หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นมัสเต...เนปาล ดินแดนแห่งเทพเจ้าและสรวงสวรรค์

โดย อดุลย์
@คมชัดลึก 14 สิงหาคม 2554

นมัสเต...คำทักทายสวัสดีพร้อมพนมมือไหว้แบบเนปาล แถมพ่วงด้วยรอยยิ้มจริงใจ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นคลายความกังวลเมื่อต้องอยู่ต่างถิ่นไปเยอะ วันนี้ผมเดินทางไกลนานกว่า 3 ชั่วโมง จากเมืองไทยมาเยือนดินแดนแห่งเทพเจ้า "เนปาล"

รถบัสคันเล็กพาผมผ่านถนนแคบๆ จากสนามบินตรีภูวัน เข้าสู่ที่พักในกรุงกาฐมาณฑุ ก่อนจะพาเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทั่วนครหลวงแห่งนี้ เริ่มต้นที่ จัตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ หรือพระราชวังหนุมานโดก้า ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญของราชวงศ์ นอกจากนี้ยังมีบ้านกุมารี ที่พำนักของเทพธิดามีชีวิตของชาวเนปาล กุมารีองค์ปัจจุบันมีอายุ 6 ขวบ วันนี้ผมโชคดีกุมารีปรากฏตัวที่หน้าต่างให้ได้ชื่นชมด้วย แต่มีข้อแม้ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด


อีกหนึ่งสถานที่คือ เจดีย์สวยัมภูวนารถ หรือวัดลิง วัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นเจดีย์ที่มีรูปดวงตาทั้ง 4 ด้าน ตั้งอยู่บนเขา ทำให้เราสามารถมองเห็นทัศนียภาพกรุงกาฐมาณฑุได้เต็มตา
จัตุรัสปาทัน ดูบาร์สแควร์ ในเมืองปาทัน เต็มไปด้วยโบราณสถานเก่าแก่มากมาย สถาปัตยกรรมและศิลปะงดงามมาก สีของอิฐเก่าเมื่อรวมกับสีดำของไม้แกะสลัก ทำให้เกิดความงามอย่างมหัศจรรย์ เมืองปาทันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งของเนปาล

และอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรไปแวะชมคือ วัดโพธินาถ วัดทางพระพุทธศาสนาที่มีเจดีย์มหาโพธินาถที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล บนองค์เจดีย์มีตาทั้งสี่ทิศ บริเวณวัดเป็นแหล่งชุมชนชาวทิเบต วัดนี้ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2522

"ซองร้อยบาท ซองร้อยบาท" ภาษาไทยแบบคนเนปาลทำให้ผมต้องหันไปสนทนากับเจ้าของเสียงที่ยื่นสินค้าของที่ระลึกให้ผมเลือกซื้อ ผมงงว่าทำไมคนที่นี่ถึงพูดไทยได้ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่พูดได้หลายคน คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่ ปกติคนเนปาลจะใช้ภาษาเนปาลี กับภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก การสนทนา ซื้อขายต่อรองจึงไม่ค่อยมีปัญหาครับ และที่นี้ใช้เงินหลายสกุล ไม่จะเป็นรูปีเนปาล เงินอินเดีย ดอลลาร์สหรัฐ (1ดอลลาร์=70 รูปี) รวมถึงเงินไทย (1 บาท=2 รูปี)

ปิ๊นๆมอๆ...

ตลอดทั้งวันในที่อยู่ในกรุงกาฐมาณฑุ จะได้ยินเสียงแตรรถดังทั้งวัน ถนนหนทางที่นี่แคบมาก กฎระเบียบจราจรยังไม่มีบังคับใช้กันอย่างจริงจัง ไฟจราจรพอมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่ได้เปิดใช้ ดังนั้นแตรรถคือสิ่งสำคัญที่สุด

คนเนปาลใช้วิธีบีบแตรเพื่อจะบอกคนอื่นว่าฉันมาแล้วนะ ระวังด้วยนะ แม้จะดูวุ่นวาย ผมกลับไม่เห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นในเมืองนี้เลย รถยนต์ที่ใช้ส่วนมากจะเป็นรถคันเล็กๆ มอเตอร์ไซค์ และจักรยาน ติดป้ายทะเบียนสีแดง โอ้โห...มองไปทางไหนมีแต่รถป้ายแดง ยกเว้นรถแท็กซี่เท่านั้นครับที่ติดป้ายดำ

บนถนนจอแจอีกสิ่งหนึ่งที่จะได้เห็นอยู่บ่อยๆ คือ วัว คนเนปาลนับถือวัว เพราะว่าวัวเป็นพาหนะของพระศิวะ วัวจึงมีสิทธิเสรีที่จะเดินไปไหนมาไหนตามใจ โดยไม่มีใครคอยขัดขวาง หรือไล่ตะเพิด ว่ากันว่าคนขับรถที่นี่ระวังวัวมากกว่าระวังคน ขับรถชนคนยังพอจะเคลียร์กันได้ แต่ถ้าขับรถชนวัว...คุกสถานเดียวครับ

เมืองแห่งเทพเจ้า

คนเนปาลมีวิถีชีวิตติดกับศาสนา มีเทพเจ้ามากมาย มากกว่าจำนวนประชากรด้วยซ้ำ ทุกบ้านจะมีเทพเจ้าประจำบ้าน และตามถนนหนทาง การปฏิบัติศาสนกิจถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต คนเนปาลไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งเช้า-เย็น ซึ่งคนที่ไปวัดไหว้พระมาแล้วจะแต้มสีแดงที่หน้าผาก

ในรอบปีคนเนปาลจะมีเทศกาลที่ต้องหยุดงานเฉลิมฉลองทางศาสนาเสีย 200 กว่าวัน นั่นหมายความว่า คนเนปาลทำงานกันแค่ปีละร้อยกว่าวันเท่านั้น ยิ่งฤดูหนาวคนเนปาลทำงานแค่ 10 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็นเท่านั้น...น่าไปอยู่เหมือนกันนะเนี่ย

คนเนปาลส่วนมากยากจน รายได้เฉลี่ยเพียง 4,500-7,000 รูปีต่อเดือนเท่านั้น ขณะที่อาหารค่อนข้างแพง ไก่ 1 กก.ก็ปาไป 250 รูปี น้ำมันลิตรละ 90 กว่ารูปี ไข่ 8 รูปี คนเนปาลเลยต้องกินอาหารเมนูซ้ำๆ ง่ายๆ แต่ก็มีแหล่งการค้าหรูหรา ฟาสต์ฟู้ด ที่ขายเบอร์เกอร์อันละร้อยกว่าบาท มีห้างขายสินค้าหรูหรา กางเกงยีนมียี่ห้อตกตัวละ 3,000-4,000 รูปี เกือบเท่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนเนปาลเลยทีเดียว

ที่นี่มีปัญหาด้านสาธารณูปโภคมาก น้ำไม่ค่อยไหล ไฟฟ้าจะดับวันละ 4-18 ชั่วโมง พอ 4-5 ทุ่มร้านรวงก็ปิดหมดแล้วครับ เงียบสงบไม่มีแสงสี แต่เนปาลก็มีสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุดคือ ลุมพินี สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า องค์ศาสดาของศาสนาพุทธ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก อีกอย่างคือ ยอดเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก สูง 8,848 เมตร ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย และสุดท้ายคือ ทหารกุรข่า ทหารที่อดทน กล้าหาญ สามารถต่อกรกองทัพอังกฤษจนแตกพ่ายมาแล้ว และปัจจุบันเนปาลส่งออกทหารเหล่านี้ไปรับจ้างตามประเทศต่างๆ ทำรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากรายได้จากการท่องเที่ยว สินค้าจำพวกพรม เครื่องไม้แกะสลัก และเครื่องทองเหลือง

เมืองมรดกโลก-ศิลปะ

เมืองบัตตาปูร์ หรือ ภักตปุระ มีความหมายว่า เมืองผู้คนที่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในหุบเขากาฐมาณฑุ เดิมเคยเป็นเมืองหลวงที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้ามาก่อน เป็นเมืองที่ใหญ่มาก เดินทั้งวันก็คงไม่ทั่วแน่ สถาปัตยกรรมเมืองบัตตาปูร์สวยงามมาก จนเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังอย่าง ลิตเติล บุดดา และละครไทยหลายเรื่อง

เมืองนี้ไม่ใช่แค่เป็นโบราณสถาน แต่เป็นเมืองที่ยังมีชีวิต ชาวบ้านยังอาศัยอยู่และดำเนินวิถีชีวิตเป็นปกติ มันน่าทึ่งตรงนี้แหละครับ ที่นี่เป็นแหล่งผลิตงานศิลปะมากมาย คนรักศิลปะอย่างผมอดไม่ได้ที่ต้องแวะดูช่างแกะสลักหน้ากากไม้อยู่นานสองนานเลยทีเดียว แถมได้นั่งคุยกับครอบครัวศิลปิน ที่วาดรูปเกี่ยวกับศาสนาขายทั้งครอบครัว ศิลปินท่านนี้บอกผมว่า วาดรูปมาตลอดชีวิต การได้วาดรูปที่เกี่ยวข้องกับศาสนาทำให้จิตใจสงบ ดูแล้วอิ่มเอมใจครับ

หิมาลัย...สวรรค์แค่เอื้อม

จากเมืองบัตตาปูร์ ผมเดินทางไปพักบนเขาใน เมืองดูลิเคว เมืองเล็กๆ ที่เคยเป็นเมืองหน้าด่านค้าขายกับชาวทิเบตมาเป็นเวลานาน อยู่ในหุบเขาห่างจากกรุงกาฐมาณฑุสัก 1 ชั่วโมง เป็นเมืองที่สงบ ชาวบ้านยังดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม มีบ้านเรือนที่เก่าแก่และสวยงาม ไม่มีความวุ่นวาย ต่างจากในเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง สองข้างทางระบายด้วยสีเขียวของภูเขาและแหล่งเกษตรกรรม ถนนคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามไหล่เขา สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมตะลึงนั่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ที่ทอดยาวเหนือขอบฟ้า ราวกับเมืองสวรรค์ ช่างสวยงามเกินคำบรรยาย

เอเวอเรสต์-ล่องลอยบนสวรรค์

ยอดเขาที่สูงที่สุดบนเทือกหิมาลัย ที่ใครต่อใครเมื่อไปถึงเนปาลก็อยากจะดั้นด้นไปชม แต่การจะปีนขึ้นถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูงแล้ว ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมอีกด้วย ดังนั้นความฝันที่จะเห็นยอดเอเวอเรสต์จึงเป็นจริงได้ยาก ซึ่งจังหวะที่ผมไปก็มีทีมนักไต่เขาชาวไทยไปพิชิตเอเวอเรสต์เหมือนกัน ภายใต้โครงการ “Thai Everest 2011 Live Your Dream คิดใหญ่...กล้าใช้ชีวิต” ที่จัดโดย ททบ.5 และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด แต่ก็ไปได้ถึงระดับความสูง 7,500 เมตร ก็ต้องล้มเลิก ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมทั้งทีมงานเชอร์ปาบางคนป่วยอีกด้วย

ปัจจุบันการได้เห็นเอเวอเรสต์ไม่ยากครับ ที่นี่มี เมาเท่น ไฟลท์ เครื่องบินขนาดเล็ก เที่ยวบินพิเศษพานักท่องเที่ยวบินชมหิมาลัยอย่างใกล้ชิด ได้ชมความงามของเอเวอเรสต์อย่างเต็มตา เหมือนฝันครับ นี่คงเป็นสวรรค์แน่ๆ ผมกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาว มองไปข้างๆ มียอดเขาสีขาวโผล่พ้นเมฆขึ้นมาเหมือนปราสาทในความฝัน มันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก เหมือนอยู่สวรรค์จริงๆ ครับ

นมัสเต...สวัสดีเนปาล

ไม่มีความคิดเห็น: