หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

ตาม “มูกาเบ” ไปท่อง “ซิมบับเว”

โดย : ลิเวอร์ เบิร์ด
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ประเทศซิมบับเวดูจะห่างไกลจากความสนใจของคนไทย จนกระทั่งตกเป็นข่าวเกี่ยวข้องกับการที่รัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงของรัฐบาลไทยถูกขึ้นบัญชีดำ

จากสหรัฐอเมริกาในข้อกล่าวหาว่า มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ โรเบิร์ต มูกาเบ ผู้นำจอมเผด็จการซิมบับเว ซึ่งสหรัฐคว่ำบาตรอยู่


ซิมบับเว ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา และเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับประเทศแซมเบีย ทิศตะวันออกติดกับประเทศโมซัมบิก ทิศตะวันตกติดกับประเทศบอตสวานา และทิศใต้ติดกับประเทศแอฟริกาใต้ มีพื้นที่ของประเทศ 390,580 ตารางกิโลเมตร และมีเมืองหลวงคือ กรุงฮาราเร


ในอดีตซิมบับเวได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของทวีปแอฟริกา แต่หลังจากปี ค.ศ. 2000 วิกฤตการณ์ในทุกมิติของประเทศส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมล่มสลาย โดยมีสาเหตุหลักมาจากการบริหารที่ล้มเหลวและการคอร์รัปชันของรัฐบาลมูกาเบ รวมถึงการขับไล่เกษตรกรผิวขาวกว่า 4,000 คน ตามนโยบายการจัดสรรที่ดินที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่เพียงเท่านั้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศก็ถูกกระทบด้วย ตัวเลขนักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง บริษัทท่องเที่ยวและโรงแรมหลายแห่งต้องปิดกิจการ สายการบินหลายแห่งระงับการบินเข้าออก


แม้ว่าปัจจุบันซิมบับเวจะถูกหลายประเทศคว่ำบาตร แต่ก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายของสัตว์ป่าหลายสายพันธุ์และน้ำตกอันเลื่องชื่อ


แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมและขึ้นชื่อของซิมบับเวคือ น้ำตกวิกตอเรีย ซึ่งถือเป็นม่านน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศบนแม่น้ำแซมเบซี คนที่ทำให้โลกได้รู้จักน้ำตกแห่งนี้คือ ดร. เดวิด ลิฟวิ่งสโตน นักสำรวจชาวอังกฤษชื่อดังในปี ค.ศ. 1855 และกลายเป็นพรมแดนทางธรรมชาติของซิมบับเวและแซมเบีย น้ำตกซึ่งถูกตั้งชื่อตามชื่อของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษแห่งนี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งของทวีปแอฟริกา และเป็นน้ำตกที่น่าประทับใจมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ชนเผ่าโคโลโลในศตวรรษที่ 18 เรียกน้ำตกนี้ว่า Mosi-oa-Tunya ซึ่งมีความหมายว่า หมอกควันอันเกรี้ยวกราด


สะพานวิกตอเรีย ฟอลล์ ซึ่งสูง 111 เมตร ในอดีตเป็นทางรถไฟแต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทายด้วยการกระโดดบันจี้ จั๊มพ์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นบนสะพานเพื่อชมวิวอันงดงามของน้ำตกและแม่น้ำแซมเบซี กิจกรรมยอดฮิตอีกอย่างคือ การล่องแพผ่านช่องแคบแซมเบซีในช่วงที่น้ำเชี่ยวที่สุดในเดือนในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม การพายเรือแคนูและคยัคก็สามารถทำได้ในช่วงน้ำนิ่ง


ซิมบับเวมีอุทยานที่ขึ้นชื่อหลายแห่งที่เหมาะแก่การท่องซาฟารี เช่น อุทยานแห่งชาติวานกี้ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ มีพื้นที่ทั้งหมด 14,620 ตารางกิโลเมตร วานกี้เคยเป็นสนามล่าสัตว์ของมซิลิกาซี กษัตริย์แห่งชนเผ่าซูลู อุทยานแห่งนี้เป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่า 100 สายพันธุ์ มีนกกว่า 400 ชนิด และยังเป็นอุทยานที่มีช้างป่าอาศัยอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งคือราว 40,000 เชือก รวมถึงต้นไม้กว่า 100 ชนิด วานกี้อยู่ห่างจากน้ำตกวิคตอเรียเพียง 2 ชั่วโมงหากเดินทางด้วยรถยนต์


ทะเลสาบคาริบา ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซมเบซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศติดชายแดนแซมเบีย มีพื้นที่ราว 7,770 ตารางกิโลเมตร คาริบาเป็นสวรรค์ของทะเลสาบน้ำใสสะอาดที่มีเกาะแก่งมากมาย รายรอบไปด้วยภูเขาและป่าอันเป็นทิวทัศน์ที่งดงามจนยากจะลืมเลือนได้ คาริบายังเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าและนกนานาชนิด ถือเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้


มาน่า พูลส์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของซิมบับเว และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศและอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแซมเบซี มีพื้นที่ป่าราว 2,196 ตารางกิโลเมตร สัตว์ป่าที่พบได้ที่นี่คือ ฮิปโป ช้าง แรด ควาย สิงโต ไฮยีน่า หรือหมาใน และละมั่งหลากชนิด จุดเด่นของมาน่า พูลส์ที่ไม่มีที่ไหนเหมือนคือ การที่นักท่องเที่ยวสามารถท่องซาฟารีได้โดยการเดินเท้าโดยลำพัง ไม่ต้องมีไกด์นำทาง เพราะมีทัศนวิสัยที่ดีและอันตรายจากสัตว์ป่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก การเดินท่องป่ายามเช้า พายเรือแคนู และท่องซาฟารีบนรถ ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวยิ่งสำหรับนักผจญภัย


อุทยานแห่งชาติมาโตโบ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองบูลาวาโย เมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มาโตโบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเป็นอุทยานที่มีเนินเขามาโตโบที่เต็มไปด้วยกองหินแกรนิต ซึ่งมีชื่อเสียงมาก และพลาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยว และยังมีถ้ำดังอย่างนสวัทตูกิและโพมองเว่ที่มีภาพวาดโบราณอยู่ภายใน


แม้ว่านักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินกับการท่องซาฟารี แต่ทริปสู่ซิมบับเวจะไม่สมบูรณ์ถ้าคุณไม่ได้ไปเยี่ยมชม เมืองโบราณเกรท ซิมบับเว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองมาสวินโก้ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ เกรท ซิมบับเวเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นอนุสรณ์สถานโบราณที่สำคัญที่สุดของทะเลทรายซาฮาร่าตอนใต้


กำแพงหลักของเมืองซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง เป็นกำแพงที่มีความยาว 244 เมตร สูง 10 เมตร หนา 5 เมตร สิ่งที่หลงเหลืออยู่ภายในกำแพงเมืองเป็นซากของความเจริญรุ่งเรืองในยุคศตวรรษที่ 12-15


...........................
ที่มา วิกิทราเวล, www.worldtravelguide.net, www.afrizim.com, www.uyaphi.com

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ซีล ทีม ซิกซ์ ฮีโร่ตัวจริง


ภายหลังประสบความสำเร็จในการปลิดชีพโอซามา บินลาเดน หัวหน้าก่อการร้ายตัวฉกาจจากเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์ หน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นกองกำลังพิเศษอีกครั้งในปฏิบัติการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ 2 คนที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกันเอาไว้มานานถึง 3 เดือนในโซมาเลีย

เจ้าหน้าที่สหรัฐยืนยันว่า หน่วยนาวี ซีล ได้ปฏิบัติการดังกล่าวก่อนรุ่งอรุณจริง แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐ (เพนตากอน) อ้างว่า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของปฏิบัติการ ทำให้ไม่สามารถยืนยันรายงานข่าวของสื่อได้ว่า หน่วยนาวี ซีล ที่ปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นซีล ทีม ซิกซ์ หน่วยเดียวกับที่บุกสังหารบินลาเดนถึงบ้านพักในปากีสถานเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

“ชนวัว” อำลาหน้าหนาวของเนปาล


ภาพของวัวหนักกวาครึ่งตันที่ก้าวเข้าสู่วงล้อมก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่กัน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องทั้งด้วยความกลัวและสะใจของฝูงชน อาจดูไม่แตกต่างจากาภพของการชนวัวในสนามของสเปน แต่นี่คือการชนวัวในสไตล์เนปาลที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปชมภาพอันน่าตื่นเต้นนี้บนเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในยุโรป


ทุกปีชาวเนปาลนัลพันคนจะเดินทางมาเพื่อชมการต่อสู้ของสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลมาคี ซันกราติ ในวันแรกของเดือน 10 ตามปติทินของเนปาล ซึ่งเป็นวันที่ชาวพื้นเมืองจะพากันเฉลิมฉลองฤดูหนาวที่กำลังจะสิ้นสุดลง ขณะที่ฤดูร้อนกำลังจะเริ่มต้น


แต่กรชนวัวของที่นี่จะต่างออกไปเพราะไม่มีมาทาดอร์มาทำหน้าที่บังคับ และวัวก็เป็นวัวพันธุ์พื้นเมืองซึ่งเป็นที่เคารพบูชาตามความเชื่อในศาสนาฮินดู

“การชนวัวเกิดขึ้นที่นี่นานมาแล้ว ปู่ของผมบอกว่ามันน่าจะมีมาแล้วกว่า 200 ปี การชนวัวจะมีการเปลี่ยนสถานที่จัดไปเรื่อย ๆ รอบ ๆ อำเภอนูวากต แต่ 6 ปีที่ผ่านมาเรานำการชนวัวที่มีอยู่ทั้งหมดมารวมกันเพื่อจัดเป็นการแข่งขันใหญ่เพียงหนึ่งเดียว” จานัก ราจ ดุงกานา ผู้จัดงานของหมู่บ้านทารูกาซึ่งห่างจากกรุงกาฐมัณฑุไปทางเหนือราว 80 กิโลเมตร บอกเล่า
วัวทั้ง 7 ตัวจะเข้าสู่สนามแข่งขันที่อยู่บนลานดินด้านหนึ่งของหมู่บ้านที่อุดสมบูรณ์ที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาของนูวากต โดยมีฝูงชนกว่า 5,000 นั่งชมอยู่บนสนามหญ้าและดินโคลนที่ลาดเอียงลงสู่สนามแข่งขันที่อยู่ตรงกลาง

นี่ไม่ใช่การแข่งขันที่จะทำเงินให้กับเจ้าของเหมือนอย่างในสเปน ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลจากกองทุนของหมู่บ้านเพียง 1,000 รูปี หรือราว 360 บาท ขณะที่ฝ่ายที่แพ้จะได้เงินรางวัลครึ่งหนึ่ง
ลูกวัวที่ได้รับการคัดเลือกจะถูกส่งเข้ารับการฝึกเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในเทศกาลนี้ทันทีที่คลอดออกมา พวกมันจะถูกขุนให้ผิวหนังมีความเหนียวทนต่อการต่อสู้ นั่นจึงทำให้การชนวัวของเนปาลต่างจากยุโรป พวกมันไม่ต้องต่อสู้กันจนเลือดตกยางออก เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหนื่อยและยอมแพ้ก็เป็นอันจบ คล้ายกับการกีฬาชนวัวกับคนของสเปนที่แค่เพียงไล่ขวิดเท่านั้น แต่ไม่ถึงกับทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิต


ผู้ชมที่มาเฝ้าดูการแข่งขันอย่างใกล้ชิดนั้นก็ต้องคอยระวังตัวด้วย เพราะแม้จะอยู่ในเขตปลอดภัยแต่หากวัวตัวนั้นเกิดหันมาพุ่งเข้าใส่ผู้ชม พวกเขาก็ต้องพร้อมที่จะหลบฉากเรื่องความบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ของที่นี่ เจ้าของและผู้จัดการจะคอยเอาไม้ไผ่แยงเข้าไประหว่างคู่ต่อสู้เพื่อแยกพวกมันออกจากัน หากว่าเห็นอีกฝ่ายกำลังจะได้รับบาดเจ็บ แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีวัวที่ได้รับบาดเจ็บเลย เครือข่ายสงเคราะห์สัตว์แห่งเนปาลเคยพบว่าวัวเคยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกระดูกหักมาแล้ว

“เราจึงต้องสอนพวกมันให้รู้จักการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก ผมจึงไม่ค่อยกังวลว่าพวกมันจะได้รับบาดเจ็บเท่าไหร่นัก เพราะผมไม่เคยเห็นว่าพวกมันต้องเจ็บมาก่อนเลย” โทย่า ปราสาด ดาคาล เทรนเนอร์วัววัย 48 ผู้มีประสบการณ์ในการสอนกว่า 19 ปี บอกเล่าการชนวัวในเนปาลอาจจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่สำหรับที่ทารูกานั้นเพิ่งเริ่มต้นเมื่อปี 1900 เท่านั้น โดยไจ ปริธวี บาฮาเดอร์ ซิงค์ กษัตริย์ของอาณาจักรบาจแฮงทว่าการชนวัวในสเปนมีประวัติศาสตร์มายาวนาน ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 16 แต่ปัจจุบันกลับได้รับความนิยมน้อยลง จากการสำรวจในปี 2008 มีชาวคาตาโลเนียเพียงร้อยละ 23 เท่านั้นที่ยังสนใจประเพณีโบราณนี้ ขณะที่การชนวัวในชุมชนเล็ก ๆ ของเนปาลนั้นกลับกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ


“ตอนนี้เรามีผู้ชมจำนวนนับพันคน แต่อีกไม่นานเชื่อว่ามันจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คนได้แน่ เพราะประเพณีนี้กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ” ซอราฟ ปราทานานกา นักเรียนจากกาฐมัณฑุที่เดินทางขึ้นมาชมการแข่งขันที่นี่คาดการณ์.

เจอร์นีแมน@เดลินิวส์

ปฏิบัติการเช็กบิลอาร์โรโย


คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยและคณะ เดินทางเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ หนึ่งในเพื่อนบ้านอาเซียนของเราเมื่อวันก่อน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระดับองศาเดือดของที่โน่น ซึ่งกรณีนี้แม้จะเป็นคนละเรื่อง คนละวาระกับการไปเยือน แต่เชื่อว่าคุณปูคงได้รับรู้สถานการณ์ รวมทั้งเบื้องหลังเบื้องลึกบ้าง ไม่มากก็น้อยวุฒิสภาฟิลิปปินส์ในกรุงมะนิลา เพิ่งเริ่มกระบวนการถอดถอน หรือ อิมพีชเมนต์ นายเรนาโต โคโรนา ประธานศาลฎีกา ออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา ตามข้อกล่าวหาทุจริต ประพฤติมิชอบในตำแหน่งหน้าที่ รวม 8 กระทง ถือเป็นประมุขฝ่ายตุลาการคนแรก ในประวัติศาสตร์วงการยุติธรรมของประเทศ ที่ถูกดำเนินการถอดถอนจากตำแหน่งการเล่นงานโคโรนาเป็นผลพวงสืบเนื่องจากการดำเนินคดีอาญาต่ออดีตประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย ผู้นำคนที่แล้ว โดยรัฐบาลของ ประธานาธิบดีเบนิกโน “นอยนอย” อาคีโน ที่ 3 ผู้นำคนปัจจุบัน ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นโกงการเลือกตั้งโคโรนาซึ่งถูกกล่าวหาว่าขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ช่วยเหลืออาร์โรโยเรื่องคดีความในศาลหลายคดี รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากอาร์โรโยให้เป็นประธานศาลฎีกา หลังจากอาร์โรโยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2553 ได้แค่ 2 วันอาร์โรโยประธานาธิบดีคนที่ 14 ของฟิลิปปินส์ และเป็นผู้นำ 2 สมัย สมัยแรกตอนเป็นรองประธานาธิบดี ได้ขยับเลื่อนชั้นตามรัฐธรรมนูญ หลังจากประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดา ถูก “พลังประชาชนภาค 2” เดินขบวนขับไล่ จนต้องลาออกจากตำแหน่ง อาร์โรโยทำหน้าที่แทนตั้งแต่ 20 ม.ค. 2544 จนครบวาระที่เหลือในปี 2547 คราวนี้เธอลงเลือกตั้งเป็นตัวหลัก และชนะได้เป็นประธานาธิบดีเต็มภาคภูมิ และอยู่ได้ครบวาระ 6 ปี ถึง 30 มิ.ย. 2553

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ธนบุรีศรีมหาสมุทร (6)


สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเลิกทัพกลับจากเขมรรีบเดินทางเข้ามายังกรุงธนบุรี มาถึงทุ่งแสนแสบแถวมีนบุรี หลวงสรวิชิต (หน) ออกไปรับและแจ้งข่าวว่าการจลาจลในกรุงธนบุรีสงบแล้ว พระยาสุริยอภัยเข้าคุมสถานการณ์ได้ ท่านก็รุดเข้ามาจนถึงวัดสะแกนอกเมืองบางกอก ถือโอกาสชำระสระสรงน้ำที่สระในวัดและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายขึ้นช้างมุ่งไปยังโรงพลับพลาหน้าวัดโพธาราม ซึ่ง ณ ที่นั้นขุนนาง ท้าวนางพญานาง ทหาร พลเรือนกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรรอรับอยู่อย่างพร้อมเพรียง

พูดถึงหลวงสรวิชิตผู้นี้เป็นนักปกครองและนักการเงิน ที่สำคัญคือเป็นกวีมีความรู้ดีทั้งภาษาไทย จีน มอญ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เป็นเจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีคลัง เป็นผู้กำกับดูแลการแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ไซ่ฮั่น ราชาธิราชเป็นภาษาไทย

ส่วนวัดสะแกนั้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงถือเป็นศุภนิมิตว่าได้ลงอาบน้ำชำระกายที่นั่นจึงให้บูรณะเป็นพระอารามใหญ่ พระราชทานชื่อว่าวัดสระเกศสืบมาจนบัดนี้


ที่โรงพลับพลาหน้าวัดโพธิ์ พระยาสุริยอภัยได้รายงานเหตุการณ์ ท้าวทรงกันดาลเชิญสมเด็จเจ้าพระยาลงเรือพระที่นั่งข้ามแม่น้ำไปยังพระราชวังธนบุรี นมัสการพระแก้วมรกตแล้วจึงเข้าว่าราชการในท้องพระโรง ขุนนางพร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินเพื่อระงับดับช่องว่างแห่งอำนาจที่เกิดขึ้น

พงศาวดารกล่าวว่าเมื่อสมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกรับการมอบราชสมบัติและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้วก็ได้ประชุมขุนนางพิจารณาชำระความผู้เกี่ยวข้องกับการก่อการจลาจลวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองและความบกพร่องของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในฐานะที่เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองในขณะนั้น ความจริงสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมิได้ทรงเกี่ยวข้องกับการจลาจล หากแต่ทรงเป็น “ผู้ถูกกระทำ” จากฝ่ายพระยาสรรค์ เจ้ารามลักษณ์ รวมทั้งพระยาสุริยอภัย แต่ขุนนางเสนาพฤฒามาตย์ในเวลานั้นดูจะตั้งธงเสียแต่แรกแล้วว่าผู้ปกครองเดิมไม่อยู่ในฐานะจะดูแลรักษาบ้านเมืองได้อีกต่อไป สมควรล้มล้างเปลี่ยนแปลง

บางทีการเมืองเบื้องหลังเรื่องนี้อาจเป็นว่าคนเหล่านี้เคยได้รับความคับแค้นข้องใจจากการบริหารราชการของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เช่น ถูกลงโทษบ้าง หรือจากการใช้อำนาจของข้าราชบริพารที่แอบอิงพระราชอำนาจกลั่นแกล้งเอาบ้างก็ได้

นอกจากนั้นอาจเชื่อมโยงกับตำแหน่งแห่งหนในทางราชการซึ่งมี “คนของรัฐบาลเก่า” ครองอยู่แล้ว ถ้าไม่หาทางโยกย้ายหรือปลดผู้คนเหล่านั้นแบบล้างบางไฉนเลยคนรุ่นใหม่ซึ่งอาจมีอาวุโสสูงจะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งได้ ตำแหน่งหน้าที่ในสมัยก่อนก็เหมือนเป็นตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการทั้งหลายในกรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา แม่ทัพนายกอง เจ้าเมือง ขุนทหารและตุลาการทั้งปวงก็เหมือนข้าราชการการเมือง ต้องเปลี่ยนผู้นำเสียก่อนจึงจะเปลี่ยนข้าราชการดังกล่าวได้

ปัญหามีอยู่ว่าจะยกเอาเหตุใดเป็นข้ออ้างให้ฟังดู “เข้าเค้า” หน่อยเพื่อสร้างความชอบธรรม “เหตุ” ที่เคยใช้มาตลอดในประวัติศาสตร์ไทยคือการไม่ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมจรรยาสัมมาปฏิบัติดังที่พระพิมลธรรมอ้างคราวยึดอำนาจจากเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ สมเด็จพระนารายณ์อ้างคราวยึดอำนาจจากสมเด็จพระเชษฐาธิราชและคราวยึดอำนาจจากสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา

ในที่สุดก็ได้มีมติให้จัดการสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับการจลาจลทางฝ่ายพระยาสรรค์

พงศาวดารกล่าวว่าการสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทำที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ ข้างพระราชวังธนบุรี แต่การถวายพระเพลิงตามโบราณประเพณีทิ้งช่วงเวลาไว้นานหลายปี จึงเป็นช่องว่างให้เกิดความกังขาว่ามีการสำเร็จโทษจริงหรือไม่ หรือจะมีการปล่อยตัวให้ท่านหลบหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ต้องแกล้งออกข่าวเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยว่าได้ถูกสำเร็จโทษแล้ว

พระราชโอรสธิดาบางพระองค์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกสำเร็จโทษด้วย โดยเฉพาะสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราชซึ่งเพิ่งเลิกทัพจากเขมรตามเข้ามา ครั้งแรกก็ว่าจะทรงอุปถัมภ์ชุบเลี้ยง แต่พระมหาอุปราชท่านยอมตายตามพระราชบิดา เจ้ารามลักษณ์ก็ถูกสำเร็จโทษ รวมทั้งพระยาสรรค์และขุนนางที่เป็นพรรคพวกร่วมคิดกันมาก็ถูกประหารเสียสิ้น

แม้คำพูดในเวลานั้นจะมีว่า “ตัดไม้อย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” ซึ่งเป็นหลักในการตัดสินคดี แต่พระราชโอรสธิดาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็มิได้ถูกสำเร็จโทษเสียหมด พระมเหสีและเจ้าจอมหม่อมพระสนม พระญาติพระวงศ์หลายพระองค์ก็ยังมีชีวิตต่อมา เพียงแต่ถูกถอดเป็นสามัญชน บางคนยังได้เข้ารับราชการจนได้ดีเป็นหมอหลวงในสมัยรัชกาลที่ 2-3 บางคนได้เป็นหม่อมห้าม (เมีย) เจ้านายในพระบรมราชวงศ์ใหม่ และมีลูกหลานเป็นเจ้า เช่น ราชสกุลกุญชร นพวงศ์ สุประดิษฐ์นั้นสืบมาจากทั้งราชวงศ์จักรีและราชวงศ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

สกุลสามัญที่มีบทบาทสำคัญในแผ่นดินและเป็นเชื้อสายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ยังมีอีกมาก เช่น สินสุข ณ นคร อินทรกำแหง เป็นต้น


กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นราชธานีต่อจากกรุงศรีอยุธยาอยู่ได้ 15 ปีก็ปิดฉากลง รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้ย้ายราชธานีข้ามฟากมาอยู่ฝั่งบางกอก เพราะทรงเห็นว่าแม้เป็นที่ลุ่มแต่ชัยภูมิดีกว่า มีทางหนีทีไล่จากข้าศึกศัตรูหลายทาง แต่สิ่งก่อสร้าง วัดวาอารามในกรุงธนบุรีก็ยังอยู่และได้รับการทะนุบำรุงมาเป็นลำดับ เช่น พระราชวังธนบุรีก็ให้ใช้เป็นที่ประทับของพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ซึ่งต่อมาเป็นรัชกาลที่ 2 วัดหงส์รัตนาราม วัดแจ้ง วัดอินทาราม วัดระฆัง วัดพลับก็ยังคงเป็นวัดสำคัญสืบมาจนบัดนี้

วันที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้ากรุงธนบุรีและรับราชสมบัตินั้นเป็นวันเสาร์ เดือน 5 แรม 9 ค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 เวลาบ่าย 2 โมงเศษ ตรงกับวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325

หลังจากนั้นก็ได้มีพระราชดำริให้ย้ายพระนครมาตั้งที่ฝั่งตรงข้าม มีพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที หรือ 06.45 น. ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325

ส่วนการปราบดาภิเษกพอเป็นสังเขปเพราะขณะนั้นยังไม่พร้อมมีขึ้นในวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน 2325 และมีการเฉลิมพระราชมณเฑียร (ขึ้นบ้านใหม่) ในวันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2325 เมื่อการสร้างพระนครเรียบร้อยแล้วจึงมีพิธีปราบดาภิเษกเต็มตามแบบแผนโบราณราชประเพณีอีกครั้งเมื่อปีมะเส็งสัปตศก จุลศักราช 1147 ตรงกับ พ.ศ.2328

การเล่าเรื่องกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรต้องเล่าต่อเนื่องไปถึงกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอย่างนี้แหละครับ อ้อ! ขอเรียนอีกครั้งว่าที่เรียกกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเพราะเป็นชื่อทางการที่ตั้งมาอย่างนั้นตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

สถานะของกรุงธนบุรีถูกลดลงเป็นลำดับตามอนิจลักษณะที่ว่าด้วยการเกิดขึ้น การตั้งอยู่และการดับไป แต่ความที่กรุงธนบุรีอยู่ใกล้พระนครใหม่แค่นี้เอง สถานะของกรุงธนบุรีจะเป็นอะไรจึงไม่สู้จะมีใครสนใจมากนัก พระสงฆ์ฝั่งธนข้ามไปรับบาตรฝั่งกรุงเทพฯ เป็นปกติ เจ้านายกรุงเทพฯ หลายพระองค์ก็ยังคงประทับอยู่ฝั่งธน ขุนนางผู้ใหญ่หลายคนก็อยู่ทางฝั่งธนเพราะมีที่ว่างมากกว่า อย่างนายบุนนาคที่ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนา สมุหพระกลาโหม สมัยรัชกาลที่ 1 ก็มีที่ทางอยู่ฝั่งธน ภายหลังบุตรชายทั้งสองของท่านคือสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยจนถึงหลานปู่ของท่านซึ่งได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ก็มีที่พักถาวรอยู่ฝั่งธนบุรี เรียกกันว่า “เจ้าคุณฝั่งขะโน้น”

ในเวลาต่อมาธนบุรีได้รับการยกขึ้นเป็นจังหวัด แต่มาในระยะหลังก็ถูกผนวกเข้ากับกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี จนกระทั่งเป็นกรุงเทพมหานครในที่สุด การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยานับแต่สะพานพระราม 6 สะพานพุทธฯ สะพานกรุงธนฯ สะพานกรุงเทพฯ สะพานพระปิ่นเกล้าฯ จนถึงอีกสารพัดสะพานเปิดทางให้กรุงเทพฯ และธนบุรีเชื่อมติดต่อเหมือนเป็นเมืองเดียวกันยิ่งขึ้น เมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554 ทำให้หลายคนเริ่มคิดว่ากรุงเทพมหานครจะกว้างใหญ่ไพศาลเกินไปหรือไม่กับการบริหารในลักษณะท้องถิ่นรูปแบบพิเศษภายใต้ผู้บริหารชุดเดียวและสภาท้องถิ่นชุดเดียวกันเช่นนี้

ข้อเรียกร้องที่เคยมีคนอยากให้กลับไปคงชื่อธนบุรีเป็นเมืองเอกเทศต่อไป หากอ้างแต่เหตุผลในทางประวัติศาสตร์อาจมีน้ำหนักน้อยเพราะบางกอกเคยรวมทั้งฝั่งธนบุรีและฝั่งกรุงเทพฯ มาก่อน แต่การบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะการรับมือภัยธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพอาจเป็นข้อพิจารณาที่ใหญ่กว่าอย่างอื่น ซึ่งคงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียและความคุ้มค่าทุกสถานในการจะแยกธนบุรีออกเป็นอีกจังหวัดหรืออีกมหานครที่มีรูปแบบเป็นการปกครองท้องถิ่นพิเศษเพราะอาจบั่นทอนความเจริญของธนบุรีลงก็เป็นได้ พอดีจะร้ายจะกลายเป็น “ท้องถิ่นบ้านนอก”

ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าการพิจารณาต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักวิชาไม่ใช่เหตุผลทางการเมืองหรือการแบ่งเขตเลือกตั้ง การหาเสียง และต้องคำนึงถึงความรู้สึก ความต้องการของประชาชนควบคู่ไปด้วย

ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด พระนามสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีควรอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป และเป็นผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งในบรรดาสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลายของไทยตราบกาลนาน.


ในเวลาต่อมาธนบุรีได้รับการยกขึ้นเป็นจังหวัด แต่มาในระยะหลังก็ถูกผนวกเข้ากับกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี จนกระทั่งเป็นกรุงเทพมหานครในที่สุด การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยานับแต่สะพานพระราม 6 สะพานพุทธฯ สะพานกรุงธนฯ สะพานกรุงเทพฯ สะพานพระปิ่นเกล้าฯ จนถึงอีกสารพัดสะพานเปิดทางให้กรุงเทพฯ และธนบุรีเชื่อมติดต่อเหมือนเป็นเมืองเดียวกันยิ่งขึ้น

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

ธารน้ำแข็งและหิมะ ณ ฮอกไกโด


ณ อาบาชิริ ทางตะวันออกของเกาะฮอกไกโด เมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ราว 40,000 คน แห่งนี้เป็นที่ตั้งของคุกโบราณสมัยยุคบุกเบิกที่ใครไปใครมาต้องแวะมาเดินเที่ยวชม แต่อีกอย่างที่ที่นี่มีไม่เหมือนใครก็คือ แผ่นน้ำแข็งที่จับตัวเป็นแพเมื่อฤดูหนาวเริ่มมาเยือนที่เรียกกันว่า โอโฮทสึกุ

ธารน้ำแข็งที่จะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงราวปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาดูไม่ได้ง่าย ๆ หากไม่มาให้ถูกช่วงถูกเวลา น้ำทะเลที่มีความเค็มซึ่งไม่น่าจะกลายเป็นน้ำแข็งได้จะกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งคลุมอยู่บนผิวน้ำเป็นบริเวณกว้าง


เหตุที่ทำให้น้ำทะเลทางชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะฮอกไกโดกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา เพราะน้ำจืดที่ไหลมาจากแม่น้ำเอมอร์ฝั่งรัสเซียที่อยู่เหนือขึ้นไป เมื่อน้ำจืดที่ไหลลงมากระทบกับอากาศเย็นและน้ำทะเล ส่วนที่เป็นน้ำจืดซึ่งยังสามารถจับตัวกลายเป็นน้ำแข็งที่จุดเยือกแข็งได้ก็จะรวมตัวกันกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง


การล่องเรือตัดน้ำแข็งตะลุยไปตามธารน้ำแข็งที่จับตัวเป็นแผ่น จึงกลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวซึ่งเดินทางมาฮอกไกโดช่วงฤดูหนาวไม่ยอมพลาด แต่การล่องเรือที่ว่านี้ไม่ใช่ว่าจะไปได้ทุกวัน เพราะหากมีพายุหิมะจนทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีพอ หรือลมแรงจนเกินไป กิจกรรมที่ว่านี้จะถูกยกเลิกในทันทีเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพราะการบังคับเรือให้ล่องไปตามธารน้ำแข็งที่มีน้ำแข็งขนาดเล็กและใหญ่ หนาและบางไม่เท่ากันนั้นจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง


ขณะที่การลงไปเดินสัมผัสกับธารน้ำแข็งของจริงนั้นอาจเป็นไปได้น้อยลงหลังจากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้จับต้องธารน้ำแข็งหนึ่งในมหัศจรรย์ธรรมชาติที่ว่า เพราะที่เมืองอาบาชิริแห่งนี้ได้มีการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ธารน้ำแข็งโอโฮทสึกุขึ้น โดยนำเอาก้อนน้ำแข็งที่ตัดมาได้จากธารน้ำแข็งมาเก็บรักษาไว้ในห้องควบคุมอุณหภูมิที่ -15 องศาเซลเซียส

ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่ถูกเก็บรักษาไว้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรียนรู้ เพราะไม่มีใครรับรองได้ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะนอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว น้ำจืดที่ไหลมาจากแม่น้ำเอมอร์ของรัสเซียเองก็มีส่วนสำคัญ เช่นเดียวกับอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น

นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าไปสัมผัสกับธารน้ำแข็งหลากหลายขนาดที่ถูกเก็บรักษาไว้และเข้าชมได้แม้กระทั่งในช่วงฤดูร้อนนี้ นอกจากจะต้องสวมใส่เสื้อคลุมกันหนาวที่จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ทุกคนยังได้รับผ้าขนหนูขนาดเล็กที่ชุ่มไปด้วยน้ำให้ถือติดมือเข้าไปด้วย

เมื่อเข้าไปในห้องปรับอุณหภูมิแล้วผ้าขนหนูผืนที่ว่าจะค่อย ๆ กลายสภาพจากนิ่มเป็นแข็ง และเมื่อแข็งได้ที่จนกลายเป็นแท่งเมื่อไหร่ก็หมายความว่า เราได้เวลาที่จะต้องออกจากห้องนั้นด้วยเช่นกัน เพราะอุณหภูมิติดลบที่เข้าไปสัมผัสนั้นมีข้อจำกัดไม่ควรอยู่นานจนเกินไป แต่หากอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่ร่างกายปรับอุณหภูมิสู้กับอากาศได้ที่แล้ว อาจจะอยู่ได้นานกว่านั้น


นอกจากจะได้สนุกกับห้องเก็บก้อนน้ำแข็งแล้ว สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างคลิโอเน (Clione) หรือซีแองเจิล (Sea Angle) สัตว์ทะเลแปลกตาที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในเขตโอโฮทสึกุ ซึ่งถูกจัดแสดงไว้ในห้องที่อยู่ติดกันนั้นเป็นอีกไฮไลต์ที่หาชมได้ยาก สัตว์หน้าตาน่ารักสมชื่อเรียกชนิดนี้ไม่ได้น่ารักแสนดีเหมือนอย่างรูปลักษณ์ที่เห็น ซีแองเจิลเป็นสัตว์กินเนื้อ ปีกเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ด้านหลังช่วยให้มันเคลื่อนที่ไปหาเหยื่อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ก่อนจะงาบเหยื่อแล้วเก็บเข้าไปในท้องใสแจ๋วให้เห็นกันชัด ๆ ส่วนสีแดงบนลำตัวนั้นคือส่วนของหัวใจ

ขณะที่ซีแองเจิลจะลอยมาพร้อมกับธารน้ำแข็ง ปลาบอลลูนสีส้มแสบตาที่อยู่ในแทงก์ใกล้ ๆกันก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์ที่อยู่ในท้องทะเลอันเย็นยะเยือกบริเวณนี้ ปลาสีส้มสดนี้จะกินตะไคร่น้ำที่ติดอยู่ตามเปลือกหอย โดยจะเกาะอยู่นิ่งสนิทอย่างนั้นราวกับเป็นตุ๊กตาที่ถูกแปะไว้ นอกจากสีส้มแสบตาแล้วยังพร้อมจะเปลี่ยนสีคล้ายกับหินปะการังหากเกาะอยู่กับเปลือกหอยที่สีซีดกว่า

หากยังไม่สะใจกับความหนาวเย็นของฮอกไกโด ขอแนะนำให้ไปสัมผัสความหนาวแบบสุดขั้วต่อที่คามิคาว่าไอซ์พาวิลเลียน ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่จัดสร้างขึ้นนั้นจะรักษาอุณหภูมิตลอดทั้งปีไว้ที่ -20 องศาเซลเซียส โดยต้องผ่านประตูกลที่บอกระดับอุณหภูมิภายในเข้าไว้อย่างชัดเจน ก่อนจะเข้าไปพบกับอุโมงค์ทางเดินที่เป็นน้ำแข็งทั้งหมด เพื่อเข้าไปสู่โถงขนาดใหญ่ด้านในที่คล้ายกับถ้ำ


หินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นจากการจับตัวของน้ำแข็งกว่า 10 ปีนั้น หากไม่บอกว่ากำลังอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นหินงอกหินย้อยในถ้ำแบบเดียวกับบ้านเรา แต่เพราะมีอิกลู บ้านแบบชาวเอสกิโมที่ก่อไว้ด้านในอีกมุมหนึ่ง จึงยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ถ้ำแน่นอน และยิ่งได้เข้าไปสัมผัสกับห้องพิเศษที่จะมีลมเป่าให้อุณหภูมิในนั้นกลายเป็น -41 องศาเซลเซียส ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที ยิ่งยืนยันได้ว่ากำลังอยู่ที่ฮอกไกโดจริง ๆ

ที่ไอซ์พาวิลเลียนแห่งนี้นอกจากจะมีผ้าขนหนูฉ่ำน้ำให้ถือเข้าไปทดสอบอากาศข้างในแบบเดียวกันแล้ว หากใครอยากลองปั่นไอศกรีมกับมือตัวเอง จะจ่ายเงินซื้อนมขวดเล็ก ๆ เพิ่มแล้วพกเข้าไปเขย่าให้กลายเป็นไอศกรีมด้านในด้วยก็ได้ ส่วนกล้วยหอมแช่แข็งที่วางไว้ให้ทดสอบว่าใช้
แทนค้อนตอกตะปูได้จริงนั้น ทดสอบฝีมือได้ฟรีไม่เสียตังค์

ใครอยากไปสัมผัสความหนาวเย็นของฮอกไกโดขอแนะนำให้ไปช่วง 6-12 ก.พ.นี้ เพราะจะมีงานซับโปโร สโนว์ เฟสติวัล ครั้งที่ 63 เทศกาลฤดูหนาวที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่น ชมการประกวดสร้างประติมากรรมหิมะและประกวดสลักน้ำแข็งที่สวนโอโดริและย่านซูกิโนะ สอบถามที่เวิลด์เซอร์ไพร้ส์ ทราเวิล โทร. 0-2676-9449 หรือ www.worldsurprise.com

อธิชา ชื่นใจ

อิหร่านหมูไม่กลัวน้ำร้อน


สถานการณ์ในอ่าวเปอร์เซีย เริ่มร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า ต้องสั่นคลอนเสถียรภาพของโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ เมื่ออิหร่านของประธานาธิบดีมาห์มูด อาห์มาดิเนจัด เล่นบท “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” พร้อมเปิดหน้าสู้เต็มตัว ยอมรับเร่งเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในโรงงานนิวเคลียร์แห่งใหม่ ที่ไปซุ่มสร้างไว้ใต้ดินในภูเขา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงเตหะราน เพื่อป้องกันความเป็นไปได้จากการโจมตีทางอากาศของศัตรู ทำให้กิจกรรมนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะชาติตะวันตกเลิกสงสัยเสียที เพราะมันเป็นความจริงอย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลง และนับจากนี้ไปอีก 1 ปี มีความเป็นไปได้ว่า อิหร่านอาจผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อีกประเทศหนึ่งก็ได้

เรื่องการเดินเครื่องเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่โรงงานแห่งใหม่ในโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ที่อ้างหนักแน่นว่า มีจุดประสงค์เพื่อสันติ กลายเป็นเรื่องขึ้นมาก็เพราะการเปิดเผยของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือไอเออีเอ หน่วยงานตรวจสอบนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทาย และไม่ยี่หระต่อมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกที่นำโดยสหรัฐ ทั้งยังพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า มาตรการคว่ำบาตรไม่ได้ไปสะเทือนโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเลย อิหร่านยังเดินหน้าต่อไปได้ ซ้ำยังมีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ธนบุรีศรีมหาสมุทร (5)


พระอารมณ์แปรปรวนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจะจริงหรือไม่และหนักเบาเพียงใดยากที่ผู้ใดจะชี้ชัดได้ในบัดนี้

แต่เป็นสิ่งที่ตั้งข้อสังเกตของขุนนางและชาววังในขณะนั้นซึ่งดูจะผิดแผกไปจากพระอัธยาศัยเดิม เพราะปกติแล้วแม้จะห้าวหาญเด็ดขาดตามประสานักรบแต่ก็ทรงอ่อนโยนต่ออาณาประชาราษฎร เช่น ตรัสเรียกพระองค์เองว่า “พ่อ” ตรัสเรียกราษฎรว่า “ลูก” พระทัยเป็นธรรมโอบอ้อมอารีและยึดมั่นในศาสนา การที่ทรงคร่ำเคร่งกับวิปัสสนากรรมฐานก็เป็นเรื่องพระอัธยาศัยส่วนพระองค์ไม่น่าจะเป็นปัญหาของบ้านเมือง แต่สภาพของบ้านเมืองที่ขุนนางและข้าราชการบางส่วนฉวยโอกาสข่มเหงย่ำยีรีดไถราษฎรน่าจะมีอยู่จริง เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข่าวอยู่แต่ในวังหากล่วงรู้ไปถึงชาวต่างชาติและเป็นปัญหาบ้านเมืองเดือดร้อนไปถึงชาวบ้านทั่วไปซึ่งย่อมย้อนกลับไปโทษผู้ปกครองได้ในที่สุด


คงเหมือนสมัยนี้ที่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ซี 5 ซี 6 ทำผิด ก็เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีได้!

เรื่องพระเจ้าแผ่นดินวิกลจริตนี้ดูจะมีอยู่ในหลายประเทศ กษัตริย์พม่ายุคหลังพระเจ้าอลองพญาหลายพระองค์ก็มีพระอาการที่พงศาวดารพม่าระบุว่า “วิกลจริต” จนถูกยึดอำนาจก็มี จะว่าเป็นข้ออ้างหาเหตุยึดอำนาจก็ไม่น่าจำเป็นต้องโทษเอาขนาดนั้นเพราะลำพังข้อหาว่าไม่ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรมจรรยาสัมมาปฏิบัติก็พอจะใช้ยึดอำนาจได้แล้ว

ในสมัยกรุงธนบุรี เรื่องที่สมเด็จพระสังฆราช (สี) อยู่ในฝ่ายเห็นว่าแม้ฆราวาสบรรลุโสดาปัตติผล แต่พระภิกษุก็ไม่ต้องเคารพนบไหว้ผู้นั้นเพราะพระภิกษุทรงศีลสูงกว่าจนสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวกริ้วให้จับสึกไปทำงานที่วัดหงส์รัตนารามเป็นเรื่องกล่าวถึงไว้หลายแห่ง เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 ยังโปรดให้กลับไปครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วทรงสถาปนาคืนเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกในสมัยกรุงเทพฯ ด้วยทรงศรัทธาว่ามีความมั่นคงในพระสัทธรรม ไม่ตามกระแส เรื่องนี้ทางพระเองก็กล่าวถึงแสดงว่าน่าจะเป็นจริง


ในคราวที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ไปจัดระเบียบการปกครองที่เวียงจันทน์ ขากลับได้นำพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์กลับจากลาวมาด้วยคือพระแก้วมรกตและพระบาง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปีติยินดีมากเพราะพระแก้วมรกตเคยอยู่ในอาณาเขตที่เป็นของไทยมาก่อนคือกำแพงเพชร เชียงราย ลำปาง เชียงใหม่ ต่อมาพระไชยเชษฐาธิราช เชื้อสายผู้ครองอาณาจักรล้านช้างซึ่งลงมาปกครองเชียงใหม่เสด็จกลับไปครองกรุงศรีสตนาคนหุต (หลวงพระบาง) จึงเชิญพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์คือพระแก้วมรกตและพระพุทธสิหิงค์ไปจากเชียงใหม่ด้วย แต่เมื่อชาวเมืองร่ำร้องขอคืนก็พระราชทานแต่พระพุทธสิหิงค์คืนมา ส่วนพระแก้วมรกตนั้นเก็บเอาไว้ที่อาณาจักรล้านช้าง (หลวงพระบาง) ภายหลังเมื่อย้ายเมืองหลวงไปอยู่เวียงจันทน์ทางลาวก็เชิญไปไว้ที่หอพระแก้วในเวียงจันทน์จนสมเด็จเจ้าพระยาฯ เชิญกลับมากรุงธนบุรีในคราวนี้


ครั้งอยู่กรุงธนบุรี พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่วัดแจ้ง (วัดอรุณฯ) เหลือเชื่อนะครับว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ 417 ปี พระแก้วมรกตท่านไม่เคยแวะไปเที่ยวชมพระมหานครแห่งนั้นเลย การได้ท่านมาอยู่ที่ธนบุรีจึงเป็นการเพิ่มพูนพระบรมราชกฤดาภินิหารของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอย่างใหญ่ยิ่ง ว่ากันว่าจะทรงปูนบำเหน็จความชอบอันใดแก่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ก็เป็นอันถึงที่สุดแล้วจึงทรงถอดพระมหาสังวาล (สร้อย) อันเป็นเครื่องทรงกษัตริย์คล้องคอพระ ราชทาน

พระแก้วมรกตนั้นวันนี้ย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญที่สุดในแผ่นดิน ส่วนพระบางนั้นเป็นพระยืนองค์ไม่ใหญ่โตนัก เคยอยู่หลวงพระบางเพราะเหตุนั้นเมืองนั้นจึงได้ชื่อว่าหลวงพระบาง ภายหลังเจ้าลาวเข้ามาเฝ้าฯ รัชกาลที่ 1 ขอพระราชทานคืนก็โปรดฯ ให้คืนไป ครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 เรายกทัพไปตีเวียงจันทน์ก็ได้นำพระบางกลับมาอีกหน คราวนี้มาไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส แต่พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ก็พระราชทานคืนไป บัดนี้อยู่ที่หลวงพระบาง

การคืนพระบางไปถูกต้องเป็นธรรมแล้วโดยเฉพาะถ้าคิดถึงอกเขาอกเรา

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชโอรสธิดาหลายพระองค์ ส่วนใหญ่จะทรงตั้งเป็นเจ้าฟ้าไม่ว่าจะประสูติจากพระภรรยาในลำดับชั้นใด พระภรรยาที่เป็นชั้นพระมเหสีนั้นมีอยู่หลายพระองค์ บางพระองค์เป็นภริยาดั้งเดิมมาแต่ยังทรงเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก เช่น กรมหลวงบาทบริจา พระราชโอรสจากพระมเหสีพระองค์นี้จึงโตพอจะทรงใช้สอยราชการได้บ้างแต่ก็ยังอ่อนพระประสบ การณ์ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอินทรพิทักษ์ ซึ่งดำรงพระยศเสมอพระมหาอุปราช

สมเด็จเจ้าพระยาฯ เองก็ได้ถวายบุตรีคนแรกที่เกิดจากคุณนาคชื่อ “ฉิม” ซึ่งเป็นพระพี่นางร่วมพระครรภ์กับสมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม (ชื่อซ้ำกัน) ที่ต่อมาเป็นรัชกาลที่ 2 ให้เป็นบริจาริกาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วย และมีพระราช โอรส 1 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าชายสุพันธุวงศ์ เจ้าฟ้าพระองค์นี้จึงเป็นลูกพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นหลานตาของสมเด็จพระยาฯ และหลานน้าของรัชกาลที่ 2

การที่เจ้าต่างแดนและขุนนางจะถวายบุตรสาวเป็นบริจาริกา (แปลว่าเมีย) ของพระเจ้าแผ่นดินเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยก่อน รัชกาลที่ 2 เคยทรงแต่งล้อไว้ในเรื่องไกรทองว่า “เหล่าขุนนางต่างถวายบุตรี พวกที่มีบุตรชายถวายหลาน ปะที่เป็นหมันบุตรกันดาร คิดอ่านไกล่เกลี่ยน้องเมียมา” คือถ้าไม่มีลูกสาวก็ยกหลานสาวถวาย ถ้าเป็นหมันไม่มีลูกหลานก็ไปกล่อมน้องเมียมาถวาย!

ขุนนางผู้หนึ่งถวายแม่ปรางเป็นบริจาริกา ครั้นอุปราชพัฒน์เมืองนครศรี ธรรมราชขึ้นมาเฝ้าฯ ก็ทรงสงสารว่าเมียตายจึงพระราชทานเจ้าจอมปรางให้ไป เจ้าจอมปรางมีท้องอ่อน ๆ ติดไปก่อนแล้ว เจ้านครก็ไม่กล้าแตะต้องจนกระทั่งคลอดบุตรเป็นชายชื่อน้อย คนทั่วไปทราบว่าเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี รัชกาลที่ 1 ก็ทรงทราบภายหลังจึงได้ทรงรับมาชุบเลี้ยงในกรุงเทพฯ และให้ฝึกราชการ ครั้นโตขึ้นก็ส่งกลับไปเป็นเจ้าเมืองนครฯ จนได้เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ต้นสกุล ณ นคร สกุลนี้ถือเป็นเชื้อสายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

เจ้าจอมยวนอีกคนที่ได้พระราช ทานเจ้าพระยานครราชสีมา ปรากฏว่าท้องติดไปเหมือนกัน บุตรที่คลอดมานี้ต่อไปได้เป็นเจ้าเมืองโคราช ต้นสกุลอินทรกำแหง ณ ราชสีมา

คราวจะเกิดเหตุใหญ่เป็นปี 2324 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงครองราชย์มาแล้ว 13-14 ปี ทางเขมรซึ่งเคยเป็นของไทยเกิดแตกกันเองเป็น 2 ฝ่ายจนรบกันเอง ทางญวนเข้าหนุนเจ้าเขมรฝ่ายหนึ่ง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเกรงว่าเราอาจเสียเขมรให้ญวนทั้งหมดจึงให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ยกทัพไปปราบ แต่คราวนี้โกลาหลเป็นพิเศษทั้งที่การปราบขบถเมืองเขมรไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือบางทีอาจคิดว่าต้องรบกับญวนด้วยก็ได้ จึงให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ เป็นแม่ทัพใหญ่เหมือนคุมทัพหลวง เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) คุมทัพหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอินทรพิทักษ์คุมอีกทัพหนึ่ง พระยานครสวรรค์คุมอีกทัพ กรมหลวงรามภูเบศร์แยกไปคุมอีกทัพ และทรงสั่งการว่าถ้าจัดการเมืองเขมรเรียบร้อยแล้วก็ให้ตั้งพระมหาอุปราชเจ้าฟ้ากรมหลวงอินทร พิทักษ์เป็นกษัตริย์ครองเมืองเขมรเสียด้วย

ตรงนี้แปลก! แล้วต่อไปจะทรงตั้งผู้ใดครองกรุงธนบุรีต่อจากพระองค์!

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีหลานชายองค์หนึ่งดูจะแกล้วกล้าอยู่มากคือกรมขุนอนุรักษ์สงคราม คนทั่วไปเรียกว่าเจ้ารามลักษณ์ จัดว่าเป็นคนมีฝีมือแต่ออกจะมุทะลุห้าวหาญอยู่ ส่วนจะเป็นหลานทางไหนนั้นไม่ทราบ

สมเด็จเจ้าพระยาฯ ขอพระบรมราชานุญาตขึ้นไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่นครราชสีมาเพื่อเกณฑ์ไพร่พลและเตรียมเสบียงอาหาร โคราชในเวลานั้นเป็นหน้าด่านใหญ่ไปสู่เขมร ที่น่าสนใจคือเจ้าเมืองโคราชชื่อพระยาสุริยภักดี (ทองอิน) บุตรชายของคุณสา พี่สาวคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาฯ จึงเป็นหลานน้าของสมเด็จเจ้าพระยาฯ การเกณฑ์ไพร่พล การส่งแนวหน้าออกไปสืบข่าวเมืองเขมรและการเตรียมเสบียงใช้เวลาอยู่นานร่วมปีทุกทัพจึงกรีธาทัพเข้าไปตีเมืองเขมรพร้อมกัน

กรุงธนบุรีในขณะนั้นแทบจะว่างเว้นขุนทหารแม่ทัพนายกอง เรียกว่าเกิดสุญญากาศแห่งอำนาจขึ้น จะพอมีเหลืออยู่บ้างคือเจ้ารามลักษณ์และพระราช โอรสรุ่นเยาว์ ตลอดจนขุนนางฝีมือรอง ๆ ท่ามกลางข่าวลือเกี่ยวกับการไม่อยู่ในธรรมของผู้ปกครอง และความไม่พอใจของราษฎรเพราะโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นทุกวัน ทางกรุงศรีอยุธยาราษฎร เช่น นายบุนนาคบ้านแม่ลา และขุนนางปลายแถวแท้ ๆ ยังเข้ายึดจวนจับเจ้าเมืองฆ่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงเรียกพระยาสรรค์ เจ้าเมืองสรรคบุรีลงมาสั่งให้ไปเกลี้ยกล่อมพี่น้องของตนที่กำลังซ่องสุมและทำซ่าอยู่ในอยุธยา พระยาสรรค์กลับไปถูกพวกนั้นเกลี้ยกล่อมจนคล้อยตามแล้วนำทหารไม่กี่คนบุกย้อนกลับลงมายึดพระราชวังธนบุรี

คนนำทัพยึดกรุงธนบุรีรอบแรกคือพระยาสรรค์ เจ้าเมืองบ้านนอกแถวชัยนาท นครสวรรค์ ใช้ทหารไม่กี่คนก็เข้าคุมพระองค์สมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรี พระญาติพระวงศ์ และคุมตัวขุนนางในวังได้โดยไม่ยาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าสมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรีไม่ทรงเห็นด้วยกับการจะต่อสู้ทรงเกรงว่าล้มตายเสียเปล่า ๆ

ในที่สุดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อแสดงว่าไม่ทรงปรารถนาจะยุ่งเกี่ยวกับราชการบ้านเมืองอีก พงศาวดารที่ว่าทรงขอบวชเองก็มี แต่ที่ว่าพระยาสรรค์ถวายคำแนะนำว่าควรจะเสด็จออกผนวชชำระพระเคราะห์เมืองคือสะเดาะเคราะห์แก้เคล็ดสัก 3 เดือนก็มี ผมว่าอย่างหลังนี้น่าจะถูกต้องเพราะเคยผนวชมาแล้วก่อนเป็นหลวงยกกระบัตร แต่แม้กระนั่นก็ทรงถูกกักบริเวณไว้ในพระอุโบสถวัดแจ้ง บางเล่มว่าทรงถูกจองจำสังขลิกคือโซ่ตรวนกันหลบหนีด้วยซ้ำ

เจ้านายชั้นลูกเธอ หลานเธอที่ถูกกักบริเวณอยู่ในวัดแจ้งมีหลายพระองค์ ระหว่างนั้นเจ้าจอมพระสนมคนหนึ่งประสูติพระราชกุมาร พระยาสรรค์จะให้ประโคมรับขวัญตามธรรมเนียม แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห้ามว่าสิ้นบุญวาสนาข้าแล้วไม่ต้องประโคม พระยาสรรค์ปล่อยเจ้ารามลักษณ์หลบออกไปได้ซึ่งดูแปลกอยู่ว่าปล่อยไปทำไม ข้อนี้ไปเจือสมกับข้อความในที่ต่าง ๆ กันว่าเจ้ารามลักษณ์ออกไปก่อเหตุจลาจลขึ้น ครั้งแรกได้กราบทูลชวนสมเด็จพระเจ้ากรุง ธนบุรีให้หนีไปด้วยกันจะชิงราชสมบัติคืน แต่ก็ทรงปฏิเสธ เจ้ารามลักษณ์จึงคุมทหารที่จงรักภักดีออกไปเองเพื่อสู้กับกองทัพพระยาสุริยอภัยเจ้าเมืองโคราชซึ่งทราบข่าวขบถพระยาสรรค์ก็ยกทัพมาตั้งมั่นที่บ้านเดิมของท่านข้างโรงพยาบาลศิริราช (ตอนนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล)คอยระวังเหตุการณ์

เจ้ารามลักษณ์ก็แปลก ไม่ยักเข้าต่อสู้ปราบพระยาสรรค์ทั้งที่เป็นคนยึดวังแต่กลับไปสู้กับพระยาสุริยอภัยซึ่งเป็นคนยกทัพมาต่อสู้กับพระยาสรรค์!

ตรงนี้ต้องเล่าว่าก่อนหน้านั้นพอมีข่าวว่าพระยาสรรค์ยึดกรุงธนบุรีได้ พระยาสุริยอภัยก็นำทหารจากโคราชควบม้าไปแจ้งข่าวให้สมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้เป็นน้าชายทราบที่เมืองเขมร สมเด็จเจ้าพระยาฯ ให้พระยาสุริยอภัยกลับไปคุมสถานการณ์ก่อนเพราะท่านคุมทัพใหญ่จะเลิกทัพกลับทันทีก็พะรุงพะรัง

พระยาสุริยอภัยจึงลงมาที่ตั้งทัพที่บ้านปูนข้างวัดระฆังฯ ซึ่งเป็นบ้านเดิมของท่านและเข้าก่อกวนฝ่ายพระยาสรรค์ ซึ่งพระยาสรรค์ก็ไม่ได้สู้เองแต่ทำเหมือนปล่อยเจ้ารามลักษณ์เป็นนอมินีออกไปสู้แทน

ขุนนางและชาววังไม่น้อยโดยเฉพาะผู้ที่เคยถูกพระเจ้ากรุงธนบุรีลงโทษลงทัณฑ์และถูกขุนนางเบียด เบียนพากันหันไปเข้าข้างพระยาสุริยอภัย บัดนี้ก็ทำท่าจะเกิดสงครามกลางเมืองย่อม ๆ ระหว่างเจ้ารามลักษณ์กับพระยาสุริยอภัย เจ้าศิริรจจา น้องสาวเจ้ากาวิละ ท่านเป็นเมียเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ซึ่งไปทัพเมืองเขมร สามีไม่อยู่ท่านจึง คุมเรือออกมาช่วยพระยาสุริยอภัยต่อสู้กับฝ่ายเจ้ารามลักษณ์ที่ปากคลองบาง กอกน้อย เอาว่าขณะนั้นเกิดเหตุต่อสู้กันใหญ่โตตั้งแต่ปากคลองบางกอกใหญ่ยันปากคลองบางกอกน้อย


สมเด็จเจ้าพระยาฯ เลิกทัพกลับเข้ามาธนบุรี พระยาสุริยอภัยจับเจ้ารามลักษณ์ได้แถววัดยาง พรานนก เข้าควบคุมพระราชวังธนบุรี จับพระยาสรรค์กับพวกได้โดยละม่อม แล้วรอสมเด็จ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับเข้ามาเพื่อพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เวลานั้นเป็นต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2325 กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรดำรงความเป็นราชธานีมาได้ 15 ปี.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ตึ่งนั้งท่องโลก

โดย : สกอร์เปี้ยนฟิช
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



เมื่อเร็วๆ นี้ หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ของจีนรายงานว่า ในบรรดาประเทศเอเชียทั้งหมด ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมากที่สุด

แต่ถ้าพิจารณาจากจำนวนประชากรของจีนก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะจีนมีจำนวนประชากรมากถึง 1.34 พันล้านคน หรือมากที่สุดในโลก


แต่รายงานนี้น่าสนใจเพราะคนจีนส่วนใหญ่ของจีนมีฐานะยากจนและอยู่กระจัดกระจายตามภูมิภาคต่างๆ ที่การพัฒนายังเข้าไปไม่ถึง ฉะนั้น การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก




อย่างไรก็ตาม ชาวจีนเริ่มเดินทางออกนอกประเทศเพื่อท่องเที่ยวเมื่อ 6 ปีที่แล้วนี่เอง ส่วนใหญ่เลือกที่จะเที่ยวในยุโรป พวกเขาใช้จ่ายเงินทั้งหมดกว่า 63,500 พันล้านบาทต่อปี เพื่อท่องเที่ยว ในปี 2552 ปีเดียว นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปฝรั่งเศสใช้จ่ายเงินมากกว่า 40,000 บาทต่อคน ทำให้บริษัทท่องเที่ยวจำนวนมากในยุโรปหันมาให้ความสำคัญกับชาวจีนมากขึ้น เมื่อต้นปี เทศกาลท่องเที่ยวที่นครเบอร์ลินของเยอรมันจัดงานประชุมเฉพาะเรื่องนักท่องเที่ยวจีนในหัวข้อ "นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่" โดยหัวข้อประชุมเน้นไปที่จะทำอย่างไรให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่


นักท่องเที่ยวจีนนิยมไปเยือนสถานที่ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของประเทศตนเอง เช่น เมืองเทรียร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของ ประเทศเยอรมัน เพราะเป็นบ้านเกิดของคาร์ล มาร์กซ์ นักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์การเมือง และนักปฏิวัติชาวเยอรมัน แนวคิดของมาร์กซ์เป็นพื้นฐานของลัทธิมาร์กซิสม์ ซึ่งพัฒนาต่อมาเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์นั่นเอง เขาเป็นแรงบันดาลใจให้นักปฏิวัติคนสำคัญๆ รวมทั้ง เหมา เจ๋อ ตุง ของจีน นอกจากนี้ เมืองนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์คาร์ล มาร์กซ์ ด้วย ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่เมืองนี้ แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากจีนไปที่นี่ปีละประมาณ 13,000 คน


สำหรับฝรั่งเศส นักท่องเที่ยวจากจีนนิยมไปแวะเยี่ยม มองทาร์จีส์ เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของนครปารีส เพราะที่นี่ช่วยวางรากฐานให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งยังเคยเป็นที่เล่าเรียนของลูกหลานขุนนางจีนและเป็นที่ก่อกำเนิดของขบวนการของจีน เมื่อปี 2463 นักศึกษาจีนคนหนึ่งเขียนจดหมายถึงนายเหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งต่อมากลายเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อถกเถียงเรื่องการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ เรื่องราวนี้เองที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน


ส่วนชาวจีนที่แสวงหาความโรแมนติกก็ต้องมายืนชมต้นหลิวใน คิง คอลเลจ (King’s College) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ นครลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้เพราะโซว่ ซีโหม่ว (Xu Zhimo) กวีเอกของจีนที่เคยเรียนที่นี่ได้เขียนบรรยายความงามของต้นหลิวไว้ในกลอน “Saying Goodbye to Cambridge” ของเขา โซว่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในแวดวงวรรณกรรมตะวันตก แต่ในจีน เขาเป็นเสมือนบรมครูของการประพันธ์ เขาชอบเขียนกลอนเกี่ยวกับชีวิต ความรักและความเศร้า เขาเสียชีวิตเพราะเครื่องบินตกเมื่ออายุ 34 ปีเท่านั้น หลังเขาเสียชีวิต ทางมหาวิทยาลัยนำหินสลักบทกลอนของเขามาวางไว้ใกล้ๆ ต้นหลิวด้วย

Beethoven's geburtshaus

ชาวจีนชอบไปเที่ยวที่ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี นวนิยายหรือภาพยนตร์ เช่น ไปที่ เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของลุดวิก บีโธเฟน นักดนตรีและนักประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ของโลก ที่นั่นยังมี พิพิธภัณฑ์บีโธเฟน อีกด้วย


นอกจากนี้ เมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแสนโรแมนติกของนักท่องเที่ยวจีน เพราะที่นี่เป็นฉากหลังของโรมีโอและจูเลียต วรรณกรรมรักเลื่องชื่อของวิลเลียม เชคส์เปียร์ส ชาวจีนนิยมพากันไปยืนชื่นชมระเบียงของจูเลียตที่โรมีโอมายืนพร่ำคำรักอยู่เบื้องล่าง วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวจีนเพราะเนื้อเรื่องคล้ายกับเรื่อง Butterfly Lovers ของจีน


นักท่องเที่ยวจีนก็บ้าชอปปิงเหมือนกับนักท่องเที่ยวประเทศอื่นๆ คณะกรรมการการท่องเที่ยวยุโรปรายงานว่า 1 ใน 3 ของเงินที่คนจีนใช้ในระหว่างท่องเที่ยวหมดไปกับการชอปปิง เมื่อปีที่แล้ว พวกเขาใช้จ่ายไปเกือบ 2 แสนล้านปอนด์ เพื่อชอปปิงที่ย่านถนนบอนด์ในลอนดอนเพียงที่เดียวเท่านั้น


ส่วนนักท่องเที่ยวจีนกระเป๋าหนักที่ชอบชอปปิงก็พากันเฮละโลไปที่เมตชินเกน เยอรมัน เพราะมีเอาท์เล็ท (outlet) ของฮิวโก้ บอส สินค้าแบรนด์ดัง ส่วนที่ปารีส ร้านหลุยส์ วิตตอง ก็แน่นขนัดไปด้วยคนจีน จริงอยู่ สินค้าหรูหราที่ขายในยุโรปส่วนใหญ่ผลิตในจีน แต่พวกเขาชอบมาซื้อที่ยุโรปมากกว่า เพราะถ้าซื้อสินค้าแบรนด์ของยุโรปในจีน เช่น กระเป๋าและนาฬิกา พวกเขาต้องจ่ายแพงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์


เมืองบอร์กโดซ์ ของ ฝรั่งเศส ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจากจีน โดยเฉพาะพวกกระเป๋าหนักที่นิยมไวน์แดงแพงๆ พวกเขาจะได้รับเชิญให้เข้าชม ชาร์โต้ ลาฟิเต้ ร็อธชายด์ (Chateau Lafite Rothschild) ซึ่งไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม แต่รสนิยมนิยมไวน์แพงก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะชอบอาหารยุโรป เพราะระหว่างท่องเที่ยวพวกเขาเลือกเข้าภัตตาคารจีนเป็นส่วนใหญ่ การสำรวจเมื่อปี 2549 แสดงว่า 46 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวจีน กินอาหารยุโรปเพียงครั้งเดียวระหว่างเดินทาง


....................
ที่มา เว็บไซต์ อีโคโนมิส ไชน่าเดลี่ บีบีซี บิซิเนสวีค

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ซนไดและโทโฮขุ...ที่นี่ยังเหมือนเดิม


“คุณคือคนไทยคนที่ 2 ที่ผมเจอที่เซนไดหลังจากแผ่นดินไหว” ทาคุมะ โอยามาดะ เจ้าหน้าที่แผนกส่งเสริมกิจกรรมระหว่างประเทศ กรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจระหว่างประเทศเมืองเซนได บอกเล่าหลังจากได้พบกัน




หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นนอกชายฝั่งภูมิภาคโทโฮขุ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมายังภูมิภาคนี้รวมทั้งเมืองหลักอย่างเซนไดแทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นศูนย์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองเซนไดเชิญชวนผู้สื่อข่าวจากเมืองไทยไปพิสูจน์ว่าทุกอย่างที่นี่ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติดังเดิมแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นอิจิบังโจ หรือโคะคุบุนโจ ย่านชอปปิงที่เต็มไปด้วยผู้คนใจกลางเมืองเซนไดที่เคยไฟดับอยู่ 2 วันหลังแผ่นดินไหว หรือโจเซนจิ ถนนที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเซนไดสมกับสมญานามที่ว่า “เมืองแห่งต้นไม้” ซึ่งประดับประดาไปด้วยดวงไฟดวงเล็ก ๆ กว่า 4.6 แสนดวงในช่วงเดือนธันวาคมที่เรียกว่า Pageant of Starlight ซึ่งลดจำนวนดวงไฟที่ใช้ในเทศกาลนี้ลงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาเพื่อประหยัดพลังงาน แต่ความโรแมนติกของถนนสายนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ลดน้อยถอยลง

ขณะที่อ่าวมัตสึชิมาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอ่าวที่มีความสวยงามที่สุดหนึ่งในสามของญี่ปุ่นนั้น แม้ว่าจะได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์ที่พัดเข้าฝั่ง แต่เมื่อเทียบกับชายฝั่งแห่งอื่น ๆ แล้วมัตสึชิมาได้รับผลกระทบไม่มากมายนัก เพราะความสูงของคลื่นเพียงเมตรกว่ายังไม่สามารถพัดเข้าไปถึงเขตวัดซุยกันจิที่อยู่ด้านใน เช่นเดียวกับศาลเจ้าโกไดโด ศาสนสถานในศาสนาพุทธ ซึ่งตั้งอยู่บนโขดหิน ณ ริมอ่าวมิยาจิมายังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ซึ่งรวมทั้งพระพุทธรูปที่อยู่ภายในซึ่งจะเปิดให้นมัสการทุก 33 ปี เพียง 3 วันยังคงอยู่รอเวลาที่จะเปิดให้ผู้คนได้มานมัสการอีกครั้ง โดยเพิ่งเปิดให้นมัสการครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2549


ว่ากันว่าเป็นเพราะคนโบราณรู้ดีว่าภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงมากเพียงใด จึงได้สร้างวัดให้เลยเข้ามาจากชายฝั่งเกือบหนึ่งกิโลเมตร โดยมีหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้านั้นช่วยลดแรงปะทะของคลื่น และเพราะภูมิปัญญาของคนเฒ่าคนแก่ที่คาดการณ์ธรรมชาติไว้อย่างแม่นยำนั่นเองวัดนี้เลยกลายเป็นที่หลบภัยของคนกว่า 300 ชีวิตหลังจากได้รับการเตือนภัย บริเวณที่ได้รับความเสียหายจึงอยู่เพียงแค่ร้านค้าที่อยู่ด้านหน้าบางส่วน ซึ่งปัจจุบันได้รับการฟื้นฟูจนเกือบจะกลับคืนมาดังเดิมแล้ว

ส่วนสนามบินเซนไดที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลและกลายเป็นภาพข่าวไปทั่วโลกนั้น คลื่นยักษ์ความสูงกว่า 3 เมตรได้พัดพาเอาสิ่งก่อสร้างที่อยู่ริมชายฝั่งรวมทั้งรถยนต์บางส่วนที่นำออกไปไม่ทันเข้ามายังชั้นล่างของสนามบิน แต่เพียงแค่เวลาเดือนกว่า สนามบินที่เต็มไปด้วยทรายแห่งนี้ก็สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ดังเดิมด้วยอาคารชั่วคราว

หลัง 6 เดือนผ่านไป สนามบินนานาชาติเซนไดที่ใช้งบประมาณในการบูรณะราว 1 ใน 5 ของงบประมาณที่เคยใช้ในการก่อสร้างนั้น ทุกอย่างได้รับการฟื้นฟูกลับมาราวกับไม่เคยเกิดเหตุคลื่นยักษ์ถล่ม หากว่าไม่มีสัญลักษณ์ของระดับน้ำที่ท่วมเข้ามาและมุมลงชื่อร่วมให้กำลังใจจากผู้คนทั่วโลกไว้เป็นหลักฐานยืนยัน โดยที่นี่เป็นที่พักพิงของผู้คนกว่า 2,000 คนในห้วงเวลานั้น หลังจากได้รับสัญญาณเตือนภัยแผ่นดินไหว โดยมีขนมอร่อยนานาชนิดที่วางจำหน่ายในร้านขายของที่ระลึกเป็นเสบียงหลัก ซึ่งรวมทั้งขนมเค้กไส้คัสตาร์ดแสนนุ่มหวานมัน ขนมขึ้นชื่อของเซนไดที่บางคนเรียกมันว่าขนมพระจันทร์เพราะรูปที่ติดอยู่หน้ากล่องและหน้าตาของขนม

ขณะที่พื้นที่รอบนอกของสนามบินที่เป็นแหล่งเกษตรกรรมและชุมชนริมชายทะเลนั้น วันนี้อาจเหลือเพียงแค่ฐานรากของบ้านแบบน็อกดาวน์ และพื้นที่ร้างว่างเปล่าที่ยังพอดูออกว่าเคยเป็นทุ่งนามาก่อน ที่มีโรงเผาขยะที่เมืองเซนไดสร้างขึ้นใหม่ 3 แห่งเพื่อจัดการกับขยะจำนวนมหาศาล

มร.มิชิโอะ คายาบา ผู้อำนวยการฝ่ายสิ่งแวดล้อมของเมืองเซนได บอกว่า เซนไดสร้างเตาเผาขยะทั้ง 3 แห่งขึ้นในพื้นที่ประสบภัยเพื่อความสะดวกในการจัดการ โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมานั้น นอกจากจัดการแยกประเภทของขยะที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้กับขยะที่ต้องทำลายแล้ว เตาเผาขยะแบบไร้มลพิษก็ถูกสร้างขึ้นพร้อม ๆ กันเพื่อจัดการกับขยะที่ต้องทำลาย

วันนี้ทุ่งนาว่างเปล่าริมทะเลจะถูกทิ้งไว้อย่างนั้นโดยจะไม่มีการทำการเพาะปลูกใด ๆ เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้ดินกลับคืนสภาพ ขณะที่ย่านที่พักอาศัยที่เคยอยู่ในเขตประสบภัยนั้น เมืองเซนไดมีการพิจารณาว่าจะไม่ใช้พื้นที่เหล่านั้นเพื่อเป็นเขตชุมชนอีก เพราะแม้ว่าสึนามิครั้งใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นนี้จะไม่เกิดซ้ำสองในระยะเวลาอันใกล้อีก แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้คนที่มาเป็นอันดับหนึ่ง พื้นที่เสี่ยงภัยจะไม่ถูกนำมาพัฒนาเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยอีกครั้งอย่างแน่นอน

ออกไปที่เมืองฮิราอิซูมิ ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกในเขตอิวาเตะ แม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ที่นี่วันนี้กลับมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมคอนจิกิโด หรืออาคารทอง มรดกโลกของเมืองฮิราอิซูมิ ณ วัดชูซอนจิ พอสมควรอย่างไม่หวั่นเกรงกับความหนาวเหน็บ โบราณสถานซึ่งสร้างขึ้นในปี 850 เป็นวัดนิกายเทนได ซึ่งมาจากประเทศจีนแห่งนี้ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งที่ตั้งอยู่บนเนินเขา คงเป็นเพราะภูมิปัญญาของคนโบราณที่เลือกทำเลได้อย่างเหมาะเจาะและปลอดภัย


นอกจากภาพความเสียหายที่แทบไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว ในเรื่องของอากาศที่หลายคนยังกังวลเกี่ยวกับกัมมันตรังสีนั้น เครื่องมือวัดกัมมันตรังสีขนาดพกพาที่ถูกนำไปด้วยทุกที่เพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยนั้น พบว่าค่ากัมมันตรังสีที่วัดได้นั้นอยู่ระหว่าง 0.04-0.1 เท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นระดับที่มีอันตรายใด ๆ เพราะสำหรับประเทศญี่ปุ่นแล้วหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติเมื่อต้นปี มีการวัดค่ากัมมันตรังสีอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยหากพื้นที่ใดวัดค่าได้ถึงระดับ 0.2 จะมีการปิดพื้นที่เพื่อทำความสะอาดทันที ทั้งที่ระดับที่ว่านั้นไม่ได้มีผลใด ๆ กับการใช้ชีวิต และระดับที่ว่านั้นเป็นระดับที่มีอยู่ตามเมืองใหญ่หลายแห่งของโลก

“ความจริงแล้วกัมมันตรังสีมีอยู่ทุกที่รอบ ๆ ตัวเรา ไม่ใช่เฉพาะที่นี่เท่านั้น ที่เมืองไทยเองก็มี จากสถิติการวัดปริมาณกัมมันตรังสีทั่วโลก” ทาคุมะ อธิบาย

มร.ฮิโรโตโมะ มิเนะงิชิ ผู้อำนวยการแผนกสนับสนุนการแลกเปลี่ยน กรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เมืองเซนได ฝากบอกว่า อยากจะเชิญชวนคนไทยให้กลับมาเที่ยวเซนไดและโทโฮขุอีกครั้ง แหล่งท่องเที่ยวไม่เพียงยังคงอยู่แต่ยังคงสวยงามดังเดิมด้วยเช่นกัน.

อธิชา ชื่นใจ

ลุ้นศึกชิงตัวแทนพรรครีพับลิกัน


กระบวนการสรรหาตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2012 ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. ปลายปีนี้ เริ่มเปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันอังคาร (3 ม.ค.) ด้วยการโหวตเลือกตัวแทนพรรคแบบ “คอคัส” ที่รัฐไอโอวา ซึ่งปรากฏว่า นายมิตต์ รอมนีย์ อดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ เต็ง 1 “ในขณะนี้” ชนะตามคาด แต่ก็หืดขึ้นคอ เพราะเฉือนอันดับ 2 แค่ 8 คะแนนจากผู้มีสิทธิลงคะแนนในเขตรัฐไอโอวาจำนวน 122,255 คน รอมนีย์ได้เสียงสนับสนุน 30,015 คิดเป็นอัตราส่วน 24.55% อันดับ 2 นายริค แซนทอรั่ม อดีต ส.ว. รัฐเพนซิลเวเนีย ได้ 30,007 หรือ 24.54% ตามด้วยนายรอน พอล ส.ส. จากรัฐเศรษฐีน้ำมันเทกซัส 21.5%อันดับ 4 นายนิวท์ กิงริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อันดับ 5 นายริค แพร์รี่ นักการเมืองปากกล้า ผู้ว่าการรัฐเทกซัส และอันดับ 6 อันดับสุดท้ายได้แค่ 5% นางมิเชล บาคมานน์ ส.ส. จากรัฐมินนิโซตา ซึ่งพอทราบผลการโหวต เธอก็ถอดใจ ประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันไปเรียบร้อย

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

ดูไบ...ที่สุดของโลก

โดย : จินตนา ปัญญาอาวุธ
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




“ไม่มีความฝันอะไรที่เป็นไปไม่ได้” น่าจะเป็นคำนิยามที่เหมาะที่สุดสำหรับดูไบ รัฐหนึ่งใน 7 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับ ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มัคทูม เจ้าผู้ครองรัฐดูไบและนายกรัฐมนตรีของประเทศที่เป็นคนไม่เคยหยุดฝันและลงมือสานฝันให้เป็นจริง



ด้วยความที่เป็นเมืองเกิดใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่จึงล้วนแล้วแต่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นและเมื่อจะเนรมิตขึ้นมาทั้งทีก็ต้องทำให้โลกตะลึง เรียกได้ว่าดูไบเป็นเมืองที่รวมความเป็นที่สุดในโลกไม่ว่า “ใหญ่ที่สุด” “สูงที่สุด” “สวยที่สุด” หรือ “แห่งแรก” ลองมาดูกันว่าดูไบมีอะไรบ้างที่สร้างสถิติโลก


โรงแรมเบิร์จ อัล อาหรับ โรงแรมที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 321 เมตร และเป็นโรงแรม 7 ดาวแห่งเดียวในโลกที่หรูหราและแพงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมหาดจูไมร่าห์


เดอะ ปาล์ม เกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเกาะเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกาะรูปต้นปาล์มบนท้องทะเลอาระเบียนมีทั้งหมด 3 เกาะคือ ปาล์ม จูไมร่าห์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด, ปาล์ม เจเบล อาลี และ ปาล์ม เดียร่า บนเกาะมีโรงแรมหรูกว่า 100 แห่ง บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม ภัตตาคาร ศูนย์การค้า สถานที่ออกกำลังกายและสปา ถือเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ตึกเบิร์จ คาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลก มีความสูง 828 เมตร มีทั้งหมด 160 ชั้น จุดชมวิวบนชั้นที่ 124 ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดิน 442 เมตรเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลก สามารถชมวิวของเมืองดูไบได้ 360 องศา ลิฟต์ของตึกมีความเร็วที่สุดในโลกคือ 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตึกนี้มีทั้งโรงแรม ห้องสำหรับพักอาศัย ร้านค้า ออฟฟิศ และสถานบันเทิงโดยมีดีไซเนอร์ดังชาวอิตาลี จิออร์จิโอ อาร์มานี เป็นผู้ออกแบบและตกแต่งภายในทั้งหมด


ดูไบ มารีน่า หรือ เมืองใหม่ดูไบ เมืองท่าเรือที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเสร็จสมบูรณ์โครงการนี้จะเป็นที่ตั้งของตึกระฟ้าและที่อยู่อาศัยที่สูงที่สุดในโลกหลายแห่ง


ดูไบ ชอปปิง มอลล์ ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมพื้นที่กว่า 12 ล้านตารางฟุตหรือเท่ากับสนามฟุตบอล 50 สนาม มีร้านค้าประมาณ 1,200 ร้าน


น้ำพุแห่งดูไบ น้ำพุที่ใหญ่และสวยที่สุดในโลก มีความยาว 900 ฟุตหรือ 275 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าสนามฟุตบอล 2 สนาม ตั้งอยู่ด้านหลังของตึกเบิร์จ ดูไบ


สวนน้ำไวล์ด วาดี สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีสไลด์เดอร์ที่สูงที่สุดและเร็วที่สุดในโลก (ไม่นับในทวีปอเมริกาเหนือ) คือสูง 33 เมตร และมีความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


สกี ดูไบ คอมเพล็กซ์ สกีรีสอร์ทในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่สกี 22,500 ตารางเมตร และเป็นลานสกีหิมะขนาดใหญ่แห่งแรกที่สร้างขึ้นในเขตเมืองที่เป็นทะเลทราย ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้ามอลล์ ออฟ เอมิเรตส์ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก


ดูไบ เมโทร ระบบรถไฟขนส่งมวลชนที่เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด (ไร้คนขับ) ที่มีความยาวที่สุดในโลกคือ 75 กิโลเมตรซึ่งมีทั้งใต้ดินและลอยฟ้า และยังเป็นเครือข่ายรถไฟในเมืองแห่งแรกของคาบสมุทรอาระเบียด้วย

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

“ฤกษ์งาม...ดวงชะตา” ปี 2555 มุ่งทำดี...สร้างเสริมสุขทางใจ

ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามา หลายคนคงอยากรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นบ้าง ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ เกริ่นนำว่า ในการพยากรณ์ดวงเมืองจะใช้ดวงพระฤกษ์ฝังเสาหลักเมือง เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 06.45 น. เรียกว่า ดวงกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือเป็นความเชื่อเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขในบ้านเมือง โดยในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2555 ดวงเมืองจะมีอายุครบ 230 ปีเต็ม จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 231

สำหรับในปีพ.ศ. 2555 จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ กล่าวว่า ดวงดาวที่โคจรในปี พ.ศ.2555 มีดาวพระเคราะห์สำคัญที่น่าพิจารณา ดาวเสาร์กับดาวพฤหัสบดี ในส่วนของดาวพฤหัสบดี ในขณะนี้โคจรถอยหลังอยู่ในราศีเมษ ซึ่งถือว่าดี โดย ดาวพฤหัสบดีจะโคจรทับอาทิตย์ซึ่งเป็นดาวคู่มิตรในดวงเมือง และทับลักขณาเมือง แต่ด้วยเหตุที่ดาวพฤหัสบดีโคจรถอยหลัง ก็เลยคุ้มชะตาเมืองไม่ค่อยได้ โดยจะถอยหลังไปถึงวันที่ 3 มกราคม 2555 จากนั้นก็จะเดินหน้ามาทับอาทิตย์

โดยดาวพฤหัสบดีกับอาทิตย์ถือเป็นดาวคู่มิตรกันเมื่อมาทับกันก็ให้คุณ ซึ่งจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ ความคิด ฉะนั้น วงการในดาวพฤหัสบดีจะดี เช่น วงการการศึกษา การแพทย์ การสาธารณสุข วงการกฎหมาย การท่องเที่ยว การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง เรื่องผลประโยชน์ของชาติจะดี การค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


ดาวพฤหัสบดี นอกจากอยู่ในราศีเมษแล้วยังทับลักขณาเมือง จึงถือว่าคุ้มชะตาเมือง คือ เมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงเกิดขึ้นดาวพระพฤหัสบดีก็จะช่วยคุ้มครอง โดยจะอยู่ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 จากนั้น ก็จะยกเข้าสู่ราศีพฤษภจนกระทั่งถึงปีพ.ศ.2556 แต่มีบางช่วงที่ดาวพระพฤหัสเดินถอยหลัง นั้นหมายถึงไม่ได้คุ้มชะตาเมือง โดยจะเดินถอยหลังตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 ไปถึงสิ้นปี ฉะนั้น ในช่วงนี้หากเกิดปัญหาขึ้นค่อนข้างที่ควบคุมได้ลำบาก

ส่วนดาวที่ให้โทษ คือ ดาวพระเสาร์ โดยในปีพ.ศ. 2555 ดาวเสาร์จะโคจรย้ายจากราศีกันย์เข้าสู่ราศีตุลย์ ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554 แล้วโคจรในราศีตุลย์เดินหน้า ถอยหลังอยู่ถึงวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555 จากนั้น ก็จะถอยหลังเข้าราศีกันย์อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะอยู่ในราศีกันย์จนถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555 จากนั้น จะโคจรเข้าราศีตุลย์อีกครั้ง
ตรงนี้มองได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่พระเสาร์อยู่ในราศีตุลย์ นับว่า เป็นพระเสาร์ที่ได้มาตรฐาน เรียกว่า มหาอุตม์ แปลว่า สูงส่ง แสดงว่า ดาวเสาร์ให้อิทธิพลมาก ซึ่งพระเสาร์ คือ เจ้าเรือนภพที่ 10 ของดวงเมือง คือ คณะรัฐมนตรี ผู้บริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรี นอกจากนั้น พระเสาร์ อาจจะหมายถึงเรื่องแรงงานก็เป็นได้

แต่เมื่อดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งราศีกันย์ ถือว่า เป็นพิทุบาทว์ โดย พิทุ แปลว่า จุด ส่วนคำว่า บาทว์ แปลว่า อุบาทว์ นั้นหมายความว่า เกิดจุดเสีย จุดช้ำอาจมองได้ว่า รัฐบาลเข้มแข็งเกินไป แรงเกินไป ทำให้เกิดปัญหา เกิดจุดแตก จุดเสียเกิดขึ้นอีกทั้งดาวเสาร์ยังเล็งกับดาวพระอาทิตย์ ซึ่งหมายถึงผู้นำ เรียกว่า มหาอุตม์เล็งกัน ด้านหนึ่งแรง อีกด้านก็แรง ทำให้เกิดจุดช้ำ จุดแตก เกิดขึ้น นั้นหมายถึงจะมีปัญหาในเรื่องของผู้นำ ในเรื่องของความศรัทธา ความเชื่อถือ คะแนนนิยมของผู้นำบางคนอาจจะเสื่อมถอยลง แล้วนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

ดาวเสาร์ยังเล็งกับดาวพฤหัสบดี โดยพระเสาร์เป็นประธานฝ่ายบาปเคราะห์ที่รุนแรงมักจะให้โทษมากกว่าคุณ ส่วนดาวพฤหัสบดีเป็นประธานฝ่ายศุกร์เคราะห์ เป็นดาวฝ่ายประธานที่ดี เมื่อมาเล็งกัน ก็จะดัน ดึงกัน ระหว่าง 2 ฝ่าย เรียกว่า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยขึ้น ซึ่งดาวพระพฤหัสบดี เป็นเรื่องของกฎหมาย โดยกฎหมายรัฐธรรมนูญจะเกิดปัญหา มีการร่างกฎหมาย มีการยกเลิกกฎหมาย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง

“เป็นการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย จากยุคหนึ่งมาสู่ยุคหนึ่ง เช่น จากเดิมใช้รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งก็จะเปลี่ยนมาใช้ฉบับใหม่ หรือ มีการเปลี่ยนในเรื่องของผู้มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่องของระเบียบ วิธีปฏิบัติต่างๆ กติกาสังคมจะถูกเปลี่ยนแปลง เป็นการปฏิรูปจากรูปแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งเรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในช่วง เมษายน- พฤษภาคม พ.ศ.2555”

เมื่อดาวเสาร์เล็งกับดาวพฤหัสบดี ในคัมภีร์อสีติธาตุ กล่าวไว้ว่า โลกจะเกิดโกลาหล ซึ่งนอกจากสังคมจะโกลาหลแล้วจะหมายถึงเรื่องของแผ่นดิน โดยเฉพาะเรื่องแผ่นดินไหว รวมทั้ง เรื่องการสมรสจะมีความเปลี่ยนแปลง คนในชาติจะจดทะเบียนสมรสกันน้อยลง มีการหย่าร้างกันมากขึ้น หรืออาจเกิดปัญหาในครอบครัวมากขึ้น มีการแตกแยกในครอบครัว

มาที่ดาวที่น่าจับตามอง คือ ดาวอังคาร โดยจะโคจรวิปริตคืออยู่ในราศีสิงห์เป็นเวลานาน โดยโคจรเข้ามาอยู่ในราศีสิงห์ตั้งแต่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2554 แล้วก็เดินหน้า ถอยหลัง อยู่ในราศีสิงห์ถึงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2555 โดยจะเริ่มโคจรถอยหลังตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2555 เข้ามาอยู่ในราศีสิงห์ นาน 8 เดือน ในตำราพระอภิธรรมอรรถสาลินีกล่าวไว้ว่า “ ....อังคารพักร์มีศึกต่างเมืองมา อังคารเสริดนั้นว่าจะเกิดยุคเข็ญ ความทุกข์ยากในมนุษย์สิ้นทั้งหลาย พระเสาร์และพระอังคารท่านภิปราย พักร์ในราศีร้ายจำเพาะมี คือ พฤษภ สิงห์ มีน ธนู พักร์ว่าร้ายนักทำนายไว้สี่ราศี จะเกิดความเสียหายวายชีวี พระธรณีดูดกินซึ่งเลือดคน ...อังคารพักร์ในเมษราศี ธนู สิงห์ สามนี้ร้ายหนักหนา เป็นนิมิตแก่แผ่นพสุธา จะแยกเป็นสองว่าอัศจรรย์ อีกจะเกิดลมพายุวิปริต จะเกิดไข้ทรพิษเป็นมหันต์ มหาชนจะพินาศลงดาษครัน อังคารนั้นมนต์อยู่เกิดไข้ตาย...”

ภิญโญ อธิบายให้ฟังว่า จะมีเรื่องไม่ดี 4 เรื่อง เรื่องแรก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศที่รุนแรง หากแก้ไขไม่ได้จะพัฒนาเป็นสงครามได้ เรื่องต่อมาโรคภัยไข้เจ็บ จะเกิดโรคระบาดขึ้น โดยมากับอากาศและน้ำที่รุนแรง เรื่องที่ 3 ความเสียหาย นอกจากจะเกิดกับทรัพย์สิน แผ่นดินแล้ว คนจะเสียชีวิตมากขึ้นจากอุบัติภัยที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ หรือความขัดแย้งที่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ รวมทั้ง ที่มนุษย์ทำร้ายธรรมชาติ เพราะมนุษย์ปฏิบัติตนไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ ขัดขวางธรรมชาติ ทำร้ายธรรมชาติ

สุดท้าย การแตกแยก อาจจมองได้ในเรื่องของดินแดน ไม่ว่าจะเป็นทางภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคเหนือ ต้องระวัง อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ความแตกแยกของคนในชาติ เพราะเรื่องทำนองนี้อาจเกิดขึ้นอีกได้ ซึ่งอาจจะเปลี่ยนเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น กลุ่มของสถาบันต่างๆ กลุ่มคณะรัฐมนตรี กลุ่มการเมือง แต่เป็นไปในลักษณะของความขัดแย้งที่แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งค่อนข้างรุนแรง

นอกจากนี้ เมื่อดาวอังคารโคจรออกจากราศีสิงห์แล้วจะโคจรมาไล่ทันกับดาวเสาร์ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2555 ในช่วงนี้จะต้องระวังอุบัติเหตุให้มาก หลังจากนั้น อังคารจะเข้าราศีตุลย์ ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ในช่วงนี้จะต้องระวังเรื่องลม อาจเกิดลมพายุวิปริตหลายลูก แต่ห้วงเวลาที่ต้องระวังให้มากที่สุด คือ ช่วงวันที่ 25 กันยายน – 8 พฤศจิกายน 2555 เพราะดาวอังคารจะโคจรสวนกับราหู หรือดาวเสาร์ตรงราศีพิจิก ซึ่งราศีพิจิกเป็นราศีธาตุน้ำ ส่วนอังคารกับราหู เป็นพระเคราะห์คู่ธาตุลม ฉะนั้น อุบัติภัยที่รุนแรงน่าจะเป็นช่วงเวลานี้ ต้องระวังวาตภัย อุทกภัย รวมทั้ง เรื่องอัคคีภัย และแผ่นดินไหว แผ่นดินทรุด แผ่นดินถล่มด้วยอาจเกิดขึ้นได้ ทั้งหมดนี้เกิดจากลีลาของดาวอังคารในปี พ.ศ.2555
ในปี พ.ศ.2555 จะการเกิดอุปราคาทั้งหมด 4 ครั้ง โดยจะเกิดตรงราศีพฤษภ 2 ครั้ง เกิดในราศีพิจิก 1 ครั้ง และเกิดในราศีตุลย์ 1 ครั้ง การเกิดในราศีพฤษภ ซึ่งเป็นธาตุดิน ทางโหราศาสตร์ เรียกนี้ว่า เป็นราชาแห่งแผ่นดินไหว โดยจะเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้นกว่าปกติในโลก และอาจจะเล็งมาที่ราศีธาตุน้ำ และธาตุลมด้วย

ฉะนั้น ในปีหน้าเรื่องอุบัติภัยจะมีหลายด้าน มีทั้ง ไฟ ดิน ลม และน้ำ โดยจะเกิดเป็นช่วงๆ ถ้าเป็นเรื่องแผ่นดินไหวต้องระวังในช่วงเดือน พฤษภาคม – มิถุนายน และเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2555 แต่ถ้าเป็นเรื่องไฟ ให้ระวังช่วงเดือนเมษายน และช่วงสิงหาคม- กันยายน พ.ศ.2555 ส่วนเรื่อง ลมกับน้ำ ให้ระวังช่วงกันยายน- พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ยังมี อีกดาวพระเคราะห์หนึ่งที่สำคัญ คือ ดาวศุกร์ เมื่อดวงเมืองอายุย่างเข้าปีที่ 231 ดาวพระเสาร์จะโคจรอยู่ต้นราศีตุลย์ปลายราศีกันย์ซึ่งจะเล็งพระศุกร์ในดวงเมือง ซึ่งดาวพระศุกร์กับดาวพระเสาร์เป็นดาวคู่ศัตรูกัน จึงต้องดูแลเรื่องการเงิน การคลังของประเทศให้ดีอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ โดยดาวเสาร์เป็นดาวมหาชน อาจมองได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องรอบคอบมากกว่าปกติ หยุดการฟุ้งเพ้อหันมาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่หลงระเริงในแสง สี เสียง จนเกินไป ถ้าอยู่แบบที่เคยอยู่มาได้ก็จะอยู่ต่อไปได้อย่าไปฟุ้งเพ้อจนเกินตัว
เสาร์เล็งศุกร์ มองได้อีกว่า ความสุขของคนจะน้อยลง ฉะนั้น ทางออกในการสร้างความสุขให้เพิ่มขึ้น คือ การหันไปหาสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกายให้มากขึ้น จะต้องเน้นในเรื่องนามธรรม จิตใจ อารมณ์ มากกว่ารูปธรรม ทรัพย์สิน เงินทอง เพราะถึงแม้ด้านรูปธรรม ทางด้านเศรษฐกิจอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง แต่ถ้านามธรรม คือ จิตใจ อารมณ์ของยังดี ก็จะทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป

“เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ผู้คนในชาติจะหันมาสนใจในเรื่องของจิตใจ หลักธรรมของชีวิตกันมากขึ้น ด้วยการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ รู้จักพอ ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป และหันเข้าหาการบำเพ็ญจิตใจให้มีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ มีจิตใจที่มั่นคง คิด ทำแต่สิ่งที่ดีงาม เพราะคนที่ศึกษา รู้จักฝึกจิตใจก็จะรู้จักหักห้ามจิตใจไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ไปตามอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

ปีหน้านี้ คงต้องหันมาสำรวจตัวเองและทำความเข้าใจว่า สถานภาพความเป็นอยู่ของเราเป็นอย่างไร มีรายได้เท่าไร ต้องใช้จ่ายอย่างไรถึงจะอยู่ได้ พอใช้ ต้องดำเนินชีวิตอย่างไรถึงจะไม่เดือดร้อน โดยไม่เอาเปรียบ เบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดบาป เกิดกรรมกับตนเอง แล้วปีหน้าจะเป็นปีที่ทุกคนผ่านพ้นไปได้อย่างไม่เดือดร้อน” ภิญโญ กล่าวทิ้งท้าย

ฤกษ์มงคลสมรส

มกราคม 9 10 12 14 21 31

กุมภาพันธ์ 3 6 13

มีนาคม 5 16 19 22 28 31

เมษายน 3 11 27

พฤษภาคม 5 9 18 19 31

มิถุนายน 2 9 12 29

กรกฎาคม 7 12 28 31

สิงหาคม 2 4 7 9 10 11 31

กันยายน 5 6 8 20 22 28

ตุลาคม 2 4 9 12 23 25

พฤศจิกายน 2 29

ธันวาคม 6 18

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่

มกราคม 4 9 17 21

กุมภาพันธ์ 3 6 13

มีนาคม 3 5 12 19 31

เมษายน 3 11 24 27

พฤษภาคม 5 9 19 31

มิถุนายน 2 9 12 22 27 29

กรกฎาคม 4 6 7 12 13 17 28 31

สิงหาคม 2 4 7 9 10 11 14 16 21 31

กันยายน 5 6 8 12 19 21 28

ตุลาคม 2 4 9 12 23 25

พฤศจิกายน 2 21 27 29

ธันวาคม 6 12 18

ฤกษ์ออกรถใหม่

มกราคม 4 6 17 27

กุมภาพันธ์ 2 18 24

มีนาคม 3 5 9 23 30

เมษายน 4 6 19

พฤษภาคม 3 8 18 26

มิถุนายน 12 16 22

กรกฎาคม 13 28 31

สิงหาคม 4 10 11 16 21 31

กันยายน 8 12 14 21 28

ตุลาคม 6 9 12 18

พฤศจิกายน 2 9 21 30

ธันวาคม 6 7 12 15

ทีมวาไรตี้
@เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

"งูใหญ่-พญานาค-มังกร" รู้จัก 3 สัญลักษณ์ปี "มะโรง"


ย่างเข้าสู่ปีมะโรง ปีที่หลายคนต่างเฝ้ารอการเวียนมาถึงของปีนักษัตรอันเป็นมงคล ในการเริ่มต้นชีวิตคู่ การให้กำเนิดบุตร การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ในปีที่มี


"งูใหญ่" เป็นสัญลักษณ์ ขณะที่บางตำราก็หมายถึง "พญานาค" และ "มังกร" ตามแต่ความเชื่อว่าจะให้สัตว์อะไรมาประจำนักษัตรนี้

สัตว์ ทั้ง 3 ชนิดนี้มีความเชื่อมโยงกันพอสมควร "กรหริศ บัวสรวง" โหรชื่อดังแห่งหนังสือศาสตร์แห่งโหร อธิบายถึงความเชื่อมโยงของสัตว์ประจำนักษัตร ปีมะโรง หมายถึงพญานาค หรือพญานาคราช การที่เราไปเรียกว่างูใหญ่นั้นไม่ถูกต้อง


คนส่วนใหญ่ มักจะเอามะโรงไปเปรียบเทียบกับมะเส็งที่เป็นงูเล็ก ดังนั้น มะโรงจึงเพี้ยนกลายเป็นงูใหญ่ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ต้องเข้าใจให้ถูกว่า มะโรง คือพญานาค


ส่วนที่ใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ นั้น ก็เพราะเป็นความเชื่อของชาวจีน ซึ่งไม่เกี่ยวกับชาวไทย อย่างไรก็ดี ทั้งความเชื่อของชาวไทยและชาวจีน หรือว่าชาติไหน ๆ ต่างก็มีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ เพราะสัตว์ทั้ง 2 ชนิด ต่างก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน

"พญานาคและมังกรต่างก็อยู่ในน้ำ และด้วยความที่ปีมะโรงตรงกับธาตุไฟ จึงทำให้สัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้พ่นไฟได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งในทางเทววิทยา ต่างก็ยกให้พญานาคและมังกรเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์ด้วยกันทั้งคู่ สามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก"

ผู้ที่จะอธิบายเรื่องปีนักษัตรได้ อย่างละเอียดลอออีกท่านหนึ่ง คือ นายสมบัติ พลายน้อย หรือ ส.พลายน้อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ที่ได้รวบรวมความรู้และที่มาของสัญลักษณ์ประจำปีนักษัตรได้อย่างน่าสนใจ ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ เรื่อง "สิบสองนักษัตร"

ตำนานของ การใช้สัตว์เป็นชื่อปี เป็นเรื่องที่หาหลักฐานได้ยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษา เพราะนอกจากจะได้กำหนดเป็นชื่อปีแล้ว ยังมีคติความเชื่อเกี่ยวกับคนที่เกิดในแต่ละปีเหล่านี้อีกด้วย

เรื่อง สิบสองนักษัตร เป็นเรื่องดึกดำบรรพ์นานมาก มีมาก่อนจุลศักราช แต่จะมีเมื่อไรไม่ทราบได้ ถ้าดูหลักฐานของไทย เช่น ศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีกล่าวถึง "๑๒๑๔ สกปีมะโรง" ดังนั้น ก็หมายความว่า เมื่อ พ.ศ.1835 ไทยก็ใช้ปีนักษัตรแล้ว ความจริงคงจะใช้มาก่อนนี้ช้านาน หากไม่มีหลักฐานที่จะอ้างได้เท่านั้น

ใน หนังสือพงศาวดารใหญ่ พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "ในนามสัตว์ 12 นักษัตรข้างไทยสยามนั้น น่าจะเลียนนามสัตว์ประจำองค์สาขาปี มาจากเขมรอีกต่อ จึงไม่ใช้นามปีตามภาษาไทยเหมือนไทยใหญ่ กลับไปใช้ตามภาษาเขมร ฝ่ายไทยใหญ่เล่าเมื่อคำนวณกาลจักรมณฑลก็ไพล่ไปเลียนนามปีและนามองคสังหรณ์ อย่างไทยลาว หาใช้นามปีของตนเองไม่ และไทยลาวน่าจะถ่ายมาจากจีนอันเป็นครูเดิมอีกต่อ แต่คำจะเลือนมาอย่างไร จึงหาตรงกันแท้ไม่เป็น แต่มีเค้ารู้ได้ว่าเลียนจีน"

สำหรับกลุ่มประเทศที่ใช้สิบสองนักษัตรนั้นมีในกลุ่มเอเชียเท่านั้น

โดยมากอยู่ใกล้ หรือมีความสัมพันธ์กับไทย เช่น จีน ญวน ญี่ปุ่น เกาหลี เขมร ลาว ทิเบต ไทยใหญ่

บาง ท่านให้ความเห็นว่า การที่ใช้สิบสองนักษัตรนั้นไม่ใช่อะไรอื่น เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นพี่น้องเผ่าไทย หรือสืบสายมาจากที่เดียวกันนั่นเอง

ส.พลายน้อยได้เล่าถึงที่มาของ ชื่อปีมะโรง ที่มี "งูใหญ่" เป็นสัญลักษณ์ ว่า งูใหญ่ของไทย ก็คือพญานาค หรือที่ไทยพายัพเรียกว่าปีสี หรือเปิ้งนาค ตรงกับปีนักษัตรของจีน คือ มังกร ซึ่งในภาษาจีนหลวงเรียกว่าหล่ง กวางตุ้งเรียกหลุ่ง ฮกเกี้ยนเรียกเหล็ง แต้จิ๋วเรียกเล้ง จีนแคะเรียกลิอุ๋ง ญวนเรียกกองร่อง

สันนิษฐานกันว่า คำมะโรง น่าจะมาจากหล่งหลุ่งเหล็งเล้งของจีนก็ได้

พญา นาค หรืองูใหญ่ของไทย และมังกรของจีน เป็นสัตว์ในนิยาย ที่มีฤทธิ์อำนาจเหมือน ๆ กัน นิยายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งสองนี้ก็มีคล้าย ๆ กัน

ยกตัวอย่าง พญานาค หรืองูใหญ่ เป็นเจ้าแห่งงู อยู่ในบาดาล คือใต้พื้นดิน ตัวยาวอย่างงู มีหงอนงามมาก พญานาคกับมนุษย์มีเรื่องเกี่ยวข้องกันมาแต่โบราณ ตามพงศาวดารจะมีเรื่องพญานาคและลูกสาวพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ

พญา นาคเป็นสัตว์วิเศษ ที่สามารถจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อย่างสวยงาม ตามพงศาวดารของไทยก็มีเรื่องเล่ามาในประวัติพระร่วงอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก กล่าวว่า

เมื่อพุทธศักราชได้ 500 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 86 ปีกุน พระยาอภัยคามินีศีลาจารย์บริสุทธิ์ อยู่ในเมืองหริภุญไชยนคร ออกไปจำศีลอยู่ในเขาใหญ่เป็นนิจ ทำให้ร้อนถึงอาสน์นางนาคจนทนอยู่มิได้ ก็ขึ้นมาในภูเขาใหญ่นั้น ได้พบพระยาอยู่จำศีล เธอก็มาเสพเมถุนด้วยนางนาค

นาง นาคอยู่ได้เจ็ดวันแล้วจะลาไป พระยาจึงให้ผ้ารัตตกัมพล และพระธำมรงค์แก่นางนาคไว้ชมต่างพระองค์ นางนาคก็กลับลงไป พระยาก็กลับเข้ามาเมืองดังกล่าว แลนางนาคก็มีครรภ์แก่ แลนางนาคก็ว่าลูกตูนี้มิใช่เป็นไข่ จะเป็นมนุษย์ทีเดียว ซึ่งจะคลอดในเมืองนาคมิได้

เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ขึ้นมาถึงภูเขาที่ อาสนะแห่งพระยานั้น ก็ประสูติกุมาร ผ้าแลแหวนนั้น นางวางไว้ข้าง ๆ ลูก แล้วก็หนีกลับลงไปเมืองนาค

ครั้งนั้นมีพรานพเนจรคนหนึ่งออกไปหาเนื้อ ในป่า ได้ยินเสียงกุมารร้องไห้ แลพรานเข้าไปก็เห็นกุมาร จึงคิดว่าเด็กน้อยนี้คงเป็นลูกท้าวหลานพระยาเป็นแน่ เมื่อเห็นตนมา เกิดความกลัว จึงละทิ้งเด็กน้อยนี้แล้วหนีไป พรานจึงเอากุมารนั้นไปให้ภรรยาเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม

เมื่อสมเด็จ พระเจ้าอภัยคามินีราชใช้ให้เสนาอำมาตย์สร้างพระมหาปราสาท จึงให้เกณฑ์ชาวบ้านมาถากไม้ จึงเอากุมารนั้นเข้ามาไว้ด้วย ครั้นเมื่อเห็นแดดส่องต้องกุมาร ก็อุ้มกุมารเข้ามาไว้ในร่มพระมหาปราสาท และพระมหาปราสาทนั้นก็โอนเอนไปมาเป็นหลายครั้ง

พระยาเห็นก็หลากพระทัย จึงให้เอาพรานนั้นเข้ามาถามดู พรานจะปิดบังอำพรางมิได้ ก็บอกเล่าตามจริงว่า

มีคนเอาเด็กน้อยนี้ไปทิ้งไว้ในป่า ข้าพเจ้าเอามาเลี้ยงไว้เป็นลูก

พระยา จึงถามว่า มีอันใดอยู่ด้วยกุมารนั้นบ้าง พรานก็แจ้งว่า มีแหวนแลผ้าอยู่ด้วยกัน พระยาจึงให้พรานเอามาดู ก็รู้ว่าเป็นราชบุตรแห่งตน พระองค์จึงให้รางวัลแก่พรานนั้น แล้วพระองค์จึงให้หาชะแม่นมรับเอากุมารนั้นมาเลี้ยง แลพระราชทานชื่อกุมารนั้นว่า เจ้าอรุณราชกุมาร

ที่เล่าเรื่อง พงศาวดารโบราณที่เกี่ยวกับพญานาคมายืดยาว ก็เพื่อแสดงว่า ความเชื่อเรื่องพญานาคได้มีมาช้านานแล้ว บางพวกบางเหล่าก็นับถือพญานาคว่าเป็นบรรพบุรุษและบรรพสตรีของตน

แม้ในประวัติของขุนเจืองธรรมิกราชก็กล่าวว่า เมื่อเข้าไปขอของวิเศษกับปู่ย่าตายายในถ้ำ ก็เห็นงูหลวงตัวใหญ่มีเกล็ดอันเลื่อมเหลืองดังทอง ก็ขอเอาของวิเศษนั้นมา แสดงว่าปู่ย่าตายายเป็นงูใหญ่ ในหนังสืออุรังคธาตุกล่าวว่า ชื่อเมือง

ศรีสัตตนาค ก็มาจากนาคตัวหนึ่งมี 7 หัว และว่าเมืองจันทบุรีศรีสัตตนาคเป็นเมืองพญานาค

ในหนังสือดังกล่าวได้เล่าถึงพญานาคต่าง ๆ ล้วนแต่มีอิทธิฤทธิ์ ถึงกับเคยสำแดงฤทธิ์กับพระพุทธเจ้า และได้พ่ายแพ้แก่พระองค์ พากันตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ นาค 7 หัวที่ชื่อ

ศรีสัตตนาคได้ทูลขอ ให้พระศาสดาทรงเหยียบรอยพระบาทไว้ที่ดอยนันทกังรี นอกจากนี้ พญานาคยังทำให้เกิดแม่น้ำใหญ่หลายสาย เช่นมีเรื่องเล่าว่า

ครั้งปฐม กัลป์มีนาค 2 ตัวอยู่ในหนองแส ทั้งสองเป็นมิตรสหายกัน มีอะไรก็ให้ก็แบ่งสู่กันกิน ตัวหนึ่งชื่อพินทโยนกวติ เป็นใหญ่อยู่หัวหนอง อีกตัวหนึ่งชื่อธนะมูลนาค เป็นใหญ่อยู่ท้ายหนอง กับหลานชื่อชีวายนาค นาคทั้งสองได้ตกลงกันว่า ถ้ามีสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งมาตกที่หัวหนองก็ดี ตกที่ท้ายหนองก็ดี จะต้องเอาเนื้อมาแบ่งกันกิน

ตามตำราพรหมชาติกล่าว ว่า คนเกิดปีมะโรง เป็นเทวดาผู้ชาย ธาตุทอง พระพฤหัสบดีเป็นปาก จึงเจรจาอ่อนหวาน เฉียบแหลม รู้หลักนักปราชญ์ เป็นที่ชอบใจผู้ใหญ่และสมณชีพราหมณ์ พระศุกร์กับพระอาทิตย์เป็นมือ ทำให้การงานไม่เรียบร้อย หยาบ

พระเสาร์เป็นใจ ทำให้เป็นคนใจแข็ง โกรธง่ายหายเร็ว แต่ซื่อตรงใจบุญ พระจันทร์และพระพุธเป็นเท้า ทำให้เป็นคนชอบเที่ยวชอบเดินทาง มิ่งขวัญอยู่ที่กอไผ่ หรือที่ต้นงิ้ว พระอังคารเป็นที่นั่ง ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็มีความสุข

มีทรัพย์สินเงินทองมาก เป็นที่ชอบใจชายหญิง

ตาม คติความเชื่อของญี่ปุ่น ซึ่งเรียกปีมะโรงว่าปีทัตสุ ผู้ที่เกิดปีมะโรง นับว่าโชคดีที่สุด จะมีโอกาสได้ดี มั่งมีเงินทอง ก้าวหน้าจากระดับที่ต่ำขึ้นไปสู่ที่สูง แต่ก็อาจจะหล่นลงมาได้เหมือนกัน ตามความเชื่อของจีนก็ว่า คนเกิดปีมะโรง คือปีมังกร จะสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ ความดี เจรจาไพเราะ และอายุยืน เมื่อมีครบ 4 ประการเช่นนี้แล้ว ชีวิตก็น่าจะดำเนินไปด้วยดี

เขาว่าคู่ครองที่ดีที่สุดของคนปีมะโรง ก็คือคนปีวอก ก็เลือกเชื่อเอาตามอัธยาศัย เช่นเดียวกับเลือกเชื่อว่าจะเป็นมังกรหรือพญานาคนั่นเอง



อิลลา อิลลาช : เรื่อง
@ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 5 มกราคม 2555

สวัสดีปีมะโรง…มังกรค้นความนัย “นักษัตรลำดับ 5”


ก้าวข้ามผ่านปีเริ่มพุทธศักราชใหม่กันแล้วในเวลานี้และหากไล่เรียงนับลำดับ ปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ นักษัตรดังกล่าวอยู่ในลำดับ 5 ต่อเนื่องจากปีเถาะหรือปีกระต่ายที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ช่วงเวลานี้นอกจากจะได้เห็นหลากสีสันสิ่งของที่ระลึกบอกเล่าปีนักษัตร ในแง่มุมชวนรู้ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวปีมะโรงยังมีอีกหลายด้าน รศ.ดร.สาโรช โศภีรักข์ ประธานหลักสูตรปริญญาเอก สาขาเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ให้ความรู้ว่า มะโรง เป็นคำเรียกปีนักษัตรเป็นปีตามปฏิทินสุริยคติของไทยโดยการนับรอบละ 12 ปีอันเป็นคติการนับปีที่นิยมใช้แพร่หลายในภูมิภาคเอเชียซึ่งปีนักษัตร12 ปีทั้งหากไล่เรียงจะเริ่มจาก ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ, มะโรง, มะเส็ง, มะเมีย, มะแม, วอก, ระกา, จอ, และ กุน ซึ่งในความหมาย นักษัตร หมายถึงกลุ่มดาวฤกษ์ ขณะที่อีกความหมายหนึ่งหมายถึงชื่อรอบเวลา กำหนด 12 ปีเป็นหนึ่งรอบเรียกว่า 12 นักษัตร


“การนับปีโดยใช้สัตว์เป็นสัญลักษณ์นี้ไม่ใช่มีเพียงประเทศเราในเอเชียหลายประเทศไม่ว่า จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว พม่า ฯลฯ ก็ใช้วิธีดังกล่าวทั้งลำดับปีก่อนหลังและสัตว์ที่ใช้ก็ตรงกันหรืออาจต่างไปบ้างเล็กน้อย อย่างปีมะโรงของจีนเป็นมังกร ปีเถาะของญี่ปุ่นเป็นแมว ขณะที่ปีกุนของล้านนาเป็นช้าง ฯลฯ”


สัญลักษณ์เหล่านี้มีอิทธิพลแวดล้อมอยู่ในวิถีชีวิตเราโดยทั่วไปเมื่อพูดถึง ปีมะโรงจะรู้จักกันในลักษณะงูใหญ่ นาค ซึ่งเกี่ยวข้องผูกพันกับวิถีชีวิตไทย วัฒนธรรมไทย ปรากฏทั้งในงานศิลปกรรม สถาปัตยกรรมไทยซึ่งนาคหรือพญานาคเป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่างกันไปและมีลักษณะตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคต่างกัน มีลักษณะร่วมกันคือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอนเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ซึ่งในเรื่องราวของตำนานพญานาคมีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีชื่อในพระพุทธศาสนา อย่าง นาคที่แผ่พังพานใต้ร่มไม้จิกให้พระพุทธเจ้านาคตนนี้มีชื่อว่า มุจจลินทร์นาคราช


ในงานประติมากรรมไทย จิตรกรรม ก็มักได้เห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคและด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา นาคได้แฝงตัวอยู่ตามสถาปัตยกรรมภายในวัดช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาคาร อย่าง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ฯลฯ

อีกทั้งยังเป็นโขนเรือ (หัวเรือ) ในขบวนเรือพยุหยาตราชลมารค ในพระราชพิธีอีกด้วย อันได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์

ส่วนงูใหญ่อาจไม่ค่อยมีใครพูดถึงแต่ทว่างูใหญ่ปรากฏอยู่ในตำนานความเชื่อทางภาคใต้อย่างที่ จ.สงขลา จ.ปัตตานีซึ่งเป็นความเชื่อในท้องถิ่นนั้นมีความเชื่อเรื่อง งูทวดหรือทวดงู งูตัวใหญ่ที่จะมาช่วยคุ้มครองปกปักรักษา เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตามแม้สัญลักษณ์ของปีมะโรงจะต่างกันไปตามความเชื่อ ตามประเพณีวัฒนธรรมและไม่ว่าจะเป็น งูใหญ่ นาค หรือ มังกร สิ่งที่ไม่ต่างกันคือการนำเอาสัญลักษณ์ของสัตว์เหล่านั้นผูกพันกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่และปรับความเชื่อ จินตนาการสอดคล้องกับสัญลักษณ์เหล่านั้น หากคิดไปทางบวกก็จะทำให้ผู้นั้นเดินตามความคิดที่ดีงามเป็นผลให้เจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่หากคิดในทางลบหนทางที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จก็ลดลง

จากที่กล่าวถึงความเป็นมาของมะโรงในความสำคัญของช่วงเวลาเหล่านี้ อาจารย์สาโรชกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้เกิดขึ้นทุกปี สัญลักษณ์ที่เป็นสัตว์ต่าง ๆ ที่มาแทนปีไม่น่าจะมีอิทธิพลเท่ากับความคิดซึ่งหากตั้งมั่น ตั้งความหวังว่าในปีใหม่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีเป็นมงคลทั้งสิ้น

นอกจากนี้ในเรื่องราวของปีมะโรง อ.เศรษฐพงษ์ จงสงวน นักค้นคว้าวัฒนธรรมจีนให้มุมมองเพิ่มอีกว่า นักษัตรเป็นภาษาสันสกฤตหมายถึงดาวฤกษ์ หลายประเทศได้รับเอาวัฒนธรรมเรื่องเหล่านี้มาซึ่งสัตว์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ก็จะต่างกันไป อย่าง ปีมะโรงจีนเป็นมังกร ส่วนไทยเป็นพญานาค ขณะที่ปีระกามีไก่เป็นสัญลักษณ์เช่นเดียวกัน แต่ก็มีบางที่ใช้ นก เป็นสัญลักษณ์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่แผ่กระจายออกไป

“ปีนี้คนจีนเรียกปีมังกร แต่หากจะนับก็ต้องตรุษจีนเมื่อเข้าตรุษจีนก็จะเปลี่ยนปี ส่วนถ้าถามถึงเรื่องราวความนัยของมังกร มังกรจัดเป็นสัตว์ในเทพนิยายเก่าแก่ของจีน มังกรมีความหมายสำคัญถือเป็นตัวแทนของสัตว์ทั้งสี่ประจำทิศ

แต่ต่อมาความเชื่อในเรื่องมังกรแผ่ขยายออกไปทุกที่จะเห็นได้ว่ามังกรอยู่ได้ทั้งบนท้องฟ้า ในแผ่นดิน มังกรมีที่อาศัยอยู่ในทะเลรักษาทะเล รักษาแม่น้ำลำคลอง รักษาแผ่นดิน หุบเขาต่าง ๆ ฯลฯ จะเห็นได้ว่าแผ่ไปทั่วและเกี่ยวข้องผูกพันกับหลายเรื่องในการดำเนินชีวิต”

นอกจากนี้มังกรยังนำมาเป็นสื่อสัญลักษณ์มงคลแทนฐานานุศักดิ์เป็นสิ่งแทนในสถาบันสังคมในด้านศิลปกรรมก็มีการนำรูปมังกรมาใช้อยู่มากแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของมังกรและแม้จะเห็นว่าสามารถพบเห็นมังกรได้ทั่วไป แต่สำหรับชาวจีนมังกรเป็นสิ่งพิเศษเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความผูกพันมายาวนาน

“ช่วงตอนหนึ่งเมื่อพุทธศาสนาเข้ามาในจีน ความเชื่อของมังกรได้รวมเข้ากับเรื่องของพญา
นาค ในเชิงพุทธศาสนามังกรก็คือ พญานาคราช จะเห็นว่าก็มีการผสมผสานความเชื่อในเรื่องมังกรและถ้าเล่าย้อนกลับไปมังกรยังปรากฏในวรรณกรรม เทพนิยายซึ่งก็มีความเชื่อต่าง ๆ บางท่านกล่าวถึงมังกรว่าเป็นการผสมสัญลักษณ์ต่าง ๆอย่างเขาเหมือนกวาง ลำตัวเหมืองู มีเกล็ดเหมือนปลา กรงเล็บเหมือนสิงโต ฯลฯ”

อีกทั้งชื่อมังกรในภาษาจีนยังเป็นมงคลได้รับความนิยมต่อเนื่อง อย่าง เล่ง หลง เฉิงหลงชื่อของผู้ชายแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งก็พบอยู่มาก ขณะที่ภาษาญี่ปุ่น ริว ซึ่งแปลว่ามังกรก็พบว่ามีการนำมาตั้งชื่ออยู่มาก มังกรจึงมีนัยถึง ความเป็นมงคล ความยิ่งใหญ่ที่ยังคงผูกพันกับวิถีชีวิต

เมื่อปีมังกรมาถึงก็เชื่อว่าจะเป็นปีที่ดีนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปอย่างไรแล้วจึงไม่ควรประมาท อ.เศรษฐพงษ์กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า อยากให้พิจารณายึดมั่นหลักธรรมในพุทธศาสนา มองการเปลี่ยนผ่านปีด้วยสติ มองปีใหม่อย่างมีความหวังด้วยความตั้งใจที่จะทำดี โดยที่ไม่มุ่งหวังว่าจะดีได้โดยที่ไม่ทำอะไร

แต่ดีได้ด้วยความพยายาม เพราะเมื่อมีความพยายามแล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดผลสำเร็จขึ้น ช่วงเวลานี้ปีใหม่จึงอาจยึดนำมาเป็นจุดตั้งต้นเริ่มทำสิ่งดีงามทั้งหลาย.

...............................

ตำนานเล่าขานปีนักษัตร์

มะโรง เป็นชื่อปีที่ 5 ของรอบปีนักษัตรเป็นปีตามปฏิทินสุริยคติไทยโดยการนับรอบละ 12 ปีเป็นคติการนับปีที่นิยมใช้กันแพร่หลายในภูมิภาคเอเชีย ในตำนานที่กล่าวขานถึงปีนักษัตร อ.สาโรช บอกเล่าอีกว่า จากที่ปรากฏในตำนานชาวไทยลื้อเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมถูกตัดเศียร ลูกสาวทั้ง 12 นางของพระพรหมซึ่งก็คือนางสงกรานต์มีหน้าที่เชิญพานที่รองรับเศียรพระพรหมออกแห่ในวันสงกรานต์ทุกปีโดยผลัดกันปีละนาง นางเหล่านี้มีพาหนะต่างกัน นางหนึ่งขี่หนู นางหนึ่งขี่วัว นางหนึ่งขี่เสือ ขี่กระต่าย ขี่พญานาค ขี่งู ขี่ม้า ขี่แพะ ขี่ลิง ขี่ไก่ ขี่สุนัข ขี่หมู ไปตามลำดับ ตามตำนานกล่าวว่าชาวไทยลื้อได้เอาพาหนะที่นางทั้งสิบสองขี่นี่แหละมาใช้เรียกชื่อปี

นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าย้อนไปในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเชิญสัตว์ต่าง ๆ มาร่วมงาน หากสัตว์ใดมาถึงงานเลี้ยงได้ 12 ตัวแรกจะได้รับการแต่งตั้งเป็นสัญลักษณ์ของปีนักษัตรปรากฏว่าในบรรดาสัตว์มากมายมีหนูรวมอยู่ด้วย หนูกระโดดเกาะหางวัวใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าผ่านหน้าไปและแซงหน้าสัตว์อื่น ๆ ไปอย่างรวดเร็วจนใกล้ถึงเส้นชัย เจ้าหนูกลับกระโดดวิ่งไปบนหลังวัวและถีบตัวเองลอยลิ่วเข้าสู่เส้นชัยเป็นตัวแรก ฯลฯ ปีเริ่มต้นจึงเริ่มด้วยปีชวดซึ่งมีหนูเป็นสัญลักษณ์

อีกทั้งยังมีตำนานกล่าวถึงหลังเกิดไฟบรรลัยกัลป์เทพเจ้าทั้งสามคือพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหมสร้างโลกขึ้น เทพเจ้าได้สร้างสรรพชีวิตและเห็นว่าโลกที่ยังไม่ได้มีการแบ่งช่วงเวลาจึงสร้าง วัน เดือน ปี จากนั้นทรงสร้างสัตว์ 12 ชนิด ขึ้นและนำชื่อสัตว์เหล่านั้นมาตั้งเป็นชื่อ 12 นักษัตร เป็นต้น

ทีมวาไรตี้
@เดลินิวส์

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ธนบุรีศรีมหาสมุทร (4)


การตั้งเมืองหลวงใหม่ในยุคนี้ขนาดมีเทคโนโลยีพร้อม ไม่มีทุนสร้างก็ยังออกบอนด์หรือพันธบัตรได้ กู้จากต่างประเทศได้แต่ก็ยังนับว่ายากนักหนา

ลองดูข้อเสนอที่ให้ย้ายเมืองหลวงหรือตั้งเมืองบริวารหนีน้ำท่วมสิ แล้วคิดดูว่าสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อ 244 ปีก่อนยากเย็นขนาดไหน จะค่อยยังชั่วอยู่บ้างก็ที่ว่าสมัยก่อนผู้คนยังมีน้อย และความเป็น “เมืองหลวง” หรือราชธานียังไม่ต้องมีอะไรพะรุงพะรังเหมือนทุกวันนี้ ไม่ต้องมีทำเนียบรัฐบาล ไม่ต้องมีอาคารกระทรวงทบวงกรม รัฐสภา ศาล ไม่ต้องมีศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย โรงเรียน สนามบิน ท่าเรือ สถานีรถไฟ อีกประการหนึ่งคืออำนาจของพระเจ้าแผ่นดินยัง “เด็ดขาด” ขีดแผนที่ให้ตรงไหนเป็นอะไรก็เป็น เกณฑ์แรงงานคนมาสร้างอะไรก็ต้องมา


เรียกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องผังเมือง การเวนคืน สิ่งแวดล้อม ไม่ต้องกังวลเรื่องม็อบและไม่ต้องทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 อย่างกรณีมาบตาพุด


แต่จะว่าคนสมัยก่อนไม่ต้องคิดอะไรมากก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าท่านคิดตามแบบของท่าน เช่น ต้องดูชัยภูมิเพื่อประโยชน์ในการทำสงคราม ต้องวางผังให้เป็นไปตามแบบในไตรภูมิ วัดอยู่ตรงไหน วังอยู่ตรงไหน ล้อมรอบด้วยอะไร และต้องคำนึงถึงโบราณประเพณี เรื่องนี้จะเห็นชัดกว่ามากเมื่อครั้งตั้งกรุงศรีอยุธยาและตั้งกรุงเทพฯ เพราะกรุงธนบุรีนั้นจะว่าเป็นเมืองหลวงก็แค่พออยู่ไปพลางก่อนเนื่องจากสงครามยังติดพัน ทุนรอนก็ไม่มี ช่างหลวงมีฝีมือก็หายากมี แม้กระนั้นท่านก็ให้มีวัดในวัง มีที่ทำนาเลี้ยงราษฎร มียุ้งฉางหลวงไว้เก็บข้าวเปลือก พระราชวังนั้นแม้จะมุงหลังคาจากแต่ก็ถือเป็นศูนย์ราชการ ทุกอย่างสั่งออกไปจากที่นี่ พวกขุนนางผู้ใหญ่ก็ให้ไปปลูกเรือนอยู่ริมแม่น้ำข้างวัง ขุนนางผู้น้อยให้หลบเข้าไปอยู่สองข้างคลองบางกอกใหญ่ ที่ตรงนั้นจึงเรียกว่าคลองบางหลวง


พวกอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและเชลยญวน มอญ ลาว เขมรก็ให้ข้ามไปอยู่ทางฝั่งบางกอก แต่ฝรั่งให้ไปอยู่แถวกะดีจีนเพราะต้องดูแลรักษาป้อม ตลาดก็ให้อยู่ท้ายวัง วัดตรงนั้นจึงได้ชื่อว่าวัดท้ายตลาด (วัดโมลีฯ)

สิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ต้องเร่งจัดทำและจัดหาในขณะนั้นคือคน และทุน คำว่าคนหมายถึงพวกที่มีฝีมือ มีความรู้เพื่อมาช่วยกันสร้างชาติ ไหนจะต้องช่วยรบ ไหนจะต้องช่วยปกครองดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย จัดระเบียบสังคมใหม่ ไหนจะต้องทำงานธุรการในวังนอกวัง ส่วนทุนหมายถึงเงินทองที่จะต้องใช้จัดหาเสบียง เลี้ยงกองทัพ ซื้อหาข้าวของมาสร้างกรุง และจัดหาอาวุธไว้สู้กับศัตรู ทั้งสองอย่างเป็นวาระแห่งชาติในขณะนั้น

บุญที่พวกข้าราชการเก่าสมัยอยุธยาหลายคนได้กลับเข้ามาสวามิภักดิ์ เช่น หลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) พระสหายเก่าได้นำครอบครัวย้ายจากบางช้างเข้ามาทำราชการ โปรดฯ ให้เป็นพระราชวรินทร์ คุมตำรวจ พระราชทานที่ดินริมแม่น้ำข้างวังให้ปลูกเรือน ภายหลังไปรบทัพจับศึกชนะจึงทรงตั้งเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ (ระดับ ผบ.ตร.) พระยายมราช (เทียบประมาณ มท.1) เจ้าพระยาจักรี (นี่เทียบระดับนายกรัฐมนตรี) และเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หลังจากนั้นจึงได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 1

พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด ต้นสกุลบุณยรัตพันธุ์) ก็เป็นขุนนางเก่ารู้ธรรมเนียมในวังมาก โปรดฯ ให้เป็นเสนาบดีกรมวังดูแลกิจการทั้งปวงในราชสำนัก ศาล วัดวาอารามและพิธีการต่าง ๆ

นายบุญมาน้องชายหลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) เคยเป็นนายสุดจินดามหาดเล็กสมัยอยุธยาได้เข้าร่วมตั้งแต่สงครามกู้ชาติ เมื่อสถาปนากรุงธนบุรีแล้วก็ได้ทำราชการต่อไปจนเป็นพระมหามนตรี พระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และเจ้าพระยาสุรสีห์ในที่สุด ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เป็นกรมพระราชวังบวรฯ พระมหาอุปราชวังหน้า

นายบุนนาค ลูกเจ้าพระยามหาเสนา รมต.กลาโหมครั้งกรุงเก่าเชื้อสายแขกเปอร์เซียเคยทำราชการในวังก่อนเสียกรุงได้เป็นนายฉลองไนยนาถ มหาดเล็ก เมื่อกรุงแตกก็ได้ไปอาศัยอยู่กับหลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) ที่บางช้าง คุณนาคภริยาหลวงยกกระบัตรเห็นว่าเป็นพ่อม่ายเมียตาย มีชาติมีสกุล และซื่อสัตย์สุจริตจึงยกคุณนวล น้องสาวให้ แต่มีเรื่องผิดพ้องหมองใจกับพระเจ้าตากมาแต่เด็กจึงไม่ได้เข้าทำราชการ จนเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯ ได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 ท่านจึงได้เข้าทำราชการด้วยจนได้เป็นเจ้าพระยามหาเสนาเหมือนบิดา ท่านผู้นี้เป็นต้นสกุลบุนนาค

วงศาคณาญาติฝ่ายหลวงยกกระบัตร (ทองด้วง) ได้เข้าทำราชการหลายคน รวมทั้งพ่อทองอิน บุตรชายของคุณสา พี่สาวของหลวงยกกระบัตร ต่อมาพ่อทองอินได้เป็นพระยาสุริยอภัย เจ้าเมืองโคราช เมื่อรัชกาลที่ 1 ผู้เป็นน้าได้ครองราชย์แล้ว ท่านได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข วังหลัง ซึ่งเป็นวังหลังพระองค์เดียวในสมัยกรุงเทพฯ

พระเจ้าตากทรงเริ่มนำทัพไปปราบก๊กต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ตั้งแต่ปีแรก เริ่มจากก๊กเจ้าพิมายจับได้กรมหมื่นเทพพิพิธ ครั้งแรกจะทรงเว้นชีวิตไว้และให้มาช่วยกันทำราชการ แต่กรมหมื่นเทพพิพิธเห็นว่าตนเป็นลูกพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึง “จมไม่ลง” กลับกระด้างกระเดื่องจึงให้นำไปสำเร็จโทษเสีย พระราชวรินทร์ (ทองด้วง) ทำสงครามได้ชัยชนะในครั้งนี้นี่เองจึงได้เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจ

หลังจากนั้นเสด็จลงเรือไปปราบก๊กเจ้าพระยานครศรีธรรมราชจนจับตัวเจ้าเมืองได้ ขุนนางจะให้ประหารแต่ตรัสว่ายามบ้านแตกเมืองเสียทุกคนก็หมายตั้งตัวเป็นใหญ่ทั้งนั้น เจ้านครกับพระองค์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าเป็นข้ากันมาก่อน จะเอาผิดฐานอะไรก็ยาก เมื่อยอมอ่อนน้อมโดยดีก็ให้ไปทำราชการในกรุงธนบุรีแล้วยังเสด็จลงไปจัดการหัวเมือง เช่น สงขลา พัทลุง ปัตตานีจนเรียบร้อย


ศึกต่อมาคือการปราบก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลกและก๊กเจ้าพระฝางจนราบคาบ ได้ผู้คนเข้ามาอยู่ใต้พระบารมีหลายหมื่นคน ต่อมายังได้ยกทัพไปปราบเขมร ลาว ทรงตีได้เชียงใหม่จากพม่าจนรวบรวมอาณาจักรล้านนาคือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน กลับมาอยู่ในพระราชอาณาเขตธนบุรีสำเร็จ

เมื่อวันเวลาผ่านไปพอจะทรงมีเวลาว่างเว้นจากการรบบ้างก็ทรงหันมาทำเรื่องเศรษฐกิจ เช่น การค้าครั่ง การขุดคูคลอง และเรื่องศิลปวัฒนธรรมอันแสดงความรุ่งเรืองของบ้านเมือง เช่น โปรดฯ ให้ซ่อมวัดต่าง ๆ ทรงเสาะหาช่างฝีมือมาทำข้าวของเครื่องใช้และยังมีเวลาทรงพระราชนิพนธ์หนังสือดี ๆ หลายเล่มหรือมิฉะนั้นก็ส่งเสริมกวีหลายคน เข้าใจกันว่าพระองค์เองจะทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระมงกุฎประลองศร ตอนหนุมานเกี้ยวนางวาริน ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ และตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรด สำนวนนี้ว่ากันว่าเป็นพระราชนิพนธ์

เมื่อนั้น พระทรงจตุศีลยักษา
ครั้นเห็นนวลนางสีดา เสน่หาปราบปลื้มหฤทัย
อั้นอัดกำหนัดในนาง พลางกำเริบราคร้อนพิสมัย
พิศเพ่งเล็งแลทรามวัย มิได้ที่จะขาดวางตา
ชิชะโอ้ว่าสีดาเอ๋ย มางามกระไรเลยเลิศเลขา
ถึงนางสิบสองห้องฟ้า จะเปรียบสีดาได้ก็ไม่มี

และแล้วก็มาถึงเรื่องที่ทรงหันหน้าเข้าวัดเข้าศาสนา คงจะเป็นว่าชีวิตนักรบที่ผกโผนอยู่บนหลังม้าไล่ฆ่าฟันผู้คนมานานต่อให้เป็นศัตรูก็เถิด วันหนึ่งย่อมรู้สึกเกรงในบาปบุญคุณโทษอยู่เหมือนกัน หนทางจะระงับดับความรู้สึกนั้นคือการใช้ศาสนาเข้าช่วย เช่น กรณีของพระเจ้าอโศกมหาราช ผมเองก็เคยพบครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เป็นขุนศาลตุลาการหลายคน ท่านบอกว่าแม้การตัดสินลงโทษจำคุกหรือประหารชีวิตคนจะถือว่าเป็นหน้าที่ และเราทำไปโดยสุจริตตามกฎหมาย เราไม่ได้ก่อกรรมแต่เป็นผู้ชี้กรรมเขา กระนั้นก็อดตะขิดตะขวงใจบ้างไม่ได้ว่าจะผิดพลาดหนักเบาไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้จึงต้องอาศัยทางพระทางเจ้าเข้าช่วย ใจจะได้สบาย



พระเจ้าตากทรงหันไปเรียนวิปัสสนา ส่วนใหญ่ก็ที่สำนักวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆัง) วัดนาค วัดกลาง (บัดนี้รวมกันเป็นวัดนาคกลาง) วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม) วัดหงส์ (วัดหงส์รัตนาราม) ราชการงานเมืองทั่วไปก็โปรดฯ ให้เจ้านายขุนนางดูแลกันเอง ตรงนี้แหละที่พงศาวดารและหนังสือหลายเล่มบรรยายว่าทรงหมกมุ่นเกินไป หรือบางทีครูบาอาจารย์ที่บอกกรรมฐานอาจพาเข้ารกเข้าพงไปด้วยก็ได้ จนทรงคิดว่าได้บรรลุธรรมอันวิเศษ ทำท่าจะศักดิ์สิทธิ์เหาะได้ คงเหมือนหลายสำนักในเวลานี้ที่พาถอดจิตไปเฝ้าพระอินทร์ ไปไหว้พระธาตุจุฬามณี ขึ้นสวรรค์ลงนรก ข้ามภพข้ามชาติอะไรทำนองนั้น

บางเล่มก็กล่าวว่าระยะหลังพระอารมณ์ชักจะแปรปรวนหงุดหงิดง่าย เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ และทรงพระพิโรธลงโทษคนได้ง่าย ๆ ทั้งที่ไม่ใช่พระอารมณ์ดังนี้มาแต่เดิม

ตัวอย่างที่มักยกขึ้นกล่าวในพงศาวดาร จดหมายเหตุและหนังสือต่าง ๆ เช่น ทรงกริ้วว่าเงินทองที่ทรงเก็บไว้สูญหายไป เข้าพระทัยว่าเจ้าจอมคนโปรดจะเม้มไว้จึงให้ประหาร เสร็จแล้วมาพบภายหลังว่าทรงเก็บไว้ในหีบที่ซ้อนกันแล้วทรงลืมเสีย ทรงให้โบยสตรีมีบรรดาศักดิ์หลายคนในวังรวมทั้งคุณสา พี่สาวสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ต่อมารัชกาลที่ 1 สถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์ใหญ่) ทรงชุบเลี้ยงหญิงชาวบ้านร้านตลาดเป็นเจ้าจอมทำราชการซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียม โปรดฯ ให้เชิญเจ้ามาประทับทรงพระองค์ มีพระราชสาส์นไปขอธิดาพระเจ้ากรุงจีน ที่ถือว่าแหวกแนวไปมาก เช่น โปรดฯ ให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะผู้ใหญ่มาถามว่าถ้าฆราวาสบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน พระภิกษุธรรมดาจะต้องไหว้ไหม คำถามนี้เล่นเอาพระแบ่งกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกตอบว่าต้องไหว้เพราะพระเองยังไม่บรรลุ อีกฝ่ายตอบว่าไม่ต้องเพราะถึงอย่างไรพระก็มีศีล 227 ข้อ ทรงกริ้วพวกหลังมากจับสึกหมดแล้วส่งไปทำงานหนัก

เรื่องพวกนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่น่าจะมีมูลอยู่บ้าง เพียงแต่จะสรุปว่าทรงวิกลจริตหรือ “บ้า” นั้นไม่น่าจะถึงขนาดนั้น คงแค่ “แปลก ๆ” อยู่ พงศาวดารบางเล่มจึงใช้คำว่า “จริตวิกล” ซึ่งก็คงเป็นพัก ๆ เพราะพงศาวดารเองก็กล่าวว่าบางครั้งยังทรงออกว่าราชการได้ตามปกติ เช่น คราวจะส่งคณะทูตไปเมืองจีน เป็นต้น

แต่ที่แน่ ๆ คือพระอาการและพระอารมณ์เช่นนี้ย่อมเป็นจุดอ่อนเปิดทางให้พวกฉวยโอกาสซึ่งมีอยู่ทุกสมัยเข้าแสวงหาประโยชน์ กดขี่ข่มเหงราษฎรบ้าง อ้างพระราชดำรัสตรัสสั่งบ้าง ขุนนางหลายคนกอบโกยหาผลประโยชน์ใส่ตน เช่นที่อยุธยามีการเก็บภาษีพวกลูกหลานที่กลับไปขุดหาทรัพย์ที่บรรพบุรุษฝังไว้ เมื่อในวังอ่อนแอก็เท่ากับว่ารัฐบาลอ่อนแอ ข้าราชการเข้าเกียร์ว่าง แล้วพวกนี้เองที่
ไปรีดไถประชาชน แอบอ้าง “ข้างบน” ขนาดเจ้าหน้าที่เก็บภาษียังไปเอาพระที่เป็นพรรคพวกกันมาทั้งผ้าเหลืองช่วยเก็บค่าต๋งแบ่งกัน

ในที่สุดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ทรงเป็นจำเลยของสังคมพูดตามภาษาการเมืองสมัยนี้ก็คือเกิดวิกฤติศรัทธา โดยสรุปคือทรงมีจุดอ่อนสำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ ในด้านการรบแม้ทรงมีทีมงานที่เก่งกล้าอยู่หลายคน กล้าเป็นกล้าตายทั้งนั้น แต่พอศึกสงบจะหาคนที่ช่วยดูแลการปกครองให้เรียบร้อยยากเต็มที สมเด็จเจ้าพระยาฯ และน้องชายก็ถูกใช้ให้ไปรบที่โน่นที่นี่ไม่หยุดหย่อน พระเจ้าตากเองก็มีพระราชโอรสน้อยพระองค์ ไม่พอจะช่วยราชการ ที่พอมีก็โตไม่ทันใช้ พระญาติพระวงศ์ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มี การมีลูกน้อยน้องน้อยบริวารน้อยมีข้อเสียอย่างนี้เอง

อีกเรื่องคือแม้จะทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่ความรู้สึกของพวกขุนนางเก่า ผู้ดีเก่าที่ว่าทรงเป็นสามัญชนมาก่อน ไม่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งยังมีเชื้อสายจีนเสียอีกจึงทำให้ขุนนางบางส่วนไม่ “สนิทใจ” เท่าไรนักพอมาทรงเข้าวัดคร่ำเคร่งทำวิปัสสนา แล้วมีแต่ภาพลักษณ์ด้านลบออกมาจึงทำให้ขาดความศรัทธาวางใจได้

เรื่องอย่างนี้เรียกว่าเป็น “ปัญหาการเมืองภายใน” ไม่ได้มาจากข้าศึกศัตรูที่ไหนทั้งนั้น.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com