หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สวรรค์บนดิน "มัลดีฟส์"

หลังอดีตประธานาธิบดีประกาศลาออก ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวลดลงกว่าเดิม แต่ผู้บริหารรีสอร์ทและบริษัททัวร์ยืนยันไม่กระทบมากนัก


เหตุรุนแรงทางการเมืองในประเทศหมู่เกาะแห่งมหาสมุทรอินเดียที่มีชื่อว่า “สาธารณรัฐมัลดีฟส์” กลายเป็นเมฆสีดำที่มาแปดเปื้อนดินแดนสวยงามแห่งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์บนดินมีรีสอร์ทหรูติดอันดับโลกให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนชมความงามทางธรรมชาติของที่นี่ เพราะไม่แน่ต่อไปดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้อาจถูกน้ำทะเลกลืน เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนก็เป็นได้



แม้ผู้บริหารของรีสอร์ทและบริษัททัวร์ต่างออกมายอมรับว่า นักท่องเที่ยวที่ขอยกเลิกการจองทัวร์ไปนั้น มีไม่มากเท่าไหร่หรอก แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังการลาออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดี “โมฮัมเหม็ด นาชีด” เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เริ่มส่งผลต่อระบบสาธารณูปโภคของการท่องเที่ยว

นายโมฮัมเหม็ด ซิม อิบราฮิม เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่ง มัลดีฟส์ เปิดเผยว่า เหตุรุนแรงทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศมัวหมอง มัลดีฟส์จึงกลายเป็นอีกประเทศหนึ่งของตะวันออก กลางที่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นบนท้องถนน ข่าวในทางลบของความวุ่นวายในทางการเมืองส่งผลกระทบต่อหุ้นส่วนระหว่างประเทศและการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวอยากไปไหนก็ได้เพื่อการพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ที่เดียว

เมื่อปีที่แล้ว มีนักท่องเที่ยว 850,000 คน ส่วนใหญ่ระดับมีฐานะ มาพักผ่อนที่ดินแดนแห่งนี้ ส่วนใหญ่เพราะเสน่ห์ของสถานตากอากาศที่สร้างขึ้นมาบนเกาะน้อยใหญ่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มาก่อน แต่รายล้อมไปด้วยแนวปะการัง และน้ำทะเลสีฟ้าใส


มัลดีฟส์มีพื้นที่ราว 300 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะประมาณ 1,900 เกาะ ในจำนวนนี้ 200 เกาะเป็นที่อยู่อาศัย ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศศรีลังกาและอยู่ตอนปลายของประเทศอินเดีย ประชากร 349,106 คน

มัลดีฟส์เคยได้รับการโหวตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก โดยผู้อ่านนิตยสารท่องเที่ยว “คอนดิ เนส ทราเวิลเลอร์” เมื่อปี 2554

ภาคธุรกิจท่องเที่ยวทำรายได้ 1 ใน 3 ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และยังนำรายได้จากเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศอีกกว่าร้อยละ 60


ตอนแรกของเหตุวุ่นวายทางการเมืองนั้น จำกัดอยู่เฉพาะในกรุงมาเล เมืองหลวงของมัลดีฟส์ เมืองที่นักท่องเที่ยวอาจจะไม่เคยเห็น เพราะแค่มาลงเครื่องบินเสร็จแล้วก็รีบเดินทางด้วยเรือยนต์หรือเครื่องบินทะเล ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ขึ้นลงบนผิวน้ำได้ และไปยังจุดหมายสถานที่พักตามเกาะต่าง ๆ

นายโมฮัมเหม็ด มุยซ์ ลูกจ้างท้องถิ่นของรีสอร์ทบนเกาะคุรุมาธิ 56 กม.ทางตะวันตกของกรุงมาเล บอกว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไรเหมือนกับคนท้องถิ่น ซึ่งก็ต้องติดตามฟังข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ข่าวเคเบิลทีวี

แม้กระนั้นก็ตาม ออสเตรเลีย, อังกฤษ, เยอรมนี และ สหรัฐอเมริกา ได้ออกคำเตือนนักท่องเที่ยวในชาติของตน เรื่องการเดินทางมาเที่ยวที่มัลดีฟส์ในขณะนี้ เช่นเดียวกับจีน ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากแดนมังกรสูงถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด

จากนั้นเหตุรุนแรงก็ได้ลามจากกรุงมาเล ไปยังเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมืองอัดดู เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ แต่ไม่ต้องห่วง ทางกองทัพได้ส่งกำลังทหารเข้าไปดูแลรักษาความสงบแล้ว รวมทั้งส่งกำลังทหารเข้าไปควบคุมดูแลความปลอดภัยของสนามบินกัน จุดขึ้นลงของเครื่องบินขาเข้าและขาออกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

นายอับดุลลา โซดิก นายกเทศมนตรีเมืองอัดดู บอกว่า นักท่องเที่ยวที่บินตรงออกจากรีสอร์ทรับรองว่าปลอดภัย แต่คงจะไม่มีใครอยากเข้ามาในเขตเมือง เพราะเขาเองก็ยอมรับว่า กฎหมายและความสงบเรียบร้อยดูเหมือนว่าจะถูกละเมิดอย่างสิ้นเชิง

นายอิบราฮิม โมฮัมเหม็ด เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับของทัช เอ็กโซติก้า แอนด์ สปา 8 กม.ทางใต้ของกรุงมาเล บอกว่า รีสอร์ทได้หยุดให้บริการพาทัวร์กรุงมาเลในช่วงกลางวัน เช่น ไปชอปปิง หรือ ชมวิว แต่จะพาไปเกาะอื่น ๆ แทน

นอกจากนั้นยังมีกลุ่มหัวรุนแรงจำนวนหนึ่งได้บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในกรุงมาเล และทำลายพระพุทธรูปโบราณ

นายอาเหม็ด ซาเลห์ ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและวัฒนธรรม กล่าวว่า ไม่มีอันตรายโดยตรงกับนักท่องเที่ยวแน่นอน ธุรกิจท่องเที่ยวยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ไม่มีนักท่องเที่ยวหนีออกจากเกาะ ความปลอดภัยของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของรัฐบาล

หลายต่อหลายคนยังคงมีความหวังที่จะได้ไปเยือนดินแดนแห่งความสวยงามแห่งนี้ ขอแค่ความสงบจงกลับคืนมาสู่ “มัลดีฟส์” ด้วยเถอะ.

วิญญู ศรีนาง

ไม่มีความคิดเห็น: