หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ศรีอยุธยา (09)

สมเด็จพระนารายณ์เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ประสูติภายหลังจากที่พ่อท่านครองราชย์แล้ว ตามโบราณประเพณีเรียกว่า “ประสูติภายใต้เศวตฉัตร” ไม่ได้แปลว่าไปกางร่มคลอดอยู่ตรงนั้น

ที่จริงท่านควรได้เป็นกษัตริย์ต่อจากพระเจ้าปราสาททอง แต่พ่อท่านไปทรงทำท่าเหมือนจะยกราชสมบัติให้เจ้าฟ้าไชย ที่ “ประสูตินอกเศวตฉัตร” จึงเลยตามเลยจนต่อมาสมเด็จพระนารายณ์เข้ายึดอำนาจจากสมเด็จเจ้าฟ้าไชย พี่ชายคนละแม่ แล้วยกอาคือพระศรีสุธรรมราชาขึ้นเป็นกษัตริย์สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ไปปล้ำน้องสาวสมเด็จพระนารายณ์เข้าทั้งที่เป็นหลานอา สมเด็จพระนารายณ์จึงเข้ายึดอำนาจจับสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 28 แต่นับเป็นลำดับที่ 4 และลำดับสุดท้ายแห่งราชวงศ์ปราสาททอง




กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ปลายสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถมาจนถึงต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ร่วม 30 ปี ไม่มีศึกสงครามกับพม่า แต่ภายในพระนครร้อนรุ่มไม่เป็นสุขมีแต่การทะเลาะเบาะแว้งแย่งอำนาจกัน พี่ฆ่าน้อง (พระเจ้าทรงธรรมจัดการกับพระศรีเสาวภาคย์) ขุนนางยึดอำนาจ (เจ้าพระยากลาโหมจัดการกับสมเด็จพระเชษฐาธิราช) น้องฆ่าพี่ (สมเด็จพระนารายณ์จัดการกับสมเด็จเจ้าฟ้าไชย) และหลานฆ่าอา (สมเด็จพระนารายณ์จัดการกับสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา)

วัดโคกพระยานอกเกาะอยุธยาซึ่งเป็นที่สำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายมาตั้งแต่ครั้งประหารพระเจ้าทองลันเป็นอันไม่ค่อยจะว่างพระศพเลย!

เวลาจะยึดอำนาจกัน เหตุผลที่ใช้มาทุกยุคทุกสมัยเพื่อให้ราษฎรฟังแล้วพยักหน้าว่า เออ! ก็สมควรอยู่คือ “ด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนไม่ทรงดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม จรรยา สัมมาปฏิบัติ”

ฟังแล้วคล้าย ๆ ที่เวลาจะปฏิวัติในยุคหลัง ๆ ต้องประกาศว่า “ด้วยปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลกระทำการทุจริต...”

ทศพิธราชธรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดถึงกันเล่น ๆ แต่เป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณ ต้องมี และต้องรักษาไว้ให้ได้ มิฉะนั้นจะเกิดความไม่พอใจในหมู่ราษฎรและขุนนาง แม้ราชบัลลังก์มั่นคงเพียงใดก็สะท้านสะเทือนได้ ธรรมะนี้เป็นของผู้ปกครอง สมัยก่อนโน้นพระราชาเป็นผู้ปกครอง ก็เป็นธรรมะของพระราชา ต่อมารัฐบาลเป็นผู้ปกครอง ข้าราชการเป็นผู้ใช้อำนาจ จึงกลายเป็นธรรมะของนักการเมืองและข้าราชการจนบัดนี้

รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ 32 ปีสงบเรียบร้อยดีด้วยความสามารถในทางการทหาร การปกครอง การทูต และการค้า ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จ คือ 1. การมีเวลาปกครองยาวนาน 2. การมีคนเก่งให้ใช้งานทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ 3. การมีสติปัญญาล้ำเลิศและดำเนินนโยบายอย่างชาญฉลาด จนเล่นเอาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสงง!

ความเจริญในสมัยนี้มี 5 ด้าน คือ ด้านการปกครอง ได้ขยายอาณาเขตทางเหนือไปจนถึงเชียงใหม่ ทางใต้ไปจนถึงนครศรีธรรมราช สงขลา เมืองไทรบุรี และหัวเมืองมลายู ด้านเศรษฐกิจมีเรือสำเภาจากยุโรปและอาหรับเข้ามาค้าขายมากมาย ทำให้เศรษฐกิจดีมีการปรับปรุงระบบเก็บภาษี รัฐบาลร่ำรวย

ด้านการต่างประเทศฝรั่งเศสส่งราชทูตเข้ามาถวายพระราชสาส์นและเปิดสถานทูตเป็นครั้งแรก อยุธยาส่งราชทูตไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสและเปิดสถานทูตบ้าง ทั้งยังติดต่อกับอังกฤษ สเปน ฮอลันดา และกรุงโรม ทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาคนแรก คือ เชอวาลิเยร์ เดอ โชมองต์ ต่อมาคือลาลูแบร์ ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอยุธยาไว้ ทูตอยุธยาที่ไปฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงมากคือพระวิสุทธสุนทร ต่อมาเป็นเจ้าพระยาโกษา (ปาน)

ด้านศาสนา เสรีภาพ และวิทยาการ พวกบาทหลวงฝรั่งเศสได้เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาอย่างเป็นทางการจนขุนนางอยุธยากลัวว่าสมเด็จพระนารายณ์จะเข้ารีต พระราชทานที่ดินสร้างวัดและเสรีภาพในการนับถือศาสนา เจ้านาย และขุนนางหลายคนเข้ารีตไปแล้ว คณะบาทหลวงยังนำช่างเข้ามาตั้งหอดูดาว สร้างป้อมทหาร สร้างโบสถ์ สร้างวัง ออกแบบถนนหนทาง น้ำพุ

ขุนนางสำคัญเวลานั้นถ้าไม่เป็นเปอร์เซียก็เป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส แขกมัวร์ ที่ยิ่งใหญ่ระดับนายกรัฐมนตรีคือเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาติกรีกด้านวรรณคดีสมัยนี้เป็นยุคทอง กวีเก่ง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ศรีปราชญ์ก็ว่าเป็นคนสมัยนี้ แต่บางคนยังเถียงว่าอาจไม่มีตัวจริงหรือไม่ก็เป็นคนรุ่นหลัง

ตั้งแต่สถาปนาอยุธยามา อยุธยายังไม่เคยดี เด่น ดังทีเดียวพร้อมกันทุกด้านขนาดนี้ ว่าไปแล้วในบรรดากษัตริย์อยุธยาทั้งหมดฝรั่งเห็นจะรู้จักแต่สมเด็จพระนารายณ์พระองค์เดียว แต่ถ้าถามพม่าถามมอญก็ต้องเป็นสมเด็จพระนเรศวร

สมเด็จพระนารายณ์มีจุดอ่อนคือ 1. ไม่มีลูกชายไว้สืบราชสมบัติ มีแต่เอาเด็กมาเลี้ยง 2. มีพระทัยกว้าง ทำให้ขุนนางระแวงว่าแม้มีทศพิธราชธรรมแต่เป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เพราะภายหลังฝรั่งเศสส่งทหารเข้ามาข่มขู่เอาจริง ๆ เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ก็ตั้งท่าว่าเผลอ ๆ อาจเป็นกษัตริย์ต่อไปด้วยซ้ำ 3. พระสุขภาพไม่ดี ปีหนึ่งต้องเสด็จไปประทับที่ลพบุรีหลายเดือน ปล่อยให้ทางอยุธยาอยู่ในมือเจ้าพระยาวิไชเยนทร์

ในที่สุดพระเพทราชาเจ้ากรมช้าง (เทียบสมัยนี้คงระดับ ป.ต.อ.) ก็เข้ายึดอำนาจจับเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ประหาร เปิดฉากรบกับกองทัพฝรั่งเศสจนลงเรือหนีไป สมเด็จพระนารายณ์ซึ่งประชวรอยู่แล้วสวรรคต พระเพทราชาจึงได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระเพทราชา กษัตริย์พระองค์ที่ 29

สมเด็จพระเพทราชาเป็นสามัญชนชาวบ้านพลูหลวง สุพรรณบุรี จึงไม่อยู่ในราชวงศ์ปราสาททอง นักประวัติศาสตร์เรียกว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวง เป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา เพราะกษัตริย์รวม 6 พระองค์ครองราชย์มาจนถึงวันที่กรุงแตกครั้งที่ 2

เมื่อสมเด็จพระเพทราชาสวรรคต พระราชโอรสซึ่งเดิมคือหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ) ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 30 ทรงพระนามว่าสมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 แต่ด้วยความที่เป็นคนดุ ฆ่าคนได้ง่าย ๆ วันดีคืนดีปลอมตัวออกไปชกมวยพนันกับชาวบ้าน คนจึงเรียกว่า “สมเด็จพระเจ้าเสือ” รัชกาลนี้แหละที่เกิดเรื่องพันท้ายนรสิงห์พายเรือไปตามคลองโคกขาม หักเรือพระที่นั่งไม่ทันโค้ง หัวเรือชนตลิ่งจนหัก พันท้ายนรสิงห์ขอให้ประหารชีวิตตน สมเด็จพระเจ้าเสือให้อภัยแต่พันท้ายนรสิงห์ก็ไม่ยอม ต้องการให้รักษากฎหมาย ลงท้ายก็ต้องประหาร ถึงตอนนี้ต้องร้องเพลงน้ำตาแสงใต้ประกอบ “นวลเจ้าพี่เอย คำน้องเอ่ย...”

สมเด็จพระเจ้าเสือนั้นมีคนเชื่อกันว่าเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระนารายณ์แต่ประสูติจากสาวชาวบ้านธรรมดา จึงให้พระเพทราชาเลี้ยงเป็นลูก ว่ากันว่าหน้าตาละม้ายสมเด็จพระนารายณ์และเป็นคนโปรดด้วย ในการปฏิวัติปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ท่านเป็นคนวางแผนและก่อการแทบทั้งหมด

พูดถึงสมเด็จพระนารายณ์ พงศาวดารเขียนไว้ว่าเป็นคนมีบุญมาแต่เกิด เมื่อประสูติก็มีคนเห็นเป็น 4 มือ วันหนึ่งไฟไหม้ พระราชกุมารถลันตามคนขึ้นไปช่วยดับไฟ คนทั่วไปเห็นเป็นเงาคนสี่มืออยู่กลางหมอกควัน ไม่ช้าไฟก็ดับลง พระราชชนกจึงพระราชทานนามว่าพระนารายณ์ราชกุมาร ทรงเป็นมหาราชพระองค์หนึ่งของไทย

อ้อ! เจ้าพระยาโกษา (ปาน) คนที่เคยเป็นทูตไปฝรั่งเศสนั้น ภายหลังได้ตำแหน่งใหญ่แทนเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ที่ถูกฆ่า แต่ตัวท่านเองถึงสมัยสมเด็จพระเพทราชาก็ถูกประหาร ท่านเป็นคนรุ่นหลานเหลนสืบเชื้อสายมอญมาจากพระยาเกียรติ พระยาราม มอญที่ถูกใช้ให้ลอบฆ่าสมเด็จพระนเรศวรที่เมืองแครงแล้วกลับสารภาพเข้าด้วยกับสมเด็จพระนเรศวร จำได้ไหม

รัชกาลที่ 4 ทรงอธิบายแก่เซอร์จอห์น เบาว์ริ่ง ราชทูตอังกฤษว่า เจ้าพระยาโกษา (ปาน) เป็นบรรพบุรุษชั้นทวดของพระอักษรสุนทร (ทองดี) พระอักษรสุนทรเป็นพระบรมราชชนกของรัชกาลที่ 1

ดังนั้นพระบรมราชจักรีวงศ์นอกจากเป็นไทยแล้ว ยังมีเชื้อสายมอญทางเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และย้อนไปถึงพระยาเกียรติ พระยารามอีกด้วย ทั้งยังมีเชื้อสายทางจีนและมุสลิมเช่นกัน แม้แต่ราษฎรทั้งหลายในประเทศนี้ก็ระคนปนเปกัน กลืนกัน ไม่เคยแบ่งแยกเป็นเขาเป็นเรา

ชาติทั้งหลายโดยเฉพาะในอุษาคเนย์นี้ล้วนแต่สังคมเครือญาติกันทั้งนั้น แล้วจะทะเลาะกันทำไม!.

“ทศพิธราชธรรมจึงไม่ใช่เรื่องที่จะพูดถึงกันเล่น ๆ แต่เป็นสิ่งที่พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณ ต้องมี และต้องรักษาไว้ให้ได้ มิฉะนั้นจะเกิดความไม่พอใจในหมู่ราษฎรและขุนนาง แม้ราชบัลลังก์มั่นคงเพียงใดก็สะท้านสะเทือนได้ ธรรมะนี้เป็นของผู้ปกครอง สมัยก่อนโน้นพระราชาเป็นผู้ปกครอง ก็เป็นธรรมะของพระราชา ต่อมารัฐบาลเป็นผู้ปกครอง ข้าราชการเป็นผู้ใช้อำนาจ จึงกลายเป็นธรรมะของนักการเมืองและข้าราชการจนบัดนี้”

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น: