หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อมรรัตนโกสินทร์ (14)

ที่รัชกาลที่ 3 เคยตรัสไว้ก่อนสวรรคตว่า การศึกต่อไปข้างหน้าข้างฝ่ายพม่าคงจะไม่มีอีกแล้ว ระวังก็แต่ข้างฝรั่งไว้เถิด เห็นจะไม่ผิดไปจากพระโอษฐ์ เพราะนับแต่นั้นมาฝรั่งชาติต่าง ๆ ก็ทยอยกันเข้ามามากขึ้น บ้างก็ว่าจะมาค้าขาย บ้างก็เข้ามาทำทีเผยแผ่ศาสนา


แต่ลงท้ายก็กลายเป็นเรื่องการเมืองการปกครองและการจะยึดเอาเราเป็นเมืองขึ้นทั้งนั้น

ที่จริงเมื่อหลายร้อยปีก่อน ฝรั่งที่เป็นเจ้าโลกออกล่าหาเมืองขึ้นมีแต่โปรตุเกสและสเปนเท่านั้น เพราะมีกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ มีสินค้าที่จะแลกเปลี่ยนมาก ที่สำคัญคือมีแผนที่การเดินเรืออันถือเป็นความลับสุดยอด สองประเทศนี้แก่งแย่งแข่งขันกันมาตลอด จนโป๊ปจับเซ็นสัญญาสงบศึกแบ่งโลกออกเป็นซีกตะวันตกให้สเปนไปวัดดวงเอา สเปนจึงไปอเมริกาเหนือและใต้ และซีกตะวันออกให้โปรตุเกสไปเสี่ยงเอา ตะวันออกนี้คืออินเดีย อยุธยา มลายู ชวา โปรตุเกสจึงมีท่าเรือใหญ่ที่เมืองกัว สุรัต ปอนดิเชอรี และมาสุลีปะตัมในอินเดีย มะละกาในมลายู และบางกอก


ต่อมาประเทศที่ตกขบวนรถไฟในการทำสัญญาแต่เริ่มมีศักยภาพทางทะเลมากขึ้นก็ขอเข้ามามีเอี่ยวบ้าง เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา พวกนี้มักแทรกเข้ามาทางซีกตะวันออกของโปรตุเกส โดยล้ำเข้ามาในอินเดีย อยุธยา มลายู ชวา แหลมอินโดจีน ยิ่งพอโปรตุเกสอ่อนแอลงอังกฤษและฝรั่งเศสก็เข้ามาแทรกมากขึ้นจนคราวนี้แบ่งกันเองว่าอังกฤษเอาไปส่วนหนึ่ง ฝรั่งเศสเอาไปส่วนหนึ่ง อังกฤษได้อินเดีย พม่า บางส่วนของจีน และมลายู ฝรั่งเศสได้ลาว เขมร ญวน เหลือแต่ไทยที่ดำรงเอกราชอยู่แต่ง่อนแง่นเต็มทีเหมือนอยู่ใกล้ปากเหยี่ยวปากกา ใครมือยาวสาวได้สาวเอา

ปลายรัชกาลที่ 3 ฝรั่งเข้ามาเจรจาการค้ากับไทยหลายคณะ ส่วนใหญ่มาจากอังกฤษ เช่น หันแตร บารนี (เฮ็นรี่ เบอร์นีย์) กาละฝัด (จอห์น ครอว์ฟอร์ด) เย สัปปุรุส (เจมส์ บรุคส์) ส่วนที่มาจากอเมริกาก็เช่นหันแตร (ฮันเตอร์) บัลเลสเตีย เรื่องใดที่พอเจรจาและยอมไปได้เราก็ยอมให้ แต่บางครั้งผู้แทนต่างชาติก็ยะโสโอหัง มายืนเท้าสะเอวต่อว่าเราบ้าง จะขอเข้าเฝ้าฯ บ้าง ขู่ว่าจะยกทัพเข้ามาบ้าง เราจึงไม่ยอม

รัชกาลที่ 4 ทรงศึกษาภาษาอังกฤษมามากตั้งแต่ยังไม่ครองราชย์ ทรงอ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่ง ทรงคุ้นเคยกับบาทหลวง หมอ และผู้แทนต่างประเทศหลายคนจึงทรงรู้เท่าทันฝรั่งดี ที่สำคัญคือทรงตระหนักดีในกระแสยุโรปาภิวัตน์ (การคล้อยตามกระแสของยุโรป) รวมทั้งอันตรายหากเราแข็งขืนจึงทรงใช้วิธีการทูตเจรจาต่อรองหนักบ้างเบาบ้าง โอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง ค้านคัดทัดทานบ้าง แต่การเดินทางเข้ามาของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ผู้แทนควีนวิกตอเรียแห่งอังกฤษดูจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเพราะเข้ามายื่นหนังสือสัญญาเรียกร้องทั้งทางการค้า การทูต การเดินเรือ และการคุ้มครองชาวอังกฤษในทางศาสนา การทำธุรกิจ และคดีความต่าง ๆ ดุจว่าจะเอาเราเป็นเมืองขึ้น

ขณะนั้นควีนวิกตอเรียมีอำนาจมากเมืองขึ้นก็มีมากจนอังกฤษได้ชื่อว่าดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เพราะค่ำที่ลอนดอนแต่ก็ยังเช้าที่เอเชียและแอฟริกาซึ่งเป็นของอังกฤษอยู่ดี ยิ่งอังกฤษได้อินเดียแล้วยิ่งน่ากลัว การที่คนทั่วโลกตื่นเต้นกับการเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตันเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็เพราะต่อไปคู่นี้จะเป็นกษัตริย์และราชินีของประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง

รัชกาลที่ 4 ทรงตั้งคณะกรรมการต่อรองกับเซอร์จอห์น เบาว์ริงจนได้ข้อยุติมีการลงนามในสัญญา แต่หลังจากนั้นก็เป็นแบบอย่างให้อีกหลายประเทศเข้ามายื่นข้อเรียกร้องอย่างเดียวกันบ้าง

เมื่อขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 เรายิ่งอยู่ท่ามกลางวิกฤติที่น่ากลัวหลายอย่าง ไหนพระเจ้าแผ่นดินจะทรงพระเยาว์ ไหนเจ้านายและขุนนางจะไม่สามัคคีกัน ยิ่งถ้าเป็นพวกรุ่นเก่าที่มีความคิดแบบอนุรักษนิยม ท่านเหล่านี้ไม่ใคร่จะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมบ้านเมือง บางทีขัดขวางอีกด้วย ไหนอิทธิพลความคิดแบบฝรั่งจะเข้ามามากดังที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาหลายคน มีการตั้งโรงพิมพ์ และมีการสั่งหนังสือพิมพ์ต่างประเทศเข้ามาหลายฉบับ มีการส่งคนไปเรียนเมืองนอก พวกหัวสมัยใหม่จึงมีมาก พวกนี้เอะอะก็จะเปลี่ยนแปลง และไหนบ้านเมืองจะไม่เป็นเอกภาพ อำนาจกระจายอยู่ตามเจ้านาย ขุนนาง และเจ้าเมืองต่าง ๆ โดยพระเจ้าแผ่นดินเองกลับไม่มีอำนาจเท่าใดนัก

แต่อะไรก็ไม่เท่ากับการพยายามแผ่อิทธิพลต่างชาติเข้ามาครอบงำอยู่ทุกขณะ

รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จสิงคโปร์ ชวา และอินเดียมาก่อนจึงพอจะทรงเข้าพระทัยว่าต้องเตรียมรับสถานการณ์อย่างไร ตอนต้นรัชกาล กรมพระราชวังบวรวังหน้าทรงถือว่าสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่สนับสนุนอยู่ พระองค์เองก็ทรงมีทหารในกำกับอยู่มากด้วยชินมาแต่ครั้งสมเด็จพระปิ่นเกล้า พอวังหลวงไฟไหม้ วังหน้าส่งทหารไปช่วยดับ ความจึงปรากฏว่าวังหน้ามีทหารอยู่มากจริง เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงให้วังหน้ามาเฝ้าฯ วังหน้ากลับหลบไปขออาศัยในสถานกงสุลอังกฤษและขอให้กงสุลใหญ่อังกฤษที่สิงคโปร์เข้ามาเป็นกาวใจ อังกฤษซึ่งจ้องจะเล่นบทผู้นำอยู่แล้วก็กระโดดฮุบสิครับ

ข้างฝรั่งเศสก็มาอีกแบบคือแล่นเรือเข้ามาปิดปากอ่าว บางลำแล่นเข้ามาจนถึงหน้าวังหลวงที่ท่าช้าง พอเราต่อสู้จนจมเรือฝรั่งเศสได้ ฝรั่งเศสก็เรียกร้องค่าเสียหาย กะว่าถ้าไม่จ่ายก็จะหาเหตุยึดเมือง ต้องเรี่ยไรกันขนานใหญ่เพื่อหาเงินช่วยชาติ เจ้านายผู้หญิงต้องถอดสร้อยถอดแหวนขาย บุญที่มีคนนึกได้จึงไปเอาเงินถุงแดงรัชกาลที่ 3 ที่ทรงเก็บไว้มาสมทบจึงพอไถ่บ้านเมืองไว้ได้

รัชกาลที่ 5 ทรงใช้พระบรมราโชบายเสด็จฯไปยุโรปเพื่อให้รู้ว่าเราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน แต่ทางสยามก็ยังถูกฝรั่งเศสบีบบังคับเรียกร้องเอาดินแดนที่เราเคยได้มากลับคืน จนเจียนจะรบกันใหญ่โต ระหว่างเสด็จฯไปยุโรป ดีที่พระเจ้าซาร์กษัตริย์รัสเซียทรงช่วย เช่น เสด็จลงฉายพระรูปประทับคู่กับรัชกาลที่ 5 ในสวนแล้วโปรดให้ส่งไปตีพิมพ์ในฝรั่งเศส โลกจะได้รู้ว่ากษัตริย์สยามพระองค์นี้เป็นพระสหายกับพระเจ้ากรุงรัสเซีย ใครอย่ามายุ่งนะ!

การคุกคามของต่างชาติในช่วงเวลานั้นฝรั่งเปรียบตนเองว่าเหมือนหมาป่ากับลูกแกะ รัชกาลที่ 5 ตรอมพระทัยมาก ไม่เสวยไม่บรรทมประหนึ่งจะให้สวรรคต ทรงวิตกว่าฤๅถึงคราวจะเสียกรุงอีกหนในสมัยพระองค์

● ในที่สุดผลจากการเจรจาเราต้องยอมเสียดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งไปเพื่อแลกกับดินแดนส่วนใหญ่และอธิปไตย เช่น เสียดินแดนในเขมรให้ฝรั่งเศส และดินแดนในมลายูให้อังกฤษ อุปมาได้กับการยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อฝรั่งได้ไปบ้างแล้วจะมาขู่เข็ญเพิ่มเติมก็ดูกระไรอยู่ จึงเลิกร้างไป

● หนามยอกอกสำคัญอีกอย่างคือสัญญาที่ฝรั่งแห่กันมาบังคับให้เราลงนามตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 4 สาระสำคัญคือถ้าคนในบังคับฝรั่งชาตินั้น ๆ ทำผิดในเมืองไทยต้องขึ้นศาลฝรั่งและใช้กฎหมายฝรั่ง พวกคนไทยนี่ก็หัวใส พอทำผิดก็หนีเข้าสถานกงสุลฝรั่งประเทศโน้นประเทศนี้ ขอปฏิญาณตนเป็นคนในบังคับฝรั่ง พอศาลยกฟ้องก็ขอกลับมาเป็นคนไทยตามเดิม เอากับพ่อสิ!

● ที่ฝรั่งเรียกร้องอย่างนี้เพราะเขาไม่เชื่อศาลไทยและกฎหมายไทยซึ่งลงโทษแบบดำน้ำลุยไฟพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตอกเล็บบีบขมับที่เรียกว่าจารีตนครบาล เขาหาว่าป่าเถื่อน พอเราเจรจาขออำนาจศาลคืน เขาก็บอกให้ไปจัดระบบศาลและทำกฎหมายให้ทันสมัยเสียก่อนแล้วค่อยมาพูดกัน

เห็นไหมครับว่า 42 ปีของรัชกาลที่ 5 ต้องทรงต่อสู้และจัดการกับหลายอย่างเหลือเกินเพื่อเรียกสิ่งที่สูญเสียไปกลับมาและระวังมิให้สูญเสียอะไรเพิ่มเติมอีก บ้านเมืองจึงอยู่มาได้ถึงวันนี้

ยิ่งรู้ก็ยิ่งรักยิ่งเห็นพระทัยและยิ่งชื่นชมพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เสียจริง!.

วิษณุ เครืองาม
wis.k@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น: