หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ภารกิจล่าฝัน 4,095.2 เมตร คินาบาลู


“คินาบาลู” ชื่อนี้เข้ามาในหัวครั้งแรกเมื่อราว 6 เดือนก่อนตอนได้รับมอบหมายว่า จะต้องไปปีนเขาที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้อมูลเกี่ยวกับคินาบาลูก็หลั่งไหลเข้ามาในสมอง กลายเป็นภารกิจพิชิตฝันที่ต้องมุ่งมั่นฟันฝ่าทำให้สำเร็จ 


คินาบาลู เป็นอุทยานแห่งชาติของมาเลเซียอยู่ในรัฐซาบาห์ และยังเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของมาเลเซียอีกด้วย ที่นี่มีพืชพรรณ 5,000 -6,000 สายพันธุ์ หลายชนิดพบได้เฉพาะที่นี่ด้วย อย่าง บัวผุดราฟเฟิลเซีย, หม้อข้าวหม้อแกงลิงขนาดใหญ่ และ กล้วยไม้รองเท้านารีบางสายพันธุ์

การจะไปปีนเขาคินาบาลูไม่ ใช่ว่าคิดจะไปก็เดินทางไปได้ทันที ต้องวางแผนกันล่วงหน้า 3-4 เดือนต้องจองที่พักกันก่อน เพราะมีการจำกัดนักปีนเขาได้วันละ 200 คน เนื่องจากบ้านพักบนยอดเขามีจำกัด

อุทยานแห่งชาติคินาบาลูอยู่ห่างจากเมืองโคตา คินาบาลู เมืองเอกของรัฐซาบาห์ราว 90 กิโลเมตร เราไปรายงานตัวแสดงความจำนงว่าจะปีนเขา ก็จะได้บัตรประจำตัวที่มีชื่อและรหัสมาเพื่อแขวนติดตัวตลอดการขึ้นเขา




เรานอนพักที่บ้านพักอุทยานก่อนในคืนแรก ที่นี่เอกชนประมูลเข้ามาบริหารจึงหรูหราสะดวกสบายราวกับโรงแรม ตื่นกันแต่เช้าเพราะไกด์บอกว่า เดินทางเช้าที่สุดจะดีกว่า เพราะเราเดินไปถ่ายทำรายการไปคงใช้เวลาตลอดวัน ความสูงของคินาบาลู 4,095.2 เมตร เส้นทางเดินระยะทาง 8.7 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่วง วันแรกเดิน 6 กิโลเมตรขึ้นไปนอนที่บ้านพักลาบานราตา ก่อนจะตื่นตีหนึ่งครึ่งเดินต่อให้ถึงยอดเขาอีก 2 กิโลเมตรกว่าๆ เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น

เส้นทางขึ้นเขามีให้เลือก 2 ทางคือผ่านประตูทิมโปฮอน ซึ่งสั้นกว่าและเดินง่ายกว่า กับทางประตูเมซิลัว แน่นอนเราเลือกทางสั้นกว่าอยู่แล้ว ที่นี่เราต้องตรวจบัตรลงเวลาการขึ้นเขา ช่วงแรกก็ยังร่าเริงมีกำลังแรงดีอยู่ เดินไปชมนกชมไม้กันไป สัก 200 เมตรกว่าๆ ยังเจอน้ำตกเย็นฉ่ำอีกด้วย แต่หลังจากนั้นเส้นทางของเราก็มีแต่ขึ้น กับขึ้น และขึ้นอย่างเดียวเลย

ผู้รู้แนะนำว่า เคล็ดลับการขึ้นเขาให้เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะยิ่งสูงอากาศยิ่งเบาบางจะเหนื่อยง่าย ยิ่งระดับความสูง 3,000 เมตรอาจแพ้ความสูงแล้วหน้ามืด อาเจียนได้ เราก็เลยยึดถือคำแนะนำเคร่งครัด เดินไปพักไป ตลอดเส้นทางก็มีศาลาที่พักให้เป็นระยะๆ ห่างกันสัก 1 กิโลเมตร มีห้องน้ำและแท็งก์น้ำดื่มบริการ

ระยะทาง 6 กิโลเมตรแรกถึงที่พักลาบานราตา เราใช้เวลาเดิน 9 ชั่วโมงครึ่ง ห้องพักที่นี่เป็นห้องนอนรวมเตียง 2 ชั้น มีห้องอาหารให้บริการเป็นเวลา มาไม่ทันก็อดกิน กลุ่มที่ปีนเขาไปพร้อมกับเราวันนี้มีแต่ฝรั่งเลยทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่สกี รีสอร์ตแถวยุโรปเลยเชียว

ตีหนึ่งครึ่งตื่นมากินอาหารเช้ารองท้อง เตรียมพร้อมทั้งเสื้อกันหนาวกันลม, ถุงมือ, ไฟฉาย ก่อนออกเดินทางฝ่าความหนาว 7 องศาขึ้นไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขา ช่วง 2.7 กิโลเมตรสุดท้าย เป็นยอดเขาหินผา แบ่งเป็น 3 ช่วง ที่ขอตั้งชื่อให้สมกับความสมบุกสมบันว่า ด่านบันไดมฤตยู ที่เป็นบันไดไม้ไต่ไปตามริมหน้าผา, ด่านเชือกผามหาภัย ที่ต้องสาวเชือกดึงตัวเองขึ้นไป และด่านหินเลี่ยนโล่ง ที่เป็นหินผาลาดเอียงมีเพียงเชือกให้ไต่ขึ้น มองขึ้นไปเห็นแสงไฟจากไฟฉายไต่ขึ้นไปเป็นสาย สูงขึ้นไปเรื่อยๆ มองตามไปก็เกือบจะถอดใจหลายรอบ


ถึงกิโลเมตร 7 แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าแล้ว หมดหวังที่จะได้เห็นแสงแรกของวันที่จุดสูงสุดของยอดเขา แต่ไม่เป็นไร ให้คนอื่นขึ้นไปกันให้หมด เราขอแค่ให้ได้ถึงยอดก็พอไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร และแล้วเราก็ได้ถึงยอด Low’s Peak ยอดสูงสุด 4,095.2 เมตร เมื่อเวลา 8 โมงครึ่ง คนอื่นลงกันไปหมดแล้ว เราก็ยึดยอดเขาเป็นของเราแต่เพียงกลุ่มเดียว ถ่ายรูปเก็บภาพกันสบายไม่ต้องติดหัวติดหน้าใครเข้ามาในเฟรม นี่แหละข้อดีของการไม่แข่งขันกับใคร


นอกจากยอด Low’s Peak ที่สูงสุดจุดหมายปลายทางแล้ว ยอด South Peak ยังเป็นยอดเขาที่ดูจะคุ้นตาผู้คนมากที่สุด เพราะไม่ว่าใครที่มาก็มักจะถ่ายรูปยอดนี้ไปอวดเพื่อนเสมอๆ และยังเป็นภาพที่อยู่หลังธนบัตร 1 ริงกิตของมาเลเซียอีกด้วย

อยากจะนั่งชมวิวนานๆ ให้คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยที่อุตส่าห์ตะเกียกตะกายฝ่าฟันขึ้นมา แต่อากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก อุณหภูมิบนนั้นราว 5 องศาเซลเซียส ยิ่งมีลมพัดมาก็ยิ่งหนาวไปอีก แม้จะมีเสื้อกันหนาวกับถุงมือก็ไม่ช่วยคลายเท่าไรนัก นี่เองที่เขาว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว


เมื่อมีขึ้นแล้ว ก็ต้องมีลง ตอนขึ้นมายังมืดๆ มองไม่เห็นว่าหน้าผามันสูงแค่ไหน แต่ขาลงมันสว่างคาตาแล้ว มองไปเห็นหน้าผาสูงมาก ให้ขึ้นกลางวันคงจะมีถอดใจแน่ๆ เราต้องลงให้ถึงที่ทำการอุทยานในวันนี้รวดเดียว ขาลงทำให้เราเข้าใจผู้สูงอายุที่เดินแล้วปวดเข่าได้เป็นอย่างดี เพราะแต่ละย่างก้าวของเรามันปวดและทรมานอย่างบอกไม่ถูก ขาลงเราก็ใช้เวลารวมแล้ว 8-9 ชั่วโมงเหมือนกัน

แล้วภารกิจพิชิตฝันของเรา ก็สำเร็จลงได้ด้วยดี

http://www.oknation.net/blog/twin
ไลฟ์สไตล์/คมชัดลึก

 

ไม่มีความคิดเห็น: