หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟิลม์กับแอนนี่

จากที่ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่กระแสของพวกเขาแรงจริง ๆ  แรงขนาดคอลัมนิสต์อย่างกาแฟดำ และเปลวสีเงินยังเขียนถึง จนต้องมาติดตามเรื่องนี้ด้วยคนว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป

ตามอ่านแล้วก็สงสารแต่เด็ก  ส่วนเรื่องพ่อแม่ของเด็ก  ได้แต่ร้อง ... เฮ้อออ  

คุณกนกสรุปเรื่องนี้ไว้ที่ facebook : Kanok Ratwongsakul Fan Page ได้ใจดีค่ะ
 " ถ้าข่าวฟิล์มกับแอนนี่เปรียบได้กับรถที่เกิดอุบัติเหตุ คนที่อยู่ในรถทุกคนจะเป็นดังนี้ ฟิล์มคอหัก, แอนนี่เลือดโทรมกาย, เฮียฮ้อโคม่า, จุ๊นหลังเป็นแผลเหวอะหวะ, พจน์ปากฉีก, เจ๊เบียบลิ้นขาด, น้องฑีฆายุไม่เป็นไรแต่ร้องไม่หยุด ส่วนสื่อ..คือคนขับรถ..พบตายคาที่ มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง! "
-------------------------------------
สังคมไทยได้อะไรจาก กระแสข่าวดาราท้อง
โดย : กาแฟดำ @กรุงเทพธุรกิจ


หนีไม่พ้นว่าสื่อต้องตอบคำถามของ “ผู้บริโภคข่าว” จำนวนไม่น้อยว่าที่ทุ่มเวลา พื้นที่ข่าวและทรัพยากรบุคคล มากมายให้กับข่าว

เรื่อง “ฟิล์มกับแอนนี่” นั้น สังคมไทยได้อะไรบ้าง?


หากข้ออ้างอยู่ที่ว่า “ข่าวบันเทิง” อย่างนี้อย่างน้อยก็ทำให้คนไทยคลายเครียด จากความอึมครึมและน่าเหนื่อยหน่ายทางการเมือง ก็อาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้ แม้ว่าอาจจะถูกเหน็บแนมว่าเป็นการเอาสีข้างเขาถูก็ตาม

บางคนที่ผมตั้งคำถามใน Twitter ไม่ลังเลที่จะบอกว่าสื่อนั่นแหละเป็นคนได้ประโยชน์ เพราะทีวีได้เรทติ้งเพิ่ม ยอดขายหนังสือพิมพ์กระเตื้องและชาวบ้านได้ “เมาท์” กันกระจาย

และสังคมส่วนรวมไม่ได้บทเรียนอะไรไม่ว่าในแง่ของศีลธรรม ความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีของเพศชายและหญิง หรือแม้กระทั่งประเด็นการตีความกฎหมายว่าด้วยการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อตัดสินว่าใครต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของคนอีกคนหนึ่งอย่างไร

เพราะกระแสข่าวเรื่องนี้เป็นไปตามสูตรหาข่าวที่ตำราสื่อสารมวลชนเรียก ว่า “He said/She said” stories ซึ่งเป็นวิธีการทำข่าวขั้นพื้นฐานของนักข่าวฝึกหัด ไม่จำเป็นที่คนทำข่าวจะต้องมีความรู้ความฉลาด หรือความรับผิดชอบต่อสังคมอะไรมากนัก

อีกนัยหนึ่งคือข่าว “ปิงปอง” ที่มีสองฝ่ายหรือสามฝ่ายหรือสี่ฝ่าย ที่ต่างคนต่างเรียกนักข่าวและช่างภาพมาเพื่อจะให้ข่าวด้านของตน

คนทำข่าวในกรณีนี้ไม่ต้องศึกษาหาข้อมูลอะไรเป็นพิเศษ เพราะเพียงแค่ให้ตัวละครในเรื่องต่างคนต่าง “ตบตีกัน” อย่างเปิดเผย ก็อาจจะอ้างว่าตนได้ทำหน้าที่เป็น “สื่อมวลชน” แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแค่เอาเรื่องชาวบ้านตีกันไปป่าวประกาศให้คนอื่นๆ ในสังคมได้รับรู้เท่านั้น

มีคำถามในห้องประชุมข่าววันก่อนว่าระหว่างข่าว “ฟิล์ม-แอนนี่” กับ ข่าว “พระปราโมทย์-สีกา” นั้น อะไรจะ “ร้อนแรง” ในแง่การนำเสนอข่าวของสื่อกว่ากัน?

แน่นอนว่าในห้องข่าวนั้นเองก็จะต้องมีคำถามว่าข่าวไหนจะมี “ประโยชน์” ต่อสังคมมากกว่ากัน

ความจริง คนข่าวควรจะถามว่าสื่อควรจะทำหน้าที่อย่างไร จึงจะไม่ถูกทุกฝ่ายที่เป็นคู่กรณี “ใช้เป็นเครื่องมือ” เพื่อสร้างความได้เปรียบในการต่อรองของตน?

เพราะข่าวทั้งสองชิ้นไม่ได้เกิดจากการทำข่าวทำนอง “สืบสวนสอบสวน” หรือ investigative reporting ของสื่อเอง หากแต่เป็นเพราะคู่กรณีในทั้งสองเหตุการณ์เป็นผู้ “เปิดประเด็น” เพราะต้องการจะสร้างความเสียหาย หรือ discredit อีกฝ่ายหนึ่ง

และไม่มีวิธีใดในสังคมแบบไทยๆ ที่จะเริ่มด้วยการให้คนกระซิบกระซาบให้นักข่าวได้ยินได้ฟังก่อน จากนั้นเมื่อฝ่ายของตนพร้อมแล้ว ก็เรียกนักข่าวมาแถลงข่าว เพื่อเปิดฉากให้เหตุผลด้านของตน ได้ผ่านสื่อไปยังคนอ่านและคนดูทั่วไปเสียก่อน

“สื่อ” ที่นึกว่าตนเป็นผู้ชาญฉลาดกว่าย่อมตกหลุมพรางได้ไม่ยาก เพราะความร้อนรนที่จะต้องไม่ “ตกกระแส” จึงกลายเป็นการแก่งแย่งกันเพื่อที่จะ "นำเสนอ" ข่าวจากถ้อยคำของฝ่ายหนึ่ง เพื่อจะให้รายงานถ้อยแถลงของอีกฝ่ายหนึ่งในวันเดียวกันหรือวันต่อมา

ภาวะเช่นนี้ไม่มีคำว่าใครถูกใครผิด เพราะเป็นการตะลุมบอนของนักข่าว ที่จะแย่งกันเบรกข่าวต้นชั่วโมงและพาดหัววันรุ่งขึ้น... เพราะคนข่าวอ้างเสมอว่าหากได้เสนอคำแถลงข่าวของทั้งสองด้านแล้ว ก็คือการได้ทำหน้าที่ของตน


โดยไม่ถามต่อว่าสังคมคาดหวังว่า “สื่อ” จะต้องแสดง ความรับผิดชอบ มากกว่าเพียงแค่การรายงาน He said/She said แต่ยังต้องใช้วิจารณญาณและการพิเคราะห์ว่าอะไรคือขยะ อะไรคือสาระ และอะไรคือเนื้อหาที่เหมาะควรแก่การนำเสนอจริงๆ

ผมเห็นจำนวนนักข่าวช่างภาพที่ออกันหน้าคู่กรณีในข่าวเรื่องนี้ และความกระตือรือร้นในการตั้งคำถามเจ้าของเรื่องแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า หากคนข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเกษตรจะมีความคึกคักและทุ่มเทเช่นนี้บ้าง บ้านเมืองเราคงจะไปไกลกว่านี้มากมายแล้ว

แต่พรุ่งนี้ ก็จะมีข่าว “ฉาวดารา” และ “พระ-สีกา” อื่นๆ ให้สังคมไทยได้ “คลายเครียด” กันต่อเนื่อง

ไม่มีเวลาตั้งคำถามอะไรมากมาย ไม่ว่ากับคนเป็นข่าวและคนทำข่าว ให้คิดว่าสังคมไทยควรจะได้ประโยชน์อะไร จากการทำงานของท่านเท่าไหร่นักหรอกครับ

-------------------------------------
เฮียฮ้อกับ "กฎลูกผู้ชาย" ที่หายไป
โดย : เปลวสีเงิน @ไทยโพสต์

ผมไม่ค่อยเข้าใจพวก "ผู้ชายยุคใหม่" ว่าเขามีความคิดต่อผู้หญิงกันแบบไหน เพราะเท่าที่ดูเขาหยิบเอามุมหนึ่งของหญิงออกมาแฉในลักษณะ "กินในที่ลับ-เอามาประจานในที่แจ้ง" แล้ว ผมยอมรับว่า...คิดไม่ถึง เขาทำคล้ายกับนั่นคือ การประกอบวีรกรรมของชายชาตรี เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีเสียเหลือเกิน ที่ได้รุมฆ่า "ผู้หญิงคนหนึ่ง" เพื่อพิทักษ์...ชายสถุล!

นี่เป็นความคิดเฉพาะตัวของ "ผู้ชายยุคโบราณ" อย่างผมนะครับ อาจจะผิด อาจจะเชยในทัศนะของท่านก็ได้ แต่เมื่อผู้ชายยุคเก่า-คือผม ได้ดู-ได้ฟังเฮียฮ้อ แห่ง RS และเฮียสมรักษ์ แห่งช่อง ๓ ออกมาพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อแอนนี่ บรู๊ค ในวัน-สองวันที่ผ่าน ทำให้ต้องคิดทบทวนความเป็น "ผู้ชาย" อีกครั้ง
ก็ ไม่รู้ซีนะ ที่เฮียฮ้อ เฮียสมรักษ์ทยอยออกมาตั้งโต๊ะจะเรียกว่าแถลงข่าว หรือแฉให้เป็นข่าวนั้น บางท่านอาจสะใจก็ได้ เพราะความทุกข์ของคนอื่น เป็นความสุขของชาวบ้านอยู่แล้ว แต่ผู้ชายโบราณอย่างผม...ไม่ชอบ

มันมี "กฎลูกผู้ชาย" ยุคผมอยู่ข้อ คือ เมื่อกินในที่ลับแล้ว ต้องไม่นำไปไขในที่แจ้ง ไม่ได้หมายความว่าทำในที่ลับแล้ว จะไม่ยอมรับในที่แจ้ง แต่หมายความว่า เรื่องระหว่างหญิงกับชาย "ในที่ลับ" จะต้องเป็นความลับตายไปกับตัว จะไม่นำไปประจานกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเฉพาะคน หรือปากสว่างโพนทะนาไปทั่วเด็ดขาด

ผู้ชายคนไหนละเมิดกฎ นอกจากถูกผู้ชายด้วยกันคัดออกจากทำเนียบลูกผู้ชายแล้ว ยังจะเป็นผู้ชายที่ไม่มีหญิงคนไหนในบางคบหาด้วย ถ้าจะมีภรรยาเป็นตัว-เป็นตนซักคน ก็ต้องไปหาจากถิ่นอื่นที่เขาไม่รู้ว่ากำลังจะได้ "ผู้ชายปากหมา" มาเป็นสามี

นี่ เป็นมาตรการขั้นต้น หนักขึ้นไปอีกนิด วันดี-คืนดี เลือดกบปากไม่รู้ตัว แต่ถ้าหนักสุดก็พอมีให้เห็นบ้าง...เป็นศพนอนอยู่ริมทาง ริมห้วย!

เรื่อง พรรค์อย่างนี้ เมื่อถึงคราวต้องเปิด ต้องยึดหลักให้แน่นว่า มันเป็นเรื่องของคน ๒ คน อย่าไปสร้างบรรยากาศกดดันเขา อย่าไปรุกล้ำพื้นที่ชีวิตเขา ให้เงียบๆ ซักพัก ด้วยเรื่องที่รู้กันอยู่ ๒ คน แล้วคน ๒ คนนั้นเขาจะหาทางออก "ที่ลงตัว" ด้วยความพอใจและรับได้กันเอง คนอื่นไม่ควร "เสือก" ให้มากความ
เคยฟังเพลงสุนทราภรณ์มั้ย มีอยู่เพลงผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่มีเนื้อทำนองว่า.....ถ้ารักดังเปรี้ยงมีเสียงดังปึง ทั่วบ้านทั่วเมืองก็คงอื้ออึงด้วยเสียงเปรี้ยง..ปึง..ระงมนั้นไปทั้ง วัน-ทั้งคืน อะไรประมาณนั้น
นั่นก็คือ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ แต่ละวันมีเป็นร้อยราย พันราย หมื่นราย แต่เราก็ไม่สน แฉให้มันฉิบหายก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะไม่ใช่ดารา หรือคนดัง แล้วลองมาดูในกรณีแอนนี่ บรู๊ค บ้าง ก็แค่ ๑ ในร้อย-ในล้านที่เกิดประจำวัน ไม่ใช่รายเดียวที่เกิดขึ้นแล้วจะทำให้โลกแตก

เผอิญ มันมี "ฟิล์ม" เข้าไปเกี่ยวตะหาก และชื่อฟิล์มนี้มันขายข่าวได้ ขายโฆษณาคั่นรายการได้ใช่มั้ย อีแร้งทั้งหลายจึงขอรวยบนความฉิบหายของผู้หญิงคนหนึ่งจนเกินพอดี?

ผม ว่าพอได้แล้ว โดยเฉพาะเฮียฮ้อ เฮียสมรักษ์อะไรนั่น พวกคุณทำผิด "กฎลูกผู้ชาย" ชนิดไม่น่าให้อภัย ที่ออกมาชี้หน้าด่าประจานผู้หญิงชนิดที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนน่ารังเกียจเท่า นี้ พูดออกมาได้อย่างไร จะจริงหรือไม่จริง ก็พูดไม่ได้ และไม่ควรพูดด้วยประการทั้งปวงที่ว่าคบหาผู้ชาย ๔ คนอะไรนั่น

ถ้าจะพูด โดยต้องการให้เห็น ผู้หญิงชั่ว ผู้ชายก็คือ ไอ้ชาติชั่ว เพราะลำพังคนเดียวมันจะเกิดลูก-เกิดท้องขึ้นมาไม่ได้ ฉะนั้น จะไปชี้หน้าประจานว่าผู้หญิงฝ่ายเดียวถูกหรือ เหมือนขนมครก แป้งมันร้อนอยู่ในเบ้า เพราะไม้ไปแซะมันขึ้นมา จึงเป็นขนมครก ๒ ฝาประกบกัน หวาน-มัน-เค็ม
ที่เฮียฮ้อพูดถึง ๔ ชายกับผู้หญิง ถือว่าไร้ความเป็นลูกผู้ชายที่สุด!

กรณี อย่างนี้ ไม่ใช่กรณีค้นหาใครผิด-ใครถูก, ใครทำ-ใครไม่ได้ทำ, การมีเพศสัมพันธ์ เมื่อมีลูกเกิดขึ้น ต้องถือว่ามันไม่ใช่ความผิด แต่มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เป็นเรื่องของมโนธรรมสำนึก ผู้หญิงจะพูดอย่างไร ประวัติผ่านมาเป็นอย่างไร ไม่ใช่ความผิดของเขาที่ใครจะนำไปต่อรองเพื่อสร้างความชอบธรรม หรือเพื่อปัดความรับผิดชอบให้ตัวเอง

ถ้าไม่ชอบอดีตเขา แล้วพวกคุณไปปฏิสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเขาทำไม และเมื่อมีเหตุต้องรับผิดชอบขึ้นมาแล้ว จะมาอ้างสิ่งนั้นเพื่อให้เห็นว่าตัวเองสูงส่งเกินกว่าที่จะไปรับผิดชอบ อย่างนั้น...มันเลวกว่าสัตว์
ผมว่าฟิล์มน่ะพอมีจิตสำนึกแห่งความรับผิด ชอบอยู่บ้าง เห็นได้แต่แรกว่า เขายอมรับว่ามีอะไรกันกับแอนนี่ และไม่ปฏิเสธความเป็นพ่อฑีฆายุ เพียงแต่ขอให้ตรวจดีเอ็นเอก่อนเท่านั้น

แต่ เฮียฮ้อ เฮียเล่นบทพระเอก RS ได้ทุเรศจนผมที่ไม่เคยคิดจะมาแตะเรื่องนี้ต้องลงมาขยำขี้กับเขาด้วย คุณพูดได้อย่างไรเกี่ยวกับผู้ชาย ๔ คน จะจริง-ไม่จริง ก็ถือเป็นการใส่ร้ายผู้หญิง เป็นการหยามเกียรติผู้หญิง ชนิดให้อภัยไม่ได้

มัน เป็นเรื่องถือสาใน "ยุทธจักรชายเสเพล" เขาจะไม่ประจานหน้าผู้หญิงกลางบ้าน-กลางเมืองอย่างนี้ด้วยประการทั้งปวง ผมบอกแล้ว กรณีอย่างนี้ ไม่ใช่การพิสูจน์ใครผิด-ใครถูก เป็นเรื่องของคุณธรรม-ศีลธรรม-มนุษยธรรม ผู้หญิงต้องตากหน้าอุ้มท้อง เสร็จแล้วยังต้องเลี้ยงลูก หมดโอกาสที่จะเป็นเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าวด้วย "สีขาวบริสุทธิ์" ตลอดไป

ส่วนผู้ชายล่ะ ใครรู้-ไม่รู้ไม่มีปัญหา ยังลอยดอกไปได้ตลอด ไม่ต้องอุ้มท้อง ไม่ต้องเลี้ยงลูก ยังเป็นเจ้าบ่าวที่โสดบริสุทธิ์ของเจ้าสาวได้เรื่อยๆ เพราะเหตุนี้ ด้วยสปิริตลูกผู้ชาย ไม่ขออะไรมาก จะผิด-จะถูก อดีตของเธอเป็นอย่างไร ไม่ต้องนำมาเป็นประเด็น

ผมขอเพียงความเข้าใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อเธอจะได้มีกำลังใจทำหน้าที่ "เลี้ยงลูกให้ดี" เพื่อโตเป็น "ทรัพยากรบุคคลของชาติ" ที่ดี โดยไม่มีตำหนิชีวิตเท่านั้น!

เฮียฮ้อก็ดี ตลอดถึงเฮียไหนๆ ที่จะออกมาอีกในกรณีนี้ก็ดี ท่านจะพูดอะไรก็สิทธิ์ของท่าน แต่ขอไว้คำ เรื่องหยามผู้หญิงกรณีชาย ๔ คน อย่าพูดอีกเด็ดขาด ที่พูดไปแล้ว ควรขอโทษ...ถอนคำพูดได้ ก็ควรทำ ที่บอกให้ทำนี่ไม่ใช่เพื่อแอนนี่

แต่เพื่อ "ลูกของเธอ"!

เฮีย ฮ้อคิดดู สังคมวันนี้ เป็นสังคมไอที ที่พูดไปนั้น ทั้งภาพ-ทั้งเสียงจะถูกบันทึกควบคู่ไว้กับการมีชีวิตเติบโตขึ้นแต่ละ วัน..แต่ละวันของทารกที่ชื่อฑีฆายุ ๕ ปี ๑๐ ปี แป๊บเดียวแหละ
นั่นคือ ในความเป็นลูกดารา เมื่อฑีฆายุโตขึ้น ทั้งเพื่อนนักเรียน ทั้งสื่อ ทั้งใครต่อใคร เห็นหน้าก็ล้อว่า..."ไอ้ลูก ๔ พ่อ"!

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น?

เฮีย ฮ้อเคยคิดถึงตรงนี้ไหม ถ้าเฮียฮ้อเป็นเด็กชายฑีฆายุ แล้วเพื่อนนักเรียน แล้วใครต่อใครเจอหน้าก็ตะโกนว่า..ฑีฆายุ ไอ้คน ๔ พ่อ...จะอยู่ในสังคมนี้ได้แบบไหน แบบต้องฆ่าคนอื่น หรือแบบ...ฆ่าตัวเอง!?
ก็ฝากให้คิดกันตรงนี้มากๆ ด้วย ถ้าใครยังต้องการหากินกับข่าวนี้ต่อไป

เฮีย ฮ้อ RS เฮียสมรักษ์ ช่อง ๓ อะไรนั่น ที่จะมาอุ้มฟิล์มให้เป็นพระเอกถูกใส่ร้ายหวังให้ชาวบ้านเห็นใจ ด้วยการกระทืบผู้หญิงให้เป็น "นังมารร้าย" มากชู้-หลายใจ ท้องแล้วยังนับไม่ถูกว่าลูกใครนั้น แรกๆ จากที่ชาวบ้านยังพอเห็นใจฟิล์มอยู่บ้าง แต่พอชายกระเบนฮ้อพูดอย่างนี้เท่านั้น

คนที่เลวกว่ากากี ก็พี่ฮ้อคนนี้แหละ!

ตอน นี้ "ดาวพุธ" อยู่ในบ้านตัวเอง แต่เป็นอริกับดวงเมือง อยู่ร่วมกับดาวเสาร์ ดาวอาทิตย์ แถมเล็งกับดาวพฤหัสฯ ดาวมฤตยู บ้านเมืองจะมีทั้งข่าวดี-ข่าวร้าย เผลอๆ จะเป็นข่าวปุบปับชนิด "ไม่คาดฝัน" กันมาก่อน ใครที่คิดจะเล่นกับข่าวก็ตระหนักไว้ด้วย

สู้ท่านรองฯ สุเทพไม่ได้ ทำเหมือนอดีตนายกฯ ทักษิณ พอดาวพุธมีปัญหาทีไร "ปิดปาก" เป็นเตมีย์ใบ้ทีนั้น เห็นบอกว่าจะบำเพ็ญตบะหยุดให้สัมภาษณ์ไปจนถึงวันที่ ๙ ตุลา หรือ ๓๑ ตุลา เลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อย "เปิดปาก"

ก็น่าหรอก!

เพราะ ตอนนี้คนที่ชื่ออักษร ส. นำ ล้วนนัวเนีย ได้-เสีย ดังอยู่กับข่าวเกือบทั้งนั้น อย่างเฮียฮ้อ ก็ ส. สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เฮียช่อง ๓ ก็ ส. สมรักษ์ ณรงค์วิชัย กระทั่ง ส. พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ที่กำลังดังเปรี้ยงเรื่องปรองดอง ยิ่ง ส. สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยแล้ว ไม่ต้องถึงความดังระดับ ๑,๐๐๐ เดซิเบล "หูแตก" กันไปเลย

คุณสุเทพ "พักการใช้เสียง" ด้วยการปิดวาจาช่วงนี้ ผมก็ว่าเข้าท่า แล้วลองด ตอนต้นเดือนหน้าจะมี "เหตุ" อะไรที่สามารถทำลายตบะให้ท่านต้อง "เปิดวาจา" ได้บ้างหรือไม่ แต่เสียงหัวร่อ ฮ่ะๆๆๆๆ ด้วยความชอบใจ ผมอนุญาตให้ ไม่นับเป็นคำพูด.

ไม่มีความคิดเห็น: