หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มาดริด ... พราโดและเซียสต้า

โดย : สิรินทร์ วงศ์พานิช
Life Style : ท่องเที่ยว @กรุงเทพธุรกิจ

ครั้งที่แล้วเล่าเรื่อง 'ทาปาส' ที่ตลาดซานมิเกล เดินชมสวนสวยขนาดเล็กที่ชื่อ Jard?n del Pr?ncipe de Anglona และแวะชมโบสถ์ San Francisco el Grande Basilica ไปแล้ว คราวนี้ขอเล่าเรื่องเที่ยวเมืองเก่าและที่น่าเที่ยวอื่น ๆ โดยขอเริ่มจากตัวเมืองมาดริดก่อน...








มาดริดไม่ได้เป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในยุโรป แต่ก็เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งโมร็อกโก เพราะก่อนย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ เมืองหลวงของสเปนอยู่ที่ โทเลโด (Toledo) อยู่ห่างไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 90 กม. ในอดีตมาดริดมีเนื้อที่เพียง 9 เฮกเตอร์ เท่านั้น และได้ชื่อมาจากธารน้ำเล็ก ๆ อันเป็นกิ่งของแม่น้ำ Manzanares ที่ไหลผ่านพื้นที่ สเปนเป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบกษัตริย์มาตลอด แต่ก็มีสงครามทางศาสนาระหว่างคริสต์โรมันคาทอลิกและมุสลิม ที่ก่อให้เกิดร่องรอยทางสถาปัตยกรรม มัสยิดหลายแห่งถูกปรับสร้างให้เป็นโบสถ์ แต่ปัจจุบันแขกมัวร์ ชาวยิว และชาวคริสต์ ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้


ยุคทองของมาดริดคือศตวรรษที่ 18 เมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 สั่งให้มีการพัฒนาเมืองครั้งใหญ่ สร้างถนนหนทาง จัตุรัส ระบบสาธารณะ น้ำ-ไฟ กำจัดของเสีย และสร้างอนุสรณ์สถานอีกมากมายที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบัน เช่น พระราชวังหลวง (Royal Palace) ประตูเมือง Puerta de Alcala น้ำพุ Cibeles และน้ำพุ Neptuno ที่ทำการไปรษณีย์ ถนน Paseo del Prado และสวนพฤกษชาติ มาดริดกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของสเปน และเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่าเมืองใหญ่อื่น ๆ ในยุโรป แต่ก็ต้องเดินถอยหลังเมื่อคนในประเทศทะเลาะกันเอง ด้วยเกิดสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1936 ที่รบกันเรื่องระบอบการปกครอง ผู้ชนะคือนายพลแฟรงโก้ ที่ชูระบอบเผด็จการ ซึ่งในปี 1947 เขาก็ยกเลิกระบอบกษัตริย์ และนำพาสเปนสู่ความถดถอยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


แฟรงโก้ (Francisco Franco) ปกครองสเปนถึง 44 ปี เมื่อเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1975 ก็มีการสถาปนากษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีกษัตริย์ ฮวน คาร์ลอสที่ 1 (Juan Carlos I) องค์ปัจจุบันเป็นประมุของค์แรก และเพราะความทรงจำอันน่าสยดสยองของสงครามกลางเมืองครั้งนั้น กษัตริย์องค์นี้จึงตัดสินใจไม่อยู่ที่พระราชวังเดิม (Palacio Real) ในกรุงมาดริดที่เป็นพระราชวังเก่าของตระกูล แต่เลือกอยู่นอกเมืองที่วังซาร์ซูล่า (Zarzuela Palace) แทน


พระราชวังหลวง (Palacio Real) กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในมาดริด เป็นตึกที่ใหญ่ที่สุดในสเปนและเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก และยังเป็นสถานที่จัดงานพิธีสำคัญ ๆ ระดับชาติ มาชมที่นี่ห้ามถ่ายภาพ ดังนั้นก็คือให้เดินดู จำ และฟัง ได้อย่างเดียว พระราชวังนี้สร้างในพื้นที่มัสยิดเก่าสมัยปี ค.ศ.1734 และใช้เวลากว่า 25 ปี ถึงจะสร้างเสร็จ มีห้องทั้งหมด 2,800 ห้อง และเปิดให้คนเข้าชม 50 ห้อง ของที่เขานำมาโชว์ได้แก่ ของเก่าทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ของราชวงศ์เช่น ภาพวาดของศิลปินเอก เครื่องแก้ว พรม เครื่องกระเบื้อง นาฬิกา เฟอร์นิเจอร์ และการตกแต่งห้องแบบต่าง ๆ โดยใช้วัสดุจากต่างประเทศแปลก ๆ เช่น โต๊ะที่ทำจากแผ่นหินเล็ก ๆ มาเรียงต่อกันเป็นภาพต่าง ๆ ที่ดูเหมือนภาพวาด คิวเข้าชมที่นี่ยาวมากเหมือนสถานที่สำคัญอื่น ๆ ของเมือง แนะนำว่าหากไม่อยากตื่นเช้าเลยมารอคิวแรก ๆ ก็ให้มาช่วงบ่ายตอนคนสเปนนอนกลางวันค่ะ


มามาดริด จะไม่แวะเที่ยว พิพิธภัณฑ์พราโด เลยคงไม่ดีแน่ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชมศิลปะขั้นไหน การได้ชมพราโดนิด ๆ หน่อย ๆ โดยเลือกชมเฉพาะภาพของศิลปินขึ้นชื่อ ก็น่าจะทำให้การมาเที่ยวมาดริดนี้สมบูรณ์ขึ้น พิพิธภัณฑ์พราโดของมาดริดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นที่สะสมผลงานภาพวาดของศิลปินเอกชาวสเปนตั้งแต่ศตวรรษที่ 11-18 ไว้ได้อย่างครบถ้วน เช่น El Greco, Vel?zquez, Goya, Bosch, Tiziano, Van Dyck และ Rembrandt สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีเวลาละเลียดชมทุกอย่างเช่นเรา วิธีคือหยิบแผนผังพิพิธภัณฑ์ตรงตู้ซื้อตั๋วมาดู เพราะมีแนะนำว่ามีภาพอะไรควรดูบ้างมาด้วย จะได้เลือกดูเฉพาะของเด็ด ๆ เช่น


ภาพ Las Meninas ของ Vel?zquez’s เป็นภาพดังที่สุดของศิลปินคนนี้ และเป็นภาพเด็ดของพิพิธภัณฑ์พราโด เทียบได้กับที่ภาพโมนาลิซ่าของพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ในปารีส ศิลปินที่พราโดมีผลงานมากที่สุดก็คือบรรดาศิลปินสเปน ดังนั้นให้ดูแผนผังแล้วมุ่งตรงไปยังห้องแสดงที่แจ้งไว้ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาเดินดูตั้งแต่ห้องที่หนึ่ง

ภาพอื่นๆ ที่ไม่ควรพลาด ได้แก่ ภาพวาดแบบเวนิซ ของ Titian ที่พิพิธภัณฑ์เพิ่งได้มาถึง 35 ภาพ แสดงโชว์ในห้องจัดแสดงใหม่ ภาพ Death of the Virgin โดย Andrea Mantegna ประมาณปี ค.ศ. 1462 ในห้อง 56B ที่อยู่ชั้นล่าง ล้อมรอบด้วยภาพของ Raphael, Fra Angelico และ Botticelli เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการชมภาพวาดแบบเรอเนสซองซ์อิตาเลียนของพิพิธภัณฑ์นี้ ภาพวาดของศิลปินชาว Flemish (ยุโรปเหนือ) เป็นที่ชื่นชอบของกษัตริย์สเปนในอดีตมาก ภาพเด็ดได้แก่ Descent From the Cross ของ Rogier van der Weyden ในห้อง 58 อันมีจุดเด่นที่ความละเอียดของภาพเช่นความใสของน้ำตาที่กำลังไหลรินลงแก้ม สีหน้าที่แสดงความเศร้า


แต่ที่พลาดไม่ได้เลย ขอให้พินิจ ภาพวาดของ Vel?zquez ผู้เป็นจิตรกรเอกในวังของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 และได้วาดภาพราชวงศ์ นายทหารคนสำคัญ และแน่นอนบรรดาศิลปินเอกท่านอื่น ๆ ที่ได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่แรก

ออกมาจากพราโด หากยังไม่เมื่อย แนะนำให้แวะไปที่ Parque del Buen Retiro สวนสาธารณะขนาดยักษ์ 350 เอเคอร์ ที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ ที่นี่มีต้นไม้มากกว่า 5,000 สายพันธุ์ และหลายต้นมีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี เหมาะสำหรับวันอากาศดี ๆ เดินเล่น ค่าเข้าเพียง 2 ยูโร

และหากชอบงานศิลปะสมัยใหม่ แนะนำอย่างแรงให้ไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์โซเฟีย (Centro de Arte Reina Sofia) ที่เต็มไปด้วยงานล้ำ ๆ แปลกตา น่าดู เปรียบได้กับพิพิธภัณฑ์เททโมเดิร์นของลอนดอน ทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวาได้หลังจากดูภาพโบราณและตึกโบราณมานานหลายวัน แสดงภาพวาดผลงานศิลปินดังของสเปนหลายคนเช่น Picasso, Miro, Solana, และ Dali ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างในโรงพยาบาลเก่าสมัยศตวรรษที่ 18


สำหรับคนช่างกิน ในพิพิธภัณฑ์โซเฟีย มีร้านอาหารชื่อ Arola’s (ของเชฟ Sergi Arola) เสิร์ฟอาหารอร่อยที่เราสามารถเข้าไปนั่งทานได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วเข้า พิพิธภัณฑ์ และมีห้องสมุดศิลปะบรรยากาศเก๋เหมาะสำหรับเข้าไปนั่งอ่านหนังสือ เข้าฟรีเช่นกัน มีอินเทอร์เน็ตวายฟายฟรีด้วย (ปิดวันอังคารตามพิพิธภัณฑ์)


ออกมาจากพิพิธภัณฑ์แล้ว สามารถเดินทอดหุ่ยที่ถนน Paseo del Prado ที่พาดอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์พราโดได้ เพราะเป็นถนนสายหลักที่สวยและเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นสัญลักษณ์สำคัญ ๆ ของเมืองทั้งหมดที่กล่าวไปแล้วคือ ประตูเมือง Puerta de Alcala น้ำพุ Cibeles และน้ำพุ Neptuno ที่ทำการไปรษณีย์ เป็นต้น


ความสวยคลาสสิกแบบสเปน ชวนฝันเดินเพลิน ได้ทั้งวันเช่นนี้เอง...

///////////////////////


เที่ยวมาดริด : หากพักอยู่ในเมืองเก่าแล้ว วิธีเที่ยวที่ดีที่สุดก็คือการเดิน แต่หากพักอยู่ห่างออกไป รถไฟใต้ดินที่มีเครือข่ายกว้างขวางของมาดริดเป็นทางเลือกที่ดีและถูก ราคาตั๋วเที่ยวละ 1 ยูโร สามารถซื้อยกแพ็ค 10 ใบได้ หากคิดแล้วว่าจะใช้จนหมด หรือใช้ Madrid Card เป็นบัตรท่องเที่ยวราคาเริ่มที่ 48 ยูโรต่อวัน รวมค่าเข้าพิพิธภัณฑ์หลักต่าง ๆ

การนั่งรถบัสเที่ยวชมเมืองและที่อื่น ๆ ดูรายละเอียดได้ที่ www.madridcard.com ซึ่งขอแนะนำว่าเหมาะกับคนที่ต้องการเที่ยวพิพิธภัณฑ์หลายแห่งเท่านั้น เพราะเมื่อคำนวณดูดี ๆ จะเห็นว่าเราไม่สามารถเที่ยวได้ครบจนคุ้มค่า หรือหากจะคุ้มค่าก็ต้องเหนื่อยมาก ๆ ทางที่ดีค่อย ๆ เที่ยวดีกว่าค่ะ

พระราชวังหลวง : เปิดจันทร์-เสาร์ 9.30-17.00 น. อาทิตย์-วันหยุดอื่น ๆ 9.00-14.00 น. คนละ 8 ยูโร (ไม่มีไกด์) หรือ 10 ยูโร (มีไกด์) www.patrimonionacional.es

พิพิธภัณฑ์พราโด : เปิด อังคาร - อาทิตย์ (ปิดจันทร์ 1 ม.ค. Good Friday 1 พ.ค. และ 25 ธ.ค.) 9.00 - 20.00 น. ปิดเร็ว 9.00 - 14.00 น. 6 ม.ค. 24 ธ.ค. และ 31 ธ.ค. ตั๋วคนละ 8 ยูโร (ซื้อล่วงหน้าออนไลน์ คนละ 7 ยูโร เข้าฟรีหลัง 6 โมงเย็นของวันที่เปิดทำการ) ด้านล่างมีคาเฟ่ ร้านอาหารของพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ นั่งพักดื่มเอสเพรสโซ่ใส่นม (cortado) ได้เลย

พิพิธภัณฑ์โซเฟีย : ปิดวันอังคาร เปิดจันทร์-เสาร์ 10.00 - 21.00 น. อาทิตย์ 10.00 - 14.30 น. ค่าเข้าคนละ 6 ยูโร เข้าฟรีทุกวันจันทร์ พุธ พฤหัส ศุกร์ ตั้งแต่ 19.00-ปิด เสาร์ 14.30-ปิด อาทิตย์ 10.00-ปิด และวันหยุดใหญ่ ๆ ตรวจสอบได้ที่ www.museoreinasofia.es

ข้อมูลเดินทาง :
- Insight Vacations จัดทัวร์มีระดับไปมาดริด คาบสมุทรไอบีเรียและอีกหลายประเทศในยุโรป ดูโปรแกรมทัวร์ได้ที่ www.insightvacations.com และติดต่อ SEA Tours ที่โทร.02-216-5783 to 93
- จากกรุงเทพฯ สามารถขึ้นเครื่องบินไปลงเมืองใหญ่อื่น ๆ ของยุโรป แล้วนั่งรถไฟนอนของ Rail Europe เข้ากรุงมาดริดและเที่ยวสเปนส่วนอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก หรือซื้อตั๋ว Rail Europe เฉพาะประเทศหรือสามประเทศติดกันได้ สอบถามข้อมูลที่แผนก Rail Europe ที่ Diethelm Travel โทร.02-660-7067-69 หรือ 02-660 7063, raileurope@th.diethelmtravel.com หรือ www.raileurope.fr

ไม่มีความคิดเห็น: