หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมืองเก่าสุดคลาสสิก...เคมบริดจ์

โดย : มัสแตงค์
@กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


สำหรับนักท่องโลกพิเรนทร์ ๆ อย่างมัสแตงค์แล้ว เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งจากจักรยานรอบเมืองเป็นเสน่ห์หาน่าหลงใหลเหลือเกิน


ใช่ว่า เคมบริดจ์ จะโดดเด่นในฐานะที่เป็นเมืองการศึกษาและมีสุดยอดมหาวิทยาลัยของโลก สำหรับนักท่องโลกพิเรนทร์ ๆ อย่างมัสแตงค์แล้ว เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งจากจักรยานรอบเมืองเป็นเสน่ห์หาน่าหลงใหลเหลือเกิน นี่ยังไม่นับสาวๆ นุ่งกระโปรงสั้นๆ ยาวๆ โชว์น่องขาวยาวเรียว และหนุ่มกล้ามโตยืนถ่อเรือ โอ้ว..




มาเข้าเรื่องวิชาการสักหน่อย ก่อนจะต่อด้วยทัวร์เคมบริดจ์แบบทะเล้น ๆ แน่นอนใครมาเมืองนี้ก็ต้องไปชมมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่ติดอันดับท็อปเท็นของโลก ข่าวว่าปีนี้ครองอันดับที่หกตกจากปีก่อน สถานศึกษาแห่งนี้วิวสวยจัดเพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแคม (River Cam) ซึ่งกลายเป็นเมืองการศึกษาและมีนักศึกษาเข้ามาตั้งแต่ปีค.ศ. 1209 จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งระหว่างนักศึกษาและชาวเมือง เนื่องจากชาวเมืองรู้สึกว่านักศึกษาเหล่านี้ได้รับอภิสิทธิ์ ทำให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำ ต้นศตวรรษที่ 19 สิทธิพิเศษของนักศึกษาจึงถูกถอดถอนไป


อย่างไรก็ดี การก่อสร้างทางรถไฟในปี 1845 ช่วยประสานรอยร้าวได้ดี เคมบริดจ์กลายเป็นเมืองการศึกษาอย่างเต็มตัวในปี 1951 โดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ บริษัทวิทยาศาสตร์กว่าร้อยแห่งก่อตั้งขึ้นที่นี่และลิงค์กับมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ ระดับโลก ค้นพบสิ่งต่างๆ ณ ที่แห่งนี้

เช่น ไอแซค นิวตัน คิดค้นกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเชื่อกันว่าเขาพบลูกแอปเปิลหล่นจากต้น ที่ทรินิตี้ คอลเลจ (Trinity College) ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของมหาวิทยาลัยมีต้นแอปเปิลมาปลูกเมื่อปี 1954 ยังมี ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้ริเริ่มแนวคิดนี้ตอนมาเรียนที่นี่ นอกจากนี้ ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ถือเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ที่ให้แนวคิดเรื่องเครื่องคำนวนที่สามารถตั้งโปรแกรม อีกทั้ง แฟรงค์ วิตเติล ที่มีแนวคิดพัฒนาเครื่องยนต์ไอพ่นมาใช้กับเครื่องบิน และอื่น ๆ

อันที่จริงเมืองนี้มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยโรมันซึ่งชาวโรมันสร้างป้อมปราการเพื่อคุ้มกันภัยทำให้เกิดเป็นเมืองเล็ก ๆ ในเวลาต่อมา ชาวแซกซ์ซอนส์ (Saxons) ชนเผ่าเยอรมันโบราณที่เข้ามาขยายดินแดนที่อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 5-6 ได้สร้างสะพานข้ามแม่น้ำแกรนตา ( River Granta) ซึ่งต่อมาคือแม่น้ำแคมนั่นเอง


เล่าถึงแม่น้ำแคมมาเยอะ แน่นอนไฮไลท์ครั้งนี้อยู่ที่การล่องเรือชมวิวแม่น้ำแคม หรือเรียกว่าพันติ้ง (Punting) เป็นเอกลักษณ์ของเคมบริดจ์และเมืองออกซ์ฟอร์ด เรียกกันว่ากินกันไม่ลง เป็นเรือโดยสารลำไม่ใหญ่นั่งได้ประมาณหกคน มีหนุ่มถ่อเรือกล้ามใหญ่ยืนใช้ไม้ค้ำถ่อไปตามแม่น้ำ ราคาคนละ 15 ปอนด์ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลดลงครึ่งราคาเหลือ 7.50 ปอนด์ เฮมิน-สาวเกาหลีที่มุ่งมั่นจะมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของพันติ้ง ถึงกับบอกว่าจะตั้งตารอจนกว่าจะเจอเจ้าชายสุดหล่อที่มารับจ็อบถ่อเรือ ส่วนใหญ่หนุ่มถ่อเรือคือนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่รอแล้วรอเล่า เฝ้าอยู่เกือบชั่วโมงก็ยังไม่เห็นหนุ่มหล่อกล้ามโตสักคน สุดท้ายก็เลยเลือกใช้บริการหนุ่มอวบอ้วนใจดี หนุ่มอวบไม่ได้ถ่อเรืออย่างเดียว ยังเป็นไกด์นำเที่ยวเล่าประวัตินี่นั่น นักท่องเที่ยวหลายคนใจกล้าสามารถเช่าเหมาลำไปพายเรือเอง ซึ่งไกด์อวบของเราบอกว่าหลายรายก็ไปลอยตุ๊บป่องอยู่กลางแม่น้ำแคม

ล่องเรือชมวิว 40 นาที เป็นนาทีทองที่คุ้มค่ามาก ๆ อากาศสดชื่น วิวสวยจัดราวกับอยู่ในเทพนิยาย ใครอยากขอใครแต่งงานควรมาขอทีนี่ บรรยากาศโรแมนติกเอื้อให้เกิดความรัก หลงกันได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหมดเวลาพันติ้งแล้วก็ตัวใครตัวมัน

จุดถ่ายรูประหว่างพันติ้งคือสะพานคณิตศาสตร์ (Mathematics bridge) ตั้งอยู่ที่ Queen College อันโด่งดังเพราะก่อสร้างด้วยไม้ล้วน ๆ ไม่มีตะปูเกี่ยวข้อง แต่มีนักศึกษาคณิตศาสตร์มือบอนผู้หนึ่งอยากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือคำลือ จัดแจงถอดชิ้นส่วนสะพานเพื่อตรวจดู แต่ไม่สามารถต่อกลับคืนแบบเดิมได้ จำต้องใช้ตะปูยึด เออ..เรื่องแบบนี้ก็มี

แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่สุดอย่าง King's College และTrinity College เป็นจุดไฮไลท์ อาคารเก่าแก่สง่างามที่สวยจนอยากหยุดเวลาเพื่อชื่นชมให้สมใจ แต่ไกด์อวบจำเป็นต้องถ่อเรือไปเรื่อย ๆ ไม่เช่นนั้นจะโดนเรือลำอื่นต่อว่า ตอนนี้การจราจรทางน้ำเริ่มติดขัดเล็กน้อย คำถามหนึ่งที่ไกด์อวบคลี่คลายได้ดีคือ คิงส์ คอลเลจไม่ใช่สถาบันเดียวกันที่วิจัยซุปไก่สกัดที่เราเคยได้ยินตามโฆษณาทีวี สถาบันที่ว่าชื่อคล้ายกันคือ คิงค์ คอลเลจ ตั้งอยู่ที่ลอนดอนในเครือ University of London ส่วนมหาวิทยาลัยสุดท้ายที่เห็นตรงหน้าคือ St.John's College ซึ่งมีสะพาน Bridge of Sighs ทรงโรมัน ที่เป็นงานสลักหินอันวิจิตรตระการตาของช่างฝีมือโบราณ


อิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้อง มุ่งหน้าไปยังร้านเกาหลีที่โด่งดังไปทั่วโลก ชาวเกาหลีบินข้ามฟ้ามาชิมอาหารถึงที่นี่ ลอนดอนเนอร์ขับรถมุ่งมาดินเนอร์แล้วก็ขับกลับ แต่เฮมินพาแวะไปร้านโปรดของเธอที่ถนน St Andrews เลขที่ 21 เป็นร้านช็อกโกแลตเล็ก ๆ คูหาเดียวชื่อ Chocolat Chocolate ที่มีฮ็อตช็อกโกแลตแก้วน้อยราคา 1.2 ปอนด์ ร้านนี้พิเศษตรงที่มีช็อกโกแลตให้ชิมหมดทุกรส ชิมอิ่มไปกว่าครึ่งท้อง

ต่อจากนั้นเดินหน้าไปยังเลขที่ 108 ถนน Regent ร้านอยู่หัวมุมชื่อว่า Little Seoul ดูจากภายนอกร้านเล็กมากแต่พอเข้าไปภายในกลับมีพื้นที่พอเพียง พิซซ่าเกาหลี ราคา 5.50 ปอนด์ สุดยอดบุลโกกิและบิบิมบับ 6.9 และ 5.90 ปอนด์ รู้แน่ว่าร้านนี้เจ๋งจริงก็ต้องพิสูจน์ด้วยกิมจิโฮมเมด สั่งรวมมิตร (ผักกาด แตงกวา และหัวไชเท้า) 5.7 ปอนด์ ขอบอกเลยว่าร้านนี้เลิศเลอจริง ๆ ลูกค้าหลายคนอ้อนเจ้าของให้ไปเปิดสาขาที่ลอนดอนหรือที่อื่นบ้าง แต่เจ้าของยืนยันขอเปิดเพียงสาขาเดียว จะได้ดูแลความอร่อยและคุณภาพได้ทั่วถึง เอ..แล้วเงินไม่สำคัญหรืออย่างไร เจ้าของบอกว่าความสุขที่ได้มาตอนนี้ มีเงินเป็นล้านก็ซื้อไม่ได้ นี่ล่ะชีวิตพอเพียงของแท้

คราวนี้มองหาที่สลายไขมันด้วยการเดินเที่ยวรอบเมือง เลือกไปต่อคิวเข้าชมด้านในของ King's College ก่อตั้งโดยกษัตริย์เฮนรี่ที่ 6 เมื่อปีค.ศ.1441 ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง 19 ชันษา มีพระราชดำริจะสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเรียนดีที่ยากไร้ คณะทัวร์เคมบริดจ์เดินตามหาโบสถ์เล็ก ๆ ซึ่งอยู่ด้านในคิงส์ คอลเลจ ที่ถือเป็นสุดยอดสิ่งก่อสร้างของโลก King's College Chapel ที่ตั้งโดดเด่นท้าทายสายตาทุกผู้คนคือหลังคาโค้งรูปพัดที่ถือว่าใหญ่สุดในโลก อย่าลืมหายใจเวลาแหงนคอชม แล้วยังมีหน้าต่าง 26 บาน ที่สวยหมดจด แล้วยังมีเสาสูงยอดแหลมประดับลวดลายอันละเอียด ด้านหน้าเป็นหน้าต่างกระจกสีโค้งบานใหญ่

ช็อตไฮไลท์แบบกวน ๆ คือถ่ายรูปคู่กับเจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดครุยสีม่วง-ดำ ที่มักยืนอยู่หน้าประตู เกือบลืมก่อนเข้าคิงส์ คอลเลจ ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5 ปอนด์ และควรเข้าชมก่อนบ่ายสอง แต่ถ้าปิดภาคเรียนมีเวลาชมจนถึง 4-5 โมงเย็น

แน่นอนว่าเราจะเดินกันต่อไปชมวิวเคมบริดจ์จากด้านบนที่โบสถ์เกรท เซนต์แมรี่ (Great St Mary's) สไตล์โกธิค ขอให้เก็บเรี่ยวแรงไว้ดี ๆ เพราะถ้าอยากชมวิวพานอราม่าด้านบนโบสถ์ ต้องขึ้นบันได 123 ขั้น ตรงข้ามโบสถ์ มีร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ชื่อก้องโลก Cambridge University Press ถ้ามาช่วงวันหยุด ร้านแน่นมาก ซื้อไม่ซื้อไม่สน แต่ขอดั้นด้นเข้าไปชมด้านในเพราะเป็นหนึ่งในร้านหนังสือเก่าแก่ของอังกฤษ เปิดมาตั้งแต่ปี 1581

เอาล่ะ... ถึงเวลาส่องผู้คน เดินไปยังมาร์เก็ต สแควร์ ใกล้ๆ โบสถ์ ถ้ามาวันอาทิตย์ก่อน 4 โมงเย็น มีตลาดนัดที่รวมเหล่าศิลปินมืออาชีพและสมัครเล่นมาขายมากมาย


ถึงเคมบริดจ์จะเป็นเมืองเล็ก ๆ เดินไปเดินมาก็เที่ยวทั่วเมือง แต่ก็เล็กพริกขี้หนูที่หลายคนติดใจหลงใหลกลับมาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสูดกลิ่นอายความเก่าแก่ของเมือง ที่ตอนนี้อายุของเมืองปาเข้าไป 801 ปีแล้ว ไหนจะฟังเสียงกระดิ่งจักรยานจนเพลินและมองดูชีวิตนักศึกษาไปพลาง ทัวร์เมืองมหาวิทยาลัยเก่าแก่ นอกจากได้เปิดหูเปิดตาแล้วอย่าลืมเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตด้วย

*************

การเดินทาง : ขึ้นรถไฟจากลอนดอนไปเคมบริดจ์ที่สถานีรถไฟ King Cross, Liverpool Street เลือกชั้นสอง (ชั้นประหยัด) ราว ๆ 18 ปอนด์ ไปกลับ เดินทาง 45 นาที หรือจะซื้อตั๋วหนึ่งวัน £7หรือมีตั๋วรถบัสรวม Punting ประมาณ 20 ปอนด์ ควรจองล่องหน้าอาจได้ราคาถูก แต่ถ้าอยากได้ราคาประหยัดกว่านั้น เลือกนั่งรถโค้ช Nationalexpress จากสถานีวิคตอเรียที่ลอนดอน ประมาณ 2-3 ชั่วโมง (แล้วแต่การจราจร)

ถ้าจองตั๋วล่วงหน้าจะได้ตั๋วราคาถูกอีกเช่นกัน ราคาตั๋วไปกลับราว ๆ 11 ปอนด์ รถจะจอดตรงถนน Parker ซึ่งขากลับจะต้องมาขึ้นรถที่นี่ ส่วนในตัวเมืองเคมบริดจ์ รถเที่ยวสุดท้ายประมาณสอง-สามทุ่ม มีรถเมล์สีเขียวเรียกว่า City Circle ให้บริการฟรีตามจุดต่าง ๆ ของเมือง ชมได้ทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 9.00-17.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น: