หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554

เจาะเลือดหาค่า'พีเอสเอ'วินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากได้ฉับไว

มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตหลักของผู้ชายทั่วโลก เนื่องจากการตรวจพบทำได้เพียงการตรวจทางทวารหนักเท่านั้น ทำให้กว่าจะพบเนื้อร้ายก็ลุกลามกระจายไปสู่ร่างกายส่วนอื่นเสียแล้ว!!

   
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะสุดท้ายได้อย่าง เด็ดขาด มีเพียงยาที่ช่วยพยุงอาการเท่านั้น ดังนั้นวิธีที่จะต่อสู้กับโรคนี้ได้ดีที่สุด คือ การตรวจพบในระยะเริ่มต้น เพื่อจะได้     ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะรอดชีวิตก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

   
น.ท.ดร.นพ.สมพล เพิ่ม       พงศ์โกศล แพทย์ประจำหน่วยระบบทางเดินปัสสาวะ ภาควิชาศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึง ผลการตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากว่า จากการวิจัย           ทั้งในอเมริกาและยุโรป พบว่า  การตรวจเลือดหาค่าพีเอสเอ (prostate specific antigen :   PSA) ควบคู่กับการตรวจทาง  ทวารหนัก สามารถช่วยให้ตรวจพบผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือ       ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก        ในระยะแรกเริ่มได้อย่างมี    ประสิทธิภาพมากขึ้น
    
พีเอสเอ คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่ผลิตจากเซลล์ต่อมลูกหมาก ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของน้ำอสุจิจึงมี  ลักษณะเป็นน้ำ ส่วนใหญ่แล้ว         พีเอสเอมักจะออกจากร่างกาย    ระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ แต่มี    ปริมาณน้อยมากที่สามารถเข้าใน    กระแสเลือดได้ 
   
การตรวจวัดค่าพีเอสเอเหมือนกับการตรวจเลือดทั่วไป แต่ไม่ต้องงดอาหารและเจาะเลือดตรวจเวลาใดก็ได้ จากนั้น ระดับค่าพีเอสเอจะถูกวัดโดยวิธีการทางห้องปฏิบัติการที่เรียกว่าการ วิเคราะห์ภูมิคุ้มกันทางเคมี ซึ่งผลของการทดสอบมักจะรายงานเป็นนาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng/ml) เมื่อมีค่าพีเอสเอที่สูงขึ้นหรือมีการเปลี่ยน      แปลงอาจจะเป็นสัญญาณ  บอกว่ามีความผิดปกติของต่อม  ลูกหมากเกิดขึ้น
    
โดยปกติค่าพีเอสเอจะ      ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนเพศชาย  เป็นหลัก ตามด้วยอายุ ซึ่งค่า       พีเอสเออาจจะค่อย ๆ สูงขึ้น  ตามอายุได้ รวมทั้งเชื้อชาติ และขนาดต่อมลูกหมากด้วย ถึง  แม้ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจะ  มีความเข้มข้นของพีเอสเอใน   เลือดสูง แต่ก็ไม่ได้มีความหมายว่าทุกคนที่มีค่าพีเอสเอสูงจะเป็นมะเร็ง
    
“สาเหตุที่ค่าพีเอสเอสูง อาจเกิดจากอาการต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ โดยที่ไม่มีเนื้อร้ายที่ต่อมลูกหมากก็ได้ จึงต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้งโดยการตรวจหาพีเอสเออิสระเพื่อจำแนกผู้ที่ ป่วยเป็นโรคมะเร็งออกจาก   กลุ่มที่เป็นต่อมลูกหมากโต”    
    
การวินิจฉัยมะเร็งต่อม         ลูกหมากของคนไข้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตรวจเลือดหาค่าพีเอสเอ เพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้อง        ยึดหลักการตรวจร่างกาย ซัก ถามประวัติเกี่ยวกับครอบครัว   ตลอดจนการตรวจทางทวารหนัก  ร่วมด้วย
    
“เมื่อผลการตรวจค่าพีเอสเอ อยู่ที่ระดับ 4.0 ng/ml ถือว่าเป็นค่าที่ยอมรับได้สูงสุดในคนปกติ แต่ถ้าระดับของพีเอสเอ มากกว่า 10 ng/ml ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างละเอียดโดยวิธีการทางพยาธิ หรือ การตรวจทางทวารหนักต่อไปเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง      จะได้ทำการรักษาต่อไป
    
โดยค่าพีเอสเออยู่ในช่วง 2-4 ng/ml และมีอัตราส่วนต่ำกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ จะใช้วิธีตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิร่วมด้วย ถ้าค่าพีเอสเออยู่ในช่วง 4-10 ng/ml และมีอัตราส่วนต่ำกว่า 23% จะใช้วิธีตรวจทางพยาธิ แต่ถ้าค่าพีเอสเอมากกว่า 10 ng/ml และมีอัตราส่วนต่ำกว่า 23% แสดงว่ามีโอกาสเป็นต่อมลูกหมากโต ไม่จำเป็นต้องตรวจทางพยาธิอีกแล้ว”
    
สำหรับ การตรวจทางทวารหนัก จะทำก็ต่อเมื่อคนไข้เจาะเลือดหาค่าพีเอสเอแล้วพบว่าอยู่ในระดับที่สูง รวมทั้งเมื่อหมอประเมินว่าคนไข้มีปัญหา    ในการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะติดขัด รวมไปถึง เมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะต่อม     ลูกหมากโต
    
การตรวจทางทวารหนักทำได้โดยให้คนไข้นอนหงายงอตัวบนเตียงตรวจหรือนอนตะแคงบน เตียงแล้วงอขาขึ้นให้เข่าชิดหน้าอก หมอจะใช้นิ้วมือที่สวมถุงมือที่ทาสารหล่อลื่นด้านนอกสอดเข้าไปในทวารหนัก เพราะต่อมลูกหมากอยู่หน้าต่อจากทวารหนัก หมอจะคลำดูว่าต่อมลูกหมากโตมากผิดปกติหรือไม่
   
รวมทั้ง ดูว่ามีก้อนนูน มีรูปร่างหรือเนื้อผิวของต่อมลูกหมากที่บ่งบอกความเป็นไปได้ของการเป็น มะเร็งหรือไม่ ถึงแม้การตรวจทางทวารหนักจะทำให้คนไข้รู้สึกไม่สะดวกแต่ก็ใช้เวลาเพียงไม่ กี่นาทีเท่านั้น เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น
   
“มีหลายปัจจัยที่ทำให้ค่าพีเอสเอสูงขึ้น แต่ระดับพีเอสเอที่สูงขึ้นในกระแสเลือดไม่ได้มีอันตรายเหมือนระดับไขมันใน หลอดเลือด ดังนั้น การตรวจเลือดหาค่าพีเอสเอและตามด้วยการตรวจทางทวารหนัก จึงถูกนำมาใช้สำหรับค้นหาคนไข้ที่อาจอยู่ในภาวะมะเร็งต่อมลูกหมากได้ตั้งแต่ ในระยะเริ่มต้นทำให้คนไข้ได้รับการรักษาได้เร็วขึ้น ส่งผลให้อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
   
นอกจากนี้ การตรวจพีเอสเอยังถูกนำมาใช้ในการติดตามผลการเปลี่ยนแปลง   คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากหลังการเข้ารับการรักษาอีกด้วย”
    
น.ท.ดร.นพ.สมพล  กล่าวทิ้งท้ายว่า การตรวจหาค่า    พีเอสเอ จะช่วยให้พบผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้เร็วขึ้น ฉะนั้น ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะ   ต่อมลูกหมากโต หรือผู้ที่มีปัจจัย  เสี่ยงควรเจาะเลือดตรวจหาค่า        พีเอสเอ หากเป็นโรคมะเร็งจะ  ได้รักษาได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น
    
ส่วนผู้ป่วยที่อยากตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากจะต้องเข้าใจว่าค่าพี เอสเอ เมื่อตรวจแล้วจะมีผลเป็นอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ที่จะตรวจหาค่าพีเอสเอ โดย ช่วงอายุที่ไม่เหมาะในการตรวจคัดกรอง คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป รวมทั้งผู้    ที่มีสุขภาพไม่ดี เนื่องจากจะเป็นอันตรายมากกว่า เพราะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคที่มีการขยายตัวค่อนข้างช้า คนไข้ถ้า อายุมาก หมายถึงน่าจะมีชีวิต      ไม่เกิน 10 ปี ซึ่งอาจเสียชีวิต           จากโรคหัวใจ เบาหวาน หัวใจ   วาย แต่ไม่ได้เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมากก็ได้ จึงไม่เหมาะสม เพราะบางทีอาจจะทำให้เกิดความกังวลใจ หรือมีการรักษาที่เกินความจำเป็นได้ ตรงนี้จะต้องประเมินความเหมาะสมร่วมด้วย.

เค็ลดลับสุขภาพดี
กินอาหารฤทธิ์เย็นต้านโรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้เป็นโรคยอดฮิตติดอันดับต้น ๆ ของคนเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเด็กและวัยรุ่นซึ่งพบมีผู้ป่วยสูงมากกว่า 80% สาเหตุมีทั้งมาจากมลพิษในอากาศและสิ่งแวดล้อม        ที่เปลี่ยนแปลงไป การไม่นิยมออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ รวมถึงการเลือก  รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ซึ่ง  หากเรารู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มี  ประโยชน์ต่อร่างกายก็จะสามารถช่วย  ป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ได้อีกทาง  หนึ่งด้วย
   
นพ.พลวิช กล้าหาญ จาก AMC Clinic ศูนย์รักษาภาวะโรคเรื้อรังแบบบูรณาการ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ว่า การรับประทานอาหารเราต้องคำนึงถึงเรื่องอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็น เพราะร่างกายของเราหากไม่มีความสมดุล มีภาวะร้อนเกินหรือเย็นเกิน ร่างกายจะแสดงอาการป่วยของโรคต่าง ๆ ออกมา โดยเฉพาะประเทศไทยของเรานับว่าเป็นเมืองร้อน คนส่วนใหญ่จะมีร่างกายเชิงฤทธิ์ร้อนมากกว่าชาวตะวันตก ดังนั้นควรเลือกรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็น เช่น การทานผักผลไม้ สมุนไพร หรือน้ำพริก แต่ในปัจจุบันเรามักทานอาหารเลียนแบบชาวตะวันตกอย่างอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งอาหารจำพวกนี้มีน้ำตาลและไขมันสูง ทำให้ร่างกายเพิ่มความเป็นฤทธิ์ร้อนมากขึ้น เกิดภาวะเสียสมดุลโดยร่างกายจะแสดงอาการ หน้าแดง ตาขาวเริ่มมีสีแดง อุณหภูมิในร่างกายสูง โอกาสที่จะเกิดผื่นคันและภูมิแพ้ก็มีสูง
   
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่เกิดจากสภาวะร้อนภายในร่างกายมากและเกิดการสะสมมานาน เราจึงควรเร่งปรับสมดุลให้กับร่างกายด้วยการทานอาหารฤทธิ์เย็นสม่ำเสมอและ ต่อเนื่อง พร้อมทั้ง หลีกเลี่ยงอาหารในกลุ่มที่มีกาเฟอีน, ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม รวมถึงหลีกเลี่ยงสารเคมีปรุงแต่งอาหารและสารปนเปื้อนในอาหาร เช่น ฟอร์      มาลินในอาหารทะเล สารกันบูด ผงชูรส เป็นต้น และควรหันมาเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) หรือยาธรรมชาติช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้ ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ควรเลือกรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันไม่ผ่านความร้อน ใช้เครื่องปรุงรสธรรมชาติ เช่น ซีอิ๊วหมักธรรมชาติ, มิโซะ, เต้าเจี้ยว เป็นต้น
   
สุดท้ายนี้ นพ.พลวิช แนะนำเมนูอาหารต้านโรคภูมิแพ้ทั้ง 3 มื้อว่า มื้อ   เช้า อาจเป็นจำพวกสลัดไก่และน้ำมันมะกอก ซุปฟักทองราดน้ำมันงา ข้าวโพดต้ม 1 ฝัก น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อ มื้อกลางวัน ข้าวกล้องโรยงาดำ ปลา   แซลมอลนึ่งพร้อมผักออร์แกนิกและน้ำจิ้มแจ่ว น้ำส้มหรือน้ำฝรั่งคั้นสด กล้วยน้ำว้า 2 ลูก และ มื้อเย็น ข้าวกล้องแกงส้มปลาช่อน ยำใหญ่ใส่สารพัด น้ำถั่วเขียวต้มใส่ขิง (เพื่อเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกายในฤดูหนาว) ส่วนเมนูเสริมได้แก่ ต้มยำไก่บ้าน เปาะเปี๊ยะสดใส่กุ้ง แหนมเนือง โซบะน้ำใส่มิโซะหมู
   
หากรู้อย่างนี้แล้วเราควรหันมาใส่ใจกับการเลือกรับประทานอาหารให้       เพิ่มมากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกาย และช่วยต้านทานโรคภัยไข้เจ็บไปในตัวอีกด้วย.

ที่มา : วาไรตี้/เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น: