หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เยี่ยมคนรักเก่าที่“ปารีส”

โดย : กาญจนา หงษ์ทอง 
คอลัมน์ : เที่ยวนี้ขอเล่า @คมชัดลึก

ปารีสกล้าดียังไง ถึงได้ทำให้นักท่องโลกที่เคยเอาเท้าจุ่มหอไอเฟล เผลอตงิดๆ คิดถึงอยู่บ่อยๆ


ทั้งที่ปริมาณเสน่ห์ก็ ไม่ได้กองพะเนินเหมือนกับหลายเมืองในยุโรป แล้วนี่มันอะไรกันเล่า ปากก็บอกเฉยๆ แต่พลันที่รู้ว่าต้องมีเหตุให้สัญจรกลับไปหาปารีส ใจก็แอบกระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าจะได้กลับไปหาคนรักเก่าที่พรากจากกันมานานหลายปี



ตับไตไส้พุงของปารีส

ปารีสเที่ยวนี้ใช้บริการสายการบินโอมาน แอร์(0-2635-1222) ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ใช้บริการ ค่อนข้างแปลกใจกับสภาพเครื่องและบริการบนเครื่องของเขา เพราะไม่คิดว่าจะเนี้ยบได้ขนาดนี้ เครื่องใหม่เอี่ยม บริการก็ไม่ขาดตกบกพร่องแม้จะเป็นที่นั่งชั้นประหยัด และถึงแม้จะบินไปยุโรป แต่ถ้าอยากเที่ยวมัสกัตก็แวะได้

จิบกาแฟตามคาเฟ่
เมื่อพาตัวเองเหาะไปเหยียบปารีส ก็พบว่าสนามบินชาร์ลส เดอ โกล์ยังคงทำให้คนพลัดถิ่นรู้สึกตัวเล็กลงได้เสมอ ค่าแท็กซี่ 50 ยูโรเข้าดาวน์ทาวน์ ทำให้เซเลบจากทุ่งบางนาขนหัวลุกพองาม เลยเปลี่ยนใจมุดลงใต้ดินไปนั่งเมโทร ค่ารถไฟคนละ 8.7 ยูโร ดูเหมือนจะสมฐานะมากกว่า

45 นาทีโดยประมาณ รถไฟใต้ดินก็พาเข้าไปเจาะไข่แดงแห่งกรุงปารีส หลังจากคลิกไปค้นในเว็บไซต์อโกดา(www.agoda.co.th) หลายตลบ ก็พบว่าปารีสมีที่พักให้เลือกหลากหลายราคา แต่ไปได้ที่พักที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋มีสไตล์อย่าง Hotel Jules ที่ซ่อนตัวอยู่บนถนนลาฟาแยตต์

ถนนลาฟาแยตต์ยามค่ำคืน ยังดูร่าเริง ปราดเปรียว แม้กลางวันจะเต็มไปด้วยสาวนักช็อปมาเดินเข้าห้างโน้นออกห้างนี้ แต่ตอนกลางคืนก็ถูกแทนที่ด้วยหนุ่มสาวชาวปารีเซียน ที่มายึดผับ บาร์ แถวนี้เอาไว้เป็นหนึ่งในมุมแฮงก์เอาท์ของพวกเขา

ที่จริงสำหรับใครที่มาเที่ยวปารีสครั้งแรก แนะว่าให้นั่งรถที่เขาเรียกว่า Roissy Bus จะดีกว่าค่ะ เพราะถ้านั่งรถไฟใต้ดินอาจจะต้องต่อรถไฟหลายตลบ แล้วใครที่หอบสมบัติมาเยอะ คราวนี้จะทุกข์ถนัด เพราะไม่ใช่ทุกสถานีที่มีบันไดเลื่อน แม้แต่สถานีใหญ่ก็เถอะ Roissy Bus จึงเหมาะกว่า เพราะออกจากสนามบินชาร์ลส เดอ โกล์ ก็จะวิ่งตรงดิ่งไปสุดทางแถวโอเปร่าซึ่งอยู่ใจกลางปารีส โดยไม่หยุดจอดที่ไหนเลย ค่ารถคนละ 9 ยูโรเศษๆ

แต่ถ้าอยากสบายกว่านั้น นั่งแท็กซี่ม้วนเดียวจบเหมือนกัน แต่เตรียมไว้เลยอย่างต่ำ 50 ยูโร หรือถ้าเจอรถติดๆ ก็อาจจะแพงกว่า 60 ยูโร เคยเจอบางคนเล่าว่านั่งรถเข้าเมืองช่วง 6 โมงเย็น รถติดหนึบเลยจ่ายไป 70 ยูโร แล้วตอนนั้นค่าเงินยูโรไม่ใช่ 40 บาทแบบตอนนี้ด้วยนะ เฉียดๆ 50 บาท เล่นซะมึนไปหลายวันที่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่เกือบ 3,500 บาท

ตื่นเช้ามารีบพุ่งไปหาโอเปร่า การ์นิเยร์ก่อน อยากรู้ว่าดวงหน้างามๆ ของสถานที่แห่งนี้ จะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะสถานที่บางแห่ง หลายปีผ่านไปพอหวนกลับมาดูอีกครั้ง ก็พบว่าถูกศัลยกรรมซะจนเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

ด้านหน้าของโอเปร่า การ์นิเยร์
แล้วก็พบว่า โอเปร่า การ์นิเยร์ยังสวยเหมือนเดิม ด้านในยังคงให้ความบันเทิงเริงใจแก่ผู้คน ด้านนอกยังมีผู้คนมานั่งระเกะระกะหย่อนอารมณ์กันตามมุมต่างๆ

โอเปร่า การ์นิเยร์ที่ยังคงงดงาม
อีกมุมหนึ่งที่เหมือนเดิม คือลานกว้างหน้าโรงละคร มุมนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องโลกที่มายืนแหงนคอมองสถาปัตยกรรมอันวิจิตรของ โอเปร่า การ์นิเยร์ อาจไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างที่งดงามที่สุดในมหานครปารีส แต่ไม่มีวันไหนที่ไร้เงาผู้มาเยือน

ละจากโรงละคร ก็มุดลงใต้ดิน จับรถไฟไปลงที่สถานี Abbesses ปลายทาง คือมงมาร์ต หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ในมหานครอันยิ่งใหญ่อย่างปารีส มามงมาร์ตครั้งก่อน หนาวซะจนมองไม่ค่อยเห็นความสุนทรีย์ที่อยู่รายรอบบริเวณนี้

ตั้งแต่ขึ้นจากรถไฟใต้ดิน ก็จะถูกต้อนรับด้วยเสียงเพลงจากนักดนตรีเร่ เดินขึ้นเนินไปเรื่อยก็จะเจอจัตุรัส แซงต์ ปิเอร์ ลานหน้าโบสถ์ที่ถ้ามีวิญญาณนักช็อปอยู่ คุณคงจะเดินขึ้นโบสถ์พระหฤทัยอย่างไม่เป็นสุขเท่าไหร่ เพราะละแวกนี้เต็มไปด้วยร้านรวงเอาไว้ให้ช็อปปิ้งอยู่ไม่น้อย

จังหวะเดินขึ้น จะต้องเจอกับกองทัพคนผิวดำที่เข้ามาทำมาหากินในฝรั่งเศส เขาไม่ได้หอบของมาวางขายอย่างเดียว แต่ในมือจะมีเชือกอะไรสักอย่าง เดินพุ่งเอาเชือกมงคลมาผูกข้อมือให้ เขาว่าผูกแล้วจะโชคดี สุขขี สโมสร ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวจิตอ่อน ยอมให้ผูก คราวนี้ล่ะยาว เขาจะเรียกเงินเท่าไหร่ก็แล้วแต่โหงวเฮ้งและบุญทำกรรมแต่งของคุณละกัน ถ้าดูโหงวเฮ้งดีมีชาตตระกูลก็อาจจะโดนเรียกหลายยูโรหน่อย

แต่ไม่ว่าจะผูกเชือกมงคลหรือรอดพ้นมาได้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือโบสถ์สีขาวเด่นตระหง่านทอดตัวอยู่บนเนินเขา แต่ถ้ามองจากด้านบนลงมา หันหลังให้โบสถ์ ภาพที่เห็นก็จะเป็นวิวทิวทัศน์ปารีสในมุมสูง ยืนอยู่บนนี้แล้วคุณอาจจะเห็นด้วยที่นักท่องเที่ยวบางคนบอกว่า บนนี้เหมือนหลังคาของปารีส

ริมทางที่น่ามอง / โบสถ์พระหฤทัยอันเด่นตระหง่าน
สมัยก่อนย่านนี้คือบ้านนอกของปารีส ค่าเช่าห้องพักราคาจะค่อนข้างถูก พวกบรรดาศิลปินไส้แห้งเลยชอบมาสิงสถิตอยู่กันแถวๆ นี้ รวมถึงศิลปินดังอย่างแวนโกะและปิกัสโซด้วย ทำไปทำมา ย่านนี้เลยกลายเป็นชุมชนของบรรดาศิลปิน ทุกวันนี้ยังมีศิลปินมานั่งวาดภาพขายนักท่องเที่ยวกันที่ปลาซ ดู แตร์ด้วย

จะว่าไป มงมาร์ตจึงเป็นมุมสุนทรีย์ที่สุดมุมหนึ่งของปารีสเลยก็ว่าได้

ไม่มีความคิดเห็น: