หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฮ่องกง @ first flight


ถ้าไม่นับ เกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา หรือ พรีเมียร์ลีก ฮ่องกงถือเป็นอีกภาพที่แนบสนิทกับสังคมไทย (และคนไทย) มาแต่ไหนแต่ไร

 ครั้งหนึ่ง... อิทธิพลของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคมถูกนำเสนออย่างโจ่งแจ้งผ่าน "สงครามฝิ่น" ทำให้ฮ่องกงหลุดจากเล็บมังกรยาวนานถึง 99 ปี

 หลังก้าวข้ามศตวรรษใหม่ ที่นี่กลายเป็นขุมทองของคนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้ง "หลี่เสี่ยวจิน" กับ "หลี่เฉียว" ในการสร้างตำนานความรัก 3,650 วันให้ใครต่อใครหลงใหล รวมทั้งโลกอีกด้านหลังความศิวิไลซ์ของ "เฉินฮ่าวหนาน" และผองเพื่อนในแก๊ง "หงซิ่ง" จนมาถึงการชิงไหวชิงพริบระหว่าง "อาเหยิน" และ "อาหมิง" ในโชคชะตาที่ทั้งคู่ไม่อาจเลือก
 นอกจาก ความรู้สึกถึงศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเอเชียตะวันออกในยุคหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นที่จดจำสำหรับฮ่องกงทั้งสิ้น




 ใครบางคนบอกว่า โจ๊กฮ่องกงเจ้าอร่อยจริงๆ ต้องกินที่ฮ่องกง เหมือนกับที่ใครอีกหลายคนบอกว่า ชอปปิงให้สนุกจริงๆ ก็ต้องเดินละลายเงินที่ฮ่องกง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฮ่องกงก็ยังดูเป็นอะไรที่มากกว่าเขตการปกครองพิเศษของจีนอยู่ดี


 รูปร่างของเกาะใต้อาณาเขตจีนแผ่นดินใหญ่ แทบถูกทำลายไปจากความทรงจำทั้งหมด เมื่อได้เห็นข้อมูลจากบรรดากูรูทั้งหลายที่แปะป้ายรีวิวเอาไว้ ได้ยินเรื่องราวที่ชวนให้นึกตามไม่ทันจากปากใครต่อใครที่เคยเดินเล่นบนเนื้อที่ขนาด 2 เท่าของเกาะภูเก็ตแห่งนี้


 บ้านหลังที่สองของคนจีน ศูนย์กลางธุรกิจบันเทิง แหล่งชอปปิง เป็นสาวสมัยที่มีจริตจก้านอย่างที่เหล่านักเดินทางชอบเปรียบเปรยเอาไว้ให้ยวนใจเล่น


 หรือย่านศาลเจ้าที่ไม่ว่าใครก็ไปจน "ปรุ" หมดแล้ว 


 แล้วฮ่องกงจริงๆ เป็นอย่างไร
 สำหรับคนที่เพิ่งเคยมาฮ่องกงเป็นครั้งแรก เว้นช่องว่างเอาไว้ค่อยมาตอบทีหลัง คงไม่ผิดกติกา
 ...ใช่ไหม



ตะลอนเมืองฮวงจุ้ย

 ฮ่องกง เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของหมู่เกาะทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ประกอบด้วย เกาะฮ่องกง เกาะเกาลูน เขตดินแดนใหม่ (New Territories) รวมทั้งเกาะเล็กเกาะน้อยอื่นๆ โดยมีดอกชงโค (Bauhinia Blakeana) เป็นสัญลักษณ์


 ด้วยสภาพภูมิประเทศที่อยู่ติดกับมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทำให้ภาษาพูดส่วนใหญ่ของชาวฮ่องกงนอกจาก อังกฤษ และแมนดาริน (จีนกลาง) ก็คือ กวางตุ้ง


 ในภาพยนตร์หลายเรื่อง (ที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงประเภท "ทั่วโลก") มักใส่ฉากในฮ่องกงเป็นส่วนประกอบ ที่นี่กลายเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งของโลกไปโดยปริยาย พอๆ กับการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีนก็ยิ่งทำให้ภาพในหนังดูสมเหตุสมผลขึ้น


 แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าจะละเลย "ฮวงจุ้ย" อันเป็นที่สุดอีกอย่างหนึ่งของเกาะชัยภูมิท้องมังกรแห่งทะเลจีนใต้ไปได้ เพราะไม่ว่าจะด้วยรูปทรงตึก รูปปั้นตามคติจีนโบราณ แผนผังเมือง หรือตัวเลขที่ปรากฏอยู่ตามท้องถนน ทุกอย่างล้วนสะท้อนถึงเรื่องนี้แทบทั้งสิ้น


 "80 เปอร์เซ็นต์ของคนฮ่องกงเชื่อเรื่องนี้อย่างไม่มีอะไรสงสัยครับ" อมรเทพ ทองคุ้ม หรือ อาร์ม ไกด์ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในฮ่องกงมากว่า 10 ปียืนยันผลสำรวจของคนที่นี่ ไม่เพียงเท่านั้น หลักสูตรเหล่านี้ ยังมีการเปิดสอนในระดับปริญญา ที่คณะฮวงจุ้ย (Fengsui) มหาวิทยาลัยซัวเถา ของ ลี กา ชิง มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของฮ่องกงอีกด้วย


 ว่ากันว่า การทำฮวงจุ้ยนั้น ก็เพื่อธุรกิจการงานเจริญก้าวหน้า มีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีโชคมีลาภ และโอกาสที่ดี มีความมั่นคง มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชู มีบุตร-บริวารที่ดี มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีชื่อเสียงได้รับการยกย่อง


 ด้วยจำนวนประชากรที่มากมายบวกกับธุรกิจที่เจริญเติบโตบนเกาะ การขยับขยายอาคารสำนักงาน หรือที่อยู่อาศัยจึงเป็นแบบแนวตั้งมากกว่าแนวนอน ทำให้ทัศนียภาพส่วนใหญ่นอกจากภูเขาก็คือ บรรดาตึกระฟ้า ที่ถูกวางตามหลักฮวงจุ้ย


 อย่างหมู่ตึกตลาดหลักทรัพย์ มีจุดเด่นอยู่ที่ รูปปั้นควาย ซึ่งเชื่อว่า ควายเป็นสัตว์ทนแดดทนฝน เปรียบเสมือนดังตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะผันผวนเพียงไร ยังคงรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี


 หรือมหากาพย์สงครามฮวงจุ้ยระหว่างปากกระบอกปืนใหญ่ของ HSBC ซิตี้แบงค์ กับคมดาบของ Bank of Chaina (ฝ่ายหลังนี่ดีถึงขนาดที่เจ้าสัวแบงก์กสิกรของไทยต้องเดินทางไปติดต่อเจรจาขอซื้อแบบเพื่อมาสร้าง) แม้แต่ Bank of America ก็ยังต้องทำฮวงจุ้ยด้วย ดูได้จากตัวตึกที่ส่วนของหน้าต่างจะมีการตัดด้วยสีแดงทุกๆ 9 ชั้น


 แม้กระทั่ง Symphony of lights ได้ชื่อว่าเป็นการแสดงแสงสีเสียงกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดซึ่งบันทึกโดย Guinness World Records ก็เป็นกิจกรรมเพื่อกระตุ้นความเป็นมงคลทางฮวงจุ้ยอีกด้วย


 ไม่ว่าฮวงจุ้ยย่านธุรกิจการเงินของธนาคารบนเกาะฮ่องกง จะมีการฟาดฟันกันชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใครหรือยอมถอยจนกลายเป็นสงครามฮวงจุ้ยที่ต้องสู้รบกันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ที่เกาะแห่งนี้ก็มีกฎหมายเฉพาะของฮวงจุ้ยที่จะไปใช้ต่อสู้กันในชั้นศาลเพื่อยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้นหากมีการก่อสร้างเชิงรุกรานตึกอื่นๆ
 เรียกว่า ถึงจะเอาด้วยมนต์คาถา แต่ก็ยังอยู่ในกติกามารยาทสังคมนั่นเอง



เปิดคัมภีร์นักช้อป


 นึกถึงฮ่องกง น้อยคนที่จะไม่นึกถึงการชอปปิง เพราะเป็นที่ร่ำลือกันในหมู่นักเที่ยวชาวไทยอยู่แล้ว สำหรับแหล่งสินค้าที่ถือว่าค่อนข้างครอบคลุมความต้องการของเหล่านักช้อป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลชอปปิง ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ที่ลดแล้ว ...ลดจริง


 "ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเท่านั้นนะครับ สินค้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิทัลรุ่นใหม่ เครื่องประดับ นาฬิกาหรู  หรือกระทั่งสินค้าเมดอินไชน่าเอง ก็มีให้เลือกซื้อ" อาร์มเล่าให้ฟัง


 ...ที่สำคัญ
 "เดินกัน 3 วันไม่จบ ผมรับรอง" เจ้าถิ่นสำทับด้วยเสียงหัวเราะ


 ตามคำแนะนำของเขา เริ่มจากฝั่งฮ่องกง แหล่งชอปปิงแหล่งแรกที่พลาดไม่ได้ คือ ย่าน Causeway Bay เป็นศูนย์รวมของห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ มากมาย อาทิ SOGO และ Mitsukoshi  ห้างญี่ปุ่นที่มีทุกอย่างตั้งแต่อาหารไปจนถึงรองเท้ากีฬา ใกล้ๆ กันก็คือ Islan Beverlay เป็นแหล่งรวมร้านค้าเล็กๆ ด้านหลัง Islan Beverlay ก็คือ Fashion Island ที่มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ รวมถึงบูติคของดีไซเนอร์ชื่อดังให้เลือกซื้อ
 "คนไหนมองหาอุปกรณ์ไฮเทค และซอฟต์แวร์ต่างๆ ผมแนะนำ In Square ศูนย์ร

วมคอมพิวเตอร์ที่อาคาร Windsor House บนถนน Great George แล้วข้ามไปอีกฝั่งถนนของย่านนี้ก็จะถึง Time Square ชอปปิงมอลล์ขนาดใหญ่ที่มีทั้ง Mark & Spencer, Land Crawford บูติค ร้านค้า ศูนย์อาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยครับ"


 ส่วนใครที่ชอบของโบราณต้องไปที่ถนน Hollywood ในเขต Central แหล่งรวมร้านศิลปะ ของโบราณ และงานฝีมือต่างๆ ทางด้านใต้ของถนนนี้คือ SoHo มีย่านร้านอาหารเก๋ๆ ใกล้ๆ กันจะเป็น Lan Kwai Fong ย่านบาร์ และผับ แหล่งแฮงค์เอาท์ยามราตรี ห่างไปไม่ไกลนักบนถนน Stanley ถือเป็นแหล่งรวมอุปกรณ์กล้องถ่ายรูป


 สำหรับ ฝั่งเกาลูน ก็ใช่ว่าจะน้อยหน้า เพราะสินค้า และความหลากหลายก็มีไม่แพ้กับฝั่งฮ่องกงเหมือนกัน
 "ฮิตที่สุดก็ Tsim Sha Tsui กับ Mokok เลยครับ" อาร์มนำเสนอ


 ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า Tsim Sha Tsui ถือเป็นย่านที่ "มีทุกอย่าง" ตั้งแต่ถนน Granville แหล่งขายสินค้าราคาพิเศษจากโรงงาน แหล่งแฟชั่นนิสต้าอย่าง Beverley Commercial Centre  บนถนน Chatham Road South แหล่งขายกล้องมือสองที่ Champagne Court Arcade ถนน Kimberley


 หากต้องการสินค้าพื้นเมืองของจีน อาร์มบอกว่าร้าน Chinese Arts & Crafts ที่ตึก Star House ใกล้ๆ กับท่าเรือ Star Ferry น่าจะเหมาะกับนักช้อปย่านนี้ และใกล้ๆ กันก็คือ Harbour City ชอปปิงมอลล์ที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกงซึ่งรวมร้านค้าถึง 700 ร้าน ด้านหน้าของ Harbour City คือถนน Canton มีร้านบูติคหรูของแบรนด์ดังต่างๆ ตั้งอยู่ ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มีอาคาร One Peking Road จะประกอบไปด้วยอินเตอร์แบรนด์ และภัตตาคาร


 "แต่ถ้าอารมณ์ประมาณคลองถมบ้านเราก็ต้องที่ Mokok ล่ะครับ" เขายืนยัน


 ที่นี่จะมีถนน Fa Yuen เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา ถนน Tung Choi ที่รู้จักกันในชื่อ Ladie’s Market แหล่งรวมเสื้อผ้า และเครื่องประดับต่างๆ ที่จะเปิดช่วงบ่ายถึงเที่ยงคืน ส่วนถนน Sai Yeung Choi จะมีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่าง กล้องดิจิทัล  โทรศัพท์มือถือ และ MP3 ให้เลือก รวมทั้ง Langham Place ชอปปิงมอลล์แห่งใหม่ที่มีตั้งแต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย


 ส่วนทริคในการเลือกของ หรือซื้อของนั้น ไกด์คนเดิมก็แนะนำว่า
 "แล้วแต่ชอบครับ" 



ไหว้เจ้าเสริมมงคล


 เมื่อฮวงจุ้ยเป็นวัฒนธรรมในการใช้ชีวิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวฮ่องกงก็ไม่ต่างอะไรกับวิถีชีวิตเหมือนกัน ภาพการไหว้เจ้าขอพร เครื่องรางของขลัง พิธีกรรมต่างๆ จึงกลายเป็นของชินตา (อย่าว่าแต่บ้านเขาเลย บ้านเราก็ได้รับอิทธิพลมาไม่ต่างกัน)


 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวมักนิยมมากราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลเมื่อมาเยือนฮ่องกง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะแห่งความมั่งคั่งแห่งนี้ก็คือ องค์พระใหญ่ (Giant Buddha) ที่ประดิษฐานอยู่บน วัดโป่หลิน (Po Lin) ของเกาะลันเตา


 "องค์พระสร้างจากการเชื่อมแผ่นสัมฤทธิ์ถึง 200 แผ่น หนัก 250 ตันและสูง 34 เมตรองค์พระหันพระพักตร์ไปยังเนินเขาเบื้องล่าง คนที่มาสักการะต้องผ่านบันได 268 ขั้น บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 371 เมตรก่อน" อาร์มบอก
 ที่สำคัญ หากวันไหนอากาศเปิด ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็สามารถเห็นองค์พระได้อีกด้วย


 เคล็ดลับในการไหว้ขอพรพระใหญ่นั้นอยู่ตรงบริเวณลานกลางแจ้งตรงหน้าบันไดทางขึ้น บริเวณนั้นเป็นจุดที่บรรดาซินแสจากทั่วโลกมาร่วมทำพิธี และดูฮวงจุ้ย ซึ่งความมหัศจรรย์อยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางของลานจะเหมือนถูกครอบอยู่ในแก้วใบใหญ่ หากยืนอยู่ตรงนั้นเสียงของเราจะเปล่งดังกังวาน


 "ถ้าเรายืนตรงนั้น แล้วหันหน้าไปทางพระใหญ่  ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ เราจะได้รับการถ่ายทอดพลังจากท่าน เพราะตรงนี้ คือพลังทั้งสามโลก พลังสวรรค์ คือ พลังที่เราได้รับจากองค์ท่าน พลังโลก คือ พลังของพื้นดินที่เรายืนอยู่ และพลังมนุษย์ คือ พลังในตัวเรามารวมกันนั่นเอง" เขาเผยเคล็ด


 วัดต่อมาสำหรับทำบุญปีชงตามความเชื่อของชาวจีนที่มีผู้คนแวะเวียนมากราบไหว้ตลอดทั้งปีก็คือ วัดแชกงหมิว หรือ วัดกังหันลม (Che Kung Temple) ตามความเชื่อที่ว่า การหมุนกังหันกลับทิศ จะช่วยหมุนชีวิตพลิกผันจากร้ายกลายเป็นดีได้ และการเริ่มต้นปีใหม่ หลังวันตรุษจีน จะต้องมีการแก้เคล็ดที่นี่ โดยกังหันลมจะพาชีวิตราบรื่นล้อลมและธุรกิจเงินทองวิ่งฉิว เหมือนกังหันลู่ลม


 "ธรรมเนียมการไหว้เทพเจ้าองค์นี้ เมื่อเข้าไปในศาล ยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นของท่าน ต้องอธิษฐานขอพรและมองหน้าท่านอย่างมุ่งมั่น จากนั้นจึงไปทำพิธี "หมุนกังหันแห่งโชคชะตา" โดยหลักการที่ถูกบอกต่อ คือ "มือซ้ายหมุนด้านซ้ายไปขวา ถ้าชีวิตในปีที่ผ่านมาไม่ดี ส่วนถ้าดีอยู่แล้วก็ให้หมุนกังหันกลับจากขวาไปซ้าย เมื่อหมุนกังหันเสร็จแล้ว ต้องไปลั่นกลองที่อยู่ด้านหลัง 8-9 ครั้ง เพื่อเป็นการบอกกล่าวกับเทพเจ้าว่า มีคนมาเคารพบูชา การลั่นกลอง เป็นธรรมเนียมรับต่อมาจากนักรบ ที่จะลั่นกลองรบเมื่อประสบชัยชนะหลังออกศึกนั่นเอง"


 และที่ขาดไม่ได้ก็คือ Repulse Bay ที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์กวนอิน และเจ้าแม่ทับทิม รวมทั้งเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ประดิษฐานอยู่ด้านข้างขององค์พระโพธิสัตว์ โดยเอาสองมือลูบจากเคราท่านลงมา แล้วกำมาใส่ในกระเป๋าของตัวเอง เหมือนกับเป็นเคล็ดว่าให้เงินทองไหลเข้าสู่กระเป๋าของเรา หรือหากต้องการมีอายุยืนยาวก็สามารถไปข้ามสะพานแดงเพื่อต่ออายุได้อีกด้วย


 แน่นอนว่า นอกจากแถวยาวเหยียดของบรรดานักแสวงบุญ (ทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ) ย่อมมีบางคำถามถึง ธรรมเนียมการกราบไหว้เหล่านี้ ตั้งใจให้เป็นกุศโลบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของฮ่องกงทางอ้อมหรือเปล่า


 ไกด์หนุ่มคนเดิมชี้ให้ดูคนเฒ่าคนแก่กำลังตั้งอกตั้งใจอธิษฐานต่อเจ้าแม่ทับทิมพลางให้คำตอบ


 "ของอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ครับ"


โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
@กรุงเทพธุรกิจ

ไม่มีความคิดเห็น: