หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 เหตุการณ์'การเมือง'ปี2553

ป็นธรรมเนียมทุกปีที่เมื่อครบรอบปี ทุกฝ่ายจะได้รวบรวมเหตุการณ์ที่ผ่านไป สำหรับเหตุการณ์เด่นทางการเมืองในรอบปี 2553 “ทีมการเมือง เดลินิวส์” ได้จัด 10 เหตุการณ์เด่นไว้ดังนี้



คดีประวัติศาสตร์ยึดที่ดินเขายายเที่ยง

สืบเนื่องจาก “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เปิดประเด็น “หัวรถจักร” ซุกซ่อนในบ้านพักตากอากาศบนเขายายเที่ยง เนื้อที่ 21 ไร่ ใน ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ของ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ขณะเป็นผู้นำรัฐบาล “ขิงแก่” โยงไปสู่ประเด็นถือครองที่ดินโดยมิชอบเพราะเป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าเขา เตียน-ป่าเขาเขื่อนลั่น ต่อมาต้นปี 2553 อัยการสีคิ้วตัดสินว่า “บิ๊กแอ้ด” ไม่เจตนาครอบครองที่ดิน เป็นช่องให้กลุ่ม นปช.โจมตีเรื่อง 2 มาตรฐาน เรียกร้องยึดคืนที่ดินพร้อมดำเนินคดีในมาตรฐานเดียวกับชาวบ้านละแวกเดียวกัน และในวันที่ 20 ม.ค. 2553 กรมป่าไม้สรุป “บิ๊กแอ้ด” ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดิน และจนต้องคืนให้กรมป่าไม้เมื่อ 11 ก.พ. 2553 ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการยึดที่ดินจากคนระดับองคมนตรี



ม็อบเสื้อแดงภาค 2 - ข่าวดังระดับโลก

การกลับมาของคนเสื้อแดงที่ระดม มวลชน ทั้งทางบกและทางน้ำ ในวันที่ 12 มี.ค. ยึดสะพานผ่านฟ้า-พื้นที่ราชประสงค์เป็นศูนย์กลาง มีการดาวกระจายเทเลือดหน้าทำเนียบ พรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายกรัฐมนตรี สลับกับการเจรจาแต่ไม่บรรลุผล รวมถึงมีการใช้กำลังทหารกระชับพื้นที่สี่แยกคอกวัวในวันที่ 10 เม.ย. และในวันที่ 3 พ.ค. นายกรัฐมนตรีเสนอทางออกให้มีการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. แลกกับยุติการชุมนุม แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากคนเสื้อแดง และในคืนวันที่ 13 พ.ค. “เสธ.แดง” ถูกยิงเสียชีวิต การชุมนุมปิดฉากลงเมื่อ ศอฉ.ใช้กำลังกระชับพื้นที่ราชประสงค์วันที่ 19 พ.ค.มีการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศมอบตัว และถูกแจ้งข้อหาก่อการร้ายก่อนจะถูกคุมขังที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี เหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดง มีผู้เสียชีวิต 91 ราย (ต่างชาติ 2 ราย) บาดเจ็บ 1,855 ราย ยังติด 1 ใน 10 ข่าวประจำปี 2553 ในสายตานิตยสาร “ไทม์ส” สื่อการเมืองที่ทรงอิทธิพลของสหรัฐด้วย


รัฐตั้ง กก. 4 ชุดหลังนองเลือด

หลังเกิดเหตุสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ในเดือน มิ.ย. รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการ 4 ชุด เพื่อเยียวยาผู้สูญเสีย และแก้ไขปัญหาทางการเมืองการปกครองระยะยาว ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความปรองดอง ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดเป็นประธาน 2. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 3. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน 4. คณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มี ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นประธาน ต้องดูว่าในปี 54 คณะกรรมการฯ ทั้ง 4 ชุด จะเยียวยาประเทศได้มากน้อยแค่ไหน


12 ส.ค. วางศิลาฤกษ์รัฐสภาใหม่

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์อาคารรัฐสภาแห่งใหม่เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2553 หลังจากที่คณะรัฐ มนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2551 เห็นชอบให้ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ “สัปปายะสภาสถาน” บนพื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตดุสิต จำนวน 119 ไร่ วงเงินจำนวน 12,000 ล้านบาท ซึ่งการออกแบบจะเสร็จในต้นปี 2554 และจะประมูลหาบริษัทก่อสร้าง ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน มี.ค. 2554 ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 900 วัน คาดว่าจะเสร็จและใช้งานได้ในต้นปี 2556 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมาสภาได้ว่าจ้าง “กลุ่มบริษัท ซีอีแอล อินจิเนียร์ริ่ง จำกัด” เป็นบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการควบคุมการก่อสร้าง ด้วยงบประมาณ 144 ล้านบาท เพื่อกำกับการทำงานของผู้ออกแบบ ควบคุมการก่อสร้าง และเมื่อเสร็จโครงการจะต้องดูแลต่อไปอีก 2 ปี


ฮ.กระทรวงทรัพย์ฯตก จ.น่าน

จากการสูญเสียข้าราชการในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เมื่อเฮลิคอปเตอร์ตรวจการ รุ่นเอเอส 350 ที่นำคณะ วีไอพี ประกอบด้วย นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายสหัส บุญญาวิวัฒน์ ที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง นายโกวิท ปัญญาตรง ผู้ตรวจราชการกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ 2 นักบิน ประสบอุบัติเหตุในระหว่างไปตรวจเยี่ยมโครงการปิดทองหลังพระ ที่สถานีเกษตรภูพยัคฆ์ จ.น่าน เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 53 ทำให้เสียชีวิตยกลำ ถือเป็นครั้งแรกในการสูญเสียผู้บริหารระดับสูงจากอุบัติเหตุทางอากาศ ทำให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทส. ได้เสนอ ครม.ของบประมาณซื้อ ฮ.รุ่นนี้อีก 14 ลำ โดยอ้างความปลอดภัยในการใช้งาน และเสนอชื่อนายโชติ ตราชู วัย 48 ปี คนขอนแก่นบ้านเดียวกัน มาเป็นปลัดกระทรวงคนใหม่ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เรียกเสียงฮือฮาไปทั่วว่าทำบุญมาด้วยอะไรถึงโตไวขนาดนี้


บูรพาพยัคฆ์ติดปีก

ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีทองของนายทหารสังกัด “บูรพาพยัคฆ์” ที่เติบโตมาจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2รอ.) จ.ปรา จีนบุรี ถือเป็นนายทหารกลุ่มที่ทรงพลังมากที่สุดในการชี้ชะตาบ้านเมือง สำหรับผลงานโดดเด่นของนายทหารสังกัดบูรพาพยัคฆ์คือการช่วยจัดตั้งรัฐบาลใน ค่ายทหาร โดยมีพี่ใหญ่แห่งขบวนการบูรพาพยัคฆ์ คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ตามมาด้วย “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผบ.ทบ. และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ที่เข้ามาร่วมผงาดคุมกองทัพบกแบบเบ็ดเสร็จ ล่าสุดได้มีการวางตัว “บิ๊กโด่ง” พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 ทายาทบูรพาพยัคฆ์คนต่อไปที่จะเข้ามาคุมกองทัพบกต่อจาก “บิ๊กตู่” ที่จะเกษียณในเดือนต.ค. 58 ซึ่งนายทหารสายนี้จะกุมบังเหียนกองทัพบกไปอย่างน้อย ๆ อีก 5 ปี


ปชป.รอดบ่วงกรรมคดียุบพรรค

คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท เริ่มจากการอภิปรายในสภาฯ ของ ส.ส.พรรค พลังประชาชน ในปี 2551 แต่เรื่องเงียบหายไปก่อนถูกจุดประกายอีกครั้งในช่วงต้นปี 2552 เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนกระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งสำนวนกว่า 7,000 หน้า ไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2552 ผนวกกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ไปยื่นเรื่องต่อ กกต. ให้ยุบพรรค ปชป. แต่กว่า กกต.จะสอบสวนหาเหตุให้ยุบพรรคได้ใช้เวลาปีกว่า

โดยคดี 29 ล้านบาท ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2553 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องไว้พิจารณา และเริ่มกระบวนการไต่สวนพยาน ท้ายที่สุดก็มีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2553 ยกคำร้องด้วยมติ 4 ต่อ 2 เหตุนายทะเบียนฯไม่ได้ชี้มูลความผิด อีกทั้งเห็นว่าส่งคำร้องล่าช้า ส่วนคดี 258 ล้านบาท เห็นว่า นายทะเบียนยังไม่ชี้มูลความผิด และกกต.มีการข้ามขั้นตอน จึงไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติ 4 ต่อ 3 ให้ยกคำร้องเช่นกัน ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ลุ้นกันระทึกแต่สุดท้ายก็ชนะฟาวล์ไปแบบขัดใจฝั่ง ตรงกันข้าม


สภาล่มซ้ำซาก-ส.ส.หวิดวางมวย

ในรอบปี 53 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย คือ สมัยสามัญทั่วไป (21 ม.ค.-19 พ.ค.) และสมัยสามัญนิติบัญญัติ (1 ส.ค.-28 พ.ย.) ถือว่าเกิด เหตุการณ์สภาล่มไม่ ต่ำว่า 10 ครั้ง ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และประชุมร่วมรัฐ สภา ถือว่าองค์ประชุม ไม่ครบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรยังมีพฤติกรรมที่ ส.ส.ตะโกนด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย แจกของลับ และหลายครั้งเกิดการปะทะคารมหวิดวางมวยหลายครั้ง ซึ่งการประชุมดุเดือดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อแก้ไข รัฐธรรมนูญในวันที่ 25 พ.ย. ในระหว่างการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมรัฐสภา เจอ “งูเห่า เด็กเนวิน” ยัดไส้เข้ามา จนเกือบหวิดวางมวย ขณะที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ถอดรองเท้าเตรียมขว้าง พร้อมกับด่า “ควาย” ลั่นห้องประชุม ทำให้วันรุ่งขึ้นสื่อมวลชนหยิบไปพาดหัวทันทีว่าเป็น “สภาควาย”


ปลัด มท.ศึกสี-อาวุโสหรือเด็กใคร?

ถือเป็นมหากาพย์เรื่องยาวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการแต่งตั้งปลัด กระทรวงมหาดไทย (มท.) ที่ต้องลุ้นกันยาวนาน เพราะชื่อของ “บิ๊กหมง มงคล สุระสัจจะ” อธิบดีกรมการปกครอง ที่ถูกเสนอครั้งแรก ในฐานะคนใกล้ชิดและผ่านหลักสูตร “บุรีรัมย์โมเดล” ถูกต่อต้านอย่างหนัก อ่อนอาวุโส เพราะผ่านการเป็นผวจ.บุรีรัมย์ แค่ปีกว่า ก้าวกระโดดขึ้นเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนไม่กี่เดือน ก็ผงาดเป็นอธิบดีกรมการปกครอง ต่อมาก็ถูกส่งชื่อเข้า ครม.เพื่อนั่งเก้าอี้ปลัดในช่วงกลางเดือน ส.ค. 53 แต่ในระหว่างนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯนั้น ก็เกิดมีเสียงร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในโครงการเช่าคอมพิวเตอร์ วงเงิน 3,490 ล้านบาท ในที่สุด “บี๊กหมง” ก็ถูกแรงต้านไม่ไหว ประกาศไม่ขอรับตำแหน่งเอง เก้าอี้ปลัดมหาดไทยคนใหม่จึงหล่นใส่เท้า “บิ๊กโด่ง” วิเชียร ชวลิต ทายาท “บุรีรัมย์โมเดล” แทน จนได้รับการโปรดเกล้าฯ ไปเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 53 นับเวลาแล้วก็ปาเข้าไปร่วม 4 เดือนเต็มกันเลยทีเดียว


ขึ้นเงินเดือนของขวัญปีใหม่ ขรก.ทุกระดับ

กลางเดือน ธ.ค. ก่อนสิ้นปี ข้าราชการทั่วประเทศได้ร้องเฮเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะ ครม. “มาร์ค” เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับการปรับบัญชีเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนรายเดือนของบุคลากรภาครัฐทุกระดับชั้น ในอัตราร้อยละ 5 โดยให้มีผลวันที่ 1 เม.ย. 2554 พร้อมกับเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปรับอัตราเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบ แทนอย่างอื่นของ ส.ว. ส.ส. และกรรมา ธิการ พ่วงเข้าไปด้วย ทำให้บรรดานักการเมืองทั้งหลาย ถึงกับยิ้มร่า เพราะเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 14 หรือเดือนละ 113,560 บาท โดยอ้างเหตุผลฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2548 อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันข้อครหา จึงให้มีผลในสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าเพื่อป้องกันข้อครหาขึ้นเงินเดือนให้ตัว เอง ส่วน ส.ว. ให้มีผลพร้อมข้าราชการ เพราะจะมีความลักหลั่นกับ ส.ว.สรรหา ที่จะหมดวาระไม่พร้อมกันจึงถือเป็นข่าวดีส่งท้ายปีเสือ.

ที่มา : เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น: