หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

'ย่างกุ้ง'ศรัทธาเหนือกาลเวลา

เมื่อไหร่ที่นึกถึงเมืองหรือประเทศที่มีศรัทธาของผู้คนอันเข้มแข็ง ต้องมีชื่อของเกาะบาหลี ทิเบต และเมืองอมริทสาของอินเดียติดอยู่ในโผด้วย และแน่นอนรายชื่อที่ขาดไม่ได้เลยคือ ประเทศพม่า ไม่ว่าวันนี้พม่าจะถูกยั่วเย้าด้วยเทคโนโลยี หรือถูกบุกรุกด้วยความทันสมัย แต่ต่อมาให้มากี่เที่ยวๆ ก็พบว่าศรัทธายังคงอยู่บนแผ่นดินนี้เสมอ ราวกับว่า ศรัทธาแห่งพม่าอยู่เหนือกาลเวลาทั้งมวล


เส้นทางสู่ดินแดนแห่งศรัทธาก็ไม่ได้ยากเย็นเลย ตั้งแต่มีสายการบินแอร์เอเชีย (www.airasia.com) ใครๆ ก็บินได้ เขามีเที่ยวบินไปกลับย่างกุ้งวันละ 2 เที่ยวบิน เช้าและเย็น เลือกได้ตามสะดวก และการจัดอันดับของสกายแทรกซ์ครั้งล่าสุด แอร์เอเชียก็เพิ่งคว้ารางวัลสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลกมาครองด้วย เรียกว่ากวาดรางวัลมา 3 ปีซ้อนแล้ว

แล้วเว็บไซต์ขาประจำอย่างอโกดา (www.agoda.co.th) ก็ทำให้ประหลาดใจเล็กน้อย ทีแรกคิดว่าอโกดาอาจไม่มีห้องพักในย่างกุ้งให้จองออนไลน์ ที่ไหนได้พอคลิกเข้าไปมีให้เลือกเต็มไปหมด เที่ยวนี้คลิกจองโดยใช้แต้มสะสมที่มีอยู่ ไม่น่าเชื่อจองที่พักกับอโกดาได้แต้มสะสมมาเยอะจนจองที่พักครั้งนี้ได้ฟรีแล้ว

สำหรับเมืองใหญ่ของพม่าแห่งนี้ ไม่มีที่ไหนเหมาะจะวัดความเข้มแข็งของศรัทธาได้ดีเท่ากับ เจดีย์ชเวดากอง อีกแล้ว เจดีย์ใหญ่แห่งนี้ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่กลางเมืองย่างกุ้ง มีทางขึ้น 4 ทาง ประตูทางเข้าหลักอยู่ทางด้านทิศใต้ จะมีร้านค้าตั้งยาวเหยียดไล่ไปตามบันไดทางขึ้นให้แวะช็อป แต่ถ้าไม่อยากเดินเหนื่อย ประตูทางฝั่งตะวันตก จะเป็นด้านเดียวที่มีบันไดเลื่อนให้บริการ แต่ไม่ว่าจะเข้าด้านไหน ก็ต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 5 ดอลลาร์


ในฤดูฝนที่ท้องฟ้าขุ่นเทา ดวงตะวันใช้สิทธิขอพักร้อน ทั้งเมืองมีฝนโปรยปรายไม่ขาดเม็ด แต่ผู้คนที่หลั่งไหลมายังเจดีย์ชเวดากองไม่ขาดสาย เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าฤดูอะไรหรืออุปสรรคหน้าไหน ก็ไม่อาจทำลายความศรัทธาอันเข้มแข็งของชาวพม่าได้

ทั้งที่ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ และท้องฟ้าไม่ได้เปิดโล่ง แต่ผู้คนชาวพม่าหอบลูกจูงหลานมากราบไหว้เจดีย์สีทองแห่งนี้ จนชเวดากองแคบไปถนัดตา ลำพังคนเฒ่าคนแก่ไม่เท่าไหร่ แต่หนุ่มสาวที่นี่สิ น่าเอ็นดูตรงที่เกี่ยวก้อยกันมาไหว้พระกันที่นี่

ที่แน่ๆ ทุกคนแบกความศรัทธามาจนล้นชเวดากอง ทุกครั้งที่เห็นชาวพม่ากราบหรือไหว้พระแล้ว รู้สึกและสัมผัสได้ถึงพลังแห่งศรัทธาอันมุ่งมั่นต่อพุทธศาสนาที่ฝังรากลึกอยู่ในคนพม่า

ชเวดากองเป็นเจดีย์อายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี เรียกได้ว่าเป็นศาสนสถานอันเก่าแก่ที่สุดของพม่าก็ว่าได้ ตามประวัติเล่าว่า สร้างในสมัยพระเจ้าอลองพญา เอาเข้าจริงๆ แล้ว สร้างก่อนที่จะเริ่มยุคทองของพุกามเสียอีก เพราะมีการบันทึกทางประวัติศาสตร์ กล่าวถึงการเสด็จมาสักการะของพระเจ้าอโนรธาจากพุกามไว้ที่ปลายบันไดทางขึ้นด้านทิศตะวันออก

กษัตริย์พม่าองค์นี้เกิดความประทับใจและศรัทธามาก ถึงขนาดว่าพอกลับไปพุกามก็สร้างเจดีย์ชเวสิกองขึ้นมาเลียนแบบชเวดากองบ้าง

ที่ผ่านมามีการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นระยะ เสริมและแต่งเติมจนปัจจุบันสูง 98 เมตรจากฐาน จากครั้งแรกสร้างเจดีย์สูงเพียง 20 เมตรเศษๆ แถมตั้งอยู่บนเนินเขา เลยยิ่งดูสูงขึ้นอีก เพราะอย่างนี้นี่เอง เมื่อมองจากที่ไกลๆ เราจึงเห็นเจดีย์สีทองอร่ามตา ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า

นักท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ พากันมองหาทองคำบนยอดเจดีย์ที่หนักกว่า 53 ตัน ไม่นับรวมเพชรกว่า 5,000 เม็ด พลอยกว่า 2,000 เม็ด และทับทิมเท่ากำปั้นบนยอดพระเจดีย์

แม้ที่ผ่านมาจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ทั้งหักโค่นจากพิษแผ่นดินไหว และเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ จนทำลายเจดีย์บริวารที่อยู่ล้อมรอบไปหลายแห่ง แต่ทุกวันนี้ก็ได้รับการบูรณะให้วิจิตรงดงามอย่างที่เห็น และไม่ว่าโมงยามจะเคลื่อนไปไกลแค่ไหน แต่ศรัทธากองพะเนินยังคงอยู่ที่เจดีย์ชเวดากอง


ฝนที่กระหน่ำลงมาทั้งวัน ทำให้ติดอยู่ชายคาเจดีย์อยู่นานโข นั่นทำให้พบว่า ฝนที่ว่าหนักหน่วงก็ไม่อาจชะล้างศรัทธาของผู้คนได้ ผู้คนยังหอบลูกจูงหลานฝ่าสายฝนมาไหว้พระกันทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่พระและชี ไม่ว่าใครจะจำวัดอยู่ที่เมืองไหน แต่ก็ยังดั้นด้นเดินทางมาเพื่อสักการะองค์มหาเจดีย์แห่งนี้


พูดถึงพระในพม่า ฉันมีโอกาสได้สนทนากับพระที่เจอกันในเจดีย์ จึงเพิ่งรู้ว่าพระทั่วพม่ามีมากกว่า 1 ล้านรูป ส่วนพวกแม่ชีจะมีไม่ถึงแสน จะเห็นว่าชีที่นี่เขานุ่งห่มสีชมพู เดิมทีเป็นสีขาว แต่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ และในปัจจุบันก็ไม่ได้มีสีชมพูอย่างเดียว แต่มีสีน้ำตาลปนๆ มาด้วย

นั่งที่นี่นานๆ เลยสังเกตเทรนด์การแต่งตัวของหนุ่มสาวที่มาไหว้พระที่นี่ ถึงแม้ว่าแฟชั่นไทยจะก้าวไกลไปไหนก็ช่าง แต่หม่องเม้ยที่นี่ยังฮิตสวมโสร่ง หรือที่เรียกว่า ”โลงจี” กันอย่างเหนียวค่านิยมตะวันตกอาจจะรุกคืบเข้าหาพม่า แต่พวกยีนยืด เอวต่ำ ขาเดรฟ สกินนี ไม่ได้แอ้มหนุ่มสาวพม่า พวกเขายังคงนุ่งโสร่งสำเร็จพิมพ์ลายสไตล์เมืองหม่อง


ในยุคสมัยที่มองไปรอบตัวเจอแต่คนพร่ำเพ้อถึง 3G ไอโฟน ไอแพด บีบี ลองพาตัวเองมาเดินเล่นที่ย่างกุ้งดู แล้วคุณอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ! นี่มันโลกใบเดียวกันรึเปล่า เพราะคนที่นี่เขายังเคี้ยวหมาก นุ่งโลงจี หนีบรองเท้าแตะ แต้มทานาคาบนพวงแก้ม นี่แหละเสน่ห์เฉพาะตัวของพม่าที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้

โดย...กาญจนา หงษ์ทอง
เที่ยวนี้ขอเล่า@คมชัดลึก
วันที่ 4 กันยายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น: