หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ (4)

รัชกาลที่ 1 ครองราชย์ 27 ปี สวรรคตใน พ.ศ. 2352 ปีนั้นสหรัฐอเมริกาเพิ่งตั้งมาได้ 20 ปี


รัชกาล ที่ 1 มีพระราชโอรสพระราชธิดาหลายพระองค์คนสมัยก่อนมีเมียมากลูกมากเพราะยังไม่มีธรรมเนียมว่าผู้ชายต้องมีเมียเดียวยิ่งขุนนางยิ่งมีเมียมากเพราะมีปัญญาเลี้ยงดู เคยมีคนสันนิษฐานว่าเพราะผู้ชายมีเมียมากคอยรับใช้อยู่ในเรือนนี่เองจึง เรียกว่าเป็น “ขุน” ของ “นาง” นานเข้ากลายเป็นคำว่า ขุนนาง  ส่วนผู้หญิงที่มีบ่าวไพร่ข้าทาสบริวารอยู่ในบังคับบัญชามากจึงเป็น “ขุน” ของ “นาย” นานเข้าเลยกลายเป็นคุณนาย เท็จจริงไม่รู้!

ยิ่งพระเจ้าแผ่นดินก็ยิ่งมีคนอยากถวายลูกสาวเป็นเจ้าจอมหม่อมพระสนม เผื่อมีพระราชโอรสพระราชธิดาถวายตัวจะได้นับญาติเป็นขรัวตาขรัวยายพระองค์เจ้าเล็ก ๆ เหล่านั้น
ข้างพระเจ้าแผ่นดินเองจะไม่ทรงรับก็ทรงเกรงผู้ถวายจะเสียใจว่ารังเกียจ
ถ้าไม่โปรดก็แค่ไม่ทรงเรียกใช้กลายเป็น “เจ้าจอม” ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
ต่อเมื่อโปรดจนมีพระราชโอรสพระราชธิดาถวายจึงจะได้เป็น “เจ้าจอมมารดา”
ถ้าโปรดมากกว่านั้นก็จะตั้งให้เป็นพระสนมมีเครื่องยศหรูหรา

สมัยรัชกาลที่ 4 มีคนแห่ถวายลูกสาวเป็นเจ้าจอมกันมากจนวันหนึ่งต้องทรงประกาศ
“ปลดปล่อย” ให้เจ้าจอมที่ไม่มีลูกออกไปมีเหย้าเรือนหาคู่ใหม่ได้
เรียกว่าเป็นการพระราชทานสิทธิเสรีภาพหญิงก็ว่าได้ เพราะสมัยก่อนไม่มีทางทำได้เลย
แต่ถ้าเป็นเจ้าจอมมารดาคือมีพระราชโอรสพระราชธิดาจะขอลาออกไปมีสามีใหม่นั้น
ไม่ควรเพราะต้องรักษาพระเกียรติพระราชกุมาร


สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งเคยเป็นพระอาจารย์สอนหนังสือรัชกาลที่ 2 มาแต่ยังเป็นพ่อฉิม
ภายหลังได้สึกมาทำราชการจนเป็นพระยามีลูกมีเมีย เมื่อเจ้าฟ้าฉิมเป็นรัชกาลที่ 2
พระยาผู้นี้ต้องการแสดงความจงรักภักดีจึงถวายลูกสาว ตรัสว่าจะไม่รับก็เกรงจะเสียใจ
จะรับไว้ก็เห็นว่าเป็นลูกสาวครูบาอาจารย์ จึงให้รับพอเป็นพิธีแล้วพระราชทานต่อไปยังพระองค์เจ้าทับ
พระราชโอรสพระองค์ใหญ่จนมีพระโอรสคือพระองค์เจ้าชุมสาย เป็นต้นราชสกุลชุมสาย

ธรรมเนียมไทยสมัยก่อนไม่นิยมออกพระนามเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่ แต่หันไปเรียกสมญานามแทน
กษัตริย์ที่อยู่ปราสาทปิดทองจึงเป็นพระเจ้าปราสาททอง
กษัตริย์ที่ชอบเสวยปลาตะเพียนและปลูกวังอยู่ข้างสระคอยจับปลาเสวยจึงเป็นพระ
เจ้าอยู่หัวท้ายสระหรือขุนหลวงปลาตะเพียน ครั้งรัชกาลที่ 1 นั้น คนเรียกว่าแผ่นดินต้น เรียกรัชกาลที่ 2
ว่าแผ่นดินกลาง

พอถึงรัชกาลที่ 3 ก็ตกพระทัยว่าคนจะเรียกแผ่นดินปลายเกรงจะเป็นอัปมงคล

โปรดสังเกตภูมิปัญญาคนโบราณ ท่านให้หล่อพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร สูง 6 ศอก ทรงเครื่องจักรพรรดิ 2
องค์เอาไปไว้หน้าพระแก้วมรกต องค์หนึ่งถวายแผ่นดินต้น ตั้งชื่อว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
อีกองค์ถวายแผ่นดินกลาง ตั้งชื่อว่าพระพุทธเลิศหล้าสุราลัย (ต่อมารัชกาลที่ 4 เปลี่ยนเป็นนภาลัย)
และทรงแนะว่าใครจะเรียกชื่อรัชกาลไหนให้เรียกตามชื่อพระ เรียกบ่อย ๆ จะได้เป็นมงคล
ตั้งแต่นั้นมาคนไทยก็ยอมออกพระนามรัชกาลตามชื่อพระ

สมัยรัชกาลที่ 4 มีขุนนางเป็นสมเด็จเจ้าพระยา 2 คนพี่น้อง ไม่มีใครกล้าออกชื่อท่าน
เรียกกันแต่ว่าสมเด็จองค์ใหญ่ สมเด็จองค์น้อย มีแต่คนสมัยนี้มั้งที่จิกเรียกกันว่า
“ไอ้หมัก” “เจ๊หน่อย” “เทพเทือก”
“มาร์ค” “ปู่ชัย” “ไอ้เหลี่ยม”
“เจ๊มิ่ง”

แผ่นดินรัชกาลที่ 2 บ้านเมืองสงบร่มเย็น ข้าศึกศัตรูมีบ้างก็ประปราย
จึงโปรดให้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมบำรุงขวัญราษฎร เพราะเคยแต่รบมาเป็นสิบ ๆ ปีคงเซ็งแย่!
บัดนั้นโขนละครโนราชาตรีก็พลอยรุ่งเรืองขึ้น รัชกาลที่ 2 ท่านเป็นศิลปิน สีซอได้ แกะสลักได้
ปั้นหุ่นพระพุทธรูปได้ แต่งเพลงได้ ทั้งยังทรงเป็นกวี
ทรงแต่งได้ตั้งแต่เรื่องชาวบ้านร้านตลาดถกผ้าด่าทอกันอย่างเรื่องขุนช้างขุน แผน สังข์ทอง
จนถึงเรื่องวงศ์เทวากระยาหงันอย่างเรื่องอิเหนาซึ่งไพเราะนักหนา

อย่าลืมว่าท่านประสูติเป็นคนธรรมดา เป็นพ่อฉิมบ้านอัมพวานี่เอง เคยลงน้ำ ปีนต้นหมาก ทำสวนทำไร่
ขี่ม้าก้านกล้วย กัดปลา ชนไก่ เวลาทรงแต่งขุนช้างขุนแผนหรือบทละครพื้นบ้านจึงเด็ดนัก
ข้อสำคัญคือทรงมีเสน่ห์เอาการเพราะวาทะโวหารหวานนัก ไม่เชื่อลองไปอ่านเรื่องอิเหนาดู

ครั้งยังเป็นเจ้าฟ้าลูกเธอ เคยมีหม่อมคนสำคัญคือหม่อมเรียม ลูกสาวเจ้าเมืองนนทบุรี มีพระโอรสคือ
“พ่อทับ” ที่ต่อไปจะได้เป็นรัชกาลที่ 3 ต่อมาไปโปรดเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด
พระธิดาสมเด็จพระพี่นางพระองค์น้อยของรัชกาลที่ 1 พูดง่าย ๆ ว่าเป็นลูกสาวของป้าจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ฝีมือเจ้าฟ้าบุญรอดเป็นเลิศทางการครัว กับข้าวคาวหวานแกะสลักผักผลไม้ เจ้าฟ้าฉิมจึงทรงไปมาหาสู่อยู่ร่วม
2 ปี

รัชกาลที่ 1 กริ้วมากว่าพระเจ้าลูกเธอลบหลู่ผู้ใหญ่ไม่ยำเกรง ไม่ให้ขึ้นเฝ้าฯ ทั้งยังทรงจับแยกกัน
เจ้าฟ้าฉิมตรอมพระทัยอยู่นาน เข้าใจว่าระหว่างนั้นเองที่ทรงพระนิพนธ์กาพย์ชมเครื่องคาวหวานฝีพระหัตถ์
เจ้าฟ้าบุญรอดตั้งแต่มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง จนถึงของหวาน เช่น

ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดชิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง

คนสมัยก่อนอ่านกาพย์บทนี้แล้วอมยิ้มเพราะข้อความนี้คือความในพระทัยรำลึกถึงความหลังครั้งที่เคยเสด็จไปมา
หาสู่กันร่วม 2 ปี

เมื่อครองราชย์แล้วทรงรับเจ้าฟ้าบุญรอดเข้ามาเป็นพระมเหสี
และต่อมาแม้จะทรงมีพระภรรยาเจ้าอีกเท่าไรก็ไม่ทรงยกผู้ใดขึ้นเป็นใหญ่เพราะ
เคยทรงปฏิญาณกับเจ้าฟ้าบุญรอดว่าจะไม่ยกย่องหญิงใดอีก เจ้าฟ้าบุญรอดเป็นพระราชชนนีของเจ้าฟ้ามงกุฎ
(รัชกาลที่ 4) และเจ้าฟ้าจุฑามณี (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์

ที่จริงรัชกาลที่ 2 ยังมีพระมเหสีอีก คือ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชธิดารัชกาลที่ 1
แม่ท่านเป็นลูกกษัตริย์ลาว แต่รัชกาลที่ 2 ก็ไม่ทรงยกย่องเป็นพระอัครมเหสี
แม้กระนั้นเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทรงหึงจนกริ้วไม่ตรัสด้วย เรียกว่าเลิกทำกับข้าวคาวหวานถวายเลยทีเดียว
รัชกาลที่ 2 เสด็จไปง้อก็ไม่ทรงเปิดประตูรับ

เรื่องราวของรัชกาลที่ 2 กับเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้าบุญรอดน่าสนใจมาก
เจ้าฟ้ากุณฑลท่านยังแรกรุ่นและงามนัก เมื่อรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา
คนจึงมักเปรียบเทียบพระองค์ว่าเป็นอิเหนา เจ้าฟ้าบุญรอดเป็นจินตะหรา เจ้าฟ้ากุณฑลเป็นบุษบา
บทเจรจาตัดพ้อต่อว่าระหว่างอิเหนากับจินตะหรา เช่น ตอนอิเหนาไปง้อแล้วจินตะหราไม่เปิดประตูรับ
หรือตอนจินตะหรางอนใส่บุษบาเมื่อเดินสวนทางกันมีอยู่จริงและตรงกันกับที่ รัชกาลที่ 2
ทรงง้อเจ้าฟ้าบุญรอด และเจ้าฟ้าบุญรอดกริ้วไม่ตรัสกับเจ้าฟ้ากุณฑล

พอรู้เรื่องเก่า ๆ อย่างนี้แล้ว อ่านอะไรก็สนุกขึ้นโขเลย!

เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีพระราชโอรสกับรัชกาลที่ 2 ที่เจริญพระชันษายิ่งใหญ่ต่อมาคือสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา
กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ต่อมาเป็นต้นราชสกุลมาลากุล คนในราชสกุลนี้ที่เรารู้จักดี เช่น ม.ล.ปิ่น มาลากุล

รัชกาลที่ 2 มีพระราชโอรสกับเจ้าจอมมารดาอื่น ๆ อีกหลายพระองค์ แต่ละพระองค์ได้เป็นต้นราชสกุลสำคัญสืบมา
เช่น พระองค์เจ้านวม ที่ต่อมาได้เป็นกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ต้นราชสกุลสนิทวงศ์
เจ้านายพระองค์นี้ยูเนสโกเพิ่งประกาศยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านการ แพทย์ การต่างประเทศ
พระองค์เจ้าปราโมช ต่อมาเป็นกรมขุนวรจักรฯ วังท่านอยู่ตรงที่ทุกวันนี้เรียกว่า
“วรจักร” เป็นต้นสกุลปราโมช พระองค์เจ้ากุญชร ต่อมาเป็นกรมพระพิทักษ์เทเวศร
วังท่านอยู่บ้านหม้อ เป็นต้นราชสกุลกุญชร

และยังมีราชสกุลอื่น ๆ อีกหลายสาย ไม่นับรวมที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินอีก 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่ 3 4
และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น: