หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

2010 เวิลด์คัพที่น่าผิดหวัง และลูกหนังยุคมาเฟีย?

ปี ค.ศ. 2010 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป สำหรับวงการฟุตบอลรอบโลก ไม่น่าจะมีนิยามไหนเหมาะสมไปกว่าคำว่า “ความแปลกใหม่”



เพราะฟุตบอลได้ทำหลายอย่างที่ไม่เคยทำ และเกิดหลายสิ่งที่ต้องจารึกไว้ตลอดไป
สำคัญที่สุด แน่นอนว่า หนีไม่พ้น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ครั้งแรก บนดินแดนที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างทวีปแอฟริกา ที่ประเทศแอฟริกาใต้


แต่เสียดายที่ ถ้าหากว่ากันตรง ๆ “แอฟริกาใต้ 2010” ไม่ใช่ “เวิลด์คัพ” ที่ “ประสบความสำเร็จ” เหมือนหน้าฉาก และอย่างที่ เซปป์ แบลตเตอร์ มาเฟียใหญ่แห่งฟีฟ่า ต้องการให้เป็น
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฟุตบอลโลก ที่ต้องมีการรักษาความปลอดภัยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีบางเกมที่มีคนดูแค่ครึ่งสนาม

ปีเดียวกันนี้ ฟีฟ่า ยังเลือกทำในสิ่งที่กล้า (ไม่มีหาญ) ถึงขั้นดีเดือด ด้วยการมอบสิทธิการจัดฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ในปี ค.ศ. 2018 และ 2022 ให้ รัสเซีย และ กาตาร์ ตามลำดับ   อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และไม่รู้จะมาถึงหรือไม่ (ฝรั่งว่ากันว่าโลกจะแตกในปี ค.ศ. 2012) ดังนั้น เรื่องที่ควรพูดถึงน่าจะเป็นศึกแอฟริกาใต้ 2010 มากกว่า

ก่อนทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลกจะเริ่มขึ้น แฟนบอลหวังจะได้เห็นสีสันในแบบแอฟริกา, วูวูเซลา และเพลงแข้งระดับมหากาฬจากดาวเตะชั้นนำของโลก  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถ้าไม่ใช่คำว่าผิดหวัง ก็ใกล้เคียงที่สุด  แอฟริกาใต้ทำสถิติที่พวกเขาคงไม่อยากจดจำ ด้วยการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกทีมแรกในประวัติศาสตร์ ที่ตกรอบแรก

ดาวดังทั้งหลาย ที่ทุกคนหวังจะเห็นฝีเท้า โดยเฉพาะ ลิโอเนล เมส ซี, คริสเตียโน โรนัลโด และ เวย์น รูนีย์ ต่างอยู่ในสภาพอ่อนล้าจากการกรำศึกหนักทั้งฤดูกาลให้ต้นสังกัด และนัดกันฟอร์มห่วยแสนห่วย จนทีมชาติตนเองมีฟุตบอลโลก ที่อยากลืม

วูวูเซลา ไม่ต่างจากหายนะทางหูของทุกคน เพราะมันไม่ได้ช่วยเพิ่มสีสันให้การแข่งขัน หรือการเชียร์เลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่มันทำก็คือสร้างความรำคาญ

สุดท้าย รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง สเปน กับ ฮอลแลนด์ นอกจากจะจืดชืดไร้รสชาติพอ ๆ กับน้ำล้างเท้าแล้ว ยังว่ากันว่าเป็น “เวิลด์คัพไฟนอล” ที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย  บางคนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใครยิงประตูชัยให้ สเปน ชนะ 1-0 และคว้าแชมป์โลกครั้งแรก แต่ทุกคนจำได้ถึงช็อตที่ ไนเจล เดอ ยองก์ หนึ่งในนักฟุตบอลที่สกปรกที่สุดในโลก กระโดดถีบยอดอก ชาบี อลอนโซ แบบเต็มรัก แต่กลับไม่โดนไล่ออก

ขณะที่ผลงานของชาติยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ก็ดูเหมือนจะมี เยอรมนี ชาติเดียวที่เอาตัวรอด แม้จะได้เพียงอันดับ 3 เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน   บราซิล ห่วยแค่ไหน คงไม่ต้องให้บอก แต่นั่นยังไม่เท่า อิตาลี กับ อังกฤษ และนั่นก็ยังไม่เท่า ฝรั่งเศส ที่นักเตะสร้างความอับอายไปทั้งโลกด้วยการประท้วงประเทศตัวเอง
ส่วน ดีเอโก มาราโดนา ทำท่าทางเหมือนจะเก่ง และจะดี เมื่อพา อาร์เจนตินา ผ่านรอบแรกได้อย่างเหนือชั้น แต่สมองกลวง ๆ ของเขาก็ถูกประจานต่อสายตาชาวโลก เมื่อทีมฟ้าขาวแพ้ เยอรมนี หมดรูปถึง 0-4 ในรอบ 8 ทีม และหลังจากนั้น เสือเตี้ย ก็ถูกไล่ออก

ขณะที่ชาติตัวแทนจากแอฟริกา ที่หลายคนแอบหวังว่าอาจจะไปไกลถึงแชมป์โลก ก็มี กานา เป็นชาติเดียวจาก 6 ชาติ ที่ผ่านรอบแรกได้ แต่ กานา ก็ชวดสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมจากแอฟริกาชาติแรก ที่ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อ อซาโมอาห์ กียาน ยิงจุดโทษพลาด ในนาทีสุดท้ายของเกมรอบ 8 ทีมกับ อุรุกวัย ทำให้ต้องไปดวลจุดโทษตัดสิน และเป็นทีมจอมโหดที่เอาชนะไปได้
อย่างไรก็ตาม เกมดังกล่าวก็เกิด “ตราบาป” รอยใหญ่ เมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าอุรุกวัย กระโดดใช้ 2 มือปัดบอลที่กำลังจะเข้าประตู ออกมาจากเส้นท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งโลก แม้ว่า การทำแฮนด์บอลของ ซัวเรซ จะถือว่าคุ้มค่า เพราะ กียาน ยิงจุดโทษไม่เข้า แต่มันก็ถือเป็นช็อตหนึ่งที่ “ไร้สปิริต” ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก

แม้แต่ทีมชาติสเปน ก็ถูกประเมินว่าทำตัวน่าผิดหวังเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทำสถิติเป็นเพียงชาติที่ 3 ของโลก ต่อจาก เยอรมันตะวันตก และ ฝรั่งเศส เท่านั้น ที่ได้ทั้งแชมป์โลก และแชมป์ยุโรปติดต่อกัน
นั่นก็เพราะ ทีมกระทิงดุ ที่แอฟริกาใต้ ดูไม่เหมือน ทีมกระทิงดุ ที่ได้แชมป์ยูโร 2008 และที่ชนะ 10 นัดรวด ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เอาเสียเลย

สเปน แพ้ สวิตเซอร์แลนด์ ในนัดเปิดสนาม 0-1 ซึ่งถือเป็นเกมพลิกล็อกประจำทัวร์นาเมนต์ จากนั้นก็ชนะด้วยสกอร์ 1-0 ในรอบน็อกเอาต์ 4 รอบติดต่อกัน และทำสถิติเป็นแชมป์โลกที่ยิงประตูได้น้อยที่สุด เพียงแค่ 8 ประตู จาก 7 เกม   ในรอบชิงชนะเลิศกับ ฮอลแลนด์ เกมก็เหมือนจะจบด้วยการเสมอกัน และต้องไปตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ยังดีที่ อันเดรส อิเนียสตา ยิงประตูชัยให้ สเปน เฉือนชนะ ก่อนหมดเวลา 4 นาที ช่วยให้ สเปน คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปครอง

ส่วนขุนพลอัศวินสีส้ม สร้างผลงานที่ต้องบอกว่า “เกินคาด” ด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศสำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครตั้งความหวัง และให้ความสนใจกับพวกเขามากนัก  แต่ความสำเร็จของทีมฟลายอิ้งดัตช์แมนในครั้งนี้ กลับฉาบไว้ด้วยความน่าเบื่อ และความสกปรก เมื่อ ฮอลแลนด์ เน้นเกมรับทั้งรายการ และมีผู้เล่นได้รับใบเหลืองถึง 9 จาก 14 ใบ ในรอบชิงชนะเลิศ  ขณะที่ จอห์น ไฮติงกา สร้างสถิติเป็นผู้เล่นคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์เท่านั้น ที่ถูกไล่ออกในเกมฟุตบอลโลก นัดชิงชนะเลิศ  รูปเกมที่ไม่ถึงใจ และไม่ใช่แบบที่ทุกคนรอคอยในสนาม ทำให้เหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดในเวิลด์คัพ 2010 น่าจะเป็นการปรากฏตัวในรอบชิงชนะเลิศของมหาบุรุษแห่งแอฟริกาใต้นามว่า เนลสัน แมนเดลา ผู้เพิ่งสูญเสียหลานสาวก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น

และ “ดาวจรัสแสง” ที่สุดในบอลโลกครั้งนี้ ก็ไม่ใช่คน แต่เป็นปลาหมึกยักษ์ ที่ชื่อ “พอล” แห่งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอเบอร์เฮาเซอร์ ในเยอรมนี เพราะมันทำนายผลการแข่งขันถูกทุกนัดที่ทาย แม้ว่าความจริงแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันตั้งใจหรือไม่ก็ตาม  ตอนนั้น “หมึกพอล” ดังกระหึ่มโลก ชนิดไม่มีสื่อสำนักไหนในโลกไม่รายงานข่าวที่งมงายเช่นนี้ของมัน แต่ขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนให้เห็นภาพที่แท้จริงของ “แอฟริกาใต้ 2010” ด้วยว่าไม่ใช่ฟุตบอลโลก ที่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลยในแง่ของเกมในสนาม

ส่วนในระดับสโมสรนั้น ทั้ง ๆ ที่ บาร์เซโลนา มีนักเตะระดับแกนนำของทีมชาติสเปน ชุดแชมป์โลกล้นทีมทั้ง ชาบี เอร์นานเดซ, คาร์เลส ปูโยล, เคราร์ด ปิเก, เซร์จิโอ บุสเกตส์, เปโดร โรดริเกซ, บิคตอร์ บัลเดส หรือแม้แต่ อันเดรส อิเนียสตา แต่พวกเขากลับแพ้ต่อมันสมองของ โฮเซ มูรินโญ และ อินเตอร์ มิลาน ในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รูปเกมในทั้ง 2 นัด เป็น บาร์ซา แชมป์เก่า ที่ครองเกมเอาไว้ได้หมด และมีสถิติครองบอลถึง 71 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับเป็น อินเตอร์ ที่ฉวยโอกาสจากการโต้กลับไม่กี่ครั้ง เฉือนเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2

และเมื่อผ่านโคตรทีมอย่าง บาร์เซโลนา มาได้ บาเยิร์น มิวนิก ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรที่ยากเกินความสามารถของพวกเขา และ ดีเอโก มิลิโต ก็แสดงคุณค่าในตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ เมื่อเหมา 2 ประตูช่วยให้ อินเตอร์ ชนะ 2-0 และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 ไปครองสำเร็จ  มูรินโญ ยังนำ อินเตอร์ คว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา และโคปปา อิตาเลีย มาครองได้ด้วย ทำให้ทีมงูใหญ่มีปีที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ว่าได้ 

แต่นั่นก็ไม่สามารถรั้งให้ยอดกุนซือชาวโปรตุเกสอยู่สานต่อความสำเร็จในถิ่น ซาน ซิโร ต่อไปได้ และ มูรินโญ ก็เลือกไปแสวงหาความท้าทายสถานีต่อไปกับ รีล มาดริด ยักษ์หลับของสเปน ที่อยู่ใต้ร่มเงาของ บาร์เซโลนา มานานหลายปี ที่อินเตอร์ แทคติกสำคัญที่ มูรินโญ นำมาใช้หยุด บาร์ซา ก็คือ หยุด ลิโอเนล เมสซี แต่ที่ สเปน ไม่ว่า มาดริด จะมี มูรินโญ หรือไม่ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหยุด เมสซี ได้ 

เมสซี ตอกหมุดความเชื่อที่ว่าเขาคือตัวแทนที่เหมาะสมที่สุดของ ดีเอโก มาราโดนา ให้เด่นชัดขึ้นอีก ด้วยการยิงไปถึง 58 ประตู ในปี ค.ศ. 2010 และนำ บาร์ซา ป้องกันแชมป์ลา ลีกา เอาไว้ได้แบบไม่ระคายผิว และต่อให้ฤดูกาลนี้ ทีมชุดขาวมีทั้ง มูรินโญ และ คริสเตียโน โรนัลโด มันก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอะไรมาหยุด เมสซี ได้อยู่ดี เมื่อเขานำทีมเจ้าบุญทุ่มถล่มทีมชุดขาวแบบเละเป็นโจ๊กโดนระเบิดถึง 5-0 ในเกม “เอล กลาซิโก” ที่คัมป์ นู และทำให้ บาร์ซา ได้เปรียบอีกครั้งบนทางลุ้นแชมป์

ส่วนที่อังกฤษ เรื่องใหญ่ที่สุดหนีไม่พ้น คาร์โล อันเชลอตติ ที่นำ เชลซี คว้าดับเบิลแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อทีมสิงห์สำอางเหมาเรียบทั้งพรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ “คาร์เลตโต” เพิ่งเข้ามาคุมทีมสิงห์สำอางเป็นฤดูกาลแรก แต่สามารถนำถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลับมายังสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้เขาเข้าไปนั่งในหัวใจแฟนบอลเชลซีแทบจะทันที และถึงแม้ อันเช กำลังประสบปัญหาในฤดูกาลที่ 2 แต่ก็น่าลุ้นเหลือเกินว่าเขาจะพาทีมกลับมาได้หรือไม่

เรื่องใหญ่อีกเรื่องในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีก็คือ การซื้อ-ขายทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่กว่าจะจบสิ้นลงได้ก็ต้องใช้เวลานานร่วมเดือน และถึงกับต้องขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องร้องกันยกใหญ่  ที่มาก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องเงิน เมื่อ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิคส์ 2 เจ้าของเดิม ไม่พอใจข้อเสนอที่ยื่นมาน้อยเกินไป ทำให้ยังไงก็ไม่ยอมขาย แต่ในที่สุด จอห์น เฮนรี ประธานกลุ่มนิว อิงแลนด์ สปอร์ต เวนเจอร์ส ก็ซื้อทีมหงส์แดงสำเร็จจนได้  เฮนรี เป็นเจ้าของทีมบอสตัน เรดซอกซ์ ในเมเจอร์ ลีก เบสบอล และเขาก็เคยเสกให้ เรดซอกซ์ ที่กำลังหลับ ตื่นกลับมาคว้าแชมป์เวิลด์ซีรีส์มาแล้ว ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลตั้งความหวังเอาไว้สูงพอสมควร ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าของใหม่ของพวกเขาก็ยังคงเป็นอเมริกันเหมือนเดิมก็ตาม

อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงมากในปี ค.ศ. 2010 ก็คือ ถึงเวลาหรือยังที่จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยตัดสินในเกมฟุตบอล หลังจากเกิดซีรีส์การตัดสินที่ผิดพลาดหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะในฟุตบอลโลก ที่ลูกยิงของ แฟรงค์ แลมพาร์ด มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ในเกมกับ เยอรมนี ผ่านข้ามเส้นไปแล้วอย่างชัดเจน แต่ผู้ตัดสินกลับไม่ให้เป็นประตู  ในยุโรป ยูฟ่า ได้ทดลองให้มีผู้ตัดสินพิเศษลงมายืนทำหน้าที่อยู่บริเวณหลังเส้นประตูแล้ว ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ดูเหมือนว่าจะยังช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่ เพราะยังมีเสียงบ่นหนาหูเหมือนเดิม และนักเตะหลายคนก็บอกว่าไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด

สุดท้ายแล้ว วิธีการแบบนี้ก็เป็นเพียงข้ออ้าง ที่ ยูฟ่า และ ฟีฟ่า หยิบยกขึ้นมาใช้ เพื่อให้ตัวเองมีความชอบธรรมในการครอบครองความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลต่อไป แค่นั้นเอง และคำพูดดังกล่าว ก็ยังเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อมาเฟียลูกหนังโลกเลือกประเทศที่มีปัญหา และไม่ได้มีความเหมาะสมในทุกด้านอย่าง รัสเซีย และ กาตาร์ ให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก

ในปี ค.ศ. 2018 ซึ่ง รัสเซีย ได้สิทธิไปนั้น มีอังกฤษ ที่พร้อมจัดบอลโลกในวันนี้พรุ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ไม่เลือก เพราะสื่ออังกฤษดันไปแฉปมทุจริตมากมายของบรรดาบอร์ดบริหารผู้ทรงอิทธิพลของ ฟีฟ่าก่อนวันเลือกเจ้าภาพไม่กี่วัน

ส่วนปี ค.ศ. 2022 ซึ่ง กาตาร์ ได้สิทธินั้น เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นประเทศที่มีความพร้อม และความเหมาะสมน้อยที่สุดในบรรดาชาติที่เสนอตัวก็ว่าได้ แต่ เซปป์ แบลตเตอร์ กลับอ้างว่า เป็นเพราะฟุตบอลจำเป็นต้องขยายฐานไปทั่วโลก เขาจึงเลือกให้ กาตาร์ เป็นชาติแรกในตะวันออกกลางที่ได้เป็นเจ้าภาพเวิลด์คัพ
สุดท้าย ปัญหาต่าง ๆ นานาตามมามากมาย โดยเฉพาะเรื่องสภาพอากาศของกาตาร์ ที่จะร้อนจัดถึงเกือบ 50 องศาเซลเซียส ในหน้าร้อน ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เวิลด์คัพ 2022 จะเลื่อนมาแข่งกันในช่วงหน้าหนาว หรือราวต้นปี ซึ่งผิดธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมานานอย่างแรง

สรุปแล้ว ภาพรวมของวงการฟุตบอลโลกในปี ค.ศ. 2010 ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับแฟน ๆ เพราะฟุตบอลโลก ก็ไม่สนุกอย่างที่คาด และเกิดปัญหามากมาย ขณะที่ฟุตบอลลีกของแทบทุกประเทศชั้นนำ ก็กระจุกความสนุกอยู่แค่ไม่กี่ทีมเท่านั้น

ที่สำคัญ ยังมีเรื่องการเมือง และการคอร์รัปชั่นของ ฟีฟ่า เข้ามาป่วนให้คนดูบอล เหม็นเบื่อมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น ปีหน้า ฟ้าใหม่ ก็ให้มั่นใจได้เลยว่า วงการลูกหนังคงไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ และมีปัญหาต่าง ๆ นานาเข้ามารุมเร้ามากมายแน่นอน เพราะ ฟีฟ่า ยังมีมาเฟียหน้า เดิมอย่าง เซปป์ แบลตเตอร์ นั่งเป็นประธานเหมือนเดิม.

ไม่มีความคิดเห็น: