หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กระโดดแตะฟ้าที่ปากีฯ (ตอนจบ)

โดย : กมลทิพย์ ภาสวร


ถ่ายจากมุมชมวิวที่ดุยการ์


วันนี้ที่พักของเราเป็นโรงแรมระดับหรู ชื่อ Eagle Nest ตั้งอยู่บนภูเขาสูง เราสามารถเดินขึ้นไปชมจุดชมวิว ดุยการ์ (Duikar)

ที่อยู่ห่างโรงแรมไปเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง เมื่อขึ้นไปเราจะเห็นหมู่บ้าน Hoper อยู่ด้านล่าง และยอดเขาล้อมรอบตัวเรา โดยมียอด เลดี ฟิงเกอร์ (Lady Finger) เป็นยอดแหลม โผล่ขึ้นมา ดูคล้ายนิ้วของหญิงสาว เป็นยอดดึงดูดความสนใจ ให้ทุกคนขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างใกล้ชิดและลองยกมือนิ้วเทียบ แต่ไม่ทราบว่าเป็นนิ้วของชนชาติไหน เพราะเมื่อนำนิ้วของสาวๆ ที่ไปด้วยมาส่องเทียบ ก็พบว่า นิ้วของหญิงไทยแต่ละคนเล็กเรียวราวเทียนไขซะทุกนางไป


ตอนเช้า.... หลังจัดการมื้อเช้าที่โรงแรม เราก็ไปเที่ยว บัลติท ฟอร์ด (Baltit Fort) ซึ่งตั้งอยู่บนเขา เราต้องลงจากรถเดินเท้าขึ้นไปราว 15 นาที ระหว่างทางเราผ่านโรงเรียนขนาดใหญ่ ครูใหญ่เรียกเด็กมา(และจัดแถว)ให้เราถ่ายรูป และขอให้เราส่งรูปกลับไปให้ครูใหญ่ด้วย เรารับปากด้วยความยินดี

ป้อมปราการแห่งนี้มีลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นบนภูเขา ตัวอาคารทึบมีเจาะทำเป็นหน้าต่างเล็กๆ อยู่โดยรอบ แต่จำนวนไม่มาก มีการต่อเติมห้องภายหลัง มีลักษณะยื่นออกมาทำจากไม้และมีหน้าต่างทรงสูงรอบห้อง
ประวัติความเป็นมาของป้อมปราการนี้เล่ากันว่า สร้างขึ้นเมื่อ 700 กว่าปีที่แล้ว Ayasholl ผู้ครองเมืองฮันซ่าได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง Shah Khatoon แห่งเมือง Baltistan ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า 'ทิเบตน้อย' ดังนั้นสถาปัตยกรรมของป้อมปราการจึงมีกลิ่นอายของศิลปะแบบทิเบต (บางส่วนคล้ายพระราชวังโปตาลา ในเมืองลาซา) และต่อมาได้รับการก่อสร้างเพิ่มเติม ปรับปรุง ในแบบฉบับของผู้ครองเมืองฮันซ่า ต่อมาในช่วงที่อังกฤษเข้าปกครอง ได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มห้องขึ้นในสไตล์อังกฤษ ตกแต่งหน้าต่างด้วยกระจกสี

บัลติ ฟอร์ต ได้เป็นที่พำนักอาศัยอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งปี พ.ศ.2488 ผู้ครองเมืองฮันซ่าคนสุดท้าย มีร์ โมฮัมมัด จามาล์ ข่าล (Mir Mohammed Jamal Khan) ได้ย้ายพระราชวังลงมาที่เชิงเขา ฟอร์ตถูกปล่อยทิ้งว่าง จนเริ่มทรุดโทรม

ในปี พ.ศ.2534 นั้นเองที่ เจ้าชาย กาซานฟาร์ อาลี ข่าล (Prince Ghazanfar Ali Khan) ลูกชายของเจ้าเมืองฮันซ่าคนสุดท้าย ตัดสินใจยก 'บัลติ ฟอร์ต' ให้กับองค์กรสาธารณะการกุศลของบัลติ เพื่อดูแลและซ่อมแซมรักษาบัลติ ฟอร์ทต่อไป (โดยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศนอร์เวย์และฝรั่งเศส) ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้น 6 ปี ก่อนที่จะให้เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีโอกาสเยี่ยมชมความงามของ บัลติ ฟอร์ต แห่งนี้

ขาลงเราแวะเที่ยวตามร้านขายของที่ระลึก แต่ช่วงนี้คล้ายเมืองร้าง แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย

“ผมว่านะ ปากีสถานมีสถานที่สวยงามมากๆ น่าเสียดาย ไม่มีใครกล้ามาเที่ยว เพราะมีข่าวความไม่สงบภายในประเทศ ทั้งๆ ที่มันก็อยู่คนละที่“ เจ้าของร้านออกมาปรับทุกข์กับลูกค้า พวกเราเข้าใจดี เพราะสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากบ้านเราที่มี ที่มีข่าวทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้นักท่องไม่กล้าเดินทางเข้ามาเที่ยว

พวกเราขึ้นรถอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังหุบเขา พักที่หมู่บ้าน กุลมิท (Gulmit) หมู่บ้านเก่าแก่ อายุกว่า 700 ปี ที่ชาวบ้านยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม ปลูกไร่ข้าวสาลี แอพริคอท มันเทศ และยังทอผ้าขายนักท่องเที่ยว

บ้านเรือนที่นี่ใช้หินขนาดใหญ่มาก่อเป็นกำแพง ทรงสี่เหลี่ยม ดูเหมือนกล่องสีเทา เรียงกระจัดกระจายไปทั่ว บ้านแต่ละหลังมีแปลงผักอยู่ข้างๆ บ้าน แปลงผักของเขามีการเซาะเป็นร่องให้น้ำไหลยามฝนตก มองไปดูคล้ายงานศิลปะอย่างหนึ่ง เขาถึงว่าศิลปะมีอยู่ทุกสิ่งในการดำเนินชีวิต หมู่บ้านโอบล้อมด้วยเทือกเขา ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมาแวะพัก สังเกตได้จากจำนวนโรงแรมที่มีอยู่ไม่น้อย แต่ตอนที่ไปเยือน (น่าจะ) มีเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มเดียว

ช่วงเย็นหลังเดินเล่นในหมู่บ้าน ฉันกับเพื่อนเห็นว่ายังเร็วไปที่จะหมกตัวอยู่ภายในห้องพัก เลยออกไปเดินเล่นที่กลางหมู่บ้าน พบเด็กๆ กำลังเล่นวอลเลย์บอล เลยขอร่วมทีม

“เชิญเล่นด้วยกันเลย” พวกเขาใจดีให้เราเข้าร่วมทีม แม้จะทำให้พวกเขาเสียเวลากับความเงอะงะ เขาก็ไม่บ่น กลับพูดเชียร์ทุกครั้งที่ตี(โดนลูก)ได้

“เด็กๆ ที่กุลมิท น่ารักมาก” คำกล่าวที่ได้ยินมาจากนักท่องเที่ยวคนอื่นพูดกับเรา ไม่ต้องพิสูจน์ก็เชื่อว่าเป็นความจริง

เช้านี้ หลังออกจากโรงแรม เราไปทำกิจกรรมให้หวาดเสียวหัวใจเล่น นั่นคือ การเดินข้าม Hussaini Bridge ซึ่งเป็นสะพานไม้ชั่วคราวที่ยาวที่สุดในเอเชีย คือมีขนาดความกว้าง 6 ฟุต ยาว 600 ฟุต สภาพของสะพานมีเพียงไม้มาวางพาดๆ ตอกเหล็กซ้ายขวา มีลวดขนาดใหญ่เป็นราวให้เราจับระหว่างทาง พวกเราพากันเดินอย่างระมัดระวัง (ค่อยๆ ก้าวขานั่นเอง) จนเมื่อถึงอีกฝั่ง ฮาบิบบอกให้เราดูชาวบ้านที่กำลังเดินข้ามสะพานมา พวกเธอเดินได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วยิ่งนัก

เรากลับขึ้นรถอีกครั้ง คนขับพาเราไป บอริธ เลค (Borith Lake) ทะเลสาบขนาดใหญ่สีเขียวใส มีภูเขาโอบล้อม สวยงามมาก มีเกสต์เฮ้าส์ให้นอนดื่มด่ำกับบรรยากาศได้ แต่น่าเสียดายเมื่อตอนที่เราไปถึง เริ่มมีพายุ ฝนตก ไม่สามารถออกเสพความงามของสถานที่ได้อย่างใกล้ชิด เราจึงพักดื่มชา รอให้ฝนหยุด แต่ก็ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ เราเลยรีบวิ่งขึ้นรถ มุ่งหน้าไปเมือง ซุส (Sust)

ระหว่างทางไปนั้น มองออกไปนอกรถ สายตาก็ไปเห็นกลุ่มยอดเขาที่อยู่ด้วยกัน มองไปคล้ายเป็นมงกุฎ แต่บางคนที่พิสมัยการกิน (เช่นฉัน) ก็บอกว่า เหมือนโคนไอศกรีมถูกคว่ำอยู่มากกว่า หมอกบางๆ ที่ลอยอยู่รอบๆ ภูเขา ทำให้ดูเหมือนภูเขาเหล่านั้นลอยอยู่เหนือพื้นดิน

เรารีบบอกคนขับให้ช่วยหยุดรถเพื่อลงไปถ่ายรูป ฮาบิบบอกว่า ยอดเขาที่เราเห็นนั้นอยู่ที่ใกล้หมู่บ้าน พาสสุ (Passu) ยอดเขาที่เห็นคือ Tupopdan สูงถึง 6,106 เมตร

ขณะที่เรากำลังถ่ายรูป เราพบชาวบ้านผู้หญิง 2 คน 2 วัยเดินคู่กันมา เราเอ่ยปากขอพวกเธอถ่ายรูปด้วย เพราะผู้หญิงบางหมู่บ้านของที่นี่จะไม่ยอมให้ถ่ายรูป ซึ่งต่างจากผู้ชายที่ยินดีให้ถ่ายรูป เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม พวกเราดีใจยิ่งนัก ฉันเลยขอกอดป้าแกด้วย (ป้าแกดูใจดีมากๆ)

รถแล่นต่อไปไม่นานนักก็ถึงเมืองชายแดนซุส ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนหลักยาวราว 1 กิโลเมตรได้ ที่นี่มีร้านขายของชำใหญ่ๆ 2-3 ร้าน ภายในร้านมีขายทั้งของใช้ ของกินและถั่วชนิดต่างๆ และมีผลไม้ตากแห้ง โดยเฉพาะ อินทผาลัม ที่มีให้เลือกทั้งแบบหวานมาก หวานน้อย ผู้คนที่นี่ นอกจากจะเป็นชาวปากีฯ แล้ว เราพบคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นคนงานสร้างถนน ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเราซึ่งหน้าจืดๆ จึงมักเอ่ยปากทักเป็นภาษาจีนใส่ เราได้แต่โบกมือบอกว่าไม่ใช่ๆๆ

สิ่งที่ดึงดูดสายตาและกล้องถ่ายรูปอของพวกเราในเมืองนี้คือบรรดา รถบรรทุก ที่จอดกันอยู่เรียงรายนับสิบคัน เพราะรถบรรทุกของที่นี่มีการตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม ไม่มีใครยอมใคร แม้กระทั่งล้อ เจ้าของรถดูจะมีความภูมิใจมาก หากเราไปขอถ่ายรูปรถของเขา บางรายใจดี ให้โอกาสสาวๆ อย่างเราไปนั่งหลังพวงมาลัยด้วย

“เขาเข้าใจตั้งชื่อนะ 'เมืองสุด' เพราะสิ้นสุดปากีฯ แล้ว“ เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะของคนในกลุ่ม

“วันนี้เราอาจจะถึงเมืองสุดท้าย แต่พรุ่งนี้เราจะเริ่มต้นเข้าสู่อีกดินแดนหนึ่งต่างหาก” ฉันบอกกับตัวเอง

พร้อมกับจินตนาการสู่การเดินทางไปด่านกุนจีราบ...ชายแดนที่สูงที่สุดในโลก

ที่ตั้งของโรงแรม Eagle Nest สามารถเห็นวิวภูเขาได้อย่างชัดเจน

 บัลติฟอร์ท ตั้งตระหง่านบนเขา

ต้นมัลเบอรี่ที่ขึ้นตามทางเหมือนต้นตะขบบ้านเรา - แปลงผัก ภูมิปัญญาชาวบ้านที่หมู่บ้านกุลมิท

เด็กๆ ที่นี่เป็นนางแบบนายแบบที่ใครๆ ก็อยากบันทึกภาพพวกเขา - ร้านขายของที่ระลึกที่ช่วงนี้เงียบเหงามาก


 
สะพานไม้ Hussaini ที่ดูสภาพแล้วไม่น่าเชื่อว่ายังใช้อยู่ - รถบรรทุกที่ตกแต่งอย่างบรรเจิดกับเจ้าของรถที่ภูมิใจนักหนา

ไม่มีความคิดเห็น: