หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระโดดแตะฟ้าที่ปากี (ตอน 1)


ทิวทัศน์ที่สวยงามของ Fairy Meadow ราวทุ่งหญ้าในความฝัน

“อย่าเพิ่งรีบตาย ถ้ายังไม่ได้มาปากีฯ” ฉันพูดกับตัวเองระหว่างเดินทางเที่ยวในปากีสถาน

อาจดูเหมือนกล่าวเกินจริง คือหากได้ยินคนอื่นพูดก็คงจะบอกว่า

“เว่อร์แล้ว ปากีฯ เนี่ยนะ” แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตา เปิดใจเรียนรู้ ก็ทำให้ฉันอยากเปิดปากชวนใครต่อใครให้ลองมาเยี่ยมชม ปากีสถาน ดินแดนที่กำลังร้อนระอุเพราะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นรายวัน


เส้นทางสาย คาราโครัม ไฮเวย์ (Karakoram Highway) เป็นเส้นทางเชื่อมพรมแดนจีน-ปากีสถาน จัดเป็นถนนไฮเวย์ที่อยู่สูงที่สุดในโลก คือ สูง 4,693 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในอดีตเป็นเส้นทางการค้า (เส้นทางสายไหม) ที่สำคัญของดินแดนนี้ คือ นำเอาชา ผ้าไหม เครื่องชามสังคโลกจากจีน และเครื่องเทศ งาช้าง ทองคำ จากปากีสถานและอินเดีย

รัฐบาลจีนและปากีสถานประกาศร่วมมือก่อสร้างถนนสายนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 20 ปี กับความยาวทั้งสิ้น ราว 1,300 กิโลเมตร โดยอยู่ในประเทศจีน 494 กิโลเมตรและในปากีสถาน 806 กิโลเมตร

ในปี พ.ศ.2529 ถนนสายนี้ก็เปิดใช้อย่างเป็นทางการให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวเริ่มต้นที่เมือง ราวัลพินดี (Rawalpindi) ประเทศปากีสถาน ไปถึงชายแดนที่สูงที่สุดในโลก ด่าน กุนจีราป (Khunjerab) ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาสูง ราว 4,702 เมตร เข้าเขตจีน ไปยังเมือง ทัชคอกัน (Tashkurgan) แล้วไปสิ้นสุดที่เมือง คัชการ์ (Kasgar)

ฉันรับรู้เรื่องราวของความสวยงามของเส้นทางสายนี้ผ่านทางหน้าหนังสือเมื่อนานมาแล้ว เก็บเอามาเป็นเส้นทางในฝันที่คิดจะไปให้ประจักษ์แก่สายตา 2 ตาสักครั้งในชีวิต

เราใช้บริการแท็กซี่จากสนามบินที่ อิสลามาบัด ให้ไปส่งที่โรงแรมในเมืองราวัลพินดี ซึ่งเป็นเมืองท่ารถ สามารถหารถต่อไปยังเมืองต่างๆ ได้ เช่น Gilgit, Skardu, Peshawar และ Lahore

นอนพักเอาแรง ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะนั่งรถบัสของ NATCO (the Northern Areas Transport Corporation) ไปเมือง กิลกิต (Gilgit) ระยะทางจากราวัลพินดีมาถึงกิลกิต เพียง 600 กว่ากิโลเมตร แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง เราจึงจดบันทึกลงในสมุดของเราว่า เป็นการนั่งรถบัสที่ยาวนานที่สุดในชีวิต คือ 19 ชั่วโมง!

แต่หากใครไม่พิสมัยที่จะชมบรรยากาศชิดติดริมหน้าต่าง กินอาหารข้างทาง 2 มื้อ คือมื้อค่ำและมื้อเช้า (มื้อค่ำ แนะนำให้ลองสั่งข้าวหมกไก่ที่ร้านอาหารซึ่งเป็นจุดแวะพักรถ รสชาติดีเยี่ยม จนอยากให้ลอง) ก็สามารถนั่งเครื่องบินไปลงได้ ใช้เวลา 45 นาที มีบินทุกวัน แต่ควรจะเช็ครอบให้ดี เพราะหากวันไหนสภาพอากาศแย่ก็ถูกยกเลิกได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ที่สถานีขนส่ง เราพบไกด์ท้องถิ่นจากบริษัททัวร์ที่ติดต่อไว้ ชื่อ ฮาบิบ (Habib) มารอพวกเราพร้อมรถจี๊ปคันโตที่พาพวกเราทั้งหมดไปเกสต์เฮ้าส์ได้อย่างสบายๆ หลังวางแผนการเดินทางอีกครั้งกับ Hidayat เจ้าของบริษัททัวร์ เก็บกระเป๋าและกินมื้อเที่ยงกันเรียบร้อย ไกด์หนุ่มก็พาเราไปชมภาพหินแกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า Kargah Buddha (นึกไม่ออกว่าเขาหาวิธีออกมาแกะที่หน้าผาได้อย่างไร สมัยนั้นก็ไม่มีเลเซอร์ช่วยในการแกะสลักเหมือนสมัยนี้ได้) ซึ่งอยู่ห่างจากกิลกิตออกไปเพียง 8 กิโลเมตร

จากนั้นเรากลับเข้ามากิลกิต เดินสำรวจในเมืองเล่น เพื่อทำความรู้จัก

กิลกิตเป็นศูนย์กลางการเดินทางเที่ยวทางภาคเหนือ มีโรงแรมและที่พัก บริษัททัวร์และร้านค้าอยู่เป็นจำนวนมาก และมีตลาดไชน่าทาวน์ ย่านขายของจากเมืองจีนด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้น เรานั่งรถมุ่งหน้าไปยัง Fairy Meadow ที่ที่ใครก็กล่าวถึงในเรื่องความงามของมัน เรานั่งรถจี๊ปออกไปราว 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรถโฟว์วีลของชาวบ้านที่มีการรวมกลุ่มกันจัดคิวรถเพื่อบริการนักท่องเที่ยว เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วย และเหตุผลที่สำคัญคือ ความสามารถในการขับรถและสมรรถภาพของรถที่แตกต่างกัน เพราะการเดินทางต่อจากนี้ทางไต่ระดับเลียบเหวขึ้นไปเรื่อยๆ จนฉันไม่กล้าปล่อยมือจากที่จับ

จนเมื่อถึงปลายทางที่เราต้องลง Trekking เมื่อเห็นภูเขาลูกใหญ่อยู่เบื้องหน้า เพื่อนสาวร่างท้วมบอกทุกคนในกลุ่ม

“แก ฉันจะเดินขึ้นไหวไหม ฉันไม่ได้ออกกำลังกายฟิตเหมือนแก แกเดินนำหน้าไปก่อนเลยนะ” เมื่อรู้ว่าทางเดินนั้นสูงชันนัก และใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงกว่าจะถึงยอด

ระหว่างที่หยุดพักเป็นครั้งที่ 10 นั้น ฮาบิบก็เสนอให้เพื่อนขี่ม้าที่ลากมาเตรียมไว้ให้ งานนี้จากที่ออกปากตอนแรก “ไม่ ฉันต้องเดินขึ้นให้ได้” ก็กลับเปลี่ยนใจทันที

เราใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายหลังกินมื้อเที่ยงที่นั่นหมดไปกับการถ่ายรูป เพราะที่นี่มองไปทางไหนก็เห็น ภูเขาหิมะ แทบจะล้อมรอบตัวเราไว้

นั่งชมความงามของเทือกเขา Nanga Parbat เทือกเขาที่สูงอันดับที่ 2 ของปากีสถาน และเป็นอันดับ 9 ของโลก ด้วยความสูง 8,126 เมตร ฉันนั่งมองภูเขาที่ปกคลุมหิมะขาวโพลน ถามว่านี่ คือของจริง หรือภาพสวยจากปฏิทิน หรือวอลล์เปเปอร์ขนาดใหญ่ที่มาโชว์อยู่ตรงหน้า ให้เราแทบจะเอามือยื่นออกไปแตะมันได้ ด้วยความที่มันดูใกล้ตา (แต่ไกลเท้ามาก)

ที่นี่ยังมีป่าสนและทุ่งหญ้า มีหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านออกมาเลี้ยงแกะ ยิ่งทำให้ดูคล้ายประเทศทางยุโรปมาก หากถูกลักตัวมานำมาปล่อยไว้ที่นี่ คงคิดว่ามาอยู่ยุโรปซะแล้ว เรากระโดดตัวลอยถ่ายรูปกันสนุกสนานจนหมดแรง จวบจนอาทิตย์ลับฟ้า ปล่อยให้ดวงดาวอวดโฉม ฉันถึงประจักษ์ที่เขาบอกว่า 'ฟ้าเต็มดาวราวกำมะหยี่' เป็นยังไง

ตอนเช้าเราเดินทางกลับเข้ามาที่กิลกิต ค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น เราไปเมือง Karimabad ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฮันซ่า (Hunza) ในอดีต เคยเป็นอาณาจักรที่ปกครองตนเองมานานกว่า 900 ปี และต่อมาก็กลายเป็นแคว้นหนึ่งในปากีสถาน

รถจอดแวะอีกครั้งเพื่อพักกินชาชมวิวที่ ราคาโพชิ วิวพ้อยท์ (Rakaposhi View Point) ซึ่งเป็นจุดแวะพักระหว่างทาง มีทั้งร้านขายอาหาร ขายของที่ระลึก เช่น โปสการ์ด ราคาเพียง 10 รูปี ถือว่าไม่แพงเลย (5 บาทเท่านั้น) เสื้อผ้า เครื่องประดับที่เป็นงานเครื่องเงิน และหนัง

ฮาบิบนำลูก เชอร์รี สดๆ ลุกโตๆ สีแดงๆ รสชาติหวานธรรมชาติมาก มาให้พวกเราได้กิน ฉันเองแม้ว่าขณะนั้นยังท้องเสียอยู่ก็ ยังยั้งปากและใจไว้ไม่อยู่ ซัดเข้าไปซะหลายลูกเลย

แตงโมที่วางเคียงข้างกันก็เลยถูกเมิน

พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผา (Karga Buddha)


หน้าตาของรถโฟร์วีลที่ใช้ขึ้น Fairy Meadow

ข้าวหมกไก่ อาหารที่เราฝากท้องแทบทุกมื้อ - ลูกเชอร์รีผลโต รสหวาน ที่ไกด์ยกมาให้ชิม


กระโดดแตะปลายฟ้าที่ปากีฯ - ถนนขึ้นเขา เป็นทางแคบๆ คนขับต้องบีบแตรแทบตลอดทาง

ไม่มีความคิดเห็น: