากปฏิทิน หรือวอลล์เปเปอร์ขนาดใหญ่ที่มาโชว์อยู่ตรงหน้า ให้เราแทบจะเอามือยื่นออกไปแตะมันได้ ด้วยความที่มันดูใกล้ตา (แต่ไกลเท้ามาก)

ที่นี่ยังมีป่าสนและทุ่งหญ้า มีหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านออกมาเลี้ยงแกะ ยิ่งทำให้ดูคล้ายประเทศทางยุโรปมาก หากถูกลักตัวมานำมาปล่อยไว้ที่นี่ คงคิดว่ามาอยู่ยุโรปซะแล้ว เรากระโดดตัวลอยถ่ายรูปกันสนุกสนานจนหมดแรง จวบจนอาทิตย์ลับฟ้า ปล่อยให้ดวงดาวอวดโฉม ฉันถึงประจักษ์ที่เขาบอกว่า 'ฟ้าเต็มดาวราวกำมะหยี่' เป็นยังไง

ตอนเช้าเราเดินทางกลับเข้ามาที่กิลกิต ค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปเมือง Karimabad ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฮันซ่า (Hunza) ในอดีต เคยเป็นอาณาจักรที่ปกครองตนเองมานานกว่า 900 ปี และต่อมาก็กลายเป็นแคว้นหนึ่งในปากีสถาน

รถจอดแวะอีกครั้งเพื่อพักกินชาชมวิวที่ ราคาโพชิ วิวพ้อยท์ (Rakaposhi View Point) ซึ่งเป็นจุดแวะพักระหว่างทาง มีทั้งร้านขายอาหาร ขายของที่ระลึก เช่น โปสการ์ด ราคาเพียง 10 รูปี ถือว่าไม่แพงเลย (5 บาทเท่านั้น) เสื้อผ้า เครื่องประดับที่เป็นงานเครื่องเงิน และหนัง

ฮาบิบนำลูก เชอร์รี สดๆ ลุกโตๆ สีแดงๆ รสชาติหวานธรรมชาติมาก มาให้พวกเราได้กิน ฉันเองแม้ว่าขณะนั้นยังท้องเสียอยู่ก็ ยังยั้งปากและใจไว้ไม่อยู่ ซัดเข้าไปซะหลายลูกเลย

แตงโมที่วางเคียงข้างกันก็เลยถูกเมิน

พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผา (Karga Buddha)


หน้าตาของรถโฟร์วีลที่ใช้ขึ้น Fairy Meadow

ข้าวหมกไก่ อาหารที่เราฝากท้องแทบทุกมื้อ - ลูกเชอร์รีผลโต รสหวาน ที่ไกด์ยกมาให้ชิม


กระโดดแตะปลายฟ้าที่ปากีฯ - ถนนขึ้นเขา เป็นทางแคบๆ คนขับต้องบีบแตรแทบตลอดทาง