หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เยือน “โฮจิมินห์” เที่ยวถิ่นลุงโฮ

โดย : ASTVผู้จัดการออนไลน์

ริมถนนย่านจัตุรัสโฮจิมินห์
"ตะลอนเที่ยว” ไม่ได้คิดจะหนีน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่ในบ้านเราไปไหน แต่ว่าเมื่อทริปแห่งโอกาสมาถึงที่เราจะได้เปลี่ยนบรรยากาศของการเดินทางที่ มักจะท่องเที่ยวแต่ในเมืองไทย โดยทริปนี้ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง เราจึงขอคว้าโอกาสไว้ และอยากจะพาทุกคนไปสัมผัสประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับพี่ไทย ไปดูกันซิว่าเพื่อนบ้านของเราเขามีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง

“ตะลอนเที่ยว” ได้เดินทางมายัง “นครโฮจิมินห์” หรือ “โฮจิมินห์ซิตี้” (Ho Chi Minh City : HCMC) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม โดยโฮจิมินห์ซิตี้แต่เดิมเรียกกันว่า “ไซ่ง่อน” (Saigon) และเป็นชื่อที่ชาวเวียดนามคุ้นเคยกันอยู่จนถึงปัจจุบัน ในอดีตไซ่ง่อนเคยเป็นเมืองในการปกครองของเขมร ต่อมาเมื่อแยกเป็นประเทศเวียดนาม ไซ่ง่อนจึงได้เป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ แต่เมื่อเวียดนามเหนือยึดได้สำเร็จ จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “โฮจิมินห์ซิตี้” ตามชื่อผู้นำเวียดมินห์เมื่อ ค.ศ. 1976


อุโมงค์กู๋จี ฐานทัพใต้ดินของเวียดกง
บรรยากาศของโฮจิมินห์ซิตี้แห่งนี้ไม่แตกต่างจากบ้านเรามากนัก ผู้คนก็รูปร่างหน้าตาคล้ายคนไทย ทำให้รู้สึกเหมือนไม่แปลกแยก ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวก็มีมากมาย แต่ที่แรกที่เราจะไปกัน ขอเดินทางออกไปนอกเมืองก่อนนั้นคือ “อุโมงค์กู๋จี” ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่เปรียบเสมือนที่มั่นหลักและที่มั่นสุดท้ายของทหาร เวียดกง ซึ่งเป็นกองกำลังของเวียดนามใต้ที่ไม่พอใจและต่อต้านรัฐบาล โดยได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ

วัดเทียนหาว

อุโมงค์กู๋จีแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นฐานบัญชาการรบ โรงพยาบาล และหมู่บ้านใต้ดิน ซึ่งที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ทำให้กองกำลังเวียดกงชนะในการรบ สำหรับโครงข่ายใต้ดินแห่งนี้มีความยาวถึง 270 กิโลเมตร และเป็นสมรภูมิรบพื้นที่ที่น่ากลัวที่สุดอีกแห่งหนึ่งของสงครามเวียดนาม เพราะโดนทั้งสารเคมีและสารพิษต่างๆ ที่ใช้พ่นลงไปในอุโมงค์ โดยเฉพาะฝนเหลืองที่ทหารอเมริกันนำมาโปรยเพื่อกำจัดต้นไม้เพื่อจะได้เห็นตัว ฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย จนทำให้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้กลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน เป็นสาเหตุให้ทหารเวียดกงต้องลงไปบัญชาการในอุโมงค์ใต้ดิน

เจดีย์แบบจีนของวัดเทียนหาว

ปัจจุบันได้เปิดสมรภูมิเลือดแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปยังจุดสำคัญและสามารถมุดลงไปในเส้นทางคดเคี้ยวและ มืดมากจนถึงชั้นสามของอุโมงค์ ซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องนอน ห้องบัญชาการ ห้องประชุม สนามฝึกทหาร ส่วนบริเวณโดยรอบของอุโมงค์แห่งนี้ ยังคงเหลือซากแห่งสงคราม อาทิ รถถัง เครื่องบิน วัตถุระเบิด และหลุมระเบิดขนาดใหญ่ ดูแล้วช่างน่าทึ่งจริงๆ

ภายในวัดเทียนหาว

รู้อดีตของชาวเวียดนามแล้ว กลับเข้ามาในเมืองกันบ้าง โดยสถานที่ต่อไปที่พวกเราไปกันก็คือ “วัดเทียนหาว” (Thien Hau Pagoda) หรือ “วัดเจ้าแม่สวรรค์”อยู่ ในเขตไชน่าทาวน์ ถือเป็นวัดเก่าแก่อายุเกือบ 300 ปี เลยทีเดียว ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดจีนอันเป็นที่เคารพบูชาของชาวเวียดนามเชื้อสายจีน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับแม่พระผู้คุ้มครองชาวเรือเปรียบได้กับศาลเจ้าแม่ ทับทิมในบ้านเรานั้นเอง ซึ่งนอกจากวัดแห่งนี้จะเป็นที่เคารพนับถือของชาวประมงและผู้ประกอบอาชีพ เกี่ยวกับทะเลเป็นอย่างมากแล้ว วัดเทียนหาวยังโดดเด่นไปด้วยรูปเคารพเจ้าแม่ทับทิม เทพเจ้ากวนอู และรูปเคารพเทวรูปอื่นๆอีกหลายองค์ และเจดีย์สูงใหญ่แบบจีน

โบสถ์นอร์ทเธอดาม

จากวัดพุทธเราไปต่อโบสถ์คริสต์กันบ้าง โบสถ์ที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ชื่อว่า “โบสถ์นอร์ทเธอดาม” (Notre Dame Cathedral) ตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองโฮจิมินห์บนถนน HanThuyen โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2420 สมัยที่ฝรั่งเศสยังเป็นจ้าวอาณานิคมอยู่ปัจจุบันมีอายุกว่า 100 ปี เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบ NEO-ROMAN นับเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่งของโฮจิมินห์ซิตี้ก็ว่าได้

โบสถ์นอร์ทเธอดามสถาปัตยกรรมแบบ NEO-ROMAN
ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบ ของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านหน้าสูง 40 เมตร อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดูสง่างามมากของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์ยังมีรูปปั้นพระแม่มารีขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าอีกด้วย โบสถ์แห่งนี้เป็นดั่งสัญลักษณ์อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองโฮจิมินห์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ฮอตฮิตในการถ่ายรูปwedding อีกด้วย
กรมไปรษณีย์กลางนครโฮจิมินห์

ส่วนด้านข้างของโบสถ์เป็นที่ตั้งของ “กรมไปรษณีย์กลางนครโฮจิมินห์” (Saigon Central Post Office) เป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในนครเวียดนาม สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2439 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอธิค ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและตะวันออก ตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี

ด้วยความยิ่งใหญ่โอ่โถงและสวยงาม จึงทำให้มีนักออกแบบสถาปัตยกรรมมากมายเดินทางมาศึกษา ดูงานการออกแบบตกแต่งอาคารแห่งนี้ ส่วนภายในตัวอาคารมีการประดับด้วยภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของท่านโฮจิมินห์ ทุกวันนี้กรมไปรษณีย์กลางแห่งนี้ ยังเปิดให้บริการทั้งการส่งจดหมาย ขายแสตมป์เพื่อการสะสม และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมได้ หรือหากต้องการโทรศัพท์ที่นี่ก็มีบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศด้วย

สภาประชาชน

จากไปรษณีย์กลาง “ตะลอนเที่ยว”เดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสำคัญมากนั้นคือ “ศาลาว่าการเมือง” หรือ“สภาประชาชน” (People’s Committee Building) หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “โฮจิมินห์ซิตี้ ฮอลล์”(Ho Chi Minh City Hall) เป็นตึกสไตล์ฝรั่งเศส ตรงกลางเป็นหอนาฬิกาขนาบข้างด้วยอาคาร 2 หลังที่สูงเด่นขึ้นมา มีซุ้มประตู-หน้าต่างโค้งมนแซมด้วยเสากรีกและลวดลายปูนปั้นอันอ่อนช้อยดู แล้วสมส่วนสวยงามมาก
อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์

ด้านหน้าของสภาประชาชน มีสวนสวยที่เรียกว่า “จัตุรัสโฮจิมินห์” (Tran Nguyen Hai Statue) เนื่องจากมีรูปปั้นของลุงโฮอุ้มเด็ก หรือ “อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์” ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในสวนเบื้องหน้าสภาประชาชน จุดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของนครโฮจิมินห์ที่ใช้เป็นจุดตั้งหลักและจุดนัดพบเลย ก็ว่าได้ ในตอนกลางคืนบริเวณลานน้ำพุในจตุรัสแห่งนี้มักมีชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ มานั่งพักผ่อนชมวิวกันทุกคืน
โรงละครยาฮดแถงห์โฝ

เดินถัดไปทางด้านหน้าอนุสาวรีย์ลุงโฮ ข้ามฝั่งถนนไปเป็นที่ตั้งของ “โรงละคร” (Opera House) ชื่อว่า “โรงละครยาฮดแถงห์โฝ” (Nha hat Thanh Pho) ลักษณะเป็นตึกเก่าแบบฝรั่งเศสอันสวยงามน่ายลอีกหลังหนึ่ง สร้างในปี พ.ศ. 2402 เพื่อใช้แสดงอุปรากร ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนมาใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของสภาแห่งชาติเวียดนามใต้ และในปัจจุบันก็ได้เปลี่ยนกลับมาใช้งานเป็นโรงละครประจำเมืองเหมือนเดิม

ตลาดเบนถันห์

เที่ยวกันมาหลายที่ ถ่ายรูปกันมาหลายต่อหลายแชะแล้ว ได้เวลาไปช้อปปิ้งของฝากกันที่ “ตลาดเบนถันห์” (Ben Thanh Market) แหล่งช้อปแหล่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโฮจิมินห์ สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2457 ด้านหน้าตลาดมีหอนาฬิกาตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ ภายในนั้นตลาดเต็มไปด้วยของขายมากมายสารพัดอย่างในราคาที่สามารถต่อรองกัน ได้

ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหารการกิน ชา กาแฟ ของที่ระลึกพวกตุ๊กตาไม้ ตุ๊กตาปั้น งานศิลปะ ดอกไม้สด-แห้ง ของกระจุกกระจิก และสินค้าอีกมายมายหลายอย่าง แถมแม่ค้าชาวเวียดนามหลายๆคนในตลาดเบนถันห์ยังพูดไทยชัดแจ๋ว บางคนชอบพูดคุยและให้ยอด้วย ทำให้การต่อรองซื้อสินค้าง่ายขึ้นเป็นกองเลยเชียวหล่ะ

แต่ที่ “ตะลอนเที่ยว” อยากจะให้ระมัดระวังกันก็คือเรื่องรถ แท็กซี่ เพราะเจอมากับตนเอง รถแท็กซี่บางคันโกงมิเตอร์อย่างน่าเกลียดมากๆ จาก 7หมื่นกว่าดองเป็น 2 แสนกว่าดองเลยทีเดียว แถวยังพาไปอ้อมในตรอกซอกซอย แล้วก็ยังไม่ยอมจอดในโรงแรมอีกด้วยแต่ไปจอดเลยโรงแรมไปหลายเมตรทีเดียว และที่น่ากลัวก็คือไม่ยอมปลดล็อคประตูให้ลงด้วยจนกว่าจะจ่ายเงิน นี่ถือเป็นบทเรียนราคาแพงเป็นแสนจริงๆ ที่ได้มาโฮจิมินห์ แต่ถึงยังไงก็จะขอเก็บความสุขสนุกสนานสำหรับทริปนี้ไว้ความทรงจำ

ไม่มีความคิดเห็น: